"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?" "...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ผู้ใหญ่,nc,เย็นชา,เด็กฝึกงาน,ผู้พิพากษา ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ท่านคะ ทำแบบนี้เห็นทีจะหลงรัก [E-book]"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?" "...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
การอยู่ที่คอนโดของคิณณ์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลัลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ห้องที่เคยดูเรียบง่ายและเป็นระเบียบตามสไตล์ชายหนุ่ม กลับมีสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาวแทรกซึมอยู่ทุกมุมอย่างมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอใช้ประจำเติมเต็มบรรยากาศในห้องให้ดูอบอุ่นและสดใส ตุ๊กตาสุนัขตัวใหญ่ที่เธอนำมาตั้งไว้บนเตียงนอน กลายเป็นความคุ้นเคยที่เจ้าของไม่อาจปฏิเสธได้
ในห้องน้ำที่เคยมีแค่ของใช้พื้นฐาน กลับมีชุดขวดแชมพูและครีมนวดกลิ่นหวานวางเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผ้าเช็ดตัวที่เธอเลือกใช้ยังเป็นสีพาสเทลที่แตกต่างจากโทนสีเข้มเรียบง่ายของเขา
ลัลน์ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกระทบเส้นผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงอย่างมีวอลลุ่ม ผมของเธอถูกรวบครึ่งหัวอย่างเรียบร้อย ติดโบน่ารักสีขาวที่เพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหวานซึ้งที่ดูเปล่งประกาย ใบหน้าหวานซึ้งที่เคยดูซูบซีดจากความทุกข์ใจในอดีต บัดนี้กลับเปล่งปลั่งสดใส พวงแก้มใสที่เคยตอบแห้งกลับอิ่มเอิบจนดูน่าหยิก ร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ชุดนักศึกษาที่กระชับพอดีตัว จนเผยให้เห็นความอวบอิ่มเกินตัว กระโปรงทรงเอรัดรูปตัวยิ่งขับให้รูปร่างของเธอดูสมส่วนและน่ามองขึ้น มือบางยกขึ้นสางผมสีดำดัดลอนคลาย ๆ ที่จัดทรงไว้อย่างตั้งใจ
“หนูพี่ว่าชุดมันรัดรูปเกินไปรึเปล่า?” คิณณ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มเล็กน้อยหลังจากถอนหายใจเบาๆ เขาว่าเขาซื้อชุดพอตัวให้เธอเมื่อเดือนที่แล้วเองแต่ทำไมคนรักเขากลับเอิบอิ่มจนเสื้อฟิตรัดรูปเห็นสัดส่วนขนาดนี้ ทำเอาคนแก่ที่พึ่งหัดเปิดใจรู้สึกหึงหวงราวกับเป็นรักแรก
“พี่คิณณ์ซื้อให้หนูเองไม่ใช่หรือคะ” ลัลน์เอ่ยท้วงเสียงหวาน ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มอ่อนโยน เธอเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนตักแกร่งของชายหนุ่มอย่างออดอ้อน ดวงตากลมโตที่มีแววขี้เล่นเงยขึ้นสบตาคมกริบที่มองมาอย่างนิ่งเรียบจนเธอเดาอารมณ์เขาไม่ออก
“ที่พี่ซื้อให้น่ะพี่จำได้ แต่พี่ว่าพี่ซื้อพอดีตัวหนูนะแต่ทำไมตอนนี้ถึงกลับแน่นแบบนี้” คิณณ์เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แฝงด้วยแววหึงหวงพร้อมกับมองเสื้อนักศึกษาที่รัดจนเผยให้เห็นความอวบอิ่มของเธออย่างไม่ปิดบังก่อนจะตวัดมือโอบร่างเล็กเข้ามาแนบชิดกับตัวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกมือหนึ่งประคองแผ่นหลังบางไม่ให้เธอเสียการทรงตัวบนตักเขา
“สงสัยหนูกินเก่งไปหน่อยมั้งคะ” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงใสพร้อมหัวเราะเบาๆ พยายามกลบเกลื่อนแก้เขิน มือบางยกขึ้นแตะเบาๆ ที่ไหล่เขา ก่อนเอียงหน้าซบลงพร้อมถูไถอย่างออดอ้อน
“กินพี่เก่งน่ะหรือคะ” ชายหนุ่มถึงกับชะงักไปเล็กน้อย สายตาคมจับจ้องใบหน้าหวานที่ดูไร้เดียงสา ก่อนจะยิ้มมุมปากและเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงแววขี้เล่นอย่างเจ้าเล่ห์
