หากเชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" มีจริง "พญามาร" ก็เช่นกัน
ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,เลือดสาด,สะท้อนปัญหาสังคม,ลึกลับ,สยองขวัญ,ผี,สืบสวนสอบสวน,น่ากลัว,เอาตัวรอด,ระทึกขวัญ,วิญญาณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)หากเชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" มีจริง "พญามาร" ก็เช่นกัน
ลิลิธตา เพิ่งสูญเสียคนสำคัญซึ่งเป็นจุดพลิกผันให้เธอกลับไปเดินบนเส้นทางของ พยาบาลวิชาชีพ ที่เคยหันหลังให้มาหลายปี ก่อนจะพบว่าครอบครัวของคนที่จ้างเธอไปดูแลนั้นมีบางสิ่งผิดแปลกไป และทุกอย่างไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ
เดือน เด็กหนุ่มวัย 25 ปี กำลังอยู่ในช่วงมรสุมของชีวิต แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดรอบตัวและความฝันเกี่ยวกับสตรีในชุดล้านนาโบราณก็เริ่มเชื่อมโยงถึงความจริงที่สัมพันธ์กับเขา
บุศรา ต้องกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดเนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เธอสังเกตได้ว่าแม่ของเธอเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป รวมไปถึงการบวงสรวงเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษของตระกูลที่ผิดไปจากเดิม
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ ผมนามปากกา โฮป (HOPEE) เป็นนักเขียนหน้าใหม่ (ใสกิ๊ก?) กับนิยายสยองขวัญ ระทึกขวัญเรื่องแรก จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD) นิยายเรื่องนี้เซตติ้งอยู่บนความเชื่อของแถบภาคเหนือ และแน่นอนว่า บุคคล สถานที่ และสถานการณ์ ต่างๆ ในเรื่องเป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่อื่นแต่อย่างใด
คำเตือน : เนื้อหาของนิยายค่อนข้างมีความรุนแรงทั้งในแง่คำพูดและการกระทำของตัวละคร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
แดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบบานหน้าต่างที่เปิดอ้าขึ้นพร้อมด้วยหยาดน้ำหยดลงพื้นสองสามหยด หลังฝนหยุดตกได้ไม่นานพื้นดินพื้นหญ้าบริเวณหน้าบ้านจึงไม่แห้งดีนักแต่ก็ไม่ได้เละจนเป็นโคลน
หญิงวัยสี่สิบปลาย ผมลอนยาวสีน้ำตาลอ่อนในชุดกระโปรงสีขาวยาวครึ่งน่องพร้อมถาดผลไม้ถาดใหญ่ในมือ มีทั้งผลส้มลูกใหญ่ กล้วยทั้งหวี รวมไปถึงหมากแห้ง ใบพลู ดอกขาว ดอกฝ้ายอัดแน่นอยู่บนถาด กำลังเดินออกมาจากตัวบ้านสองชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมลำธารสอดแซมลวดลายแห่งล้านนาในทุกจุด
เดินผ่านสนามหญ้า หินกรวดชื้นแฉะและฝูงเป็ด 4-5 ตัวกำลังเดินเล่นอยู่ใกล้ๆ เธอตรงไป ณ ห้องสี่เหลี่ยมขนาดหกคูณสิบสองเมตร ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานใหญ่มองทะลุเห็นภายในห้องและวิวด้านนอก ตั้งอยู่บนเนินถมเองสูงจากพื้นประมาณเมตรกว่าๆทางด้านขวาของบ้าน ให้อารมณ์เหมือนบ้านพักต่างอากาศหลังเล็กริมเขา กลิ่นควันจากเทียนและธูปคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เมื่อประตูบานเลื่อนของห้องถูกเปิดออก เผยให้เห็นหญิงชราอายุราวๆ 70 กำลังยืนจัดปะรำพิธีอยู่เบื้องหน้า ภายในห้องฟากหนึ่งคือแท่นบูชาที่ผนังด้านหลังถูกติดไปด้วยรูปขาวดำทั้งชายและหญิงจนเต็มพื้นที่ อีกทั้งบริเวณรอบๆ ห้องที่เหลือก็มักจะถูกวางไปด้วยของเก่าเก็บในตู้โชว์ เช่น ดาบเล่มยาวสีหมองๆ เครื่องประดับโบราณ ขันสีดำในชั้นตู้กระจก ปะรำเบื้องหน้าถูกจัดไว้เป็นชั้นๆ ลดหลันลงมา และถูกจับจองไปด้วยเหล้าขาวที่อยู่ในน้ำต้น (คนโท) หลายอัน พานดอกไม้ ธูปเทียน อีกทั้งผลไม้ หมาก พลู และอื่นๆ ถูกนำเข้ามาเสริม
