"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?" "...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ผู้ใหญ่,nc,เย็นชา,เด็กฝึกงาน,ผู้พิพากษา ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ท่านคะ ทำแบบนี้เห็นทีจะหลงรัก"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?" "...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
ภายในห้องทำงานสีขาวสว่างเจิดจ้าทั่วห้องแตกต่างจากภายนอกที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็วถึงแม้เพิ่งจะเป็นเวลา 17 นาฬิกาก็ตาม เสียงลมของเครื่องปรับอากาศดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางความเงียบ ถึงแม้บรรยากาศภายนอกจะเริ่มเย็นแล้วก็ตามแต่ภายในห้องยงคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เจษฎายังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องเงียบสงบ คล้อยหลังจากคิณณ์และลัลน์เดินจูงมือกันออกไปทุกคนต่างเลิกงานกลับบ้านกันไปด้วย เหลือเพียงแต่เขาที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารคนเดียว
ชายหนุ่มคนเดียวในห้องถอดถอนหายใจเบา ๆก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมคายทว่าหล่อเหลาอย่างสุภาพคนละสไตล์กับคิณณ์ละสายตาจากกองเอกสารตรงหน้าแล้วจะเงยหน้ามองเพดานพลางปล่อยความคิดล่องลอยออกไป มือซ้ายเอื้อมหยิบแก้วกาแฟที่บัดนี้เหลือเพียงก้นแก้วขึ้นมาแต่ต้องพบว่ากาแฟนั้นเย็นชืดเสียสนิทจนเขาไม่อาจดื่มได้เสียแล้ว
ดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์บนโต๊ะที่ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือสายเรียกเข้าจากใคร ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มจาง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษความเหนื่อยล้าที่สะสมมาดูเหมือนจะรุมเร้าแสดงอาการในวันนี้แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจที่แล่นเข้ามายามจิตใจอ่อนล้า ทว่าเสียงเคาะประตูเบา ๆดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเขาที่ตอนนี้เตลิดไปไกล สายตาจับจ้องไปยังประตูหัวคิ้วขมวดเป็นปมอย่างอย่างแปลกใจว่าเวลานี้ใครจะมาหาเขาได้
"เชิญครับ" เสียงทุ้มเพิ่มเสียงเชื้อเชิญให้บุคคลภายนอกเข้ามา เมื่อประตูค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าหวานที่ถึงแม้จะซีดเซียวก็ยังคงเห็นความงดงามบนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มิได้แต่งแต้มเครื่องสำอางหรือจะแต่งแต่ลบเลือนไปกับหยาดน้ำตาหรือเปล่านั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจ ขอบตาแดงก่ำของเธอทำให้รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ก่อนหน้าจะมาพบเขาเธอคงผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?” เขาถามพลางมองไปยังเธอที่ดูเหมือนกำลังลังเลใจอะไรบางอย่าง
เจษฎาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาใส่กระโปรงพลีทยาวกอมเท้าเดินตรงเข้ามาหาเขา ร่างบางที่ผอมเพียวสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเตี้ยกว่าเขามากอยู่ดี ผิวขาวเนียนละเอียดเปล่งประกายล้อแสงไฟราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง พวงแก้มใสถึงแม้จะดูซีดเซียวก็ยังคงเจือระเรื่อสีชมพูทำให้เจษฎาจดจ้องหญิงสาวแปลกหน้าตรงหน้าคนนี้มันเสป็คเขาเลยนี่หน่า!
