นายกฯหนุ่มสบตาเขา แล้วก็ถามขึ้นมาตรงๆว่า “ผมอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไร” นายทหารหนุ่มหัวเราะออกมา “ผมจูบคุณขนาดนั้นแล้ว คุณยังไม่รู้อีกหรือว่าผมต้องการอะไร” เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักและกำลังจะโกรธ ชายหนุ่มจึงตอบอย่างจริงจังว่า “ผมสนใจคุณ ผมชอบคุณ” อี้หมิงซือชะงัก หน้าแดงขึ้นมาด้วยความโกรธและอายผสมกัน **อี้หมิงซือ นายกเทศมนตรีที่หล่อและเก่งที่สุด ชีวิตนี้มีแต่งาน จนเขาได้ช่วยชีวิตเว่ยหมิงซือ นายทหารหนุ่มอนาคตไกลเอาไว้ การต่อสู้ฝ่าฟันทั้งเรื่องรักและเรื่องงานเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตด้วยกันจึงเริ่มต้นขึ้น**
รัก,ชาย-ชาย,จีน,ยุคปัจจุบัน,ผู้ใหญ่,นิยายวาย,โรแมนติค ,18+,จบดี ,พระเอกเก่ง,พระเอกหล่อ,นายเอกเก่ง,นายกเทศมนตรี,กลยุทธ์คว้าใจนายกฯอี้หมิงซือ,การเมือง,พระเอกเป็นทหาร,นิยายจีนปัจจุบัน,ชิงไหวชิงพริบ,อี้หมิงซือ,เว่ยซีหลง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
กลยุทธ์คว้าใจนายกฯอี้หมิงซือ (มี E-book ที่เด็กดี meb ปิ่นโต))นายกฯหนุ่มสบตาเขา แล้วก็ถามขึ้นมาตรงๆว่า “ผมอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไร” นายทหารหนุ่มหัวเราะออกมา “ผมจูบคุณขนาดนั้นแล้ว คุณยังไม่รู้อีกหรือว่าผมต้องการอะไร” เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักและกำลังจะโกรธ ชายหนุ่มจึงตอบอย่างจริงจังว่า “ผมสนใจคุณ ผมชอบคุณ” อี้หมิงซือชะงัก หน้าแดงขึ้นมาด้วยความโกรธและอายผสมกัน **อี้หมิงซือ นายกเทศมนตรีที่หล่อและเก่งที่สุด ชีวิตนี้มีแต่งาน จนเขาได้ช่วยชีวิตเว่ยหมิงซือ นายทหารหนุ่มอนาคตไกลเอาไว้ การต่อสู้ฝ่าฟันทั้งเรื่องรักและเรื่องงานเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตด้วยกันจึงเริ่มต้นขึ้น**
อี้หมิงซือเป็นนายกเทศมนตรีเมืองชิงต่าว ที่หนุ่มและหล่อที่สุด ชีวิตของเขามีแต่การทำงาน จนวันหนึ่งได้ไปพบกับนายทหารหนุ่มรูปหล่อ เว่ยหมิงซือ และรักแรกพบก็มีจริง เว่ยหมิงซือทำทุกทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับนายกเทศมนตรีที่ถือตัวและยังเก่งกาจคนนี้ แต่ความรักของพวกเขาก็ไม่ง่าย พวกเขาต้องพบเจอกับอุปสรรคจากหน้าที่การงานและจากครอบครัว ที่ไม่อยากให้พวกเขาเอาหน้าที่การงานที่รุ่งโรจน์นี้ ไปเสี่ยงกับความรักระหว่างผู้ชายสองคน และยังต้องต่อสู้กับความเข้าใจผิดจากตัวพวกเขาเองอีกด้วย ในนี้จะมีทั้งการต่อสู้เรื่องงานการเมือง การทหาร และความรัก เพื่อให้ครบรสตามที่ควรจะเป็น
หลังจากนั้นไม่นาน อี้หมิงซือได้รับโทรศัพท์จากกองทัพเรือ เพื่อเชิญเข้าร่วมโครงการสร้างระบบต่อต้านการจารกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างหน่วยปฏิบัติการพิเศษ แผนกข่าวกรองท้องถิ่น กองทัพเรือในชิงต่าว ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงทางไซเบอร์ในชิ่งเต่า และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ชิงต่าว ซึ่งเขาตอบตกลงด้วยความยินดี หลังจากที่ได้พูดคุยและเสนอแนะความคิดไป ในที่สุดเขาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำวิจัย เพื่อออกแบบระบบต่อต้านการจารกรรมนี้
