จิงซิงอี้ แพทย์จีนจบใหม่ กลับมาเปิดคลินิกรักษาโรคที่หมู่บ้านกับคุณตาที่เลี้ยงดูเขามา เขารักษาคนไข้ที่อยู่ห่างไกล ทำธุรกิจสมุนไพร ทำแหล่งท่องเที่ยว และค้นหาความลับจากชาติกำเนิดที่เป็นปริศนาของตัวเอง เนื้อหาครึ่งแรกอยู่ในยุคปัจจุบัน ครึ่งหลังย้อนยุคไปราชวงศ์ซ่งเหนือ
ผจญภัย,แฟนตาซี,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,จีน,จีนปัจจุบัน,แพทย์แผนจีน,พระเอกเป็นหมอจีน,ย้อนยุค,พระเอกเก่ง,พระเอกหล่อ,จิงซิงอี้,จิงซิงอี้แพทย์จีน2ยุค,ทำธุรกิจสมุนไพร,รักษาโรค,ทำสมุนไพรขาย,พบกับเปาบุ้นจิ้น,พบกับจั่นเจา,พระเอกซึนเดเระ,ผจญภัย,อบอุ่นหัวใจ,อบอุ่น,จบดี ,พระเอกอยู่กับคุณตา,ช่วยราชสำนักแก้ไขคดี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากนั้น ลั่วเยี่ยนก็เดินทางกลับตอนเช้า เขามีงานที่ต้องทำด่วน ในขณะที่ชุนเฉิงอยู่ช่วยจิงเซียวทำงาน และตัวเขาก็ทำงานส่วนตัวของเขาเองด้วยเช่นกัน
หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว จิงซิงอี้ปั่นจักรยานไปที่คลินิกตามเดิม แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบคนไข้คนแรก คือ จางซิน ที่มาพร้อมกับจางเซี่ย เขานึกว่าหญิงสาวเดินทางกลับบ้านที่เซี่ยงไฮ้ไปแล้ว เธอมาหาเพราะรู้สึกไม่สบาย จิงซิงอี้จึงตรวจความดัน วัดไข้ และซักถามอาการ จางซินอธิบายอาการว่า
“ฉันนอนไม่ค่อยหลับค่ะ บางทีก็ใจสั่น เหงื่อออกที่มือ กระวนกระวายใจ เวียนหัว แล้วก็คอแห้งมากค่ะ”
จิงซิงอี้ขอให้เธอแลบลิ้น เพื่อตรวจลิ้น เขาใช้หูฟังตรวจหัวใจรวมไปถึงระบบทางเดินหายใจ และจับชีพจร จากนั้นเขาจึงอธิบายอาการว่า
“ชี่ของตับและหัวใจบกพร่อง เกิดจากความกังวลใจครับ ผมจะให้ยาซวนเจ่าเหรินทังไปกิน จะช่วยบำรุงเลือด หัวใจ ลดความกระวนกระวาย ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น แล้วก็ระบายความร้อนทำให้คอกับปากไม่แห้ง ยานี้ไม่ทำให้ง่วงนอนตอนกลางวันด้วยครับ”
จางซินพยักหน้าเข้าใจ ในระหว่างที่หมอหนุ่มจดบันทึกข้อมูลและเตรียมจัดยาให้นั้น เขารู้สึกว่าจางซินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ
จางซินขยับปากเหมือนจะพูดแต่ก็ชะงัก แต่เมื่อเห็นสายตาของจิงซิงอี้ที่มองมา เธอจึงพูดถามมาเบาๆว่า
“คุณหมอมีแฟนรึยังคะ”
จิงซิงอี้เลิกคิ้วสูง จากนั้นก็ตอบว่าไม่มี แล้วถามต่อว่า
“ทำไมหรือครับ”
จางซินตอบเบาๆ อย่างไม่แน่ใจว่าจิงซิงอี้จะโกรธหรือไม่
"ฉันอยากจะคุยกับคนที่เคยมีความรักมาก่อน ฉันไม่รู้จะพูดกับใครแล้วค่ะ หมอคงเดาได้ว่าเรื่องอะไร ฉันทะเลาะกับคู่หมั้น คนที่พูดไม่ดีกับหมอในวันนั้นน่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าจิงซิงอี้ยังฟังอยู่ เธอจึงกล้าพูดต่อ
“ฉันไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดี ฉันหมั้นกับเขาเพราะที่บ้านรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ยังเป็นเรื่องของความเหมาะสม เราหมั้นกันมาได้ 2 ปีแล้ว แต่ฉันยังไม่อยากแต่งงาน เพราะอยากจะเรียนต่อ
