"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?"
"...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ผู้ใหญ่,nc,เย็นชา,เด็กฝึกงาน,ผู้พิพากษา ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลัลน์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร แขนเสื้อถูกพับอย่างเรียบร้อยอวดแขนแกร่ง เส้นเลือดที่แขนเปล่งชัดอย่างน่าหลงใหลซึ่งในยามปกติแล้วถูกปกปิดอยู่ภายใต้ชุดครุยผู้พิพากษาหรือสูทของเขาที่บดบังมัดกล้ามคงน้อยคนนักที่จะได้เห็นคิณณ์ในลุคนี้
หญิงสาวรู้สึกเปลือกตาหนัก ความง่วงงุนกำลังเข้าจู่โจมลัลน์ วันทั้งวันเธอแทบจะไม่ได้พักส่งผลให้ข้อเท้าเธอระบมอักเสบ ปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก ค่อนข้างติดไปทางขี้โรคด้วยซ้ำ เมื่ออุณหภูมิเย็นกระจายไปทั่วห้อง เสียงมีดกระทบเขียงดังขึ้นแผ่วเบาอย่างเป็นจังหวะ เป็นเหตุให้กล่อมหญิงสาวให้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป
คิณณ์เงยหน้าจากการเตรียมอาหารหันไปมองเจ้าของห้องอย่างเป็นห่วง กลับพบว่าร่างบางกำลังนอนหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดูอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มล้างมือแล้วจึงเดินไปห่มผ้าให้สาวน้อยที่หลับไปไม่รู้เรื่องรู้ราว
เจ้าของนัยน์ตาสีดำเข้มจดจ้องใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มมีความสุขในห้วงแห่งความฝัน ท้องนิ้วสากลูบไล้ตามกรอบหน้าเล็กก่อนที่จะหยุดลงตรงปากกระจับอวบอิ่มสีแดง ลูบไล้ริมฝีปากเธออย่างหลงใหล
ลมหายใจร้อนกระทบหลังมือของเขาจนรู้สึกได้ คิณณ์ทาบหลังมือกับหน้าผากของลัลน์กลับพบว่าตัวรุมๆค่อนไปทางร้อนเสียแล้ว ตอนที่เดินตลาดด้วยกันเขารับรู้ได้แล้วว่าร่างบางเริ่มตัวรุมๆจะเป็นไข้ ใบหน้าสาวแดงระเรื่อประกอบกับข้อเท้าบวมแดงจนน่ากลัว คงทำให้เธอเป็นไข้อย่างที่เห็น
คิณณ์ช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอกย้ายหญิงสาวจากองศาที่แอร์ตกวางไว้บนเตียงนุ่มห่มผ้าคลุมตัวลัลน์ ก่อนจะปล่อยให้เธองีบหลับสักนิด เขาทำกับข้าวต้มเสร็จเธอคงตื่นมากินพอดี
ชายหนุ่มคนข้าวต้มกำลังงวดได้ที่กลิ่นหอมกรุ่นกระจายไปทั่วห้องเผื่อแผ่ไปยังห้องข้างๆ คิณณ์ชิมแล้วเห็นว่ารสชาติได้ที่แล้วจึงตักข้าวต้มใส่ชาม พร้อมจัดวางเครื่องไม่ว่าจะเป็นหมูบะช่อ ขิงซอย เต้าหูไข่ กระเทียมเจียวสีเหลืองกรอบ โรยหน้าด้วยต้นหอมผักชีประดับอยู่ด้านบนพอสวยงามดูน่าทาน ตอกไข่ต้มยางมะตูมไว้ด้านข้าง พร้อมโรยพริกไทยเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้แก่ข้าวต้มถ้วยนี้
"ลัลน์ ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนค่อยนอนต่อ" คิณณ์จับไหล่บางพลางเขย่าเล็กน้อยปลุกจอมขี้เซานอนป่วยอยู่บนเตียงตื่นมากินอะไรเสียก่อน
"อื้ออ หนูเผลอหลับไปหรือคะ" สาวน้อยลุกขึ้นอย่างงัวเงีย ปรือตาอย่างลืมตาไม่ขึ้น ตากลมโตหยีหนีแสงไฟจ้าที่ตอนนี้ยังคงไม่อาจปรับสายตาให้คุ้นชินได้ มือบางขยี้ตาอย่างแรงจนชายหนุ่มทนเห็นไม่ได้คว้ามือเธอให้หยุดขยี้
"ขยี้แรงขนาดนั้นจอประสาทตาเสียหมด" เอ่ยดุเธอเสียงเข้ม
ตอนนี้เธอรู้สึกปวดหัวตุบๆ เวียนหัวจนรู้สึกอยากจะอ้วก ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะงีบหลับตอนหัวค่ำหรือเป็นเพราะไม่สบายกันแน่
คิณณ์จูงมือคนตัวเล็กพลางประคองไม่ให้เธอล้ม เมื่อเธอเดินเซไปมาเป็นคนเมา ดีที่ห้องไม่กว้างนักเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงโซฟา ชายหนุ่มเลื่อนโต๊ะเลื่อนมาไว้ตรงลัลน์พร้อมหยิบยาและน้ำไว้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี
"ทำไมทานข้าวต้มหรือคะ?" เธอเอ่ยปากถามอย่างงุนงง ไปตลาดซื้อผักและเนื้อต่างๆมามากมายพอทำอาหารได้หลายสิบเมนู ไม่คาดว่าเขาเพียงต้มข้าวต้มกินด้วยกันเท่านั้น
"ทำไม ไม่ชอบ?"