ที่จริงแล้วก่อนที่เขาจะได้รับการติดต่อนั้น ผู้บัญชาการฐานทัพเรือที่ชิงต่าวได้สืบหาข้อมูลของเขามาก่อนแล้ว และพบว่านายกเทศมนตรีคนนี้ เข้าใจความต้องการและข้อจำกัดของเมืองชิงต่าวเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยวางแผนและดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นได้ และตัวเขายังได้รับความเชื่อถือจากรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นประโยชน์ในการขอการสนับสนุน หรือการอนุมัติที่จำเป็นต่อโครงการ จึงเป็นการร่วมมือที่วิน-วินกับทั้งสองฝ่าย
หลายครั้งที่นักการเมืองท้องถิ่นบางคน ไม่มีความรู้ความสามารถในโครงการโดยตรง แต่ต้องการเข้าร่วมเพื่อสร้างสายสัมพันธ์และชื่อเสียง แต่อี้หมิงซือมีหลักฐานความสำเร็จจากการศึกษาและประสบการณ์ ซึ่งช่วยรับประกันความสามารถ แน่นอนว่ายังมีพันโทเว่ยซีหลงช่วยให้ข้อมูลเชิงบวกด้วย
ตอนนี้ ชิงต่าวเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่อากาศยังคงสดใสท้องฟ้าปลอดโปร่งสวยงาม ถึงแม้จะมีลมแรงและอากาศหนาวเย็นมากขึ้นก็ตาม วันนี้อี้หมิงซือเดินทางไปยังเขตเหลาซาน พร้อมกับเลขานุการของเขา ที่นี่เป็นเขตภูเขาและท้องทะเล เขามีนัดกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหาสมุทรและทะเลแห่งประเทศจีน
เขาต้องการจะหาแนวทางรับมือกับปัญหาสาหร่ายสะพรั่งที่มีมายาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นมลภาวะที่เกิดจากประชาชน เกษตรกร และโรงงานพากันปล่อยของเสียและน้ำเสียลงทะเล ทำให้สาหร่ายเจริญเติบโตมากผิดปกติ จนแย่งออกซิเจนจากสัตว์ทะเล และปล่อยกลิ่นหรือก๊าสพิษออกมาจำนวนมากเมื่อย่อยสลาย
ปัญหาที่พบล่าสุดคือ สาหร่ายจะยิ่งเติบโตผิดปกติเมื่ออากาศร้อนมากขึ้น และในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา อากาศทั่วโลกร้อนมากยิ่งขึ้น ปัญหาสาหร่ายสะพรั่งจึงส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความเป็นอยู่ เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของชิงต่าว เขาจึงต้องการจะหาทางรับมือก่อนฤดูร้อนปีหน้าจะมาถึง
อี้หมิงซือใช้เวลาพูดคุยและหาแนวทางแก้ไขจนถึงเวลาเที่ยงวัน เขาจึงเดินทางกลับ ในระหว่างนั้น เลขานุการของเขา คือ ฮุ่ยเชาเซียง ถามเขาในระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันว่า
“ท่านนายกฯอี้อยากจะกินอาหารกลางวันแถวพิพิธภัณฑ์เบียร์ชิงต่าวมั้ยครับ” อี้หมิงซือหัวเราะ เขารู้ว่าฮุ่ยเชาเซียงอยากจะแวะไปเที่ยวแถวนั้น ที่จริงแล้วงานวันนี้ของเขาเสร็จก็เร็วก่อนกำหนดด้วย
เขาจึงตกลง “วันนี้พวกเราทำงานเสร็จเร็วก่อนเวลา ช่วงบ่ายนี้ก็ไม่มีอะไร พวกเราแวะไปกินข้าวแถวนั้นก็ได้”
แต่เขาก็เตือนเลขาฯ และคนขับรถว่า “ระวังการดื่มเบียร์ในเวลาทำงานด้วยนะ ผมไม่อยากถูกร้องเรียน” ทั้งสองคนยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ และรีบรับปากทันที
พวกเขาขับไปถึงบริเวณพิพิธภัณฑ์เบียร์ชิงต่าว ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวชื่อดังของชิงต่าว พวกเขาแวะร้านบะหมี่และเกี๊ยวแถวนั้น เมื่อกินเสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันไป ฮุ่ยเชาเซียงชวนเขาด้วย “นายกฯอี้ครับ พวกผมจะไปพิพิธภัณฑ์ครับ ท่านจะไปด้วยมั้ย”
แต่อี้หมิงซือไม่อยากไป “ผมไม่อยากถูกคนกล่าวหาว่าแอบไปดื่มเบียร์ในเวลางาน ผมจะไปเดินเล่นที่ถนนเมืองเก่าดีกว่า จะได้ดูด้วยว่ามีอะไรที่คนแถวนี้ต้องการด้วยหรือเปล่า พวกคุณไปกันเถอะ”
