จิงซิงอี้ แพทย์จีนจบใหม่ กลับมาเปิดคลินิกรักษาโรคที่หมู่บ้านกับคุณตาที่เลี้ยงดูเขามา เขารักษาคนไข้ที่อยู่ห่างไกล ทำธุรกิจสมุนไพร ทำแหล่งท่องเที่ยว และค้นหาความลับจากชาติกำเนิดที่เป็นปริศนาของตัวเอง เนื้อหาครึ่งแรกอยู่ในยุคปัจจุบัน ครึ่งหลังย้อนยุคไปราชวงศ์ซ่งเหนือ
ผจญภัย,แฟนตาซี,ย้อนยุค,ข้ามเวลา,จีน,จีนปัจจุบัน,แพทย์แผนจีน,พระเอกเป็นหมอจีน,ย้อนยุค,พระเอกเก่ง,พระเอกหล่อ,จิงซิงอี้,จิงซิงอี้แพทย์จีน2ยุค,ทำธุรกิจสมุนไพร,รักษาโรค,ทำสมุนไพรขาย,พบกับเปาบุ้นจิ้น,พบกับจั่นเจา,พระเอกซึนเดเระ,ผจญภัย,อบอุ่นหัวใจ,อบอุ่น,จบดี ,พระเอกอยู่กับคุณตา,ช่วยราชสำนักแก้ไขคดี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค (มี E-book ครบ 4 เล่มจบ)จิงซิงอี้ แพทย์จีนจบใหม่ กลับมาเปิดคลินิกรักษาโรคที่หมู่บ้านกับคุณตาที่เลี้ยงดูเขามา เขารักษาคนไข้ที่อยู่ห่างไกล ทำธุรกิจสมุนไพร ทำแหล่งท่องเที่ยว และค้นหาความลับจากชาติกำเนิดที่เป็นปริศนาของตัวเอง เนื้อหาครึ่งแรกอยู่ในยุคปัจจุบัน ครึ่งหลังย้อนยุคไปราชวงศ์ซ่งเหนือ
จิงซิงอี้เป็นแพทย์แผนจีนจบใหม่ ที่เก่งและมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แต่เขาตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านนอกในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งกับคุณตาของเขาที่เป็นแพทย์จีนที่มีชื่อเสียงเช่นกัน
จิงซิงอี้เริ่มต้นชีวิตที่นี่ด้วยการเปิดคลินิกขนาดเล็ก และทำทุกอย่างเอง เพื่อให้ชาวบ้านรู้จักและยอมรับ เขาไปรักษาฟรีตามสถานที่ต่างๆ และสืบสานธุรกิจสมุนไพรจากคุณตาจิงเซียว
ที่นี่ เขาไม่เพียงแต่ทำธุรกิจให้เลี้ยงตัวเองได้ เขายังสืบสานเจตนารมณ์ในการสร้างสำนักแพทย์ฉางซานตามที่คุณตาต้องการ และยังช่วยเหลือคนในหมู่บ้านให้มีรายได้เลี้ยงตัวเองไปด้วยกัน
ในแต่ละวันจะมีเคสคนไข้ที่ป่วยกด้วยโรคต่างๆแวะเวียนมาให้เขารักษา บางครั้งเขารักษาคน บางครั้งรักษาสัตว์ป่าบาดเจ็บ และบางครั้งยังช่วยทางการสืบคดีและชันสูตรศพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาพิษจากสมุนไพร!
สิ่งที่เป็นความลับของเขามาตลอด คือ จิงเซียวช่วยเหลือเขา และเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก ปริศนาชาติกำเนิดนี้ทำให้เขาได้ย้อนยุคกลับไปอยู่สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ และได้พบกับคนดังในตำนานทั้งเปาบุ้นจิ้น กงซุนเช่อ และแมวหลวงจั่นเจา
ปริศนาชีวิตของเขาและจิงเซียวได้รับการเปิดเผยจากการผจญภัยในตอนนี้นี่เอง!!!