“พี่คิณณ์!” คำพูดของเขาทำให้ลัลน์เบิกตากว้าง ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำเหมือนผลไม้สุก เสียงหวานร้องพร้อมตีเบาๆ ที่ไหล่เขาอย่างลืมตัว เธอไม่ชินเลยถึงแม้เขาจะชอบหยอกเย้าเธอแบบนี้มาแรมเดือนแล้วก็ตาม
“ฮึๆ ยังเขินอยู่อีกหรือคะ คบกันมาก็หลายเดือนแล้ว” คิณณ์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น ดวงตาคมจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนตักเขาอย่างเอ็นดู
“หนูล่ะสงสัยว่าหน้าพี่ทำด้วยอะไรคะ ถึงได้หน้าทนแบบนี้” เสียงหวานประชดประชันพลางย่นจมูกใส่ แต่ใบหน้าที่แดงปลั่งและสายตาเลิ่กลั่กทำให้คำพูดของเธอดูเหมือนลูกหมาที่กำลังหัดขู่เขาเสียมากกว่า
“วันนี้ฝึกงานวันสุดท้ายใช่ไหม” หัวเราะเบาๆ พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู
“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือจะพาหนูไปเลี้ยง” ลัลน์ตอบด้วยน้ำเสียงใส แต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่าคนระดับเขาจะอยากพาเธอออกไปเปิดตัวจริงๆ หรือเปล่า
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นบอกใครต่อใครเช่นกัน มีเพียงกลุ่มเพื่อนสนิทของทั้งสองที่รับรู้ แต่ลัลน์เองกลับลังเลที่จะให้เรื่องนี้เปิดเผยมากกว่านี้ เธอยังรู้สึกว่าตัวเองธรรมดาเกินไปเมื่อเทียบกับเขา อีกทั้งเธอยังไม่พร้อมรับสายตาคนอื่นที่อาจสงสัยหรือจับจ้อง แต่ดูเหมือนว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะให้เธอนั่งอยู่ในตอนนี้กลับมีท่าทีตรงกันข้าม เขามักเอ่ยทำนองว่าอยากเปิดตัวเสียด้วยซ้ำ
“อยากกินอะไรเด็กดื้อ” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่ม จมูกโด่งโน้มเข้ามาคลอเคลียกับพวงแก้มใสอย่างจงใจ
“ที่หนูชอบกินพี่ก็ไม่ชอบ” พวกชาบูหมาล่างี้ ปิ้งย่างเกาหลีงี้ไม่เห็นจะแตะ บอกว่าเสียสุขภาพไม่ดีต่อร่างกาย คิดแล้วก็ย่นจมูกใส่คนตัวโตกว่าอย่างขัดใจ
“กินมากแล้วนะเรา ชอบสั่งมากินบ่อยๆยังไม่เบื่ออีกรึไง”พลางส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังบ่นคนตัวเล็ก
“กินที่ร้านกับซื้อมาทำกินเองมันคนละเรื่องเลยนะคะ ไม่กินเป็นเพื่อนก็ไม่ต้องบ่นเลยค่ะ”
“แล้วมีเพื่อนไปรึไง” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเธอด้วยแววตาสงสัย
“หนูนาไงคะ ไม่เจอกันหลายเดือนแล้ว วันนี้เลยนัดฉลองกันเลย” คนน้องตอบพร้อมยิ้มร่า ก่อนจะทำท่าทางอย่างดีใจที่ได้เจอเพื่อนสนิทที่ไม่เจอกันในรอบหลายเดือนนี้ตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่กับคนรัก
“หาเรื่องกินกันมากกว่ามั้ง” พูดพร้อมเลิกคิ้วและยิ้มขำ ๆ อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าเด็กน้อยของเขาชอบหาเหตุผลในการกินอาหารที่ชอบอยู่เสมอ
“ไม่สนับสนุนก็อย่าขัดค่ะ” รอยหงิกงอเล็กน้อยบนใบหน้าหวาน ๆ ของเธอเมื่อรู้สึกว่าเขาคงรู้ทันว่าเธอแค่หาเรื่องเพื่อได้ไปกินของอร่อย
“ครับเมีย ผัวจะกล้าขัดใจเมียได้ยังไงครับ” เสียงทุ้มตอบกลับด้วยความอ่อนโยน หาได้หงุดหงิดกับท่าทีงอแงของหญิงสาวไม่ เพราะเขารู้ว่าเธอคงแค่หาทางให้เขาไปด้วยนานเอง
“แล้วพี่คิณณ์จะไปด้วยกันไหมคะ” หญิงสาวเอียงคอถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“หนูไปกินที่ไหนคะ?” ชายหนุ่มถามกลับ ดวงตาคมมองเธอด้วยความเอ็นดู
“ห้างที่เราชอบไปกันบ่อยๆค่ะ หนูจะไปกินปิ้งย่างเกาหลีค่ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส ดวงตากลมโตเปล่งประกายตาตื่นเต้นเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่
