เด็กชายกล้าหาญต้องจบชีวิตลงเพราะคำนาย แต่จู่ ๆ เขาต้องฟื้นคืนชีพในฐานะคนใหม่ทั้งที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้ ทุกคนจะยังคงโกหกเขาคนนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน

สิงหดาบ - ตอนที่ ๕ เชษฐวิรุฬห์ คุณหลวงชาญ... โดย ปิ่นไทวา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,รัก,ตลก,ลึกลับ,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สิงหดาบ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,รัก,ตลก,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

สิงหดาบ โดย ปิ่นไทวา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เด็กชายกล้าหาญต้องจบชีวิตลงเพราะคำนาย แต่จู่ ๆ เขาต้องฟื้นคืนชีพในฐานะคนใหม่ทั้งที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้ ทุกคนจะยังคงโกหกเขาคนนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน

ผู้แต่ง

ปิ่นไทวา

เรื่องย่อ

สิงหดาบ ย่อมาจากสิง (โต) หักดาบ

สิงโตแทนบุคคลสำคัญ หักดาบแทนการสละเลือดเนื้อ

ใครกันนะคือสีหราช... เหตุอันใดสีหราชต้องสิ้นชีพลงเพื่อทุกคน 

ทุก ๆ อย่างมันเกิดขึ้นด้วยเพียงคำทำนายจากสรวงสวรรค์ส่งสารไปยังทุกคน

เขาคนนั้นมีความลับคือ อนาคตที่ลับแล อนาคตที่แม้แต่เครื่องฉายจิรกาลยังตามมิทัน

ต่อจากไปนี้ โปรดระมัดระวังสิ่งรอบข้างให้มากที่สุด เพราะการทรยศ

ล้วนแปรพักตร์กันเมื่อใดก็ได้ อย่าได้ลืมเสียว่าตนเป็นใคร

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุด

เพราะสมองอันล้ำค่า

 

นิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายแนวสืบสวน โรแมนติก ดราม่า แฟนตาซี และพีเรียดที่เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น                 

เรื่องราวต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาในเรื่องของประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้เขียนได้ทำการสร้างตัวละคร สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อดำเนินเรื่อง อาจมีเนื้อหาบางอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรม อาหาร อ้างอิงจากความจริง 

 

TW : ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย/การใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะทางร่างกาย จิตใจ คำพูด ความรุนแรงในครอบครัว (พ่อแม่ของตัวเอก)

การทำแท้งโดยไม่ได้ตั้งใจ (เมียรองของพ่อของตัวเอก) 

การดูถูกเหยียดหยาม การทำร้าย ใช้ความรุนแรงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ (ฝั่งตัวร้าย)

ยากระตุ้นความต้องการทางเพศ จำพวกยาเสน่ห์ใช้ภายในเรื่อง 

ปีศาจ การตัดแขนและขา กินเนื้อกินเลือดทั้งเผ่าพันธุ์เดียวกันและต่างเผ่าพันธุ์เดียวกัน (ฝั่งตัวร้าย)

โลกเหนือธรรมชาติ ฆาตกรรม เลือด ลักพาตัว การทำร้ายทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน(เป็นเรื่องราวจากปากต่อปาก ไม่มีการบรรยายฉากนี้แน่นอนเจ้าค่ะ) ค้ามนุษย์ บังคับเสพยาเสพติด ทารุณกรรมเด็ก อาการซึมเศร้า มีอาการประสาทหลอน ฆ่าตัวตาย การตัดหัวประหารชีวิต

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชื่นชอบการเห็นผู้อื่นเจ็บปวด 

คำหยาบคาย พูดจาส่อเสียด แบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว การเป็นทาส

 

แนะนำตัวละคร นายเอก

 

Cr. Zair or Twitter ของนักวาด : @pinkyxpsycho

ชื่อ : เสือ

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนกลางของพ่อสิงห์และแม่มะลิ

ตำแหน่ง : คุณหลวงหน่วยสืบสวนภามณีดา ภาคกลาง 

ฉายา : พ่อเสือร้อยเมีย

ข้าต้องตามหาความจริงและความยุติธรรมให้พี่กล้าให้ได้

Cr. Twitter ของนักวาด : @seerdarker

พระเอก 

ชื่อ : เชิง

ตำแหน่ง : คุณหลวงหน่วยสืบสวนนภาราม จากภาคเหนือ

ฉายา : พ่อเชิงปากหมา

พี่ชายนายคือกุญแจสำคัญของคดีระดับชาติ

 

 

Cr. Twitter ของนักวาด : @Mikumee_

ชื่อ : กล้า

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อสิงห์และแม่มะลิ

สถานะ : สิ้นชีพแล้วเมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์

ถึงเวลาของข้าแล้ว...

 

ชื่อ : มณี

อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่มะลิ

ตำแหน่ง : หมื่นมณี สิงหดาบ หนึ่งในหน่วยสืบสวนลับ

ฉายา : แม่หญิงคนแกร่งแห่งหน่วยสืบสวน

 

ชื่อ : พวงทอง

อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนโตของพ่อสิงห์และแม่สร้อย

ตำแหน่ง : พี่สาวคนโตของบ้าน แม่อีกคนของน้อง ๆ ทำหน้าที่คอยดูแลเรือนเป็นอย่างดี

ฉายา : แม่นม

อย่าดื้อนัก ข้าไม่ได้ดีใจเหมือนพวกแม่ ๆ ของเจ้า

 

ชื่อ : สิน

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่สร้อย

ตำแหน่ง : เป็นลูกชายเอาแต่ใจอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำอะไร ทำตัวเป็นคุณชาย

นิสัย : ลูกแง เอาแต่ใจ เป็นคนหัวอ่อนต่อโลกค่อนข้างมากต่างจากพี่สาวของเขา มักโดนหลอกอยู๋บ่อย ๆ 

อย่ามาแตะต้องตัวข้า ข้าเป็นบุตรชายของบ้านสิงหดาบเชียวนะ

 

ชื่อ : เดื่อ 

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเดียวของพ่อสิงห์และบ่าวแพง

นิสัย : กล้าหาญและก้าวร้าวมาก ๆ เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย อยากรู้อยากเห็น ติดเพื่อนมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง จนกระทั่งได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้นิสัยของเขาเริ่มเปลี่ยนไป

ตำแหน่ง : ความลับ

แม่ข้าตายไปแล้ว ข้าเหลืออะไรบ้างไหม แม่ข้าเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้คนนึง

 

ชื่อ : สุข

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อสิงห์และแม่พิมพา (แฝดพี่)

นิสัย : หวาดระแวงกับทุกอย่างในชีวิตเพราะตั้งแต่เด็กโดนลักพาตัวมากกว่า 3 ครั้ง จนครั้งล่าสุดจัดเป็นคดีค้ามนุษย์ที่สุขเป็นเหยื่อคนแรกที่มีชีวิตรอดออกมาได้ ทำให้ปมครั้งนี้เขามีนิสัยกลัวการออกสังคม กลัวการเจอคนแปลกหน้า จึงถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในบ้าน บางครั้งแม่พวงทองสงสารจึงชวนไปทำกิจกรรมร่วมกันด้วย

ข้ากลัว...