**เล่ม 1 และ 2 ยังอยู่ในยุคปัจจุบัน และเล่ม 3 และ 4 ย้อนยุคไปราชวงศ์ซ่งเหนือ**
จิงซิงอี้พูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันรำลึกอดีตเหรอครับ”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมา จากนั้นจิงซิงอี้ก็หันไปถามจิงเซียวด้วยความอยากรู้ เพราะโอกาสที่จิงเซียวจะพูดอะไรมากๆ นั้นหายาก เขาอยากรู้รายละเอียดว่า จิงเซียวเจอเขาได้อย่างไร
“ตอนนั้นคุณตาเจอผมยังไงครับ ผมขอแบบละเอียดนะ คุณตาไม่ยอมพูดให้ชัดเจนซะที”
จิงเซียวหยุดคัดสมุนไพร เขานิ่งคิด ก่อนจะเล่าด้วยแววตาอ่อนโยนว่า
“ตอนที่เจอเจ้าน่ะหรือ ตอนนั้นเจ้าอายุประมาณ 2-3 ขวบได้”
จากนั้น จิงเซียวก็เริ่มเล่าถึงตอนที่เขาพบจิงซิงอี้ ตอนนั้น จิงเซียวอายุเข้าวัยกลางคนแล้ว เขาเริ่มมีความมั่นคงทางหน้าที่การงาน และมีชื่อเสียงจากการรักษา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีเงินและอำนาจระดับประเทศ
เขาไม่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลใดอีกต่อไป แต่ถ้าใครต้องการรักษาจะต้องติดต่อมา เขาอาจจะไปรักษาที่บ้านของคนไข้ ที่โรงพยาบาล และอาจจะให้มาพบเพื่อที่บ้านของเขาเพื่อรักษาบ้าง แต่ก็มีโอกาสน้อยมาก เพราะจิงเซียวไม่ชอบให้ใครมาที่บ้าน
หลังจากอายุ 40 ปี จิงเซียวลาออกจากโรงพยาบาลที่เชิญให้เขาไปรักษาหลายแห่ง และเริ่มออกเดินทางเพื่อเพิ่มประสบการณ์ และแสวงหาความรู้ในการปลูกและเผาจื้อสมุนไพรจากแหล่งต่างๆทั่วประเทศ
ในวันหนึ่ง เขาออกเดินทางเพราะเป็นช่วงที่เหมาะสมกับการเก็บสมุนไพรบางอย่าง และก็ทำให้เขาได้พบกับจิงซิงอี้ในที่สุด
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว จิงเซียวเดินทางคนเดียวไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศ เขาเดินเท้าเข้าไปในป่าโปร่งเพื่อมองหาสมุนไพรท้องถิ่น ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มหนาวเย็น ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงและร่วงหล่นลงพื้น
ในช่วงสายของวันนั้น เขาเดินเข้าไปในป่า ถึงแม้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่ยังดีที่มีแสงแดดสีซีดส่องลงมาที่พื้น เขาเดินตามเข็มทิศและแผนที่ที่ร่างเอาไว้โดยชาวบ้านแถวนี้ และพบกับบ้านไม้หลังเล็กๆหลังหนึ่ง ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นบ้านร้างที่ยังมีสภาพไม่ทรุดโทรมมากนัก เขาสังเกตจากภายนอกและพบว่าตอนนี้ไม่น่าจะมีใครอยู่ข้างใน
เมื่อดูนาฬิกา ก็พบว่าเวลาตอนนั้นเริ่มเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว เขาจึงตัดสินใจจะพักกินข้าวที่บ้านหลังนี้ และถ้าหายังหาสมุนไพรได้ไม่มากพอ เขาจะพักค้างคืนที่นี่