เขารู้ความน่ากลัวของสื่อสังคมในตอนนี้ดี ถึงเขาจะไม่ได้ดื่มเบียร์ แต่การไปเดินที่พิพิธภัณฑ์เบียร์แล้วถูกถ่ายภาพ ก็อาจจะถูกกล่าวหาและถูกสอบสวนได้ เขาจึงให้เลขานุการไปกับคนขับรถสองคน
“พวกคุณกลับมาพบผมตอนบ่ายสามครึ่งก็แล้วกันนะ” จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไป
วันนี้อี้หมิงซือใส่กางเกงสีเนื้อ เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้น และสวมเสื้อกันลมสีน้ำตาลเข้ม เขาสวมหน้ากากปิดปากด้วยเพราะไม่อยากให้คนจำได้ จากนั้นก็เดินไปตามถนนด้วยท่าทางสบายๆ
สถาปัตยกรรมแถวนี้สร้างด้วยอิฐแบบโบราณสไตล์เยอรมัน แบบเดียวกับโรงเบียร์ชิงต่าว วันนี้นักท่องเที่ยวไม่มาก เพราะเป็นวันพุธที่คนส่วนใหญ่ทำงานกัน
แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก “หมิงซือ!” เมื่อหันไปทางขวามือ ก็พบเว่ยซีหลงแต่งตัวด้วยชุดลำลองยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง อี้หมิงซือไม่เสียเวลาถามว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นเขา ทั้งๆที่สวมหน้ากาก เพราะการเป็นทหาร ทำให้นายทหารหนุ่มมีสายตาที่เฉียบคมมากกว่าคนทั่วไป
“คุณมาทำอะไรที่นี่” อี้หมิงซือถามด้วยความประหลาดใจ
“ผมมาเที่ยว วันนี้เป็นวันหยุดของผม” เว่ยซีหลงตอบยิ้มๆ จากนั้นพวกเขาก็เดินไปตามถนนเมืองเก่าด้วยกัน
“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” นายทหารหนุ่มถาม
อี้หมิงซือเล่าให้เขาฟัง และบอกว่าจะเดินทางกลับเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง
พวกเขาเดินไปตามถนนและแวะดูสิ่งที่น่าสนใจไปด้วยกัน จนมาถึงร้านเก่าแก่ร้านหนึ่งที่ขายเครื่องประดับแบบโบราณ เว่ยซีหลงหยุดมองและพูดว่า “ผมขอแวะร้านนี้ได้มั้ยครับ พี่สะใภ้ใกล้จะคลอดแล้ว ผมอยากซื้อหยกให้เป็นของขวัญ”
นายกฯหนุ่มพยักหน้า “ได้สิ ผมก็ว่าจะหาของขวัญให้พ่อด้วย ใกล้จะวันเกิดแล้ว”
ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในร้าน เจ้าของร้านเป็นชายวัย 50 กว่า เขาแนะนำหยกสำหรับเด็กผู้ชายให้หลายแบบ เว่ยซีหลงหยิบขึ้นมาดูและคอยปรึกษาอี้หมิงซือ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจซื้อหยกสีขาวแกะเป็นรูปเงินเหรียญ ที่ใช้ห้อยคอหรือข้อมือได้
ในระหว่างที่รอให้เจ้าของร้านเดินไปเจาะรูหยกและร้อยด้ายแดงให้อยู่นั้น อี้หมิงซือรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งมองมาจากประตูหลังร้านที่เปิดเอาไว้ เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นชายชรารูปร่างผอมบางอายุประมาณ 80 กว่าปี ชายชรายิ้มมุมปากและเดินช้าๆ ออกมาโดยมีไม้เท้าสามขาช่วยพยุง
เว่ยซีหลงหันไปมองชายชราด้วยเช่นกัน ก่อนที่เขาจะพูดอะไรขึ้นมา ชายชราก็นั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ชั้นวางหยก จากนั้นก็พูดกับนายทหารหนุ่มด้วยเสียงสั่นพร่าแบบคนแก่ว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ ชีวิตที่ผ่านมานั้นมีทั้งบู๊ทั้งบุ๋น มือทั้งสองมีทั้งปลิดชีวิตและทั้งมอบชีวิตใหม่ให้กับหลายคน”
เว่ยซีหลงชะงัก ชายชรากำลังทำนายชะตาชีวิตของเขา แต่เขาไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะหน้าที่การงานที่ต้องเสี่ยงตลอดเวลา ทำให้ไม่เคยพึ่งพาสิ่งที่ไม่มีตัวตน เขาเชื่อมั่นในฝีมือและสมองของตัวเองที่เกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์เท่านั้น