ในช่วงเรียนต่อที่อังกฤษ ฉันรู้สึกเป็นอิสระ เพราะได้ใช้ชีวิตตัวคนเดียว ฉันรู้สึกว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่ฉันอยากทำ ความคิดของฉันที่มีต่อคู่หมั้นก็เปลี่ยนไป
เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคิดยังไง เขาก็ยิ่งตามติดฉัน แสดงอาการเป็นเจ้าของมากขึ้น มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกกดดันและผูกมัด ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อดีค่ะ”
จิงซิงอี้ถามตรงๆว่า “แล้วคุณจะให้ผมช่วยอะไร”
จางซินหน้าแดงด้วยความอาย เธอพูดตะกุกตะกักว่า
“ฉันเห็นคุณหมอเป็นคนมีความมุ่งมั่น รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ แต่ฉันก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปนี้ยังไงดี ฉันเริ่มชอบชีวิตอิสระ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับคู่หมั้นดี”
จิงซิงอี้นิ่งไปสักพักก่อนจะพูดว่า
“ผมเป็นคนพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม คุณจะรับได้มั้ยล่ะ”
จางซินรีบตอบว่าได้ ชายหนุ่มหมุนปากกาที่อยู่ในมือ แล้วก็พูดขึ้นว่า
“ผมไม่เคยมีแฟน คงจะแนะนำปัญหาหัวใจไม่ได้ แต่ผมจะพูดเรื่องการใช้ชีวิตก็แล้วกัน
อย่างแรกเลย ผมกับคุณมีพื้นฐานชีวิตแล้วก็การเลี้ยงดูอบรมมาแตกต่างกัน ถึงผมจะบอกคุณไป คุณก็อาจจะไม่เห็นด้วย และทำตามไม่ได้
ผมแค่อยากจะบอกให้คุณลองใช้หัวใจดู บางทีการใช้สมองมากไป มีเหตุผล มีกรอบมากไป ก็อาจจะมองไม่เห็นว่าหัวใจของคุณกำลังต้องการอะไร
ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ก็ยังไม่ต้องไปเค้นหาคำตอบ บางปัญหาก็ไม่มีคำตอบทันที บางครั้งก็ต้องใช้เวลา และบางทีเวลาก็เป็นคำตอบ
ลองถอยห่างออกมา ให้เวลาได้คิด ได้อยู่คนเดียว บางทีพอใจเย็นขึ้น ความคิดนิ่งสงบแล้ว คำตอบก็อาจจะมาเองก็ได้นะครับ อย่าเพิ่งรีบตัดทิ้ง หรือทนอยู่ไป ถอยห่างออกมาแล้วใช้เวลา พอใจสบาย จิตใจสงบ คำตอบก็จะมาเอง”
จิงซิงอี้หยุดการพูดยืดยาว ก่อนจะสรุปว่า
“บางทีการรีบด่วนตัดสินใจไปเลย ก็อาจจะทำให้คุณพลาดเรื่องดีๆไป และที่สำคัญ พวกคุณได้เปิดอกคุยกันแล้วหรือยัง ได้เปิดโอกาสให้ปรับเปลี่ยนนิสัยกันบ้างหรือยังล่ะ”
จากนั้น ชายหนุ่มก็หยุดพูด และมองหน้าจางซินซึ่งนั่งฟังด้วยความตะลึงอยู่ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่า จิงซิงอี้จะสามารถพูดอะไรได้ยืดยาวและเฉียบคมแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบเรื่องความรักโดยตรง
“ฉัน..ฉันจะลองกลับไปคิดดูค่ะ”
จางซินตะกุกตะกัก เธอต้องการเวลาในการคิดไตร่ตรองอีกครั้ง จิงซิงอี้จัดยาให้เธอ จากนั้นเธอก็จ่ายเงินและขอตัวกลับ แต่ก็ไม่ลืมจะขอบคุณจิงซิงอี้กับคำตอบที่เขามีให้เธออย่างจริงใจ
