หากเชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" มีจริง "พญามาร" ก็เช่นกัน

จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD) - 03 CHAPTER 03 โดย HOPEE @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,เลือดสาด,สะท้อนปัญหาสังคม,ลึกลับ,สยองขวัญ,ผี,สืบสวนสอบสวน,น่ากลัว,เอาตัวรอด,ระทึกขวัญ,วิญญาณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,สืบสวนสอบสวน,เลือดสาด,สะท้อนปัญหาสังคม,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สยองขวัญ,ผี,สืบสวนสอบสวน,น่ากลัว,เอาตัวรอด,ระทึกขวัญ,วิญญาณ

รายละเอียด

จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD) โดย HOPEE @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หากเชื่อว่า "พระพุทธเจ้า" มีจริง "พญามาร" ก็เช่นกัน

ผู้แต่ง

HOPEE

เรื่องย่อ

 

ลิลิธตา พิ่งสูญเสียคนสำคัญซึ่งเป็นจุดพลิกผันให้เธอกลับไปเดินบนเส้นทางของ พยาบาลวิชาชีพ ที่เคยหันหลังให้มาหลายปี ก่อนจะพบว่าครอบครัวของคนที่จ้างเธอไปดูแลนั้นมีบางสิ่งผิดแปลกไป และทุกอย่างไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ

เดือน ด็กหนุ่มวัย 25 ปี กำลังอยู่ในช่วงมรสุมของชีวิต แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดรอบตัวและความฝันเกี่ยวกับสตรีในชุดล้านนาโบราณก็เริ่มเชื่อมโยงถึงความจริงที่สัมพันธ์กับเขา

บุศรา ต้องกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดเนื่องจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เธอสังเกตได้ว่าแม่ของเธอเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป รวมไปถึงการบวงสรวงเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษของตระกูลที่ผิดไปจากเดิม

 

 

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ ผมนามปากกา โฮป (HOPEE) เป็นนักเขียนหน้าใหม่ (ใสกิ๊ก?) กับนิยายสยองขวัญ ระทึกขวัญเรื่องแรก จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD) นิยายเรื่องนี้เซตติ้งอยู่บนความเชื่อของแถบภาคเหนือ และแน่นอนว่า บุคคล สถานที่ และสถานการณ์ ต่างๆ ในเรื่องเป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่อื่นแต่อย่างใด 

คำเตือน : เนื้อหาของนิยายค่อนข้างมีความรุนแรงทั้งในแง่คำพูดและการกระทำของตัวละคร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

สารบัญ

จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-CHAPTER 00 เจตกาฬ,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-01 CHAPTER 01,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-02 CHAPTER 02,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-03 CHAPTER 03,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-04 CHAPTER 04,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-05 CHAPTER 05,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-06 CHAPTER 06,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-07 CHAPTER 07,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-08 CHAPTER 08,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-09 CHAPTER 09,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-10 CHAPTER 10,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-11 CHAPTER 11,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-12 CHAPTER 12,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-13 CHAPTER 13,จิต ● วิญ ● ญาณ (THE UNTOLD)-14 CHAPTER 14 : ปฐมกาล (END)

เนื้อหา

03 CHAPTER 03

ณ บ้านไม้สองชั้นสีขาวหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านจัดสรรโครงการเก่าแถบชานเมืองกรุงเทพฯที่ละทิ้งความเป็นหมู่บ้านไปนานแล้ว หญิงชายคู่หนึ่งยืนคุยกับหญิงชราอยู่หน้าประตูบ้าน โดยมีรถเก๋งสีดำจอดอยู่หน้ารั้ว 

“เดินทางปลอดภัยนะคะ ทางนี้ไม่ต้องห่วง” หญิงชรากล่าวก่อนประตูบ้านจะปิดลง และคู่หนุ่มสาวก็ขับรถออกไป

ป้าเพ็ญ เดินหอบหิ้วถุงน้อยใหญ่เข้ามาในบ้าน ตรงดิ่งไปที่ห้องครัว ก่อนจะวางมันลงโต๊ะและถอนหายใจกับความเหนื่อย สายตามองไปที่เด็กชายอายุราวๆ 10 ขวบ ที่นั่งระบายสีสมุดภาพอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ 