แต่ก่อนที่เจะพูดอะไรออกมา ชายชราก็พูดต่อว่า “เมื่อไม่นานมานี้ พ่อหนุ่มเพิ่งเจอกับการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตาครั้งใหญ่”
เว่ยซีหลงหัวเราะหึหึ และย้อนถามว่า “อะไรหรือครับ”
ชายชรารู้ว่าชายหนุ่มไม่เชื่อเขาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สนใจ ยังคงพูดต่อว่า “พ่อหนุ่มเพิ่งเจอบุคคลสำคัญในชีวิต เป็นคนที่จะเปลี่ยนชีวิตของพ่อหนุ่มไปตลอดกาล และจะทำให้ชีวิตของพ่อหนุ่มไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป” เมื่อพูดจบชายชราก็หันไปมองทางอี้หมิงซือ
เว่ยซีหลงซึ่งกำลังจะอ้าปากเถียงก็เงียบไป จากนั้นชายชราก็พูดกับอี้หมิงซือว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตอีกหลายครั้ง ทั้งสุขและทุกข์ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้เลือกเดินตามหัวใจของตัวเอง ถ้าพ้นจากเคราะห์ครั้งนี้ ชีวิตจะมีแต่ความสงบสุขตลอดไป”
จากนั้นชายชราก็หยุดพูดด้วยความเหนื่อย สักพักก็พูดต่อว่า “ตอนนี้พ่อหนุ่มได้พบคนที่จะมาช่วยสนับสนุนส่งเสริมชีวิตแล้วนะ แต่เส้นทางที่เลือกนี้ไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงเชื่อหัวใจตัวเอง แล้วหนทางทุกอย่างจะปรากฏขึ้นตรงหน้า กาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไป ของรักที่สูญหายไปจะกลับคืนมาในที่สุด”
อี้หมิงซือยืนนิ่งฟังด้วยความงุนงง ปกติแล้วเขาไม่สนใจเรื่องการทำนายทายทักโชคชะตา บางครั้งแม่หรือญาติบางคนจะมาชวนเขาไปหาซินแส แต่ชายหนุ่มไม่เคยสนใจ แต่ครั้งนี้เขากลับหยุดฟังจนจบโดยไม่ขัดขึ้นมา
แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร เจ้าของร้านก็เดินออกมาจากประตูเล็กหลังร้านและทักขึ้นว่า “พ่อ! เดินออกมาทำไมล่ะ วันนี้แปลกแฮะ มีแรงลุกเดินขึ้นมาเองด้วย มาๆ เข้าไปข้างในเถอะ วันนี้อากาศหนาวมาก มานั่งหน้าร้านโดนลมเย้นๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก” จากนั้นเขาก็รีบประคองชายชราเดินกลับไปหลังร้าน
อี้หมิงซือและเว่ยซีหลงมองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ถ้าจะบอกว่าชายชราเป็นพวกหลอกลวง เขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร จะบอกว่าความจำเสื่อม ก็ยังพูดได้ชัดเจนและมีเหตุมีผล
แต่ก่อนที่บรรยากาศจะประดักประเดิดมากไปกว่านี้ เจ้าของร้านก็เดินออกมาอีกครั้ง เขาเอาหยกที่ร้อยเชือกแล้วให้เว่ยซีหลงเช็คดู ก่อนจะพูดกับชายหนุ่มทั้งสองว่า “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ปกติพ่อไม่เคยเดินออกมาหน้าร้านแบบนี้ แล้วแกก็ไม่ได้ทำนายแบบนี้มานานแล้ว”
เขาขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “แต่ครั้งนี้กลับเดินออกมาเอง แล้วยังทักพวกคุณทั้งสองคนด้วย แต่อย่าไปถือสาเลยนะครับ คิดว่าฟังคนแก่พูดแก้เหงาก็แล้วกัน”
เจ้าของร้านรู้ว่าคนสมัยใหม่ไม่เชื่อถือเรื่องดวง การที่พ่อของเขาพูดแบบนี้ อาจทำให้ลูกค้าทั้งสองไม่พอใจได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาคือ พ่อของเขาเป็นซินแสที่มีชื่อเสียงมานาน แต่เมื่ออายุที่มากขึ้นและป่วยหลายโรค เขาจึงหยุดการเป็นซินแสไปนานหลายปีแล้ว ไม่ว่าใครจะขอให้ทำนายให้ เขาก็ไม่ทำอีกต่อไป แต่ครั้งนี้ กลับเดินออกมาทำนายชะตาของทั้งสองคนนี้เอง หรือว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนธรรมดากันนะ เจ้าของร้านแอบมอง และรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนน่าจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อจ่ายเงินและรับหยกมาแล้ว ทั้งสองคนจึงออกมาจากร้าน เว่ยซีหลงเห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสองกว่าแล้ว เขาจึงชวนอี้หมิงซือนั่งพักกินกาแฟและของว่าง