"เปล่าค่ะ กำลังอยากทานอะไรร้อนๆพอดีค่ะ แต่พี่คิณณ์จะอิ่มหรือคะ" เธอเป็นห่วงเขา ร่างกายเขาค่อนข้างกำยำใหญ่โตทานเพียงข้าวต้มในมื้อเย็นไม่น่าเพียงพอให้เขาอยู่ได้ทั้งคืน
"กินไปเถอะ กินยาด้วย"
ลัลน์ตักข้าวต้มพอดีคำเป่าไล่ความร้อนก่อนละเลียดชิมข้าวต้มฝีมือท่าน นี่เธอได้ชิมอาหารฝีมือผู้พิพากษาแบบนี้แล้วจะได้เป็นผู้พิพากษาเหมือนเขาเขาบ้างไหมนะ เมื่อข้าวต้มสัมผัสต่อมรับรสหญิงสาวเบิกตาโพลงในรสชาติของข้ามต้มชามนี้
"ทำไมเค็มไปรึ พอดีใส่หนักมือไปหน่อย ไม่รู้ว่าเธอกินรสชาติแบบไหน"
"เปล่าค่ะ รสชาติที่หนูชอบเลย หนูก็ติดทานเค็มเหมือนกัน แบบนี้แล้วคงได้พากันเป็นโรคไตจูงมือกันไปหาหมอแน่เลยค่ะ" เสียงใสเอ่ยหัวเราะคิกคักกับบทสนทนาของตน
"จะอยู่ไปยันแก่ด้วยกันรึไง?" เสียงทุ้มเอ่ยปากเหมือนถาม แต่เมื่อหันไปสบตากับพบแต่เพียงความว่างเปล่าในสายตาที่ราบเรียบอยู่เป็นนิตย์ของเขา
"ปะ เปล่าค่ะ" หญิงสาวก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มไม่พูดไม่จา ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นในมื้ออาหารคงมีเพียงเสียงช้อนขูดกับชามที่ต่อเนื่องในมื้ออาหารนี้เท่านั้น สรุปแล้วเขาชอบเธอหรือไม่นั้นเธอไม่อาจคาดเดาได้เลย เธอไม่ได้ประสาทรับรู้ช้าจนไม่รู้ว่าคิณณ์กำลังเข้าหาเธอปฏิบัติกับเธอพิเศษมากกว่าคนปกติทั่วไปที่เขาจะไม่แสดงอารมณ์นอกเสียจากเย็นชา
เมื่อเจ้าตัวเขาไม่บอกเธอก็ไม่อยากคิดไปไกลแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังเช่นตอนนี้ที่เธอไม่อาจเข้าไปในโลกส่วนตัวของเขาได้ หากเธอก้าวเท้าเข้าไปสักนิดเขาก็พร้อมที่จะผลักเธอออกห่างจากเขา หรือเขาเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวของเพียงอย่างเดียวกันนะแต่น้องสาวที่ไหนเขาจะจูบแนบเนื้อขนาดนั้นได้!