“ไหนไปบ้านคุณยายมาสนุกมั้ยหนูเดือน” ป้าเพ็ญเอ่ยถามพลางเก็บผักและเนื้อสัตว์เข้าที่

“ไม่สนุกเลยครับ” 

“ทำไมละลูก”

“คุณยายดุ บ้านก็น่าเบื่อ” หนุ่มน้อยพูดความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมา

ป้าเพ็ญได้แต่ยิ้มให้กับความซื่อตรงในความรู้สึกของเด็กๆ และก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของที่ซื้อมาจากตลาดสดเพื่อเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารต่อไป 

“คุณพ่อกับคุณแม่จะกลับเมื่อไหร่เหรอครับป้าเพ็ญ” เดือนละกิจกรรมตรงหน้ารอฟังคำตอบจากคุณป้าพี่เลี้ยง

“ประมาณเดือนนึงน่ะลูก” 

เด็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรกลับ ก้มหน้าระบายสีต่อไป แต่จากสายตาผู้ใหญ่แล้ว เสมือนเห็นควันดำแห่งความผิดหวังของเขาฟุ้งไปทั่วบริเวณ เธอจึงเดินมาหา

“งั้นป้าทำก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ของโปรดให้กินดีมั้ย”

“จริงเหรอครับ” เดือนตาลุกวาว

 

เสียงมีดสับเนื้อและผักกับเขียงไม้ดังทั่วห้อง ป้าเพ็ญตั้งใจทำตามสูตรที่คุ้นเคย เดือนเองก็นั่งระบายสีต่อบนโต๊ะใกล้ๆ กัน ฝนจนกระทั่งสีเทียนในมือนั้นกุดลง เขาเอื้อมหยิบแท่งใหม่แต่มือเจ้ากรรมดันทำสีที่ต้องการหล่นลงพื้น เด็กน้อยค่อยๆ ลงจากเก้าอี้และก้มลงเก็บ ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้น

สายตาพลันไปเห็นขาเล็กลีบของใครบางคนผิวสีเขียวคล้ำยืนอยู่เบื้องหน้า แต่โต๊ะนั้นบังลานสายตาด้านบนทำให้เห็นเพียงตั้งแต่เข่าลงมา ขาคู่นั้นยืนนิ่งสนิทราวกับเป็นปูนปั้นที่ถูกตั้งเอาไว้ เดือนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน อีกใจก็เกรงว่าถ้าขึ้นมาแล้วจะเห็นอะไรที่น่ากลัวกว่าปัจจุบัน แต่ทว่ามันกลับไม่มีอะไร ก็แค่เพียงประตูบานเลื่อนของห้องครัวที่เปิดอ้าไว้เห็นห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่าปราศจากผู้คน ด้วยความไร้เดียงสาเดือนสลัดความสงสัยทิ้งและหันมาระบายสีต่อ ไม่ได้ฉุกคิดอะไรมากมายถึงสิ่งที่เห็น

ไม่นานนักป้าเพ็ญก็ทำอาหารเสร็จ เธอตักน้ำ เนื้อ และเส้นใส่ชามใบใหญ่มาเสิร์ฟตรงหน้าหนูน้อยที่นั่งรอจนหิวโซ สายตาบ่งบอกถึงความชอบที่มีต่อก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่นี้มากก่อนจะรับช้อนส้อมไปโซ้ยอย่างเอร็ดอร่อย ป้าเพ็ญเองก็ตักในส่วนของตัวเองมานั่งทานอยู่ใกล้ๆ โดยหันหลังให้กับประตูห้องที่เปิดเอาไว้ 

ทานได้สักพักมือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แว่นสายตาถูกสวมใส่ ไล่อ่านข้อความด้านในอย่างตั้งใจ ก่อนที่ป้าเพ็ญจะเริ่มสังเกตได้ว่าเสียงโซ้ยก๋วยเตี๋ยวของเดือนนั้นเงียบลง เธอลดระดับมือถือลงเพื่อดูว่าเขากินเสร็จหรือยัง หากแต่พอมองดู เดือนกลับนั่งนิ่ง จ้องมองมาที่ตน หญิงชราก็ดูจะงงๆ หันควับไปมองข้างหลังพยายามหาจุดโฟกัสของเด็กในความดูแล 

“มีอะไรเหรอลูก”