“น้องมึงมันจะมากี่โมง” หญิงชราเอ่ย
“ไม่มาแล้วมั้งแม่ เห็นบอกว่าติดงาน” เธอตอบผู้เป็นแม่พลางจัดของขึ้นแท่นบูชาก่อนจะหันไปถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจ “นี่แม่ยังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่อีกเหรอ ช่วงนี้เงินก็ไม่ค่อยมี ยังจะต้องมาซื้อไอ้ของพวกนี้อีก”
“เออน่า ให้ความเคารพปู่ย่าท่านหน่อย เค้าช่วยเหลือคุ้มครองพวกมึงมาตั้งแต่ยังเป็นวุ้น”
“ถ้าสิ้นเดือนแล้วบ้านที่เชียงรายยังขายไม่ได้ เราก็ไม่มีจะกินกันแล้วนะแม่ และไอ้ที่ไหว้อยู่เนี่ย มีจริงมั้ยก็ไม่รู้”
“มึงหยุดปากพล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” หญิงชราชี้นิ้วไปที่ลูกด้วยความโกรธ “มึงไม่ได้ยินเหมือนที่กูได้ยิน มึงไม่ได้เห็นเหมือนที่กูเห็น”
บุศราสะดุ้งเล็กน้อย พยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ภายใต้ใบหน้าขมวดปม ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป
————————————————————————
ณ บ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังหนึ่งที่รอบข้างมีแต่ป่าและทางลูกลัง เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว มีเพียงตะเกียงห้อยอยู่ตามเสาบ้านสองสามจุดให้ความสว่าง ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อยืดสีขาวนุ้งผ้าถุงลายดอกกำลังไล่ปิดบานหน้าต่างอยู่บนบ้านจนครบก่อนจะออกมาหน้าประตูเมื่อได้ยินเสียงคนเรียก
“นังแม้น แกไม่ไปงานวัดกับเขาเหรอ” ป้าคนหนึ่งตะโกนถามด้วยสำเนียงคำเมืองเมื่อเห็นแม้นออกมาหน้าบ้าน
“ไม่ไปจ่ะป้า”
“เออๆ เค้าไปกันจะหมดหมู่บ้านแล้วเนี่ย”
แกพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปราวกับเป็นคำชวน แม้นยิ้มพลางเดินเข้าบ้านโดยที่ประตูถูกปิดเอาไว้เพียงแต่ไม่ได้ล็อคเผื่อลูกและสามีจะกลับมา เธอเดินเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ห้องที่เต็มไปด้วยปะรำพิธี ของบูชากราบไหว้ องค์พระ รูปขาวดำที่แขวนเต็มผนัง อีกทั้งของโบราณมากมายในห้อง แม้นนั่งลงหน้าแท่นกว้างด้วยท่าขัดสมาธิ ปลดลมหายใจออก และหลับตาลง
แต่นั่งได้ไม่นานก็เกิดเสียงรบกวน เสียงก็อกแก็กบางอย่างราวกับมีคนอยู่บนบ้าน เธอลืมตาหันมองด้วยความสงสัย หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าห้องชะโงกมองห้องโถงของบ้านซึ่งว่างเปล่า เธอเดินไปเปิดประตูเพื่อจะดูว่าลูกกับสามีนั้นกลับมาจากงานวัดหรือยัง ซึ่งก็ไม่มีใครเดินมา ... ทั้งข้างนอกและด้านในเงียบสงัด
จู่ จู่ ชายฉกรรจ์สองคนก็โผล่มาปิดปากเธอจากด้านหลัง พยายามล็อคแขนและอุดปากไม่ให้ร้อง แม้นดิ้นสุดตัวแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงผู้ชายได้
“มึงเงียบ ไม่งั้นกูจะเชือดคอมึง”
หนึ่งในนั้นเอามีดขู่ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือ หญิงสาวไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
“ซ่อนเงินซ่อนทองไว้ที่ไหนมึงเอามาเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นด้วยความรักตัวกลัวตาย เธอรีบเดินไปหาที่เก็บของมีค่า หยิบมันออกมายื่นให้พวกโจรอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาพยายามมองหน้าพวกมันแต่ก็ถูกปิดกั้นด้วยไอ้โม่งดำ แม้นพยายามจดจำรูปประพันสันฐานให้ได้มากที่สุด