จิงเซียวเคาะประตูไม้เก่าๆของบ้านที่มีรอยแตกอยู่บางจุด เผื่อว่าจะมีคนหรือสัตว์ซ่อนตัวอยู่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป และกวาดตามองเข้าไปในบ้านที่มืดบางส่วน เพราะปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่ยังมีแสงสว่างมากพอให้เห็นภายในได้ ข้างในบ้านมืดและอับชื้นเพราะไม่มีคนอยู่และปิดประตูหน้าต่างเอาไว้นาน
ภายในบ้านไม่มีคนหรือสัตว์ซ่อนตัวอยู่ เขามองไปข้างในบ้าน และพบว่ามีเตียงทำจากอิฐก่อเอาไว้ ข้างล่างเป็นช่องเอาไว้เติมฟืนเพื่อให้ความอบอุ่นเวลานอน
เขาเดินเข้าไปช้าๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีงูหรือไม่ เพราะอากาศเริ่มเย็นแล้ว งูอาจจะซุกอยู่ใต้เตียงหรือมุมมต่างๆ เขาพบว่าบนเตียงมีผ้าที่เหมือนกับเสื้อคลุมอะไรบางอย่างเอาไว้ จิงเซียวไม่แน่ใจว่าจะเป็นข้าวของหรือจะเป็นงูนอนขดอยู่ เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และดึงมีดขนาดยาวประมาณหนึ่งฟุตที่พกติดตัวเอาไว้ออกมา เพื่อป้องกันตัว
กองผ้านั้นยังคงนิ่งไม่ขยับ เมื่อเขาเขยิบเข้าไปใกล้และชะโงกหน้ามอง เขาก็พบว่า ใต้ผ้านั้น คือเด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูวัย 2-3 ขวบนอนหลับสนิทอยู่ใต้ผ้าที่เหมือนเสื้อคลุมของผู้ใหญ่ โดยมีแค่ใบหน้าด้านข้างและมือเล็กๆโผล่มาข้างหนึ่ง เขาสังเกตเห็นว่าเด็กน้อยตัวสั่นสะท้านเป็นระยะ และใบหน้าของเขาขาวซีดมาก
จิงเซียวรีบอังหน้าผากของเด็กน้อย และพบว่าอุณหภูมิร้อนจัดมาก เขารีบปัดผ้าคลุมออก พยายามปลุกเด็กน้อย และพบว่าเขาไม่รู้ตัว จิงเซียวตรวจร่างกายของเด็กน้อย เพื่อดูว่ามีอาการบาดเจ็บและผิดปกติใดๆหรือไม่ เขาพบว่าที่ต้นแขนขวาของเขา มีเลือดซึมออกมาจากแขนเสื้อที่ขาด เมื่อเขาค่อยๆเปิดดูอย่างระมัดระวังก็พบว่า มันเป็นรอยถูกของมีคม ที่ถึงแม้แผลจะไม่ลึกนัก แต่เลือดที่ไหลออกมากลับมีสีคล้ำ บ่งบอกว่าน่าจะได้รับสารพิษเข้าไป
จิงเซียวตกใจมาก เขารีบจับชีพจร ตรวจม่านตา ฟังเสียงหัวใจเด็กน้อยหายใจถี่กระชั้น เมื่อเขาพยายามอ้าปากเด็กน้อย ก็พบว่า เหงือก ลิ้นและริมฝีปากเริ่มมีสีเขียวคล้ำ
จิงเซียวปลดเป้สะพายหลังออกมา เขาหยิบอุปกรณ์ช่วยชีวิตออกมา เขาใช้เข็มฝังสกัดพิษเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าเด็กน้อยได้รับพิษมานานหรือยัง แต่ดูจากริมฝีปากที่เริ่มเขียวคล้ำ น่าจะเป็นเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง จิงเซียวใช้ถุงมือยางหมดไปแล้วจากการรักษาชาวบ้านที่เขาพบระหว่างเดินทาง เขารอช้าไม่ได้ จึงตัดสินใจรักษาเด็กน้อยโดยไม่สนใจพิษทันที
เขาฝังเข็มเพื่อสกัดพิษ โดยสังเกตจากสีผิวและเส้นเลือดที่พอจะมองเห็นด้วยตาเปล่า จากนั้น เขาค้นหายาสมุนไพรที่เขาพกติดตัวมาเท่าที่มี คือ เซิงกันเฉ่า ขู่เจี๋ยเกิง และหนิวป้างจื่อที่เป็นผง ละลายน้ำและค่อยๆป้อนปากเด็กน้อย จากนั้นเขาฝังเข็มเพื่อพยายามขับเสียชี่หรือสารพิษ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดอาการต่างๆ เท่าที่เขาจะทำได้ตามอุปกรณ์ที่มี