 

ชื่อ : จันทร์

อันดับครอบครัว : บุตรสาวของรองของพ่อสิงห์และแม่พิมพา (แฝดน้อง)

นิสัย : ร้อนใจ เข้มแข็งทุก ๆ สถานการณ์ อิจฉาพี่น้องต่างแม่มากที่สุด

 

ชื่อ : นิ่มนวล

อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่พิมพา

นิสัย : ใจดีมาก ๆ นิสัยต่างขั้วกับพี่สาวของเธออย่างแม่จันทร์เลย เป็นผู้หญิงที่มีความคิดสวยงาม อ่อนโยนและอ่อนต่อโลกด้วย 

 

ชื่อ : แย้ม 

อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนโตของพ่อสิงห์และแม่เรไร

นิสัย : เอาแต่ใจ ค่อนข้างกัดจิกกับทุกคนในแม่ รวมถึงแม่ของตนเองด้วย เป็นคนรอบรู้เรื่องของชาวบ้านที่สุด

 

ชื่อ : บังอร

อันดับครอบครัว : บุตรสาวของรองของพ่อสิงห์และแม่เรไร

นิสัย : เป็นบุคคลที่โดนเลี้ยงมาโดยการตามใจมาโดยตลอด และยังมีใบหน้าสวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง จึงทำให้มีความคิดหลงตัวสูง และคิดว่าตัวเองทำอะไรมักจะถูกต้องเสมอ

 

ชื่อ : เดช 

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่เรไร

นิสัย : สู้สุดใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งแม้จะเคยโดนลักพาตัวไปครั้งเดียว ก็พยายามพาตัวเองออกจากปมให้ได้ นักว่าเป็นบุคคลที่เก่งด้วยตัวเองอีกคน มีนิสัยใจเย็นกว่าพี่น้องของแม่เรไรหมดเลย

 

ชื่อ : จ้อย

อันดับครอบครัว : กำพร้า เป็นเด็กวัดภาคเหนือ

นิสัย : มีความเห็นอกเห็นใจแต่ก็ยังมีบางมุมที่เป็นคนใจร้าย

ตำแหน่ง : ความลับ

 

ชื่อ : ชาญ

อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อแม่คู่นึงจากภาคกลาง

นิสัย : นิ่งเงียบ แต่การตัดสินใจค่อนข้างฉลาดกันเลยทีเดียว

 

ลำดับพี่น้อง 

พ่อกล้า > พ่อเสือ > พ่อเดื่อ > แม่พวงทอง > แม่มณี > แม่แย้ม > พ่อสุข > แม่จันทร์ > พ่อสิน > แม่บังอร > แม่นิ่มนวล > พ่อเดช

 

คู่เอก เชิง - เสือ - ชาญ

คู่รอง กล้า - จ้อย , วีรดา - มณี

สารบัญ

สิงหดาบ-ตอนที่ ๑ คดีฆาตกรรมหมู่บ้านรัตติกาล,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒ พระยาธารา,สิงหดาบ-ตอนที่ ๓ พ่อเสือแปรพักตร์,สิงหดาบ-ตอนที่ ๔ (๑/๒) ครอบครัวตระกูลสิงหดาบ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๔ (๒/๒) ครอบครัวตระกูลสิงหดาบ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๕ เชษฐวิรุฬห์ คุณหลวงชาญ...,สิงหดาบ-ตอนที่ ๖ ป่ามนต์ทัช,สิงหดาบ-ตอนที่ ๗ (๑/๒) เผ่ากินคน,สิงหดาบ-ตอนที่ ๗ (๒/๒) เผ่ากินคน,สิงหดาบ-ตอนที่ ๘ (๑/๒) บู้มบู้มตัวน้อยไม่สบาย,สิงหดาบ-ตอนที่ ๘ (๒/๒) บู้มบู้มตัวน้อยไม่สบาย,สิงหดาบ-ตอนที่ ๙ (๑/๒) อดีตตรีทิพย์ทิศ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๙ (๒/๒) อดีตตรีทิพย์ทิศ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๐ (๑/๒) กรกาณฑ์ อดีตตรีทิพย์ทิศปรากฎตัว,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๐ (๒/๒) กรกาณฑ์ อดีตตรีทิพย์ทิศปรากฎตัว,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๑ (๑/๒) ปีศาจโชนผู้ว่องไวลำดับที่สาม,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๑ (๒/๒) ปีศาจโชนผู้ว่องไวลำดับที่สาม,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๒ (๑/๒) สุสานยาพิษใต้น้ำลึก,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๒ (๒/๒) สุสานยาพิษใต้น้ำลึก,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๓ (๑/๒) ปีศาจปรุงยาพิษและยารักษาอย่างแก้วตา,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๓ (๒/๒) ปีศาจปรุงยาพิษและยารักษาอย่างแก้วตา,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๔ (๑/๒) พ่อกล้าตัวจริงปรากฎตัวแล้ว,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๔ (๒/๒) พ่อกล้าตัวจริงปรากฎตัวแล้ว,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๕ (๑/๒) ลูกกล้ากลับบ้านเถิด,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๕ (๒/๒) ลูกกล้ากลับบ้านเถิด,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๖ (๑/๒) ย้อนรอยอดีตของพ่อกล้า,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๖ (๒/๒) ย้อนรอยอดีตของพ่อกล้า,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๗ (๑/๒) ความฝันของเด็กชายจ้อย ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๗ (๒/๒) ความฝันของเด็กชายจ้อย,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๘ (๑/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๘ (๒/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๙ (๑/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก ๒,สิงหดาบ-ตอนที่ ๑๙ (๒/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก ๒ ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒๐ (๑/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก ๓,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒๐ (๒/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก ๓,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒๑ (๑/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก ๔,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒๑ (๒/๒) สายสัมพันธ์พี่น้องของลูกศิษย์เอก ๔ ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒๒ (๑/๒) ความลับใด ๆ ก็ไม่อาจเก็บไว้ได้ตลอดกาล ,สิงหดาบ-ตอนที่ ๒๒ (๒/๒) ความลับใด ๆ ก็ไม่อาจเก็บไว้ได้ตลอดกาล ,สิงหดาบ-แจ้งข่าวสารครั้งที่ ๑ ...

เนื้อหา

ตอนที่ ๕ เชษฐวิรุฬห์ คุณหลวงชาญ...