ทั้งสองคนเดินมาถึงถนนเส้นเล็กที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ ที่นั่นมีร้านขายกาแฟและขนมที่ตกแต่งสบายๆ และมีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ทั้งพนักงานและคนที่มานั่งหันมามองพวกเขา เพราะคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างและมีใบหน้าคมเข้ม ดวงตาคมกริบสีดำ ในขณะที่อีกคน ถึงแม้จะสูงแค่คางของอีกฝ่าย แต่ก็มีรูปร่างสูงโปร่งที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 180 เซนติเมตร ถึงจะเห็นใบหน้าไม่ชัดเพราะสวมหน้ากากปิดปากและจมูกเอาไว้ แต่ทุกคนมองเห็นดวงตาสดใสรูปอัลมอนด์ ที่มีปลายหางตาตวัดเฉียงขึ้น และคิ้วเข้มที่ช่วยให้ใบหน้าของเขาคมชัดขึ้น เขามีกิริยานุ่มนวลสง่างาม
ทั้งสองเดินตามพนักงานไปด้านหลังของร้าน ที่เป็นระเบียงกว้าง มีหลังคาคลุมกันแดด มองเห็นวิวภูเขาเหลาซาน ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่สองคนเท่านั้น
เมื่อพนักงานยกเครื่องดื่มและขนมมาเสิร์ฟแล้ว ทั้งสองคนก็กิน และมองไปยังวิวไกลๆ แต่แล้วเว่ยซีหลงก็ถามชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามขึ้นมาว่า “หมิงซือ คุณเชื่อที่ซินแสคนนั้นพูดมั้ย”
อี้หมิงซือชะงัก เขาตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน บางอย่างที่เขาพูดมันก็ดูเลื่อนลอย เหมือนกับพูดถึงอนาคตของผม แต่สิ่งที่เขาพูดก็แปลกดี”
เว่ยซีหลงยิ้ม เขาโน้มตัวเขาไปใกล้ชายหนุ่ม และพูดย้ำว่า “ผมหมายถึงที่เขาบอกว่า คุณได้เจอคนที่จะช่วยสนับสนุนคุณแล้วน่ะ”
อี้หมิงซือหัวเราะหึหึออกมา เขาจ้องตาชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วถามย้อนกลับไปโดยไม่หลบตาว่า “ใครเหรอ”
เว่ยซีหลงตาเป็นประกายและขยับเข้าไปใกล้อีก จนได้กลิ่นสบู่หอมสะอาดจากอีกฝ่าย ดวงตาของอี้หมิงซือเบิกกว้างนิดๆ เพราะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ขนาดนี้ ลมหายใจอบอุ่นของอีกฝ่ายที่กระทบใบหน้าของเขา เว่ยซีหลงตอบด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “ก็ผมไงล่ะ”
อี้หมิงซือหัวเราะออกมา กับคำตอบดื้อๆ ของอีกฝ่าย แต่แล้วเขาก็ต้องตะลึง เมื่อเว่ยซีหลงก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอยหลังกลับมานั่งที่เก้าอี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ ด้วยความโกรธและความอายผสมกัน เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ โชคดีที่โต๊ะของพวกเขาอยู่ห่างจากประตูร้านและเป็นมุมอับ ชายหนุ่มจึงค่อยโล่งใจ
เขาหันกลับมาจ้องผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เพราะเว่ยซีหลงหันข้างให้เขา ยกกาแฟขึ้นจิบด้วยสีหน้าใสบริสุทธิ์ ราวกับไม่ใช่เขาที่เป็นคนฉวยโอกาสเมื่อสักครู่นี้ อี้หมิงซือจึงได้แต่จ้องหน้าเขา พ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ และนั่งกอดอกหันไปมองด้านอื่นแทน