จิงเซียวชุลมุนอยู่กับการช่วยชีวิตเด็กน้อย จนเวลาผ่านไปเกือบบ่ายสามโมงแล้ว เขารีบห่อตัวเด็กน้อยด้วยเสื้อที่คลุมเดิมที่พบ และใช้เสื้อคลุมของเขาเองห่อร่างเด็กน้อยเอาไว้อีกชั้น เขาตัดสินใจพาเด็กน้อยออกจากป่าเพื่อไปโรงพยาบาลทันที เขาแบกเด็กชายไว้ที่หลังและใช้เสื้อมัดเด็กชายเอาไว้กับตัวเขาเอง
จิงเซียวเดินด้วยความเร็วเท่าที่เขาจะทำได้ โชคดีที่ตอนนี้ใบไม้ในป่าร่วงหล่นไปมาก ทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น และเขาเป็นคนชอบทำเครื่องหมายกันหลงเอาไว้เวลาเดินป่า เขาจึงเดินกลับทางเดิมได้ไม่ยาก
จิงเซียวพาเด็กชายเดินออกมาถึงหมู่บ้านข้างนอก เขาขอให้ชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเขาที่ตัวเมืองขนาดเล็ก ที่นี่มีสถานีตำรวจ และได้ตำรวจขับรถพาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่อีกที
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ได้เวลาเย็นมากแล้ว เขาบอกอาการของเด็กน้อยกับหมอและพยาบาลที่นั่น และบอกว่าเขาเป็นหมอด้วยเช่นกัน จากนั้นเขาจึงเข้าไปในห้องผ่าตัดเพื่อดูการรักษาเด็กน้อยด้วย หมอพยายามหาทางจัดการกับแผลที่เหมือนรอยโดนฟันด้วยมีดหรือดาบ และใช้ยารักษาพิษเท่าที่จะได้ จิงเซียวรู้ดีว่าโรงพยาบาลเล็กขนาดนี้ไม่สามารถรักษาเด็กชายได้ เขาต้องการพาเด็กชายกลับบ้านเพื่อใช้สมุนไพรและวิธีต่างๆเพื่อรักษาเด็กชาย
ระหว่างที่เด็กน้อยนอนให้น้ำเกลือและสารอาหาร เขาออกไปหาสมุนไพรเท่าที่จะหาได้เพื่อรักษาพิษ สิ่งที่เขากังวลใจ คือ เขาไม่รู้เลยว่าเป็นพิษอะไร และต้องรอให้เด็กชายมีร่างกายที่แข็งแรงก่อน จึงจะย้ายกลับไปบ้านที่ปักกิ่งได้
จิงเซียวส่งเลือดของเขาไปตรวจหาสารพิษ และกว่าจะได้ผลก็ใช้เวลา ในที่สุดก็พบว่า พิษที่เด็กชายได้รับเป็นพิษที่ไม่เคยพบมาก่อน เขาทำได้แค่เพียงให้ร่างกายของเด็กชายขับสารพิษออกทีละน้อย และพยายามบำรุงร่างกายให้แข็งแรงพอที่จะสู้กับพิษได้
ในระหว่างที่รอให้เด็กชายฟื้น จิงเซียวนึกถึงความแปลกหลายอย่างที่พบ อย่างแรกนั้น เขาพบว่าเด็กชายนอนอยู่คนเดียวในบ้านร้าง โดยไม่มีใครอยู่ด้วยเลย อย่างที่สองเขาพบเด็กชายแต่งตัวด้วยเสื้อและกางเกงที่เหมือนกับหลุดออกมาจากยุคโบราณ
เขาหยิบเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเด็กชายออกมาดู ถึงจะเป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บแบบเรียบง่าย แต่เป็นผ้าฝ้ายอย่างดี และที่สำคัญ เด็กชายไว้ผมยาวประมาณบ่า และมัดเอาไว้ด้วยริบบิ้นที่ทำจากผ้าไหม จิงเซียวสงสัยว่า เขาถูกลักพาตัวมาในขณะที่กำลังเล่นละครโรงเรียน หรือเป็นตัวละครเด็กที่กำลังเข้าฉากถ่ายหนังหรือเปล่า