ครบรอบหนึ่งปีที่คุณหลวงเชิงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และในช่วงเพลานี้หมู่บ้านรัตติกาลยังคงเป็นปริศนาเช่นเคย ส่วนสามเพื่อนคนสนิทของเสือได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจนสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมเช่นเคย เมื่อไม่กี่วันมานี้พระยาธาราพาพรรคพวกไปข่มขู่หลวงสามเพื่อให้สามสงบปากสงบคำกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ณ เรือนเครื่องสับของคุณหลวงสาม

“คุณสามขอรับ มีคนมาหาคุณท่านขอรับ” บ่าวชายของคุณหลวงสามเอ่ยหลังจากตนรีบวิ่งขึ้นมาบนเรือนเพื่อบอกให้คุณท่านทราบ

“ผู้ใดฤๅ”

“ข้าเอง” เรือนร่างหนาของเจ้าของเสียงปรากฎตัวให้หลวงสามเห็นมาพร้อมลูกน้องของตนทั้งหกคน

“พระยาธาราเองฤๅ” ดวงตาของสามเบิกกว้างโตอย่างไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างพระยาธาราจักกล้ามาเยือนเรือนของเขาอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้

หลวงสามรับรู้ว่าในเรือนตนมีทั้งเมียที่รักและลูกชายของตนอยู่ จึงมิอยากให้พวกเขามารับรู้กระไรเกี่ยวพระยาธารา เพราะหลวงสามเองก็เพิ่งโดนพระยาธาราปองร้ายมาก่อนจึงมิรู้ว่าพระยาธาราจักมาไม้ใด ยิ่งลูกชายของเขาสั่นไหวไปทั้งตัวจนหลบอยู่หลังมารดาของตน แม้รอยยิ้มของพระยาธาราที่เผยออกมามันแฝงไปด้วยความลุ่มลึกที่มิสามารถคาดเดาได้ สามเลยเชิญพระยาธาราไปคุยราชการข้างในซึ่งเป็นชานพักสำหรับรับแขกโดยเฉพาะ มีฉากไม้สักฉลุลายกั้นไว้เพื่อมิให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเขากำลังจักพูดคุยกระไรกัน ทั้งคุณหลวงสามและพระยาธารานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างงดงามโดยสล่าหรือช่างไม้มากฝีมือ ลูกน้องของพระยาธารายืนดาหน้าอยู่หลังพระยาธาราไม่ไกล ทำให้บ่าวชายของคุณหลวงสามรู้สึกไม่ไว้วางใจจึงพาบ่าวชายของตนมาช่วยกันดูแลคุณหลวงสามอย่างใกล้ชิดโดยที่คนสนิทนั้นอยู่เคียงข้างคุณสามคอยรับสำรับ อาหารคาวหวานและเครื่องดื่มให้คุณท่านตามหน้าที่

“ข้าว่าเรามาตกลงกันดีกว่าหนา” พระยาธาราพูดโดยที่ตนเองกำลังชื่นชมมีดขนาดเล็กเป็นอาวุธคู่ใจไปด้วยก่อนจักกวาดสายตามามองคนตรงหน้า

“เลิกทำคดีนี้เสีย ไม่ก็ลาออกจากตำแหน่งจักดีกว่า ข้าถือว่าข้ามาเตือนเจ้าก่อนหนา” พระยาธาราพยายามพูดจาเป็นมิตรแต่แอบแฝงด้วยการข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาความลับของหมู่บ้านแห่งนี้ไว้

“ไยข้าต้องทำตามที่ปากท่านว่าด้วยล่ะ” สามเอ่ยถามด้วยการข่มอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมา จู่ ๆ ก็มาขอให้เลิกทำในสิ่งที่ตนควรจักทำมันต่อไปด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีกับอาชีพนี้ ชาวบ้านต่างเชื่อใจให้พวกเรามาช่วยกันดูแลและปกป้องภัยอันตรายในบ้านเมืองนี้ หาใช่เรื่องไม่

“เพราะเมียและลูกชายของเจ้า... คงจักเข้าใจดีหนาว่าข้ากำลังจักหมายความว่าเยี่ยงไร” พระยาธาราพูดเป็นนัย ๆ ให้อีกฝ่ายคิดเอาเองว่าตนจักสามารถทำกระไรได้บ้าง แววตาของพระยาธาราเชือดเฉือดราวคมมีด

“ถึงข้าจักเงียบไว้ ข้าเชื่อว่าต้องมีใครสักคนที่พร้อมจักลุกขึ้นสู้กับท่านอย่างแน่นอน” สามพูดด้วยน้ำเสียงแข็งแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกเอนหลังอย่างขัดเคืองใจและมิได้เจาะจงว่าเป็นผู้ใด แต่เชื่อว่าวันหนึ่งต้องมีคนที่สามารถต่อกรกับพระยาธาราได้เป็นแน่

“ข้าว่าคนฉลาดอย่างเจ้าน่าจักรู้ข่าวลือของข้ามามากหนา คุณหลวงที่รับผิดชอบคดีนี้แทบจักเสียชีวิตไม่ก็เป็นบ้ากันทุกคน... เอาล่ะข้าเล่าเรื่องของข้ามากเกินไปล่ะ กลับไปคิดเสียดี ๆ” พระยาธาราเอ่ยขู่คนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจักพูดส่งท้ายแล้วทุบโต๊ะเสียงดังอย่างโมโหจนทำให้ทั้งหลวงสามและผู้คนรอบข้างสะดุ้งตกใจและรู้สึกเกรงกลัวพระยาธารา พระยาธาราจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปตรงนั้นพร้อมกับลูกน้องที่ยืนเฝ้าระวังรอบ ๆ บริเวณให้

 

ณ เรือนสิงหดาบ

"เจ้าจักยอมพวกมันไม่ได้นะ" เสือไม่เห็นด้วยเหลังจากที่ได้ยินสหายสนิทของตนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง

"แต่ว่าครอบครัวพี่สามจักตกอยู่ในอันตรายหนาเจ้าค่ะ" มณีเอ่ยด้วยความกังวลความปลอดภัยของครอบครัวพี่สามหลังจากนี้ มันเสี่ยงเกินไป

"มันต้องมีสักทางที่เราจักสามารถหาหลักฐานมัดตัวพระยาธาราให้ได้สิ" เสือกล่าวออกไปด้วยความสับสนและหมดหนทางวิธีการแทรกซึมไปยังพระยาธารา ได้แต่พูดออกไปด้วยความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ

"รู้เรื่องคุณหลวงคนใหม่ที่จักเข้ามารับผิดชอบคดีนี้ฤๅไม่" สามถามเจ้าคนกำลังหัวเสียกับเรื่องนี้อยู่

"ผู้ใดฤๅ" เสือถามกลับอย่างไม่รอช้า

"เชษฐวิรุฬห์ หลวงชาญจาก สน.นภาราม มาจาก สน.เดียวกับหลวงเชิง" สามอธิบายออกไปด้วยความสงสัยไปพร้อม ๆ กันกับสิ่งที่ตนเองพูด