“คนตัวเขียวๆ เดินอยู่ในห้องนั่งเล่นครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั้งแผ่นหลังลามมาต้นคอ ทุกอณูรูขุมขนทั่วร่างกายลุกชันพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย จังหวะหัวใจเริ่มรัวเป็นกลอง ป้าเพ็ญค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู ความว่างเปล่าตรงหน้าซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่หลานพูดนั้นยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้กับสถานการณ์ แกเดินไปอย่างใจลุ้นระทึกว่าจะเห็นอะไรมากกว่านี้มั้ย แต่เมื่อชะโงกหน้าไป ทุกอย่างกลับดูปกติ เธอถอนใจหายเฮือกใหญ่ ก่อนเสียงโซ้ยอันเอร็ดอร่อยของเดือนจะกลับมาดังเหมือนเดิม แต่ป้าเพ็ญเองก็ไม่อาจสบายใจไปได้ตลอดรอดฝั่งเพราะตั้งแต่ที่แกทำหน้าที่ดูแลเดือนมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดือนพูดอะไรแบบนี้  

ยามบ่ายแก่ๆ แสงแดดเริ่มอ่อนลง สายตาคู่น้อยจ้องมองหญิงชราอยู่ที่ขอบหน้าต่างของห้องนั่งเล่น เห็นป้าเพ็ญกำลังรับของจากพนักงานส่งของที่หน้ารั้วบ้าน เป็นถุงใบใหญ่อัดแน่นไปด้วยผักผลไม้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือกาบกล้วยอันใหญ่หลายอันและธูปเทียน เดือนไม่ได้สงสัยอะไรนักตามประสาเด็กก่อนจะละสายตาวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ข้างบนมีห้องอยู่ทั้งหมด 4 ห้อง ฝั่งซ้ายสองห้อง ฝั่งขวาหนึ่งห้อง และริมสุดทางเดินอีกหนึ่งห้อง หนูน้อยเดินเข้าห้องฝั่งขวาอย่างคุ้นเคย 

เมื่อเข้ามาเตียงนอนอยู่ด้านซ้ายชิดผนัง ตรงหน้าคือกล่องไม้ใบใหญ่ที่วางอยู่ชิดริมหน้าต่าง เดือนเปิดกล่องไม้ควานหาของเล่นที่ตัวเองชอบ มือน้อยๆ ไปคว้าเอาหุ่นยนต์ตัวสีเหลืองขึ้นมา 

เอี๊ยดดด เสียงประตูไม้บานเก่าเปิดออกดังไปทั่วบริเวณทำให้หนูน้อยต้องหยุดชะงัก ชะโงกหัวออกมามองนอกห้อง เห็นประตูห้องนอนพ่อกับแม่ที่สุดทางเดินถูกเปิดอ้า เดือนไม่อยากจะอยู่ดูต่อว่าอะไรกำลังจะมา เขารีบออกมาจากห้องปิดประตูและตรงไปที่บันได แต่แล้วเสียงก็อกแก็กบางอย่างก็ดังขึ้นด้านหลัง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นดวงตาคู่น้อยหันไปมองทันที เห็นเงาหลังของใครบางคนเดินอยู่ในห้องผ่านประตูไป จู่ จู่ เสียงวิ่งดัง ตุบ ตุบ ตุบ ก็กระหน่ำตรงมาที่เขา เดือนไม่รอช้าร้องโวยวายกระโจนลงบันไดมาทันที 

“เดือนเป็นอะไรลูก!!!” ป้าเพ็ญรีบออกมาจากห้องครัวคว้าตัวอีกคนที่วิ่งโครมครามแหกปากลงมาเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุ

“มีคนอยู่ข้างบนครับป้าเพ็ญ” เด็กหนุ่มพูดไปหายใจถี่ฟังไม่ได้ศัพท์ “มะ.. มีใครก็ไม่รู้ ขะ.. ข้างบน” 

สายตาของหญิงชราหันมองไปพบแต่ความว่างเปล่า “ไม่เห็นมีใครเลย นี่หนูดูสิ” ป้าเพ็ญพูดจบก็จับให้เดือนหันไปมอง “มาป้าจะพาไปดู”

เดือนรีบดึงแขนคุณป้าพี่เลี้ยงเอาไว้พร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงๆ นะครับ” ป้าเพ็ญเองก็เริ่มมีสีหน้าไม่ต่างกัน

แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ตำรวจนายหนึ่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศเดินสำรวจอยู่ภายในบ้านที่เปิดไฟสว่างทั่วทั้งหลัง ที่ชั้นสองเองก็มีอีกนายเดินสำรวจอยู่เช่นกัน แต่ดูจนทั่วแล้วกลับไม่พบความผิดปกติ ร่องรอย หรือการงัดเงาะใดใด ทั้งคู่เดินลงมาหาป้าเพ็ญที่ยืนรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น 

“เราตรวจดูทั่วแล้วไม่เจออะไรนะครับ” ป้าเพ็ญพยักหน้าเข้าใจแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรด้วยความกังวล “เบื้องต้นเราตรวจดูทุกซอกทุกมุมที่คนจะเข้าไปแอบได้แล้ว จะในบ้านนอกบ้าน ยังปกติดีครับ แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติ โทรแจ้งผมได้โดยตรงเลยนะครับ” ตำรวจพูดพร้อมยื่นเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ 

“จ่ะคุณตำรวจ” ป้าเพ็ญรับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แกมไม่อยากให้กลับ

“งั้นผมขอตัวนะ ล็อกบ้านดีๆนะครับ” พูดจบทั้งคู่ก็เดินออกไปโดยมีป้าเพ็ญเดินไปส่งที่หน้ารั้ว 

เดือนเองนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา สายตาจ้องไปที่การ์ตูนสลับกับทางเดินขึ้นบันไดที่เปิดไฟสว่างโล้ แต่ถึงจะสว่างมากแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้เห็นถึงบางสิ่งที่ซ่อนอยู่บริเวณนั้นได้ ...

 

คืนนั้นเอง เด็กน้อยมุดคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม เอาไฟฉายส่องไปที่หนังสือการ์ตูนอ่านอย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นเวลาเพียง 2 ทุ่มกว่าๆ แต่สำหรับเด็กอายุเท่าเค้านี่มันดึกมากแล้ว ถ้าโดนจับได้ว่ายังไม่นอนแถมยังแอบอ่านการ์ตูนอีก เขาต้องโดนป้าเพ็ญเฆี่ยนหลังลายแน่ๆ อีกทั้งด้วยความเป็นเด็กการได้อ่านการ์ตูนที่ชอบสักเรื่องก็ทำให้เขาลืมความกลัวเมื่อตอนเย็นไปชั่วขณะ

เสียงเปิดประตูของห้องฝั่งตรงข้ามดังขึ้น ด้วยความเงียบของบ้านทำให้ได้ยินอะไรๆ ได้อย่างชัดเจน เดือนพักจากการ์ตูนเริ่มเงี่ยหูฟัง เขาค่อยๆ ลงจากเตียงเดินไปที่หน้าห้อง 

“อย่าหาว่าป้างั้นงี้เลยนะคะ แต่ป้าคิดว่าสิ่งที่หนูเดือนพูด แกอาจจะเห็นจริงก็ได้นะคะ” เสียงหญิงชราดังลอดเข้ามา

เดือนเขย่งเท้ามองที่ช่องตาแมว เห็นป้าเพ็ญเดินลงบันไดไปขณะคุยโทรศัพท์กับใครบางคน  

“ป้าเองก็รู้สึกได้เหมือนกัน”

หลังจากทางสะดวกเด็กน้อยขี้สงสัยจึงค่อยๆ ออกมาจากห้อง สิ่งแรกที่นึกได้คือการหันไปมองบริเวณสุดทางเดิน และก็โล่งใจเมื่อพบว่าประตูนั้นปิดอยู่และทุกอย่างยังดูปกติ เดือนไปที่ราวบันไดก้มลงมองด้านล่าง เห็นป้าเพ็ญในครัวกำลังจัดของบางอย่างใส่ไว้ในกาบกล้วยที่ถูกทำขึ้นเหมือนกระทงแต่ใหญ่กว่าและเป็นสี่เหลี่ยม ขณะแอบมองอยู่นั้นป้าเพ็ญก็พรวดพราดเดินออกมา เมื่อเป็นเช่นนั้นเดือนรีบหันหลังกลับวิ่งเข้าห้องนอนตัวเองทันที หลังประตูปิดลง เสียงหญิงชรายังคงดังเล็ดลอดเข้ามาอยู่ไม่ขาดสาย

“เนี่ยค่ะ ประตูมันเปิดเองอีกแล้ว”