“วันนี้พี่ติดอยู่เวร คงไปกินด้วยไม่ได้ เดี๋ยวให้ไอ้เจษมันไปส่งหนูแทนนะคะ” สิ้นเสียงทุ้มรอยยิ้มบนใบหน้าของคนน้องจางหายไปในทันที
“แค่นี้เอง ต้องลำบากพี่เจษทำไมคะ” แต่ใบหน้าเธอกลับหงิกงอง้ำอย่างไม่ค่อยพอใจ นี่พี่เขาลืมจริงๆใช่ไหม ในหัวของเธอเริ่มวนเวียนกับความคิดน้อยใจ นี่เขาไม่จำได้เลยหรือว่าวันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับเธอ ความคาดหวังที่มีต่อคนรักกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเจ็บหน่วงในอก
“เป็นไรน้อยใจพี่ไม่ไปด้วยรึไง” คิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่ก็มีความกังวลอยู่ในนั้น
“นิดหน่อยค่ะ แต่นี่สายแล้วนะคะรีบไปส่งหนูเลยค่ะ ฝึกวันสุดท้ายไปสายแล้วดูไม่ดี” ลัลน์หันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ และพยักหน้าเธอแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยายามกลืนก้อนที่จุกอกลงคอไป และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ อืม หนูหยิบแซนวิชด์กับนมไปด้วยนะคะ” คิณณ์เห็นท่าทางของเธอแล้วก็รู้ว่าเธออาจจะไม่ได้สบายใจนัก แต่ไม่อยากทำให้เธอรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ก่อนจะเดินพาคนตัวเล็กขึ้นรถ
ลัลน์เงียบลงและนั่งข้างเขาอย่างเงียบ ๆ แต่น้ำตาที่สะท้อนจากกระจกทำให้คิณณ์รู้ว่าเธอคงยังไม่พอใจมากนักที่เขาไม่ยอมไปกินเป็นเพื่อนเธอ
คิณณ์จอดรถหน้าสำนักงาน ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปดึงเบรกมือพลางเหลือบมองลัลน์ที่นั่งเงียบมาตลอดทาง หญิงสาวสูดลมหายใจลึก พยายามรวบรวมสติ ก่อนกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอไม่ให้ไหลออกมา เธอหันไปยิ้มบาง ๆ ให้เขา แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะแฝงไว้ด้วยความหม่นหมองก็ตาม
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ พี่คิณณ์” น้ำเสียงเจือด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อยที่พยายามทำให้ดูปกติที่สุดแต่ก็ไม่เป็นดังเช่นที่หวัง ก่อนที่เขาจะทันตอบอะไร ลัลน์ก็โน้มตัวไปหอมแก้มสากของเขาเบาๆ เป็นการบอกลาที่ปกติเธอมักจะทำเสมอเมื่อชายหนุ่มมาส่งเธอเป็นประจำ
คิณณ์จ้องมองตามหลังบางที่แม้แต่มองด้านหลังแผ่นบางนั้นกลับให้ความรู้สึกห่อเหี่ยว ดวงตาคมนิ่งเรียบจนน่ากลัวราวกับผืนน้ำนิ่งในทะเลสาบที่ไม่อาจเดาได้ว่าภายใต้นั้นซ่อนอะไรไว้ เขาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ทั้งความห่วงใยหรือความกังวล ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ และออกรถจากไปโดยไม่เหลียวหลังหันกลับมามอง
ทุกการกระทำของชายหนุ่มอยู่ในสายตาของลัลน์ที่แอบมองอยู่ตรงหัวมุม เธอเฝ้ารอดูว่าเขาจะมีท่าทีลังเลหรือหันกลับมาหรือไม่ แต่เขากลับขับออกไปอย่างไม่รีรอราวกับเธอไม่มีตัวตน ร่างบางยืนตัวแข็ง สองมือกำแน่น น้ำตาค่อย ๆ ไหลรินลงมาอาบแก้ม
“เรื่องแค่นี้เอง อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปสิลัลน์” หญิงสาวพึมพำปลอบใจตัวเอง น้ำเสียงเบาหวิวเหมือนจะเชื่อคำพูดตัวเอง แต่หัวใจกลับเต้นรัวอย่างไม่มั่นคง มือบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาอีกครั้ง สูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกกำลังใจกลับมา ก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูสงบนิ่ง พยายามทิ้งความเสียใจไว้เบื้องหลังแล้วก้าวเดินขึ้นบันไดสำนักงานไปอย่างมั่นคง