"เอ็งสงสัยอันใดฤๅ สาม" เสือสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนสนิทตนมีอาการงุนงงกับคำพูดของตัวเองเลยเอ่ยถาม

"ไย สน. นภารามต้องลงมาสืบคดีนี้ ทั้ง ๆ คดีนี้ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของ สน.รัตติกาล" เพื่อนสนิทอย่างสามถามอย่างไม่เข้าใจ

"คงจักเป็นคดีระดับชาติกระมัง ถึงได้ส่งหน่วยสืบสวนอื่นมาดูแลคดีนี้ด้วย"

"แต่ไยทางผู้ใหญ่เราใจเย็นเกินไปราวกับว่าคดีนี้เป็นคดีเล็ก ๆ เลยนะ"

"หมายความว่าเยี่ยงไรฤๅ"

"เป็นไปได้ฤๅไม่ว่า พวกเรามิควรไว้ใจผู้ใดใน สน. เราได้เลย เพราะนอกจากคดีนี้แล้วผู้คนในละแวกก็แทบจักผิดปกติกันทุกคน"

"..." ทั้งสามคนต่างพากันเงียบและคิดทบทวนในประโยคของสามที่เพิ่งหลุดออกไปเมื่อครู่และในยามนี้พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงและส่องแสงแดดกระจายตัวออกไปทั่วหล้านี้ พร้อมทั้งอุณหภูมิความร้อนของพระอาทิตย์ยังแพร่มันออกมายังพื้นโลกนี้ ต้นข้าวสีเขียวขจีที่ถูกปลูกด้วยน้ำมือชาวนา เจริญเติบโตมาอย่างงอกงามสะกดตา เหล่าผู้คนนั้นกำลังคึกคักกับกิจกรรมประเพณีประจำย่านนี้ ก็คือ ประเพณีวิ่งควาย

เหล่าชาวนาในย่านของเจ้าพระยาทิวากรต่างร่วมแรงร่วมใจกันนำควายของตนเองมาเดินขบวนลากเกวียนโดยมีควายเผือกเดินนำขบวนแรก บนเกวียนนั้นมีพระพุทธรูป โต๊ะตั้งบูชา พวกเขาจัดเรียบเรียงไว้อย่างระมัดระวังมิให้ของเหล่านี้ตกหล่นจากเกวียน ขบวนหลังจากนี้เป็นขบวนของเจ้าภาพอย่างพระยาทิวากรและพรรคพวกของเขา ขบวนสุดท้ายนำด้วยควายที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าสีสันสวยงามคุมลงบนตัวและเขาของควายยังถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ไม่เพียงเท่านี้ขบวนท้ายสุดเป็นขบวนของเหล่าชาวนาต่างพากันแต่งเสื้อผ้าสีสันสวยงาม บ้างก็แต่งเป็นควาย บ้างก็แต่งเป็นหญิงงาม บ้างก็แต่งเป็นเด็กน้อยกำลังขี่ก้านกล้วย เกวียนขบวนกลางถูกตกแต่งด้วยผ้าและดอกไม้อย่างสวยงาม ทุกคนบนเกวียนต่างพากันยกมือไหว้ชาวบ้านชาวนาที่ควายนำขบวนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นแหล่งรวมใจของพวกเขา

"ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าไม่ต้องตามข้ามา" เสือบ่นออกไปโดยที่ตนกำลังนั่งลงบนหลังควายสีดำรูปร่างกำยำตัวหนึ่ง เพราะตนได้ออกปากเตือนน้องสาวอย่างแม่มณีไปแล้วว่ากิจกรรมนี้ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงบอบบางเช่นแม่มณี

"ไยพี่เสือชอบดูถูกน้องเสียจริง ถ้าพี่กล้ายังอยู่ พี่กล้าคงไม่บ่นเหมือนพี่เสือเป็นแน่" แม่มณีพูดด้วยน้ำเสียงโกรธและงอนพี่ชายสุดที่รักของตนเอง ในขณะที่กำลังเดินตามพี่ชายและควายตัวนั้นอยู่เคียงข้างทั้งที่ใบหน้าของเธอกำลังย่นจมูกแสดงความไม่พอใจ ดวงตาเรียวขุ่นหมองก่อนจักเบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วยกแขนทั้งสองข้างยกขึ้นมากอดอกไว้

"แต่กระผมเห็นด้วยกับคุณเสือหนาขอรับ ประเพณีนี้เหมาะกับผู้ชายที่มีพละกำลังมาก ๆ" ขวานลูกน้องของหลวงสามเองก็ตามมาด้วยและยังเป็นผู้คนที่กำลังจับเชือกบริเวณจมูกควายเพื่อจูงควายให้เดินตามตน ซึ่งจริง ๆ ก็ตามกันมาหมดทั้งทีม

"จ่าขวาน... แต่ว่าข้าเองก็มีร่างกายที่แข็งแรงดีแม้จักไม่ได้บึกบึนราวกับชายใด ข้าเองก็มีความล่ำสันไม่น้อยเชียวนะ ดูสิ ดูสิ ดูสิพี่เสือ ให้ข้าลงแข่งบ้างสิ" แม่มณีกำลังอ้อนวอนขอร้องด้วยความอยากลงแข่งและเปิดเผยเรือนร่างบริเวณแขนเพื่อโชว์ความกำยำของกล้ามเนื้อให้ทุกคนเห็น

"ลองสักครั้งก็ไม่น่าจักเป็นกระไรหนาขอรับ" สามพูดขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจลูกอ้อนของแม่มณี พอแม่มณีได้ยินเช่นนี้ก็กระโดดตื่นเต้นดีใจที่พี่สามเห็นด้วยกับตน

"เจ้ากำลังทำให้แม่มณีมีนิสัยเสียนะสาม" เสือหันดุกล่าวสหายคนสนิทตัวเองก่อนจักถอนหายใจแล้วพูดขึ้นอีกครั้งว่า

"อย่าให้พ่อจับได้ล่ะกัน" สิ้นประโยค แม่มณีก็เผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าอันสวยงามของเธอ แม่มณีรีบเดินนำเหล่าผู้ชายทุกคนมุ่งตรงไปยังฝูงควายที่มีชาวบ้านนำควายมาเร่ขาย เจ้าควายในฝูงล้วนมีทั้งตัวเมีย ตัวผู้ รวมไปถึงลูกควายตัวน้อย ๆ ด้วย แม่มณีคัดเลือกควายอย่างเพลิดเพลิน ในขณะเดียวกันมีชายคนหนึ่งแอบมองมายังเสือก่อนจักรีบหลบกลบเกลื่อนไปกับผู้คนบริเวณนั้น และยังมีอีกมากมายที่กำลังจับตามองกลุ่มของเสือไว้เป็นระยะ กระจัดกระจายตัวเพื่อล้อมทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสือ

"ข้าว่าพวกเราโดนจับตามองแล้วล่ะ" เสือที่คอยสังเกตผู้คนรอบข้าง เห็นพิรุธของหลาย ๆ คนในงานวันนี้เลยออกปากพูดกับทุกคน

"คิดว่าเป็นพวกไหนฤๅ" สามเอ่ยพร้อมทั้งหันไปมองรอบ ๆ ข้างไปมาจนเห็นผู้คนที่เสือกล่าวมาจริง ๆ

"คงจักเป็นพวกพระยาธารากระมัง"

"แต่ย่านนี้เป็นของพระยาทิวากร คงไม่กล้าทำกระไรดอกขอรับ" ขวานลูกน้องคนสนิทหลุดความในใจออกไป

"พี่เสือ พี่เสือ! ดูข้าสิ" มณีเรียกหาพี่ชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ดูตนที่กำลังนั่งอยู่บนหลังควายที่มีรูปร่างแข็งแรงอ้วนใหญ่อย่างสมส่วนเหมาะแก่การลงแข่งขันด้วยในครั้งนี้

"ดูดีเลยนะเนี่ย" สามเอ่ยปากชมแม่มณีด้วยความจริงใจ

"ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สาม" มณีรับคำชมจากพี่สามแล้วก็รีบเอ่ยคำขอบคุณกลับทันที เสือเลิกสนใจก็ขยับเท้าทั้งสองข้างและตีหลังควายเพื่อบอกให้ควายเดินไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปประจำที่แข่งขัน

"ผู้หญิงแข่งไม่ได้ขอรับ มันไม่งามหนาขอรับแม่หญิง" ชายคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลเบื้องหลังออกปากห้ามเพราะกิจกรรมไม่เหมาะกับผู้หญิง โดยมีกลุ่มพระยาทิวากรเดินเข้ามาได้ยินพอดี

"แต่ว่าการแข่งขันนี้ เราตัดสินกันที่ควายใช่ฤๅไม่เจ้าคะ" ช่างเป็นประโยคที่ทำให้พระยาทิวากรเอ็นดูเล็กน้อย

"จริงที่แม่นางว่าหนาขอรับ เราตัดสินกันที่ควายไม่ใช่ตัวตนคนใดคนหนึ่ง เพราะงั้นข้าอนุญาตให้แม่หญิงลงแข่งกับพวกเราหนาขอรับ" พระยาทิวากรผู้เป็นเจ้าภาพงานประเพณีวิ่งควายนี้เอ่ยคำอนุญาตก่อนจักเดินไปยังตำแหน่งหน้างานได้หันมาพูดให้กำลังใจแม่มณีก่อน

"เจ้าช่างเป็นผู้หญิงฉลาดนัก ข้าชอบ"

พี่ชายอย่างเสือมองพระยาทิวากรอยู่ห่าง ๆ น้องสาวตน ก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ไม่ชอบพระยาทิวากรเสียจริง แต่น่าเสียดายนัก ท่านเป็นสหายของพ่อสิงห์ คงต้องเจอกันไปอีกนาน ไม่เพียงแค่เสือที่รู้สึกเช่นนั้น สามเองก็รู้สึกแปลกใจและตงิดกับท่าทางของพระยาทิวากรเมื่อครู่นี้

"ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ชอบพระยาทิวากร เอ็งจักเชื่อข้าฤๅไม่วะเสือ" สามสหายของเสือเอ่ยถามสหายข้าง ๆ ด้วยการเอียงใบหน้าเข้าหาเสือทั้งที่สายตาของสามกำลังจ้องมองไปที่พระยาทิวากร

"สมแล้วที่ข้ากับเอ็งเป็นสหายกัน ไม่ใช่แค่เอ็งดอกที่รู้สึกเช่นนั้น ข้าเองก็รู้สึกเหมือน ๆ กับเอ็งเลยว่ะ" เสือยิ้มอย่างภูมิใจที่อย่างน้อยก็มีคนหนึ่งรู้สึกเหมือนกัน

"เสียมารยาทเกินไปแล้วหนาเจ้าค่ะ เขาแค่พูดให้กำลังใจข้าเฉย ๆ อยู่ ๆ ก็ไม่ชอบ หมั่นไส้กันขึ้นมาเนี่ยหนาเจ้าค่ะ" มณีเอ่ยไปด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำของพระทิวากรและความคิดของเหล่าพี่ชายทั้งสองคน เธอจึงขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจความคิดของพวกเขาเล็กน้อยก่อนจักเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง

"เขาเรียกอาการเช่นนี้ว่าผีเห็นผีขอรับ" ขวานรีบเฉลยทันที

"มันง่ายกระไรเช่นนั้นเลยฤๅเจ้าคะ ไอ้อาการผีเห็นผีเนี่ย" มณีพูดด้วยความไม่เข้าใจต่อไปและพี่ชายทั้งสองคนเลิกใส่ใจรีบเดินไปประจำตำแหน่งของตัวเอง ศักดิ์เองก็ช่วยดูแลควายให้แม่มณีอย่างใกล้ชิด ในสนามแข่งครั้งนี้ถูกแบ่งเป็นช่องพอดีกับตัวควายทั้งหมด ๑๐ ท่าน เรียงหน้ากระดานและต้องแข่งกันทั้งหมด ๘๐ ท่าน โดยแต่ละบ้านสามารถส่งตัวแทนได้เพียงตัวเดียว เหล่านักแข่งวิ่งควายต่างพากันส่งสายตามองไปข้างหน้าโดยมีไม้แส้อาวุธเคียงข้างกายสำหรับตีควายให้วิ่งไปข้างหน้าได้ประจำที่อย่างเพียบพร้อม ข้างสนามแข่งนี้มีผู้คนมากมายยืนส่งเสียงและแรงกำลังใจให้กับเหล่านักแข่ง

1

2

3

ปัง!!!!!

