หากเชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" มีจริง "พญามาร" ก็เช่นกัน
ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,เลือดสาด,สะท้อนปัญหาสังคม,ลึกลับ,สยองขวัญ,ผี,สืบสวนสอบสวน,น่ากลัว,เอาตัวรอด,ระทึกขวัญ,วิญญาณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)หากเชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" มีจริง "พญามาร" ก็เช่นกัน
ลิลิธตา เพิ่งสูญเสียคนสำคัญซึ่งเป็นจุดพลิกผันให้เธอกลับไปเดินบนเส้นทางของ พยาบาลวิชาชีพ ที่เคยหันหลังให้มาหลายปี ก่อนจะพบว่าครอบครัวของคนที่จ้างเธอไปดูแลนั้นมีบางสิ่งผิดแปลกไป และทุกอย่างไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ
เดือน เด็กหนุ่มวัย 25 ปี กำลังอยู่ในช่วงมรสุมของชีวิต แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดรอบตัวและความฝันเกี่ยวกับสตรีในชุดล้านนาโบราณก็เริ่มเชื่อมโยงถึงความจริงที่สัมพันธ์กับเขา
บุศรา ต้องกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดเนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เธอสังเกตได้ว่าแม่ของเธอเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป รวมไปถึงการบวงสรวงเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษของตระกูลที่ผิดไปจากเดิม
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ ผมนามปากกา โฮป (HOPEE) เป็นนักเขียนหน้าใหม่ (ใสกิ๊ก?) กับนิยายสยองขวัญ ระทึกขวัญเรื่องแรก จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD) นิยายเรื่องนี้เซตติ้งอยู่บนความเชื่อของแถบภาคเหนือ และแน่นอนว่า บุคคล สถานที่ และสถานการณ์ ต่างๆ ในเรื่องเป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่อื่นแต่อย่างใด
คำเตือน : เนื้อหาของนิยายค่อนข้างมีความรุนแรงทั้งในแง่คำพูดและการกระทำของตัวละคร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 29 ปี Diag. Major Depressive Disorder (1) มา Follow Up ตามนัด เคสนี้เป็นเคสเดิมจากบ้านเด็กกำพร้า ถูกรับไปเลี้ยงตอนอายุ 15 เริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่อ 9 ปีก่อน ซึ่งปัจจัยกระตุ้นชัดเจนคือการเรียนพยาบาล”
ภายในห้องตรวจของคลินิก ณ โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง อาจารแพทย์อายุราว 40 ปลายๆ แต่หน้ายังดูหนุ่มกำลังสอนนักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในความดูแลของตนอีกสองสามคน
ด้านหน้าห้องตรวจมีคนไข้นั่งรออยู่ประปราย เนื่องจากเป็นคลินิกเฉพาะทางด้านจิตเวช คนไข้จึงไม่ชุกชุมมากนัก
หญิงสาวคนหนึ่งภายใต้แว่นตาสีดำดูทะมัดทะแมงนั่งลูบผมตัวเองพลางรอตรวจ เธอใส่ชุดกระโปรงสีพาสเทลลายสดใสขัดกับลุคที่ถ้ามองแค่ศรีษะก็อย่างกับคนละคน
“เคสนี้ Committed Suicide (2) เมื่อสองปีก่อนแต่ช่วยกลับมาได้ และที่แปลกคืออยู่ๆ เหมือนคนไข้ก็คลิก ปิ้งขึ้นมาเฉยๆ Neurotransmitter balance (3) ขึ้นมาดื้อๆ ความคิดเปลี่ยน ไม่ Attempt Suicide (4) หรือมี Suicide Idea (5) อีกจนถึงตอนนี้” อาจารย์เล่าเคสด้วยความตื่นเต้น ทำมือโบกไปมา “ซึ่งเคสแบบนี้แรร์มากนะ พี่เองตั้งแต่เรียนจบมาก็ยังไม่เคยเจอ ก็เดี๋ยวจะให้พวกเราเรียนรู้เคสนี้ และก็ไปฝึก Informed Consent (6) คนไข้เข้าโครงการวิจัยของโรงพยาบาลด้วย โอเคมั้ย”
1 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า
2 การกระทำการฆ่าตัวตายได้สำเร็จ
3 สารสื่อประสาทในสมองสมดุล
4 การพยายามที่จะฆ่าตัวตาย