 

ป้าเพ็ญเดินถือกาบกล้วยที่ทำเป็นเหมือนกระทงทรงสี่เหลื่ยมค่อนข้างใหญ่ ซึ่งตามความเชื่อท้องถิ่นของบ้านแกนั้นเรียกว่า ‘สะตวง’ ภายในมีดอกไม้ ธูปเทียน ข้าวตอก ช่อน้อย ตุงชัย ดินเหนียวที่ถูกปั้นเป็นรูปคนและวัว ขนมต่างๆ และอีกมากมาย หญิงชราเดินถือด้วยสองมือออกจากบ้าน รั้วบ้าน ถัดไปไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมาย นั่นคือทางสามแพร่ง เธอนั่งลงตรงหัวมุม จุดธูปเทียน ก่อนจะยกสะตวงขึ้นเหนือศีรษะและกล่าวบนสวดบางอย่าง และจบลงด้วยคำกล่าวน่าขนลุก

“ข้าขออัญเชิญภูติผีปีศาจ วิญญาณสัมภเวสี เปรต รวมไปถึงเทวดาอารักษ์ให้มารับเครื่องเซ่นเหล่านี้ด้วยเถิด”  

 

ทางฝั่งของเดือน เขาเองพยายามเขย่งดูที่ช่องตาแมวอีกครั้ง หากเมื่อดวงตาจรดช่องมอง เสียงทุกอย่างกลับเงียบลง ภาพเบื้องหน้าดำสนิท แต่ถ้าสังเกตดีๆ ความดำมืดนั้นกลับขมุกขมัวราวกับกำลังเคลื่อนไหวไปมา เดือนจ้องมันด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเองภาพที่ขมุกขมัวเริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันค่อยๆ ถอยออกห่าง เผยให้เห็นมุมปากของใครบางคนที่กำลังแสยะยิ้ม เดือนตกใจรีบผละตัวออกจากประตู จู่ จู่ เสียงทุบกรรโชกก็ดังขึ้น ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง เด็กน้อยรีบวิ่งหน้าตาตื่นไปที่เตียงและคลุมโปงทันที

 

————————————————————————

 

ท่าอากาศยานเชียงใหม่

 

“เฮ้ยมึง ถึงแล้ว” โบ๊ทพูดขึ้นพร้อมสะกิดคนข้างๆ ที่กำลังนั่งหลับอยู่โดยมีที่ปิดตาครอบไว้ 

เดือนรู้สึกตัวลุกขึ้นพร้อมเอื้อมหยิบสัมภาระบนหัว ตอนนี้เหลือพวกเขาแค่สองคนสุดท้ายบนเครื่องบิน ทั้งคู่เดินหอบกระเป๋าเป้คนละใบลงเครื่อง เพราะก็ไม่ได้เอาอะไรมาเยอะตามสไตล์คนง่ายๆ หวังมาเที่ยวพักผ่อนไม่กี่คืนก็กลับ ทั้งสองเดินไปตามทางจนเข้าตัวอาคารไป 

“ทำไมมาเที่ยวที่นี่อ่ะ” โบ๊ทเอ่ยปากถามระหว่างเดิน “มึงก็เป็นคนเหนือไม่ใช่เหรอ”

“เดือนอยู่กรุงเทพมาตั้งแต่เกิดนี่เรียกคนเหนืออ่อ แค่บ้านยายอยู่แถวนี้เฉยๆ”

“แล้วไมไม่ไปเที่ยวบ้านยายมึงอ่ะ ไม่เสียค่าโรงแรมด้วย”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเจอคนที่บ้าน”

พูดจบเดือนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกบริการรถรับส่งของรีสอร์ท โบ๊ทไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะกลัวจะทำให้อีกคนคิดมากจนหมดสนุก ไม่นานนักรถตู้สีขาวครีมก็มารับ ระหว่างเดินทางได้ผ่านความเจริญของตึกรามบ้านช่องมากมายไปสู่ธรรมชาติตามสไตล์ภาคเหนือ ป่าไม้เขียวขจีและอากาศบริสุทธิ ฝนเริ่มลงเม็ดเบาๆ พอให้รดน้ำความรู้สึกดีๆ ไม่ว่าใครมาเยือนก็ต้องผ่อนคลายทุกครั้งไป ตัวโรงแรมที่จองไว้อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากเท่าไหร่ แต่เงียบสงบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติตามที่เดือนต้องการ 