ทุกคนต่างรีบยกไม้แส้ตีหลังควายเพื่อออกคำสั่งให้ควายวิ่งไปยังข้างหน้า ควายทุกตัวสะดุ้งกับการตีจึงรีบวิ่งออกไปข้างหน้าตามที่เจ้านายของตนสั่งทันที

สี่เท้าของควายวิ่งจนฝุ่นตลบจนฝุ่นละอองนั้นรวมตัวกันขนาดใหญ่เปิดฉากหลังอย่างเลือนราง จนกระทั่งแข่งขันกันจนครบจำนวน ๘๐ ท่าน ก็เริ่มการแข่งขันหาผู้ชนะเพียง ๓ ท่าน โดยที่รางวัลที่หนึ่ง คือ เงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ทิวา รางวัลที่ ๒ คือ เงินจำนวน ๘๐,๐๐๐ ทิวา รางวัลที่ ๓ คือ ๕๐,๐๐๐ บาท

สุดท้ายก็แข่งขันจนได้ผู้ชนะทั้งสามท่านเรียบร้อย ผู้ประกาศผลการแข่งขันได้ทำหน้าที่ของตนทันที

"รางวัลที่ ๑ ขอมอบให้ นายเชษฐวิรุฬห์ หมายเลข ๘"

"รางวัลที่ ๒ ขอมอบให้กับ นายแทนไท หมายเลข ๖๘"

"รางวัลที่ ๓ ขอมอบให้กับ นางสาวมณี หมายเลข ๒๗"

ทั้งสามคนขึ้นรับรางวัลตามพิธีการ มีเหล่าชาวบ้านชาวนาต่างคอยส่งกำลังใจให้ทั้งสามคนด้วยการปรบมืออย่างเป็นเกียรติ

"เสือ" สามเรียกชื่อคนที่กำลังจดจ่อแสดงความยินดีกับน้องสาวตัวเอง

"มีกระไรฤๅ" เสือถามโดยที่ตนเองยังคงปรบมือแสดงความยินดีให้กับผู้ที่ชนะการแข่งขันอยู่

"นายเชษฐวิรุฬห์ ชื่อเหมือนหลวงชาญ" สามพูดด้วยความตงิดใจเล็กน้อย

"คงจักเป็นคนชื่อเหมือนกระมัง" เสือพูดอย่างไม่สนใจ เพราะผู้คนบนโลกนี้มีตั้งหลายล้านคน อย่างน้อย ๆ คนชื่อเสือซ้ำชื่อเขาคงจักมีไปแล้วหมื่นคนแล้วกระมัง เสือเลยปัดตกให้เป็นปกติและยังคงจดจ่อกับคนตรงหน้าต่อไปจนจบงาน

 

ณ เรือนพระยาทิวากร

"เอ็งทำได้ดีมาก ชาญ" พระยาทิวากรผู้ที่นั่งลงบนโซฟาหรูจากตะวันตก กล่าวถึงบุคคลที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเขาเอง

"ขอรับ ท่านพระยาทิวากร" เสียงชายหนุ่มน้ำเสียงแหบห้าวอย่างหลวงชาญปรากฏขึ้นด้วยการตอบรับคำชมของผู้เป็นนาย

"ข้าได้ยินมาว่าเอ็งเป็นผู้รับผิดชอบคดีหมู่บ้านรัตติกาล" พระยาทิวากรพูดโดยที่มือข้างขวานั้นกำลังหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา สายตาของเขากำลังจดจ่อกับเอกสารอย่างตั้งใจ

"ขอรับ"

"ทำเยี่ยงไรก็ได้ ปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด" พระยาทิวากรออกคำสั่งปิดคดีหมู่บ้านรัตติกาล แม้ตนนั้นจักมิได้มีอำนาจใด ๆ ในการตัดสินใจของคดีนี้ เพราะย่านของพระยาทิวากรและย่านของพระยาธารามีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ย่านของพระยาทิวากรล้วนเป็นย่านที่ชาวบ้านต่างร่ำรวยเพราะเป็นย่านที่ขึ้นเรื่องดินอุดมสมบูรณ์ เป็นทางผ่านลงสู่ทิศใต้ของประเทศไททิวารัตน์ จึงนับว่าเป็นย่านที่มีผู้คนสัญจรมาก มีความรุ่งเรืองการค้าขายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้วยังมีหอนางโลมถูกกฎหมายเพื่อส่งเสริมความผ่อนคลาย บันเทิงรื่นเริง ย่านนี้ถูกตั้งอยู่ภาคตะวันออกติดกับทะเลทั้งสองฝั่ง มีเรือจากต่างชาติหลากหลายชาติเข้ามาจอดที่ท่าเรือ จึงเป็นการคมนาคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไททิวารัตน์

"ขอรับ" หลวงชาญโค้งศีรษะลงเล็กน้อย

"แล้วสรุปหาของที่เจ้าเด็กนั้นขโมยไปเจอยัง" พระยาทิวากรพูดกับอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งก็คือ พระยาธารา

"ยังเลยขอรับ กระผมจักพยายามให้มากกว่านี้ขอรับ" พระยาธาราชนชั้นยศน้อยกว่าพระยาทิวากรรีบโค้งศีรษะสำนึกผิดทันที แม้ในตำแหน่งพระยาที่ได้รับตำแหน่งมาโดยท่านราชาผู้มอบตำแหน่งให้ ไม่ได้แปลว่าเขาทั้งคู่มีอำนาจเท่ากัน

"เจ้าเด็กนั้นฉลาดใช้ได้เลยนะ ขนาดผ่านมา ๑๐ ปี พวกเรายังหากันไม่เจอ" พระยาทิวากรพูดกระแทกเสียงและนึกได้ว่าหลวงชาญมาใหม่คงไม่รู้จักเด็กที่พวกตนกำลังพูดอยู่เลยเล่าเรื่องของกล้าหาญ สิงหดาบให้ฟัง

"ชาญรู้ฤๅไม่ว่าเจ้าเด็กนั้น มันเป็นใคร"

"ไม่ทราบขอรับ" ชาญตอบกลับทันที

"มีชื่อกล้าหาญ เป็นลูกชายสหายคนสนิทของข้าเอง แต่เสียดายดันตายไปเสียก่อนเพราะมีนิสัยไม่ดีนะ ชอบลักขโมย ลักของของข้าไป จนทุกวันนี้ไอ้สิงห์มันคงทำใจได้แล้วกระมัง มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครฆ่า มันเชื่อว่าทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ ฮ่า ๆ แม่งโคตรโง่เลยว่ะ ฮ่า ๆ" ทุกคนที่อยู่ในบทสนทนานี้ต่างพากันหัวเราะชอบใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นยกเว้นชาญผู้มาใหม่

 

ณ งานประเพณีวิ่งควาย

ในงานมีซุ้มหลากหลายรวมตัวกันในงานนี้ ไม่ว่าจักเป็นซุ้มอาหาร ซุ้มต้นไม้ ซุ้มกิจกรรม ซุ้มประกวดร้องและนางงาม ทุกคนต่างพากันเข้าแต่ละซุ้มอย่างเพลิดเพลิน

"กินข้าวก่อนดีฤๅไม่" สามเอ่ยถามทุกคน

"ดีขอรับ" ขวานรีบตอบอย่างรวดเร็วด้วยความหิว ส่วนคนอื่น ๆ ใช้ภาษากายตอบกลับด้วยการพยักหน้า ทั้งห้าคนเดินเข้าไปในซุ้มอาหาร และแยกย้ายเลือกอาหารที่ตนเองสนใจ

"สิ่งนี้เรียกว่ากระไรฤๅเจ้าคะ" มณีเอ่ยถามเจ้าอาหารที่ไม่คุ้นเคย ภายในซุ้มร้านมีถ้วยชามขนาดใหญ่ใส่วัตถุดิบอย่างข้าวซอย หอมแขก ผักชี และในหม้อร้อนที่ถูกตั้งไฟเป็นอย่างดีมีเนื้อสัตว์ในเครื่องแกงที่ถูกทำไว้แล้ว