ในขณะที่จางเซี่ยซึ่งนั่งอยู่ที่เคาเตอร์แอบมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่กล้าถาม เขาคิดว่าจะกลับไปถามพี่สาวเอง จิงซิงอี้พูดกับตัวเองว่า “หรือจะรับปรึกษาปัญหาชีวิตด้วย น่าจะได้เงินดีอยู่นะ”
จากนั้น เขาก็หันหลังกลับไปทำงานอื่นต่อ โดยไม่สนใจจางเซี่ยที่ทำหน้าเหวอ
เย็นนั้น เมื่อกลับไปที่บ้าน เฉินหานอวี้ก็ส่งข้อมูลบริษัทที่เก่งด้านการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างด้านการเกษตรมาให้ เขาจึงนำข้อมูลไปปรึกษากับจางเซียวและชุนเฉิง
ช่วงเวลานั้น พวกเขากลับมาใช้ชีวิตเหมือนกับตอนที่ยังเป็นลูกศิษย์ของจางเซียวใหม่ๆ ทุกเช้า พวกเขาจะช่วยกันทำสมุนไพร ในตอนกลางวันพวกเขาต่างคนต่างทำงานส่วนตัว และในตอนเย็นจนถึงตอนใกล้เวลานอน พวกเขาจะแชร์ประสบการณ์การรักษาคนไข้ และร่วมกันพิจารณาอาการและวิธีการรักษา
ทั้งจิงซิงอี้และชุนเฉิงรู้ว่า จิงเซียวกำลังเริ่มต้นถ่ายทอดความรู้ของตัวเองทั้งหมดให้กับลูกศิษย์ เขากลัวว่าเวลาของตัวเองจะมีไม่พอ ถึงแม้ว่าเขาจะอายุ 70 กว่าปี ซึ่งถ้าดูแลร่างกายดีๆ ยังอยู่ได้อีกนับสิบปี แต่จิงเซียวมีร่างกายที่ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ
ตอนนี้ จิงซิงอี้แสดงเจตนารมณ์แล้วว่า เขาต้องการจะสืบทอดสำนักแพทย์ฉางซาน ที่จะรวบรวมความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดตลอดชีวิตของจิงเซียวมาใช้ในการรักษาคนไข้ และยังจะเปิดรับลูกศิษย์ในอนาคตเพื่อสืบทอดแนวทางการแพทย์ของจิงเซียวต่อไป
ในขณะที่ชุนเฉิงต้องการจะสนับสนุนจิงซิงอี้ รวมไปถึงลั่วเยี่ยนด้วย ลั่วเยี่ยนมีธุรกิจโรงพยาบาลของตัวเอง เขาจึงไม่สามารถสืบทอดสำนักได้ และลั่วเยี่ยนก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดด้วย ในขณะที่ชุนเฉิงไม่ชอบงานแบบนี้ เขาชอบการรักษาคนไข้ ชอบการศึกษาเรียนรู้ แต่เขาไม่ชอบการบริหารจัดการ
ดังนั้น จิงซิงอี้ที่เป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับจิงเซียวที่สุด และมีฝีมือในการรักษาที่เก่งที่สุด จึงเป็นคนเดียวที่มีศักยภาพ และพร้อมจะรับผิดชอบความฝันของจิงเซียวต่อ ศิษย์พี่ทั้งสองคนรวมไปถึงจิงเซียวจึงยินดีสนับสนุนช่วยเหลือจิงซิงอี้ให้ทำได้อย่างเต็มที่
ในขณะที่พวกเขากำลังช่วยกันอ่านตำราของจิงเซียว เพื่อรวบรวมจัดหมู่ข้อมูลนำไปเขียนเป็นตำราใหม่ จิงซิงอี้ก็ได้รับโทรศัพท์จากสวี่เหรินเจี๋ย เพื่อนที่เป็นตำรวจของเขา
ตำรวจหนุ่มเล่าว่า ตอนนี้สื่อท้องถิ่นตีข่าวการฆาตกรรมที่พวกเขาช่วยกันแก้ปริศนา แต่มีอยู่สื่อหนึ่งที่มาสัมภาษณ์ทีมสืบสวนและสวี่เหรินเจี๋ยก็ให้สัมภาษณ์ไป และได้กล่าวถึงการที่จิงซิงอี้มาช่วยไขปริศนาการฆาตกรรม ถึงแม้ว่าจะไม่มีรูปถ่ายของหมอหนุ่ม แต่เขาได้ให้รูปและสถานที่ตั้งคลินิกฉางซานไป ขอให้จิงซิงอี้รอรับความดังได้เลย