“ขอโทษนะคะ ลัลน์กลับหอไปรึยังคะ?” เสียงหวานนุ่มของเธอดังขึ้นเอ่ยถามอย่างมีมารยาท
“กลับไปแล้วครับ หนูมีธุระอะไรกับลัลน์หรือเปล่าครับ?” เจษฎาลุกจากเก้าอี้ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ทว่าภายในใจกลับเต้นรัวราวกับหนุ่มน้อยพบเจอรักครั้งแรก
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่หนูเป็นเพื่อนกับลัลน์ แล้วเห็นลัลน์ไม่ตอบข้อความในกลุ่มเลยคิดว่ายังทำงานอยู่ค่ะ” เธอเอ่ยตอบหัวหน้าสำนักงานของลัลน์แต่เธอก็รู้สึกแปลกที่เขาจดจ้องเธอราวกับจับผิดเธออย่างไรอย่างนั้น
“อืม กลับไปกับท่านคิณณ์แล้ว พี่ก็ไม่รู้ว่ากลับหอพักใครกันแน่” ชายหนุ่มถือวิสาสะแทนตัวเองว่าพี่ไปในตัวเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยืนตาโตตรงหน้าเขานี้เป็นเพื่อนของลัลน์
“ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อยอย่างมีมารยาท เธอไม่อยากสาวความให้มากนักเพราะในตอนนี้เธอเองก็กำลังหมดแรงที่จะต้องปั้นหน้ายิ้มเช่นเดียวกัน
เจษฎายืนมองร่างบางหันหลังเดินจากไปอย่างเหม่อลอยใจเขาอยากเอ่ยปากถามเธอเป็นอย่างมากว่าเป็นอะไรไหม แต่เขากับเธอพึ่งจะรู้จักกันเขาจึงไม่อาจถามเธอได้ ท่าทีน่าสงสารของเธอนั้นพาให้ใจเขาสงสารเธอเป็นยิ่งนัก สุดท้ายแล้วหญิงสาวได้เดินจากไปโดยที่คำพูดของเขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยอย่างใจหวังสักคำ แม้แต่ชื่อของเธอเขาไม่อาจรู้ได้ ทิ้งไว้แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางๆในอากาศทำให้เขาตระหนักได้ว่าเรื่องราวเมื่อสักครู่ไม่ใช่ความฝัน เจษฎาเผลอยิ้มกับตัวเองเขาถูกใจเธอก็จริงแต่ในเมื่อเธออายุห่างกับเขาเกือบรอบเขาก็ทำใจกินเด็กน้อยไม่ลงคงได้แต่ตัดใจจากหญิงสาวเพราะเขาไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองเหมือนไอ้คิณณ์!
“ฟังจากอาการของคนไข้แล้วหมอคาดว่าน่าจะเป็นข้อต่อกรามอักเสบนะคะ ยังไงคนไข้ทานยาตามที่หมอจัดไว้ให้ ส่วนเรื่องการกินช่วงนี้ขอให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องใช้แรงในการขบเคี้ยวหรือหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ชิ้นใหญ่เกินไปนะคะ” หมอศัลยกรรมวัยใกล้เกษียณเอ่ยอธิบายอาการและข้อควรระวังสำหรับคนไข้สาว
“ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ทว่าเสียงที่ตอบรับบกลับเป็นชายหนุ่มที่มาด้วยกันกับหญิงสาวที่ในตอนนี้ไม่พูดจาอะไรนอกเสียจากก้มหน้างุด ถ้าหากสังเกตดีๆแล้วจะพบว่าแก้มของเธอแดงระเรื่อจากความเขินไปอายไปทั่วทั้งใบหน้านวล
“ผู้ชายน่ารักดีนะคะ ประคองแฟนไม่ห่างเลย” พยาบาลสาวเอ่ยกับหมอศัลยกรรมอย่างกระดี๊กระด๊าเมื่อคิณณ์ประคองลัลน์ออกจากห้องตรวจไปเพื่อรับยา
“อืมจะน่ารักกว่านี้ถ้าอาการป่วยไม่ได้เกิดจากผู้ชาย” หญิงสูงวัยถึงกับบ่นพึมพึมพำเมื่อรู้ถึงสาเหตุของการเป็นข้อต่อกรามอักเสบของคนไข้สาวราวเมื่อสักครู่ได้
“ยังไงคะคุณหมอ น้องคนนี้มีอาการอะไรคะ” ถึงแม้คุณหมอจะพูดเสียงเบาพึมพำกับตัวเองก็ตามแต่พยาบาลสาวหน้าห้องก็ยังคงได้ยินชัดเจนจึงสอดปากถามถึงอาการของหญิงสาว
“ไปทำงานได้แล้วค่ะคุณนพลักษ์ เรื่องของคนไข้เราไม่อาจเผยแพร่ได้ค่ะ” คุณหมอผู้มากประสบการณ์ต้องเอ่ยปรามพยาบาลสาวไม่ให้ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของไข้เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพูดคุยกันเป็นการภายนอกได้
รถสีดำคันงามกำลังเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนอย่างเงียบเชียบ แสงไฟสีเหลืองส่องแสงตลอดทาง ไฟเบรกรถสีแดงที่กำลังจอดเรียงรายไม่อาจขับเคลื่อนได้เพราะเป็นเวลาเลิกงาน บรรยากาศภายในเงียบกริบความรู้สึกระหว่างคนสองคนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ลัลน์นั่งหน้าบึ้งกอดอก หันหน้ามองออกไปนอกกระจกอย่างไม่คิดจะปริปากพูดอะไรกับคนขับรถที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แต่อีกคนนั้นกำลังยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดีกับท่าทางของเธอ
“หนูเงียบทำไมคะคนดีหรือเจ็บกรามจนอ้าปากพูดไม่ไหว” สารถีกิตติมศักดิ์ถามอย่างเป็นห่วงคนตัวเล็กข้างกาย ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาเธอก็ไม่พูดไม่จาทำหน้าบึ้งใส่เขาตลอดทางถึงแม้ว่าเขาจะรู้เถอะว่าหญิงสาวงอนเขาเรื่องใด
ลัลน์ตวัดสายตามองคนตัวโตที่ยังไม่สำนึกในการกระทำ ที่เธอต้องมาเจ็บกรามอยู่ก็เพราะใครล่ะนอกเสียจากพ่อตัวดีที่ทำหน้าที่ขับรถอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว คาดว่าคุณหมอน่าจะสามารถคาดการณ์ถึงสาเหตุของเธอได้คุณหมอจึงไม่คาดคั้นคำตอบจากเธอ ก่อนจะกอดอกพ่นลมหายใจไม่ตอบรับคำถามใดๆของเขา เห็นใบหน้าหล่อที่ยังคงยิ้มระรื่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอย่างช่วยไม่ได้จนต้องหันหน้าหนีมองข้างทางไป
“หนูคุยกับพี่หน่อยสิคะ ถ้าไม่ตอบพี่จับกินบนรถนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังสายตามั่นคงยืนยันว่าหากหญิงสาวไม่ตอบเขาจะทำดังเช่นที่เขาพูดแน่ แต่ก็คงต้องให้ถึงห้องเสียก่อนเขาถึงจะจัดการได้
“นี่พี่ยังจะหื่นได้ลงอีกหรือคะ พี่ทำให้หนูขายหน้านี้แล้วยังมาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนใส่หนูอีก” เสียงประชดประชันดังขึ้นตอบคนหื่นข้างกาย แต่ไม่ยอมหันหน้ากลับไปมองชายหนุ่มแม้แต่นิดเดียว ใบหน้างดงามซึ่งปกติเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานประดับบนใบหน้าแต่ทว่าตอนนี้กลับหงิกงอจนน่าหยิกแก้มนวล
“ค่าบบ ขอโทษครับคนดีพี่มันผิดเองให้อภัยให้พี่นะคะ” เสียงทุ้มเอ่ยเหมือนสำนึกผิด แต่เมื่อหางเสียงสั่นเครือราวกับกลั้นขำซึ่งสวนทางกับรูปประโยคของตนเองโดยสิ้นเชิง แววตากลับเต็มไปด้วยความขบขันอย่างเห็นได้ชัด มือหนาโยกศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องมาแตะเนื้อต้องตัวหนูเลยนะคะ อ๊ะ” ลัลน์หันขวับกลับมามองชายหนุ่ม ดวงตากลมโตลุกวาว มือบางอกแรงขืนคนตัวโตไม่ให้แตะเนื้อร่างกายของตนอย่างแง่งอน ก่อนจะอุทานอย่างตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมอะไรบางอย่าง
“หืม มีอะไรหรือเปล่าคะ” เมื่อได้ยินคนข้างกายร้องอย่างตกใจจนเขานึกว่าคนตัวเล็กเป็นอะไรไป
“หนูลืมตอบข้อความหนูนาไปเลยเวลาผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วด้วย” กล่าวจบรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากดเบอร์โทรหาเพื่อนสาวในทันที
“ว่ายังไงจ๊ะลัลน์ พอมีผัวนี่ลืมเพื่อนลืมฝูงไปตอบข้อความกันแล้วนะ” ปลายสายเอ่ยอย่างกระแนะกระแหนเพื่อนสาวที่ตอนนี้กลายเป็นคนติดผู้ชายเสียแล้ว
“ใครผัวไม่มีนะ หนูนาก็พูดไปเรื่อย” ใบหน้าหวานที่ในตอนนี้แก้มบวมตุ่ยไปข้างปรากฏรอยแดงระเรื่อสองข้างแก้ม สายตาเหลือบมองบุคคลต้นเรื่องของการสนทนานี้ขับรถพลางส่งสายตาเขียวปั๊ดเมื่อเธอบอกว่าไม่มีผัว