ลัลน์ขมวดคิ้วเป็นปมตักข้ามต้มพร้อมหมูเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับเต็มปาก พลางเขี่ยขิงและรากต้นหอมไว้ขอบจาน
"ทำไมไม่กินผัก" สายตาคมจับจ้องเธอตั้งแต่เริ่มกินข้าวต้มกันแล้ว สังเกตุเห็นหญิงสาวเขี่ยขิงออกไป
"ไม่ใช่ไม่ทานค่ะ แต่หนูไม่ชอบทานขิง"
"กินเข้าไปช่วยต้านหวัดได้ดี" คิณณ์คะยั้นคะยอให้เธอกิน"
"หนูทานเข้าไปได้อ้วกออกหมดแน่ค่ะ"
"งั้นกินให้หมดถ้วย" เสียงดุเอ่ยบังคับเมื่อเห็นเธอกำลังรวบช้อนจบมื้ออาหาร
หญิงสาวเบ้หน้าทำท่าจะร้องไห้เหมือนเด็กถูกขัดใจ สบสายตาคมดุกดดันให้เธอกินข้าวให้หมดชาม เธอได้แต่จำใจตักข้าวกินอย่างจำใจ เมื่อท้องเธอไม่รับไหวลัลน์จึงอมข้าวไว้เต็มสองกระพุ้งแก้มเหมือนดังกระรอกที่กักเก็บอาหารไว้ยามฉุกเฉิน
"อย่าอมข้าว อิ่มแล้วก็พอ" คิณณ์เอ่ยเอ็ดสาวน้อยวัยละอ่อนที่ห่างกับตนเป็นสิบปี ลุกขึ้นหยิบชามข้าวของเธอไปล้างคว่ำไว้อย่างดิบดี
"ฉันกลับคอนโดแล้ว กินยาแล้วนอนพักผ่อน พรุ่งนี้เดี๋ยวฉันมารับถ้าเธอไหว"
คิณณ์ไม่รอให้เจ้าของห้องลุกขึ้นไปส่ง เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันกลับมามองเธอเลย
ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันคลุมเครือเช่นนี้ หรือเป็นเพราะเธอด่วนได้ใจเร็วกับเขาไวไปรู้จักกับเขาได้เพียงไม่กี่วันก็ตกหลุมรักเขาไปเสียแล้ว ลัลน์สะบัดขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอจะต้องขีดเส้นความสัมพันธ์ของเธอกับเขาให้ชัดเจนเป็นแค่ผู้พิพากษากับเด็กฝึกงานในสำนักงานทนายความที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น
แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วเป็นเวลา 7 โมงแล้วแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าร่างบางที่หลับอุตุจะลุกขึ้นมา จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ารบกวนฝันหวานปลุกเธอให้ตื่นจากความฝัน
"ยังไม่ตื่นรึ ไหวรึเปล่า วันนี้ไม่ต้องไปสำนักงาน" เสียงปลายสายเข้มติดเย็นชาอันคุ้นเคยทำให้หญิงสาวตาลุกโพลง
"ไหวค่ะ แต่จะลางานก็คงไม่ดี" ลัลน์ตอบเสียงแผ่วระโหยโรยแรงเสียงแหบกับเขาไป
"หรือให้ฉันลาให้" เสียงเข้มติดดุเอ่ยตามสาย
"ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูทักไปลางาน ท่านก็ขับรถดีๆนะคะ หนูขอนอนต่อก่อนค่ะ" เสียงหวานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่รอให้คิณณ์ตอบรับอะไรตัดสายชายหนุ่มทิ้งก่อนจะลุกขึ้นไปเตรียมตัวไปฝึกงาน ทำไมเธอจะต้องฟังเขาด้วยในเมื่อพ่อก็ไม่ใช่แฟนยิ่งแล้วใหญ่ก็ไม่ได้เป็น ฉะนั้นแล้วชีวิตเธอๆตัดสินใจเองได้
ลัลน์ถึงสำนักงานเป็นเวลา 9 โมงเช้าอันเป็นเวลาเริ่มงานพอดี เมื่อพี่ๆเห็นว่าข้อเท้าเธอเจ็บในช่วงเช้าเธอจึงไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากอ่านทำความเข้าใจกับสำนวนคดีต่อไปคนเดียวพร้อมกับของบำรุงเต็มโต๊ะอย่างมากมายให้เธอได้กิน
"บ่ายโมงพี่มีคดีที่บัลลังก์ 10 เราอยากไปด้วยไหมลัลน์" กุลธิดาหันมาถามใบหน้าหวานที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าเขียนเอกสารอยู่ที่โต๊ะ
"หนูไปด้วยค่ะพี่กวาง" หญิงสาวรีบเอ่ยตอบรับอย่างเสียงใส
"แล้วไปไหวรึเรา ข้อเท้าจะไม่อักเสบไปยิ่งกว่านี้เหรอ" เจษฎาเอ่ยถามสาวน้อยด้วยความเป็นห่วง ลูกชาวบ้านอยู่ในความดูแลของเขาหากลูกเขาเป็นอะไรไปเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้
"ไหวค่ะ ไปศาลก็ไม่ได้เดินมากอยู่แล้วหนูไปได้ค่ะ" หญิงสาวรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยืนกรานจะไปศาลให้ได้พี่ๆจึงยอมให้เธอตามกุลนันท์ไปด้วย
แต่เมื่อคิดว่าจะไปศาลแล้วใจเธอกระตุกร่างชะงักงันเล็กน้อย เมื่อเช้าโกหกเขาว่าจะลางานแต่เธอก็ยังแอบหนีมาทำงานโดยไม่ได้บอกเขา แต่เธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันนี่จะไปสนใจทำไมกัน อีกอย่างไปบัลลังก์ 10 อยู่คนละชั้นกับบัลลังก์ 3 ที่เขาประจำตำแหน่งอยู่แล้วฉะนั้นเธอกับเขาไม่ต้องพบเจอกันแน่นอน