เมื่อวางสายเสร็จ จิงซิงอี้เล่าให้ทั้งจิงเซียวและชุนเฉิงฟังว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาคุยกันถึงการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ และพบกับเหตุการณ์การฆาตกรรมที่พวกเขาเคยช่วยไขคดี หรือแม้แต่การแก้ปัญหาการใช้ยาผิดจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย พวกเขาพูดติดตลกกันว่า ถ้าสมัยนั้นมีสื่อโซเชียลมีเดียแบบเดี๋ยวนี้ พวกเขาคงจะดังกันไปทั่วประเทศแล้ว
หลังจากวันนั้น ข่าวที่จิงซิงอี้ช่วยไขปริศนาฆาตกรรม ก็มีคนอ่านและแชร์มากขึ้น แน่นอนว่าข่าวไม่ได้เล่าว่ามีการใช้ยาอย่างไร เพราะจะเป็นการชี้ช่องทางการเลียนแบบ แต่แค่บอกว่ามีแพทย์แผนจีนจากหมู่บ้านเจียวจูมาช่วยไขปริศนาให้ หลายคนคอมเมนท์อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร และคลินิกอยู่ที่ไหน
มีบางคนเริ่มเข้ามาตอบว่า น่าจะเป็นหมอจิงซิงอี้ที่อยู่หมู่บ้านนี้ จากนั้น พวกเขาก็เล่าถึงประสบการณ์ในการรักษากับจิงซิงอี้ และความประทับใจต่างๆ และเริ่มมีคนโพสท์ภาพถ่ายและวิดีโอของเขา ตอนที่เขาไปรักษาโรคฟรีที่หมู่บ้านจินหมิง หลายคนพากันชื่นชมความหล่อของเขาและฝีมือในการรักษา
บางคนโพสท์คลิปวิดีโอ ที่เขาช่วยปฐมพยาบาลและฝังเข็มให้กับจางเซี่ย จากเหตุการณ์แก๊สระเบิดที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จัก และมีการตั้งแฮชแท็กว่า #หมอจิงซิงอี้ ซึ่งขึ้นอันดับฮ็อทเสิร์ชในเว่ยปั๋วด้วยช่วงหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ จิงซิงอี้ไม่รู้และไม่ได้สนใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนที่มาบอกเขาด้วยความตื่นเต้น คือ จางเซี่ย ที่ช่วยเขาดูแลโซเชียลมีเดียของคลินิก เพราะเริ่มมีคนนับสิบคนเข้ามาคอมเมนท์ถามว่า เขาคือหมอที่กำลังดังเป็นไวรัลอยู่ในตอนนี้หรือไม่ ซึ่งจิงซิงอี้บอกกับจางเซี่ยว่า เขาจะเข้าไปตอบเอง โดยส่งสติกเกอร์ที่ไม่เป็นทั้งการตอบรับและปฏิเสธ และพิมพ์ว่า
“หากสนใจการรักษาด้วยแพทย์แผนจีน จากแพทย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยแพทย์จากปักกิ่ง และเชี่ยวชาญการฝังเข็ม การใช้ยาสมุนไพร และศาสตร์อื่นๆ กรุณาติดต่อนัดเวลาได้ โดยส่งมาที่กล่องข้อความของเพจนี้ได้เลยครับ”
ที่ทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเขาต้องการจะกวนประสาท แต่เขาไม่คิดว่าการตอบว่า เขาคือหมอคนนั้นจะเป็นสิ่งดี เพราะเป็นการอวดและฉวยโอกาสโฆษณามากเกินไป
สำหรับจิงซิงอี้แล้ว การเป็นไวรัลมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของเขามีความฉาบฉวยและเป็นไปตามกระแส เขาเชื่อเสมอว่า การเป็นหมอนั้น ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและคุณสมบัติในการรักษา สำคัญกว่าการมีชื่อเสียงที่มาเร็วไปเร็วแบบดาราและอินฟลูเอ็นเซอร์อื่นๆ แต่อย่างน้อย การได้ปรากฏตัวในข่าวแบบนี้ เขาก็มองว่าเป็นเรื่องดีกับธุรกิจของเขามากกว่า