“แหมๆ แล้วแม่คุณกลับกับใครล่ะคะ ลุงข้างบ้านอย่างงั้นเหรอ” เสียงหนูนาดังขึ้นมาจนคิณณ์ได้ยินเสียงของเธอแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก
“พี่เขาก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย” ลัลน์อดแก้ต่างให้ผู้ชายของเธอไม่ได้ ถึงแม้เธอและเขาจะห่างกันเกือบรอบก็ตาม แต่ทว่าเขาก็พึ่งจะอายุ 31 ปีด้วยซ้ำหน้าตาก็หล่อเหลาคมคายดูเหมือนยี่สิบปลายๆด้วยซ้ำ ไม่เหมือนกับเธอที่อายุ 21 ย่าง 22 ที่หน้าดูเหมือนเป็นเพื่อนเขาไปเสียแล้ว
“แตะไม่ได้เลยเชียวผู้ชายคนนี้อ่ะ” เสียงค่อนขอดปลายสายดังไม่หยุดราวกับหมั่นไส้เหม็นกลิ่นความรักที่อบอวลลอยตามสายมาถึงเธอ
“มัวแต่แซวคนอื่นว่าแต่หนูนาเถอะเป็นอะไรหรือเปล่าถึงส่งข้อความมาแปลกๆ” ลัลน์เอ่ยถาม ขณะวางศอกบนที่พักแขนรถ ดวงตากลมโตยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เปล่าไม่มีอะไรหรอกจะชวนลัลน์ไปกินปิ้งย่างเกาหลีสักหน่อย แต่ได้ข่าวว่าท่านคิณณ์มารับไปแล้ว” น้ำเสียงร่าเริงตามไสตล์หนูนาแทบจะเหมือนเดิม ถ้าหากไม่ตั้งใจฟังดีๆแล้วคงไม่อาจจับผิดสังเกตได้
“งั้นเหรอ ลัลน์ขอโทษหนูนาด้วยนะพอดีแวะไปโรงพยาบาลมา” ลัลน์พึมพำเบา ๆ ก่อนจะรีบเสริมด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“อ้าวเป็นไรลัลน์”
“ข้อต่อกรามอักเสบน่ะ แต่ไม่เป็นไรมาก”
“ทีหลังก็เพลาๆบ้าง อย่ารุนแรงให้มากนะ” หนูนาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ หรี่ตาเล็กน้อยราวกับประมวลผลคำพูดเพื่อนสาวในหัว ก่อนจะเอ่ยเตือนลัลน์ด้วยคำพูดกำกวมอย่างสื่อความหมาย
“บ้าพูดอะไรน่ะหนูนา!” หญิงสาวรู้สึกหน้าเห่อร้อนเมื่อเพื่อนพูดเหมือนรู้ทัน
“หมายถึงว่าเคี้ยวข้าวให้เบาๆ อย่าไปกินของแข็งของร้อนให้มาก” หนูนาเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงทะเล้นหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ
“เราไม่พูดกับหนูนาแล้ว เชอะ!” ลัลน์ทำหน้ามุ่ยทันที ย่นจมูกเล็กน้อยพลางสะบัดเสียงใส่
“งั้นแค่นี้แหละไม่รบกวนเวลาสวีทล่ะ” หนูนายังไม่แคล้วแซวเพื่อนจนนาทีสุดท้าย
“หนูนา” ลัลน์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเสียงจริงจังออกมา
“หือ?”
“มีอะไรโทรมาหาลัลน์ได้เสมอนะ อย่าเก็บไว้คนเดียวลัลน์อยู่เคียงข้างหนูนาเสมอนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนความจริงใจในคำพูดนั้นส่งผ่านมาถึงปลายสายอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“อื้อ พูดอะไรแปลกๆ แค่นี้แหละไปแล้วนะบาย อย่าไปกินของใหญ่ให้มากนะ” เธอหัวเราะแห้ง ๆ คลายบรรยากาศที่เริ่มหนักอึ้ง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องหยอกเพื่อนสาวทิ้งท้ายแล้วรีบตัดสายไปก่อนทีเธอจะหูชา
ลัลน์วางโทรศัพท์ลงบนตัก ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ แต่ทว่าในใจกลับว้าวุ่นกับน้ำเสียงของหนูนาก่อนวางสายแฝงบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
‘หนูนาคงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมหรือเราคิดมากไปเอง?’ เธอถอนหายใจเบา ๆ แต่ความกังวลยังคงติดอยู่ในใจ แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไร แต่คำพูดที่เพื่อนสนิททิ้งท้ายยังคงดังก้องอยู่ในหัวหวังว่าหนูนาคงไม่เป็นอะไร ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเธอก็พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อนคนนี้เสมอดังเช่นที่หนูนาอยู่เป็นเพื่อนเธอ