5 ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
6 การให้ข้อมูลและข้อความยินยอมเพื่อเป็นอาสาสมัครของโครงการวิจัย
ตื้อ ดึ้ง ... เสียงข้อความดังขึ้นทำให้หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“เป็นไงบ้าง” ข้อความจากธัน
“ยังรออยู่ แต่คงไม่นานหรอก ก็เหมือนทุกที” เธอตอบกลับ
จังหวะละสายตาออกจากโทรศัพท์ เธอสบตาเข้ากับพยาบาลสาวที่เอ่ยกับเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณลิลิธตาเชิญค่ะ” ก่อนเธอจะยิ้มกลับอย่างเป็นมิตรและเดินเข้าห้องตรวจไป
“สวัสดีค่ะหมอพี... สบายดีค่ะ” เสียงกล่าวทักทายกันค่อยๆ เบาลงจนประตูนั้นปิดสนิท
ภายในลานจอดรถชั้นห้าของโรงพยาบาลซึ่งพื้นที่ว่างนั้นแทบไม่เหลือ แน่นอนว่าจะวันธรรมดาหรือเสาร์อาทิตย์ โรง-พยาบาลนั้นไม่เคยโล่งอยู่แล้ว
ธันนั่งอยู่ในรถเก๋งสีดำคันหนึ่ง ประตูฝั่งของตนนั้นถูกเปิดเอาไว้เพื่อระบายอากาศ เขากำลังงุ่นง่านอยู่กับข้อความบนจอมือถิือพลางเสยผมที่ล่วงลงมาปิดหน้าเพราะร้อน นิ้วใหญ่เลื่อนจอขึ้นไปเรื่อยๆ เผยให้เห็นข้อความบางส่วน ‘สถานที่ศักดิ์สิทธิ’ ‘ขอแล้วได้ชัวร์’ แต่แล้วสายตาก็มาหยุดอยู่ที่เว็บเพจหนึ่ง ‘เมืองโบราณดงละคร’ ธันกดเข้าไปดู
‘บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ ว่ากันว่าหากใครนำน้ำศักดิ์สิทธิไปประพรมหรือดื่มกินจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ” เขาอ่านเนื้อหาด้วยความสนใจ “น้ำศักดิ์สิทธิแห่งคูเมืองดงละคร ถือเป็นสิ่งที่สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย โรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง’ ธันเลื่อนอ่านไปเรื่อยๆ จนไม่ทันสังเกตเห็นลิลิธตาที่เดินออกมาจากลิฟต์และตรงดิ่งมายังรถ ประตูถูกกระชากออกทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก
“ขวัญอ่อนจังนะ” ลิลิธตาแซวเมื่อเห็นท่าทีของคนรัก
“ก็ดูเธอดิ และไมเสร็จไวจังอะ” ธันพูดพลางปิดประตูรถและรีบสตาร์ทเครื่องเปิดแอร์เพราะไม่อยากให้อีกคนร้อน
“หมอบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว เดี๋ยวก็นัดห่างขึ้นแล้วแหละ”
“แล้ว ... ” รถเลี้ยวเคลื่อนออกไป ธันหันมามองลิธด้วยความเป็นห่วง “เธอโอเคจริงๆใช่มั้ย”
“หือ... โอเคสิ” ลิลิธตาพูดพลางบิดขี้เกียจและปรับเบาะลงนอนอย่างผ่อนคลาย “ไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อนเลยยย”
ธันไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่ยิ้มมุมปาก เพราะความรู้สึกสบายใจกำลังฟุ้งอยู่ในอก แต่แล้วความคิดหนึ่งที่ฉุกคิดขึ้นมา กลับทำให้ความกังวลเริ่มก่อตัว ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“แล้ว ... เรื่องแม่ล่ะ”
ลิธนั่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ “เค้าก็ทำใจไว้ประมาณนึงนะ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดว่าแม่คงเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วแหละ” เธอหันมองหน้าอีกคนที่ยิ้มตอบกลับมา แต่เธอรู้ว่าจริงๆ แล้วธันเป็นห่วงมากแค่ไหน “ไม่ต้องห่วงนะ เค้ารับไหว” ลิลิธตายิ้ม เบาะถูกปรับให้กลับมานั่งเหมือนเดิม
เสียงในรถเริ่มเงียบลง มีเพียงเสียงหายใจและเครื่องยนต์ที่แล่นไปบนถนน ลิลิธตาเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอกังวลกับบางอย่างที่กำลังจะบอกแฟนหนุ่ม
“เค้าว่า... ถ้าแม่ไปเมื่อไหร่ เค้าจะกลับไปเป็นพยาบาลนะ”
ธันเบิกตาโพลงหันมามอง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“นี่ลิธคิดดีแล้วเหรอ?”