เมื่อมาถึงที่พักทั้งสองก็พากันจับจองห้อง เดือนได้บ้านหลังริมสุด ด้านข้างมีสวนเล็กๆ พอให้นั่งพักชมวิว ด้านหลังก็มีสวน มีกองไฟที่จุดได้อยู่กองหนึ่งพร้อมลำธารเล็กๆ ที่ทางรีสอร์ทขุดขึ้น บรรยากาศเย็นสบาย แทบจะสามารถนั่งเฉยๆ อยู่ได้ทั้งวัน บ้านหลังของโบ๊ทก็อยู่ข้างกัน ซึ่งสวนท้ายที่พักสามารถเดินหากันได้ 

โบ๊ทตะโกนบอกเดือนว่าอีกครึ่งชั่วโมเจอกันก่อนจะหายวับเข้าที่พักไป เดือนเองก็ไขกุญแจเปิดประตูออก กลิ่นหอมมะลิตีเข้าหน้าคลุ้งไปทั่วบริเวณสร้างความผ่อนคลายและประทับใจในครั้งแรกได้ดี ด้านในห้องพักเป็นไม้สักดูโบราณตามสไตล์ เตียงขนาดคิงไซส์วางตั้งอยู่กลางห้อง มีมุ้งสีขาวบางห้อยระยางลงมาจากเพดานจนคลุมเตียงทั้งเตียง เดินผ่านเตียงไปสุดปลายห้องก็เป็นประตูบานเลื่อนสู่สวนด้านหลัง 

เดือนยืนมองดูสายน้ำในลำธารไหลผ่านไปราวกับโดนสะกดจิต พลางคิดไปว่าชีวิตก็คงเหมือนกัน ก็แค่ปล่อยให้มันไหลไป เป็นไปตามแบบที่มันเป็นเช่นเขาตอนนี้ ภายในใจเริ่มสงบลงหลังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ บางทีเขาก็อยากจะออกจากความวุ่นวายในเมืองมาใช้ชีวิตอยู่ตามชนบทแบบนี้ หากแต่เขาคิดอะไรไปเพลินจนไม่ได้สังเกตถึงสิ่งรอบตัว เงาของบางสิ่งดำทมิฬเป็นรูปร่างคนกำลังเดินตรงมาหาเขาจากด้านหลัง เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้จนแทบจะซ้อนร่าง แต่เมื่อเดือนหันไปเพราะรู้สึกถึงมัน ทุกอย่างกลับว่างเปล่า คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับมีใครยื่นมือมากระตุกขั้วหัวใจพลางกวาดสายตาไปรอบห้อง

กึก กึก เสียงเคาะกระจกดังขึ้นจนทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง โบ๊ทยืนอยู่ในสวนด้านหลัง เคาะประตูบานเลื่อนเรียกให้ออกไปหา 

 

“ไม่สบายป่าว ดูหน้าซี้ดๆ”

“ไม่มีไรคับพี่ แค่เมารถอ่ะ” เดือนตอบปัดไม่ให้อีกคนเป็นห่วง

ทั้งคู่นั่งกันอยู่ที่ชิงช้าริมลำธารในสวนด้านหลัง บรรยากาศเงียบสงบแทบจะปล่อยตัวลอยไปกับสายลม 

“ไอ้เรื่องผู้หญิงใส่ผ้าซิ่นนี่ ยังฝันอยู่ปะ”

เดือนพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“กูว่านะ มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับมึงแน่เลย”

“ก็ไม่รู้อ่ะพี่ บางทีมันชินพยายามจะไม่คิดมาก ก็อยากรู้นะแต่ก็ไม่รู้จะไปถามใคร" 

“มึงเคยได้ยินเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมั้ย”

เดือนไม่ได้ตอบอะไรแต่สีหน้าดูออกว่าคิดมาก กังวล และสับสน โบ๊ทเองกะไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่พูดเพียงหาเรื่องชวนคุยก็เท่านั้น แต่เหมือนจะคุยผิดเรื่องไปหน่อย เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาก็ลุกขึ้นยื่นมือมาหาอีกคน

“ปะ ... เดี๋ยวพาไปเที่ยว”

 