“มึงอย่าปากโป้งนะ” พวกมันขู่พร้อมชูมีดพกในมือก่อนจะหันหลังเดินออกจากบ้าน
————————————————————————
เมื่อไม่สบอารมณ์กับแม่เมื่อครู่ บุศราเดินดุ่มๆ มาหยุดอยู่ที่ระเบียงไม้หลังบ้านเผื่อลำธารเบื้องหน้าจะช่วยให้ใจเย็นลงสายลมโชยอ่อนผ่านตัวไปราวกับมีใครอีกคนยืนปลอบประโลมให้สงบ “แม่นะแม่” เธอบ่นพึมพำในลำคอ สายตาจ้องมองคลื่นน้ำที่กระทบกันไปมาพาให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน แต่แล้วเสียงเห่า โฮ่งๆ ของเจ้าสุนัขโกลเด้นตัวน้อยก็ดังขึ้นแทรกระหว่างเสียงคลื่นพลางเดินดุกดิกมาหาเธอ
“ว่าไงลูก” บุศราลูบหัวลูบหางด้วยความเอ็นดู ก่อนเสียงแจ้งเตือนบนมือถือจะดังขึ้นถี่เป็นระลอก
“พี่บุศ คุณวิทย์เปลี่ยนใจซื้อบ้านแล้วค่ะ” หญิงสาวตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เธอแทบจะกรี้ดออกมาและกระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กเมื่อได้เห็นข้อความ ความรู้สึกรีบพาร่างกายวิ่งนำกลับไปเพื่อที่จะบอกข่าวดีกับแม่
เสียงฝีเท้าวิ่งฉับๆ มาถึงหน้า ‘ห้องผูกสัญญะ’ มือรีบเลื่อนประตูออกด้วยความดีใจ
————————————————————————
แม้นยืนเงียบไม่กล้าทำอะไรในใจภาวนาให้พวกมันไปให้พ้นๆ สักที แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โจรคนหนึ่งหยุดนิ่ง ส่วนอีกคนก็หันเรียกด้วยความสงสัย มันค่อยๆ หันมามองหญิงสาวก่อนจะเดินปรี่เข้ามาหาเธอ แม้นรีบหันหลังวิ่ง แต่ก็ไม่ทันเสีัยแล้ว มันใช้มีดพกแทงเข้ากลางหลังจนเธอล้มลง เสียงกรีดร้องดังลั่นบ้าน
“เฮ้ยพอแล้ว ไปเหอะ” หนึ่งในนั้นตะโกนเรียกสติ แต่เหมือนว่าอีกคนจะไม่รับรู้
ดวงตาจ้องหญิงสาวที่ร้องทรมานอยู่บนพื้นไม่ขยับ แม้นพยายามจะลุกแต่ก็ทำไม่ได้ ขาเธอแทบจะไม่มีแรง เลือดเริ่มไหลออกริมปาก ดูเหมือนว่าการจ้วงแทงครั้งนี้จะไปโดนเอาเส้นประสาทไขสันหลังพอดิบพอดี
มันค่อยๆ เดินตามร่างที่คลานเอื่อยอยู่บนพื้นจนมาหยุดอยู่หน้า 'ห้องผูกสัญญะ’ ด้านเพื่อนโจรอีกคนนั้นดูท่าจะไม่ได้การจึงรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดจากความผิด
“ชะ ... ช่วย” หญิงสาวเริ่มลิ้นแข็ง ลำคอเริ่มสำลัก
ชายฉกรรจ์ผิวดำแดงเหลือบไปเห็นวัตถุบางอย่าง เขารีบปล่อยมือจากมีดพกเล่มเล็ก เดินตรงไปที่ดาบโบราณไร้ฝักที่แขวนอยู่ที่ผนังบ้าน หยิบมันขึ้นมามองสะท้อนเข้าไปในคมดาบก่อนจะหันเป้าหมายไปที่หญิงสาว
มันกระทืบเท้าลงแรงทั้งหมดที่มีไปที่หลังของเหยื่อ แม้นแทบจะไม่มีเสียงร้องและรู้สึกเพียงบางส่วนเนื่องจากเส้นประสาทได้รับบาดเจ็บ และแน่นอน เธอขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
ทันใดนั้น คมดาบยาวลงเลื่อยไปบนคออย่างไม่รีปราณี ร่างกายพยายามดิ้นเอาชีวิตรอด เสียงสำลักเลือดดังอยู่เนืองๆ จนแน่นิ่ง ... ศีรษะกลิ้งออกจากบ่า
————————————————————————
เมื่อประตูถูกเปิดออก บุศราก็ต้องหน้าถอดสี ภาพเบื้องหน้าคือแม่ที่กำลังฟ้อนรำด้วยท่าทีจริงจังอย่างปราณีต มือซ้ายกรีดกรายอ่อนช้อย มือขวากำคอของเป็ดตัวหนึ่งซึ่งเหลือแต่หัว คราบเลือดเปรอะมือและแก้มซ้ายแต้มเป็นจุดๆราวกับงานศิลปะ ไม่นานนัก ... อัศราก็หันมาสังเกตเห็นบุศราที่ยืนจ้องตนด้วยความตกใจอยู่หน้าประตู ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบกระด้างพร้อมรูม่านตาดำขลับที่ขยายใหญ่ขึ้น ยื่นมือออกมาหาลูกสาว
“มาสิลูก ป้ออุ๊ยจักมัดมือหื้อ”
(มาสิลูก ปู่จะผูกข้อมือให้)