“ก็... คิดมาสักพักนึงแล้วอ่ะ ตอนนี้อาการเค้าก็ดีขึ้นมากแล้ว และเค้าก็ไม่อยากจะหนีมันไปตลอดชีวิต (ยิ้ม) ไม่ต้องห่วงนะ ลิธรู้ลิมิตตัวเองดี”
ธันยังคงสับสนกับสิ่งที่แฟนสาวเพิ่งพูดไป เพราะที่ผ่านมาลิลิธตาไม่เคยมีความสุขเลยที่ได้สวมบทบาทเป็นพยาบาล เธอพยายามทุกวิถีทางมาตลอด 8-9 ปีที่จะอยู่กับมันแต่ก็ไม่รอดสักทาง แล้วไหงอยู่ๆ ลิธถึงปลดล็อคมันได้ดื้อๆ แบบนี้กัน จะมองว่าเป็นเรื่องดีก็ดีไป หากแต่มันก็ชวนสงสัยในบางมุม เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ มีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจในตัวแฟนสาวเลย
“ก่อนกลับธันขอไปที่นึงก่อนได้มั้ย” เขาถาม ก่อนอีกคนจะพยักหน้าตอบรับ
รถคันดำเคลื่อนไปตามถนนคอนกรีตเลนใหญ่ 2 เลน ขับไปเรื่อยจนเป็นเลนเดียว จากคอนกรีตกลายเป็นดินแดง แต่ยังดีที่เส้นทางไม่ได้สมบุกสมบันมากนัก ซึ่งก่อนเข้ามานั้นมีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนว่า ‘เมืองโบราณดงละคร’ รอบๆ ระแวกมีบ้านคนพอให้เห็นประปรายแต่ห่างกันนานๆ ที บ้างก็พอเห็นคนทำกิจกรรมอยู่หน้าบ้าน บ้างก็ไม่พบใคร
บรรยากาศรอบๆเริ่มมืดครึ้ม เมฆก่อตัวใหญ่ขึ้น คาดว่าอีกไม่กี่สิบนาทีฝนก็น่าจะตก ธันขับไปตามป้ายบอกทางคูเมืองโบราณ สีหน้าเคร่งเครียดมองทางไม่ละสายตา
“นี่จะพามาฆ่าหมกป่าปะเนี่ย” ลิลิธตาถามพลางแกล้งทำเป็นกลัว
“ไม่ ธันอ่านในเน็ตก็คิดว่ามันจะเป็นแบบ ที่ท่องเที่ยว มีของขาย มีวัด คนเยอะๆ เงี่ย”
“ในเมืองโบราณเนี่ยนะ?”