ในช่วงสายของวันต่อมา เด็กชายจึงรู้สึกตัวในที่สุด เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองไปรอบห้องและมองมาที่จิงเซียวซึ่งนั่งหลับอยู่ เด็กน้อยขยับตัวและส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นก็ไอจนตัวงอ เด็กชายร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บแผล ไม่สบายตัว และตกใจกลัว
จิงเซียวสะดุ้งตื่นขึ้น เขารีบลุกมาดูอาการของเด็กน้อย เขาเช็คชีพจรในขณะที่กดปุ่มเรียกนางพยาบาลด้วย เด็กชายร้องไห้ไม่หยุดจนเขาต้องโอบกอดเด็กน้อยและตบหลังปลอบใจอย่างเก้ๆ กังๆ
เมื่อหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกาย เด็กน้อยยังคงกอดจิงเซียวเอาไว้แน่น เขามีอาการดีขึ้น หมอที่รักษาบอกว่า โชคดีมากที่เด็กชายพบกับจิงเซียวและได้รับการรักษามาก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่รอดชีวิต พวกเขาไม่เข้าใจว่าใครกันที่ช่างโหดร้าย จนใช้ดาบอาบยาพิษทำร้ายเขา และปล่อยให้เขานอนรอความตายอยู่คนเดียวกลางป่า
ถึงแม้จะสอบถามข้อมูลอะไร เด็กชายก็ตอบไม่ได้ เหมือนเขาจะจำอะไรไม่ได้ ทั้งจิงเซียวและหมอที่รักษาต่างคิดว่า ยาพิษและอาการไข้สูง อาจส่งผลต่อสมองบางส่วนของเขา
เมื่อหมอและนางพยาบาลเดินออกไป เด็กชายยกแขนสองข้างขึ้นมาเหมือนจะให้จิงเซียวอุ้ม จิงเซียวจึงอุ้มเด็กชายขึ้นมาอย่างระมัดระวังไม่ให้สายน้ำเกลือหลุด เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด เมื่อเด็กชายกอดคอเขาเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจิงเซียวจะทิ้งเขาไป
นับตั้งแต่นั้นมา ชะตาชีวิตของพวกเขาก็ผูกติดเข้าด้วยกัน และผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันจนถึงทุกวันนี้
จิงเซียวแจ้งความกับตำรวจ และพยายามสืบหาญาติของเด็กชาย แต่ก็ไม่มีใครมาแสดงตน ตามหลักแล้ว เด็กชายจะต้องถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์ แต่จิงเซียวทนไม่ไหว เขารู้สึกผูกพันกับเด็กน้อยอย่างประหลาด เขาจึงตัดสินใจรับเขาเป็นลูกบุญธรรม แต่ก็เลี้ยงเขาเหมือนหลานชายมากกว่า เพราะอายุที่ห่างกัน
จิงซิงอี้ถามขึ้นมาหลังจากจิงเซียวหยุดเล่าว่า “ทำไมผมถึงไปนอนอยู่ในบ้านร้างหลังนั้นได้ครับคุณตา มันแปลกมากเลยนะ”
จิงเซียวส่ายหัวและตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นเจ้า 2-3 ขวบเอง จะต้องมีคนพามา แต่ทำไมถึงต้องทำร้ายเจ้าขนาดนั้นด้วยล่ะ”
จิงซิงอี้พูดติดตลกด้วยแววตาที่ไม่ตลกว่า “หรือจะเหมือนในหนังครับ มีคนพาผมหนีมา แล้วทิ้งผมไว้ที่นี่”
จิงเซียวและชุนเฉิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม จิงเซียวก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าไปคิดอะไรอีกเลยเสี่ยวอี้ มันผ่านมาหลายสิบปีแล้ว”
ชุนเฉิงพยายามเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มหนักขึ้น เขาพูดขึ้นมาว่า “พี่เจอกับนายครั้งแรกตอนพี่อายุ 12-13 ขวบ มาอยู่กับอาจารย์ได้ 2-3 ปีแล้ว แต่พี่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะเข้าโรงเรียนประจำ ตอนนั้นอาจารย์ต้องทำงานอยู่ จึงไม่มีเวลาดูแลพี่
ตอนที่อาจารย์พานายกลับมาด้วย พี่กำลังปิดเทอมพอดี พี่เห็นนายกอดอาจารย์แน่นเป็นลูกลิง อาจารย์ไปไหน นายก็ไปด้วย ถ้าไม่เห็นอาจารย์ นายจะร้องไห้วิ่งหาลั่นบ้าน แล้วตอนนายมาใหม่ๆ ก็ผอมหัวโตเชียว ฮ่าๆๆๆ”
จิงซิงอี้ฟังด้วยความสนใจ พวกเขายังมีรูปถ่ายตอนเด็กด้วย จิงเซียวเป็นคนที่ชอบเก็บความทรงจำด้วยภาพถ่าย ทั้งเขาและชุนเฉิงมีรูปถ่ายในวันแรกที่เจอจิงเซียว และยังคงมีมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
จิงซิงอี้นึกถึงตอนเจอชุนเฉิง ที่จริงแล้ว เขาพอจะจำได้ว่า หลังจากที่เขามาอยู่กับจิงเซียว ช่วงไหนที่ไม่อยู่กับจิงเซียว ก็จะมีแม่บ้านที่ไว้ใจได้มาคอยดูแลเขา ช่วงไหนปิดเทอม ชุนเฉิงจะกลับบ้านมาอยู่กับเขาตลอด
จนเมื่อชุนเฉิงอยู่มัธยมปลาย เขาถึงต้องย้ายไปอยู่หอพักใกล้โรงเรียนเพื่อเรียนให้เต็มที่ แต่ถ้ามีวันหยุด เขาจะกลับบ้านมาอยู่กับจิงซิงอี้
ชุนเฉิงรู้สึกรักและผูกพันกับเด็กชายมาก อาจจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นเด็กกำพร้าที่จิงเซียวช่วยชีวิตและนำมาเลี้ยงดูเหมือนกัน ทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกัน และจิงซิงอี้ยังมีบุคลิกที่เหมือนกับเขาและจิงเซียว คือ ชอบสันโดษ พูดน้อย และตั้งใจเรียน ทำให้ชุนเฉิงเหมือนเป็นพี่ชายของจิงซิงอี้อีกคน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีอายุห่างกัน 10 ปี ก็ตาม
จนเมื่อลั่วเยี่ยนเข้ามา เป็นช่วงที่ชุนเฉิงต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง และจิงเซียวกับจิงซิงอี้ก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ทำให้เขาไม่ได้กลับบ้านสักเท่าไหร่ จึงไม่มีโอกาสได้พบลั่วเยี่ยนในช่วงนั้น
แต่เมื่อจิงเซียวเล่าให้ฟัง และบอกเขาว่า จิงซิงอี้ชอบลั่วเยี่ยนมาก ชุนเฉิงจึงเปิดใจยอมรับลั่วเยี่ยน เขารู้ดีว่า จิงซิงอี้ไม่ได้สนิทสนมกับใครง่ายๆ ถ้าเขายอมรับใคร แสดงว่าคนๆนั้นต้องเป็นคนดีและไว้ใจได้ ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาสี่คนก็เริ่มต้นชีวิตการเป็นศิษย์อาจารย์ร่วมสำนักเดียวกัน
ครั้งหนึ่งจิงซิงอี้ถามจิงเซียวตอนที่เขากำลังคัดลายมือด้วยพู่กันเมื่ออายุได้ 6-7 ขวบว่า ทำไมจิงเซียวถึงตั้งชื่อว่าสำนักฉางซาน ชายชราตอบว่า
“ฉางซานเป็นภูเขาที่ตาเคยไป แล้วก็ได้ตื่นรู้เรื่องการใช้ชีวิตที่นั่น”
เด็กชายไม่ค่อยจะเข้าใจนัก แต่เขายังถามต่อด้วยเสียงแบบเด็กๆว่า
“แล้วภูเขาฉางซานอยู่ตรงไหนครับ”
จิงเซียวตอบทีเล่นทีจริงว่า
“อยู่อีกมิติหนึ่ง ที่คนบนโลกนี้เข้าไปไม่ถึง”