ฝนหยุดตกได้สักพักพาให้เย็นสบายไม่ร้อนเกินไป โบ๊ทกำลังสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ที่ยืมมาจากรีสอร์ทโดยมีเดือนยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าให้ขึ้นรถเมื่อสตาร์ทติด อีกคนพอขึ้นนั่งก็เอามือเกาะไหล่คนข้างหน้าทั้งสองข้าง

“เหมือนพาลูกไปโรงเรียนเลยว่ะ”

รถเครื่องวิ่งไปตามไหล่ภูเขา บรรยากาศเย็นสบาย ฟ้าหลังฝนให้กลิ่นไอดินที่สดชื่นไม่น้อย ลมพัดผ่านหน้าพร้อมกับรุ้งกินน้ำที่พาดอยู่บนท้องฟ้าทำให้เดือนจิตใจสงบลงอีกครั้ง เป็นบรรยากาศที่เค้าชอบที่สุด ส่วนโบ๊ทเองก็อมยิ้มหน้าระรื่นอยู่เช่นกันด้วยสาเหตุบางอย่างในใจ

ทั้งคู่พากันไปเดินถนนคนเดินใกล้่ๆ ประตูเมืองจุดเช็คอินประจำ กินก๋วยเตี๋ยวของโปรด ของกินเล่นเต็มไม้เต็มมือไปหมด ก่อนจะพากันไปไหว้พระขอพร ณ วัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง โบสถ์โบราณทรงล้านนาประดับทางเข้าด้วยรูปปั้นพญานาคที่เกาะสลักจากหินอ่อนสีขาวนวล เดือนกราบพระด้วยใจบริสุทธิ์ ภาวนาให้ชีวิตนับจากนี้เจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ แต่แล้วเสียงสะอื้นที่คุ้นเคยกลับแววมาจากด้านหลัง เขารีบหันกลับไปดูพบเพียงผู้คนที่ไหว้พระอยู่อย่างปกติ และเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงนี้เหมือนเขา

เมื่อกราบพระเสร็จเดือนก็รีบเดินออกมา แต่ทว่ามองไปทางไหนก็ไม่เจอคนที่มาด้วยกัน เขาเดินหาอยู่พักหนึ่งจนเหลือบไปเห็นโบ๊ทยืนอยู่ด้านหลังโบสถ์ ก่อนจะเดินดุ่มๆไป

“พี่ทำไรอะ” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับไหล่

“อ่านนี่อยู่อ่ะ”

เบื้องหน้าคือป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนหัวข้อ ‘เจ้านางเวียงคำจันทิรา’ โดยมีเรือนไม้หลังเล็กอยู่เบื้องหลัง ปรากฏรูปปั้นของหญิงขาวซี้ดห่มผ้าซิ่นสีแดงเหลือบดำอยู่ในเรือน การวาดดวงตา การแต่งหน้า ราวกับรูปปั้นนั้นมีชีวิต 

“ไปเหอะเดี๋ยวมืด” โบ๊ทพูดพลางสะกิดอีกคนก่อนจะเดินนำไป

เขาไม่ได้รู้ถึงรายละเอียดในความฝันจึงไม่ได้สนใจใคร่รู้อะไร ผิดกับเดือนที่ยังคงประหลาดใจกับ ‘เรือนเจ้านางเวียงคำ’  คิดสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างฝันซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เขาเห็นตั้งแต่ยังจำความได้กับภาพตรงหน้า เขาอ่านประวัติแบบลวกๆ และจับใจความได้บางประโยค ‘เจ้าคุ้มถูกยึดอำนาจ’ ‘สมัยเปลี่ยนผ่านกรุงธนบุรี’ ‘ประหาร 7 ชั่วโคตร’ ‘ถูกตัดหัวขณะเสียงสาปแช่งยังไม่สิ้น’ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เดือนต้องขนลุกคือตรงหัวของรูปปั้นถูกปั้นออกมาเป็นมวยผมที่ถูกเกล้าขึ้นไปพร้อมแท่งสีทองเสียบอยู่ราวกับปิ่นปักผม

ตอนที่ 3 แล้วววววววว เป็นยังไงบ้างครับ ชอบ ไม่ชอบ ยังไง comment บอกกันได้น้าา รออ่านเม้นทุกคนอย่างใจจดใจจ่อ TwT

CHAPTER 04 : on 05 NOV 2024