“ใครจะไปรู้เล่า” เขาทำท่าเป็นเด็กอมลูกอมแก้มป่อง ทำเอาลิลิธตาส่ายหน้าให้กับความบ้องตื้นของแฟนตัวเอง
จากที่สองข้างทางยังพอเห็นชาวบ้าน ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยป่า ต้นไม้สูงใหญ่ เนินเขาและคันดินซ้อนกันหลายลูก หญิงสาวมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นศาลไม้หลังใหญ่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ศาลพ่อปู่สี่ประตูเมือง’ ผ่านไปสักครู่ธันก็จอดอยู่หน้าสถานที่ที่เหมือนกับมีไว้เพื่อสัการะ
เมื่อเครื่องยนต์จอดสนิท ทั้งคู่ค่อยๆ เดินลงมาอย่างสำรวมโดยเฉพาะธันที่ค่อนข้างมีความเชื่อในเรื่องทำนองนี้ ส่วนลิลิธตานั้นสีหน้าเรียบเฉย ดูคล้ายกับไม่ค่อยจะเชื่ออะไรพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่เคารพหรือไม่แยแสความเชื่อคนอื่น ทั้งสองเดินเข้ามาด้านในที่คล้ายกับซุ้มไม้ มีองค์พระองค์ใหญ่ประดิษฐาน พวงมาลัยแห้งเก่า แท่นวางธูปเทียนที่บางเล่มหักบางเล่มหล่น ถัดเข้าไปด้านในสุดเป็นเหมือนคลองขนาดเล็กที่มีบ่อน้ำลึกอยู่ด้านข้าง
ธันจุดธูปเทียนและยื่นให้ลิลิธตาเป็นอันดับแรกก่อนจะจุดให้ตัวเองและนั่งลงหน้าองค์พระ เขาหลับตาและกราบไว้ขอพรอย่างตั้งใจในขณะที่ลิลิธตานั้นมองสำรวจไปรอบบริเวณราวกับเห็นถึงบางสิ่ง บรรยากาศเงียบสงัดไม่มีเสียงของมนุษย์เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงเสียงลม ต้นไม้ไหว และแมลงบินไปมาดังหวี่ๆ ไม่นานธันก็ปักธูปลงกระถาง ลิลิธตาจึงปักตาม
“เดี๋ยวธันขอไปเอาน้ำแป๊ปนะ ลิธรอตรงนี้ก็ได้” หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนอีกคนจะเดินไปที่ ‘บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ’ พร้อมขวดเปล่าในมือ
“คืออะไรเหรอ” ลิลิธตาถามพลางมองคนรักเดินถือน้ำในขวดกลับมา
“เขาเชื่อกันว่าถ้าเอาไปให้คนป่วยจะดีขึ้นน่ะ” ธันยิ้ม “ธันจะเอาไปให้แม่”
ลิลิธตายิ้มตอบด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ แม้เธอจะจบพยาบาลศาสตรบัณฑิตที่ต้องมีวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน แต่ก็เข้าใจความเชื่อด้านจิตวิญญาณพวกนี้เป็นอย่างดีซึ่งก็เป็นอีกมิติหนึ่งของการดูแลผู้ป่วยตามาตรฐานวิชาชีพ
ทั้งสองพากันเดินขึ้นรถ คุยกันว่าอาจจะกลับไปหาแม่ที่โรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยไปอาบน้ำก่อนจะไปเฝ้าแม่ของลิลิธตารอบดึก ภาพทั้งคู่นั่งอยู่ในรถคันดำที่เครื่องยนต์กำลังติด ลมพัดโชยเบาๆ ใบไม้ไหวเพียงบางกิ่ง ได้ยินเพียงเสียงแมลงเรไร ลิลิธตารับสายโทรศัพท์ที่เพิ่งโทรเข้ามา มือป้องปากตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ธันพยายามถามว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อได้รับรู้ข่าว เขาก็ดึงแฟนสาวเข้ามากอดด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ลิลิธตามีสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน
แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้องพาดลงบนร่างของหญิงชราคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงในห้องพิิเศษของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นชั้น 20 จึงมองเห็นท้องฟ้าสว่างชัดเจน แต่เธอคนนี้ไม่มีสิทธิได้เห็น เมื่อร่างกายไร้การตอบสนอง มีเพียงชีพจรที่ยังคงเต้นอยู่ ดวงตาหลับสนิท ในปากมีท่อช่วยหายใจเสียบลึกถึงหลอดลม เสียงเครื่องช่วยหายใจปั้มแรงดันบวกและออกซิเจนเข้าไปในปอดเป็นจังหวะ
ลิลิธตายืนคุยอยู่กับหมอที่หน้าห้อง มองผ่านบานกระจกเข้ามาด้านในด้วยสายตาเป็นห่วง ไม่นานนักเธอก็เดินเข้ามา ลงมานั่งอยู่ข้างเตียงในขณะที่ธันยืนอยู่ด้านหลัง เธอนั่งมองแม่ด้วยสายตาว่างเปล่าพลางกุมมืออีกคนไว้เป็นการปลอบประโลม แม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับแต่ทางการแพทย์นั้นเชื่อว่าผู้ป่วยยังคงรับรู้ ธันที่ยืนอยู่ด้านหลังลูบไหล่เธอเบาๆ
เธอไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ หญิงตรงหน้านั้นเป็นคนดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพบแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน และบางครั้งการเป็นคนดีก็ไม่ได้ช่วยให้พบกับจุดจบที่ไม่เจ็บปวด เฉกเช่นเธอ
ทันใดนั้นเอง เสียงแหบแห้งปนความห่วงใยได้กระซิบข้างหู
“เหนื่อยมั้ยลูก”
ดวงตาลืมตื่นขึ้นมาบนเตียง เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่เบื้องหลัง ลิลิธตาค่อยๆ หันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะและปิดเสียงมัน มองไปรอบๆ ห้องก็พบว่าธันนั้นไม่อยู่แล้ว คิดว่าน่าจะทำอาหารเช้าอยู่ด้านล่างเฉกเช่นทุกวัน
“แม่ไหมเป็นคนน่ารัก ใจเย็น ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับลิธมาเลี้ยง แม่ก็ไม่เคยตีหรือว่าลิธด้วยถ้อยคำที่ไม่ดี แม่จะใช้เหตุผลเสมอ ตอนลิธสุข แม่ก็อยู่เคียงข้าง ตอนทุกข์ แม่ก็ไม่เคยเหินห่าง ถึงแม้บางทีลิธต้องทำงาน ไม่ได้กลับบ้านนานเท่าไหร่ แม่ก็เข้าใจเสมอ แม้ว่าแม่ไหมจะไม่ใช่่แม่แท้ๆ แต่ท่านเป็นความรักที่บริสุทธิที่สุดที่ลิธได้เคยสัมผัส”
ลิธกล่าวผ่านไมค์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือโดยมีธันยืนประกบอยู่ข้างๆ เธออาจมีน้ำตาคลอบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฟูมฟายไร้สติ ด้านข้างกันเป็นเมรุที่มีโลงไม้สักตั้งตะหง่านพร้อมรูปของหญิงคนหนึ่งที่ยิ้มให้คนในงานอย่างอบอุ่น คนรู้จัก ญาติสนิท ญาติห่างๆ เพื่อน ทั้งของแม่และของลูกสาว ต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยครั้งสุดท้าย บ้างก็ถือโอกาสนั่งจับเข่าคุยสารทุกข์สุขดิบ คุยถึงงานศพคนนั้นทีคนนี้ที ราวกับว่า ‘งานศพ’ เปรียบเสมือนโอกาสเพียงไม่กี่หนสำหรับผู้คนที่เริ่มเติบโตและต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางเป็นโอกาสที่จะได้มาเจอกัน มานั่งพูดคุยกัน และน่าจะเป็นงานที่ต้องไปร่วมกันบ่อยมากที่สุดเมื่อแก่ตัวลง