"ข้าวซอยจ้า มีทั้งเนื้อหมูและเนื้อไก่ อร่อย ๆ ทั้งนั้นเลย รสชาติจักออกหวาน ๆ กลมกล่อม หอมเครื่องเทศ ข้าขอแนะนำให้ทานคู่กับน้ำชาดำเย็นจักอร่อยมากกว่าเดิมหนา"

"เอาข้าวซอยไก่และชาดำเย็นอย่างละหนึ่งจ้า" มณีเอ่ยสั่งอาหารกับแม่ค้าคนแรกด้วยความตื่นเต้นเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จักได้ลิ้มรสชาติของข้าวซอย

"ได้จ้า" แม่ค้าตอบกลับด้วยความเอ็นดูสาวน้อย

"ข้าขอขนมจีนน้ำยาป่า 1 ขอรับ" สามสั่งอาหารคนที่สอง

"ข้าขอแกงเขียวหวานและปลาราดพริกจ้า" ศักดิ์สั่งคนที่สาม

"ข้าขอก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำล่ะกัน" เสือสั่งคนที่สี่

"ข้าขอผัดผัก กุนเชียง แล้วก็พะแนงหมูจ้า" และแล้วขวานก็สั่งอาหารคนสุดท้าย

ทั้งห้าคนนั่งทานข้าวกันเงียบ ๆ โดยข้างหน้าถัดไปอีก ๕ ซุ้มมีการละครกำลังดำเนินเรื่องอยู่ ทั้งห้าคนต่างสนใจการละครไม่น้อยจึงทานข้าวและดูการละครไปด้วย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็เดินไปตามซุ้มต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละซุ้ม ผ่อนคลายก่อนเริ่มงานขึ้นในวันพรุ่ง

 

อโณทัยวันใหม่ ณ สน. ทุ่งนาทอง

"หลวงชาญใช่ฤๅไม่ขอรับ" เสือที่เพิ่งเดินเข้ามาใน สน. เอ่ยถามเจ้าหนุ่มชายคนใหม่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตากำลังเดินไปยังห้องทำงานของเสือ

"ขอรับ" ชาญหันใบหน้ามาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ

เสือได้แลมองใบหน้าคมคายของเจ้าคนข้างหน้า ดวงเนตรของเขาดุมิคลายความน่าเกรงขาม คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย จมูกโด่งสวย และยังมีริมฝีปากเรียวยาวอย่างสมส่วนไปทั้งใบหน้า

"ดูเหมือนคุณหลวงชาญจักเป็นคนเงียบ ๆ หนาขอรับ" เสือวิจารณ์ลักษณะภายนอกและน้ำเสียงเมื่อครู่นี้ออกไป ชาญไม่ตอบกลับ ได้แต่นิ่งเงียบและจ้องตาเสืออย่างมีเลศนัยแอบแฝงก่อนจักยกคิ้วข้างที่ถนัดขึ้นเล็กน้อย

"อ่อ เสือขอรับ เรียกกระผมว่าเสือหนาขอรับ" เสือลืมตัวนึกได้จึงแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้จัก

"ขอรับ เบื้องบนส่งเรื่องมาให้คุณเสือสืบคดีนี้หนาขอรับ" ชาญได้ยินประโยคแนะนำตัวของเสือแล้วก็นึกได้ว่าเบื้องบนฝากคำสั่งมาให้หลวงเสือ ก็รีบยื่นเอกสารในมือตนเองส่งให้กับเสือ

"มรดกของพระยาทิวากรงั้นฤๅ คดีนี้ผ่านมาตั้ง ๑๐ ปีเลยหนาขอรับ" เสือเปิดเอกสารดู เห็นว่าเป็นคดีของพระยาทิวากรเลยสงสัยว่าทำไมผ่านมาตั้ง ๑๐ ปียังจับไม่ได้ พยานที่สอบปากคำก็บอกแค่ว่าเป็นเด็กอายุ ๑๕ ปี ขโมยมรดกของพระยาทิวากรที่เรือนไป มันช่างน่าสงสัยเหลือเกิน พระยาทิวากรเป็นถึงผู้มีอำนาจและเงินทองมากมาย คงไม่มีทางปล่อยให้บ้านเรือนของตัวเองถูกปล้นง่าย ๆ เพียงนี้ดอก และเด็กก็อายุ ๑๕ ปีแล้วคงจักเป็นผู้เป็นคนมากพอที่จักตัดสินใจกระไรได้เองแล้ว หากเป็นคนยากไร้ ป่านนี้เด็กคนนั้นคงจักนำของที่ขโมยมาทั้งหมดไปเสียแล้ว คงทำได้แค่เพียงตามหาสิ่งนั้นตามพ่อค้าที่รับซื้อในท้องตลาด หากเป็นเพียงแค่เด็กอายุ ๑๕ ปี เหล่าพ่อค้าก็อาจจักจำได้อยู่บ้าง แต่ว่าเวลาก็ล่วงมาแล้ว ๑๐ ปี เด็กคนนั้นคงจักเปลี่ยนไปมากแค่ไหนกันเชียวหนา

รูปวาดหลักฐานสิ่งของที่ถูกขโมยมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างมากยังจักถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยช่างที่มีฝีมือละเอียดลออมากเชียว สิ่งของที่ถูกขโมยไปนั้นดันมีความเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ใช้เวลา ๑๐ ปีในการตามหาไปทั่วประเทศก็คงจักเกินพอแล้ว เด็กคนนั้นเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนกันนะ แล้วไยถึงต้องซ่อน หรือว่ามันตกลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว เสือตั้งคำถามอยู่ในหัวก่อนจักส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

"คุณหลวงเสือขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ" ขาวและดำ พี่น้องตระกูลเสรีภาพ รีบวิ่งเข้าหาคุณหลวงเสืออย่างรีบร้อน เมื่อมีสถานที่เกิดเหตุก็รีบมาส่งข่าวให้นายของตนทันที

 

ณ ที่เกิดเหตุ หมู่บ้านทุ่งนาทองเขตบ่อปลาสวาย

"ไยข้ารู้สึกว่าคดีนี้เหมือนคดีของหมู่บ้านรัตติกาล" เสือพูดขึ้นด้วยความสงสัยและสังหรณ์ใจในขณะเดียวกัน แต่ขาวและดำไม่เคยได้ทำงานเกี่ยวกับคดีหมู่บ้านรัตติกาลก็สงสัยว่าไยหลวงเสือถึงรู้สึกเช่นนั้น มิได้ปริปากพูดกระไรจึงได้หันไปสบสายตากันและกัน