“สุดท้ายนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมยืนไว้อาลัยแด่แม่ไหมร่วมกันค่ะ” พูดเสร็จทุกคนก็พร้อมใจกันยืน
ไฟโหมไหม้โรงไม้ในเตาเผา ความร้อนแผ่ไอไปทั่วบริเวณ ธันโอบไหล่ลิธเข้ามาหาตัว ส่วนหญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งจ้องเข้าไปในเตาเผาด้วยใบหน้าเรียบเฉยพร้อมตาแดงก่ำทั้งสองข้าง
ผู้คนต่างเวียนกันขึ้นวางดอกไม้จันทร์ คนแล้วคนเล่า ของชำร่วยที่เตรียมไว้เป็นยาดมกระปุกเขียวและกระเป๋าผ้าไร้ลายสีขาว ลิธกับธันเองก็ไปช่วยแจกของชำร่วยเช่นกัน
“ป้าขอเพิ่มอีก 2 ชุดนะ จะเอาไปให้ลูกที่บ้าน” ลิธยิ้มรับเป็นการอนุญาต ก่อนจะแจกของต่อไปด้วยความขุ่นมัวบางอย่างในจิตใจ ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว
- 1 เดือน ต่อมา -
เสียงกระทะและตะหลิวกระทบกันพร้อมความร้อนสัมผัสกับน้ำดัง ฟู่ ฟู่ อยู่ทั่วบริเวณ เผยให้เห็นลิิลิธตาที่กำลังยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ณ ชั้นสองของบ้าน ดวงตาแห้งผากไม่กระพริบ และเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ดูไร้สติ ไม่รู้ว่าเธอยืนอยู่เช่นนี้มานานเท่าไหร่
“ลิธ! มีคนโทรมา” เสียงธันตะโกนดังขึ้นมาจากในครัว ลิลิธตาได้ยินก็เหมือนหลุดจากภวังค์
“มาแล้ว” เธอขานรับพลางเดินลงไปชั้นล่างอย่างปกติ หญิงสาเดินลงมาหยิบโทรศัพท์ที่ดังอยู่ข้างโน๊ตบุ๊คบนโต๊ะบาร์กลางบ้าน และออกไปที่ชานพักด้านนอกก่อนปิดประตูบานเลื่อนจนสนิท ธันเดินถือจานอาหารมาวางบนโต๊ะทานข้าวใจก็อดมองออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“มีอะไรรึเปล่า?” เขาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อลิธเดินเข้ามาด้านใน
“สัมภาษณ์งานนิดหน่อยน่ะ”
“คุณได้งานแล้วเหรอ” ธันเบิกตาโพลงด้วยความดีใจ
“แค่คุยคร่าวๆ เอง” ลิธเดินมานั่งที่โต๊ะทานอาหาร ส่วนธันเองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ” เขายิ้ม “แล้ว... ลิธมีอย่างอื่นที่อยากทำอีกบ้างมั้ยอ่ะ”
“จริงๆ ก็มีนะ” เธอทำท่าคิด “แต่มันก็.. เริ่มคิดว่าจะใช่จริงมั้ย”
“อืม...”
“แล้วธันละ”
“มันต้องรอให้อะไรๆเข้าที่หน่อยอะ”
“จะรอไปอีกกี่ปีหืม” ธันไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบนั้นเหมือนกัน ลิลิธตาที่เห็นแบบนั้นก็ลุกขึ้นมาหาและโอบศีรษะชายหนุ่มเข้ามากอด “รู้มั้ย.. ตลอดหลายสิบปีมานี้ ธันเป็นคนดีมากๆ คนนึงนะ” ฝ่ายชายจับมืออีกคนบ่งบอกว่ารับรู้ในความห่วงใย “ต่อไปนี้ธันไม่ต้องเป็นห่วงลิธแล้วนะ เริ่มชีวิตของตัวเองได้แล้ว”
ฝากติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะครับบบ ^^ มีคำแนะนำอะไรหรือติดใจตรงไหน comment ได้นะครับผมไรท์รออ่านไม่ไหว 555