"เจ้าเคยดูแลคดีหมู่บ้านนั้นฤๅ" ชาญถามเรียบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

"ใช่ แต่ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกในย่านนี้ เป็นไปได้ว่าฆาตกรต่อเนื่องอาจจักเริ่มเปลี่ยนสถานที่ก่อเหตุแล้ว ข้าว่ามันเป็นภัยให้กับชาวบ้านแล้วสิ เราคงต้องออกหมายเตือนชาวบ้านให้ทั่วถึงที่สุด ฝากจ่าดำกับจ่าขาวด้วย" เสือทำหน้าที่ดำเนินขั้นตอนการแจ้งเตือนชาวบ้านด้วยการฝากจ่าดำและจ่าขาวกระจายข่าว

"แล้วแรงจูงใจล่ะ" ชาญถามด้วยความสงสัย

"นั่นสิ" เสือถอนหายใจก่อนจักเดินเข้าไปสำรวจกระไรบางอย่างต่อ ไม่นานก็พบเห็นพระยาทิวากรเดินลงมาให้ความร่วมมือกับคดีนี้อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ เขาเห็นคุณหลวงทั้งสองคนกำลังอยู่ในที่เกิดเหตุจึงเดินมาพร้อมกับบ่าวรับใช้คนสนิท

"ได้เรื่องว่าเยี่ยงไรบ้างฤๅ คุณหลวงเสือ" พระยาทิวากรเอ่ยถามหลวงเสือผู้กำลังสาละวนกับศพ

"ก็... ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องหรือล้อเลียนแบบเพื่อให้เราสับสน มันมีอยู่ ๓ จุดที่ข้าสงสัย ไยฆาตกรต้องนำศพมาไว้ที่ย่านนี้ ฤๅฆาตกรตั้งใจเปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุ สอง เอ่อ... มันค่อนข้างผิดปกตจากความจริงไปเล็กน้อยแต่ยังต้องหาคำตอบต่อไป สามไยจึงต้องถูกแยกส่วนออกมา" เสืออธิบายรายละเอียดออกมาพร้อมทำภาษากายท่าทางในแต่ละประโยคให้เห็นภาพไปด้วย

"แล้วฆาตกรต่อเนื่องที่เจ้าว่า พอจักรู้ฤๅไม่ว่าเป็นผู้ใด" พระยาทิวากรเอ่ยถามด้วยความแสร้งว่าไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับคดีนี้

"ตอนนี้ยังไม่รู้ขอรับ" เสือตอบคำถามของพระยาทิวากรเสร็จ พระยาทิวากรมองเสือด้วยแววตาที่งุนงงทั้งที่ตนรู้คำตอบอยู่แล้ว

"หากว่าได้เรื่องเมื่อไหร่ก็รบกวนบอกข้าด้วยนะ ย่านนี้ข้าเป็นผู้ดูแล ข้ายิ่งไม่อยากให้ชาวบ้านของข้าต้องเจอกระไรเช่นนี้อีก" พระยาทิวากรพูดเสร็จก็เดินจากไป เสือและคนอื่นเห็นว่าพระยาทิวากรกำลังจักเดินจากไปก็รีบโค้งหัวคำนับทันที เมื่อพระยาทิวากรกำลังจักเดินจากไปได้ไม่ไกล ก็มีชายหนุ่มผิวพรรณขาวเหลืองคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าพระยาทิวากร

"ยังหามรดกของท่านไม่เจออีกฤๅขอรับ" ชายหนุ่มคนที่ปรากฏตัวข้างหน้าพระยาทิวากรก็เอ่ยถามพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มสดใสเป็นมิตรราวกับเป็นบุคคลที่น่าคบหาคนหนึ่ง ความสูงและความหนาของเรือนร่างของเขาใกล้เคียงกับพระยาทิวากรอย่างกับเป็นฝาแฝดกัน

"เจ้าเป็นใคร" พระยาทิวากรถามด้วยความตกใจอย่างยิ่งแล้วนิ่วหน้ามองคนต้นเสียงที่เป็นบุคคลภายนอกจากภายใต้คำสั่งของตนรับรู้ถึงเรื่องที่ผ่านมาตั้ง ๑๐ ปี

"ข้าตายไปแล้วตั้ง ๑๐ ปี ท่านยังหามรดกของท่านที่ข้าเอาไปซ่อนไม่เจออีกฤๅ" กล้าหาญยกยิ้มแสยะ เพียงประโยคนี้ทำเอาดวงตาของพระยาทิวากรลุกเป็นไฟ

"ไอ้กล้า!!!!" พระยาทิวากรตะโกนดังลั่นไปจนถึงที่เกิดเหตุ เสือเองก็ได้ยินชื่อบุคคลที่ถูกกล่าวหา ชื่อนั้นช่างเหมือนชื่อพี่ชายของเขา เลยรีบวิ่งเข้าหาพระยาทิวากรทันที

"มีกระไรฤๅขอรับ" เสือรีบเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะตนมิแน่ใจว่าคนนี้ใช่คนที่ตนคาดหวังไว้ฤๅไม่

"ไม่มีกระไรดอก แค่เจ้าคนนี้มันปากเสียใส่ข้ามากไปหน่อย ข้าจักถือสาว่าเป็นคนสติไม่ดีแล้วกัน" พระยาทิวากรเรียกสติตนเองได้ทันทีก็พูดกล่าวออกไปพร้อมรีบเดินหนีออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด

"เจ้าเป็นกระไรฤๅไม่" เสือรีบถามชายหนุ่มคนนั้นที่โดนพระยาทิวาตะคอกใส่ไม่นานนี้ทันที

"ข้าไม่เป็นกระไรดอก" เขาพูดขึ้นพร้อมยังคงยิ้มแย้มอย่างผู้เป็นมิตรต่อไป

"เจ้าชื่อกล้าฤๅ ข้าได้ยินพระยาทิวากรตะโกนเรียกชื่อของเจ้าออกมา" เสือถามอีกครั้งโดยมีชาญและจ่าขาวจ่าดำตามมาด้วย

"ใช่ขอรับ ข้าชื่อกล้าหาญ" เขาแนะนำตัวตนเองออกมาพร้อมกับยิ้มกว้าง แสงสว่างสีขาวออร่าออกมาจากตัวเขา ทำให้เสือยืนแข็งทื่อไปชั่วครู่

"จะ... เจ้า... พูดกระไรกับพระยาทิวากรฤๅ ท่านถึงได้ตะโกนเสียงดังเช่นนั้น" หลวงเสือพูดตะกุกตะกักก่อนจักเอ่ยคำถามที่ตนสงสัย

"ข้าแค่ปากเสียมากไปหน่อยหนาขอรับ" กล้าหาญรีบพูดตัดบทเสียก่อนแล้วเดินออกไปจากสถานที่เกิดเหตุ โดยที่ปล่อยให้เสือและคนอื่นงุนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น