เด็กชายกล้าหาญต้องจบชีวิตลงเพราะคำนาย แต่จู่ ๆ เขาต้องฟื้นคืนชีพในฐานะคนใหม่ทั้งที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้ ทุกคนจะยังคงโกหกเขาคนนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,รัก,ตลก,ลึกลับ,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สิงหดาบเด็กชายกล้าหาญต้องจบชีวิตลงเพราะคำนาย แต่จู่ ๆ เขาต้องฟื้นคืนชีพในฐานะคนใหม่ทั้งที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้ ทุกคนจะยังคงโกหกเขาคนนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
สิงหดาบ ย่อมาจากสิง (โต) หักดาบ
สิงโตแทนบุคคลสำคัญ หักดาบแทนการสละเลือดเนื้อ
ใครกันนะคือสีหราช... เหตุอันใดสีหราชต้องสิ้นชีพลงเพื่อทุกคน
ทุก ๆ อย่างมันเกิดขึ้นด้วยเพียงคำทำนายจากสรวงสวรรค์ส่งสารไปยังทุกคน
เขาคนนั้นมีความลับคือ อนาคตที่ลับแล อนาคตที่แม้แต่เครื่องฉายจิรกาลยังตามมิทัน
ต่อจากไปนี้ โปรดระมัดระวังสิ่งรอบข้างให้มากที่สุด เพราะการทรยศ
ล้วนแปรพักตร์กันเมื่อใดก็ได้ อย่าได้ลืมเสียว่าตนเป็นใคร
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุด
เพราะสมองอันล้ำค่า
นิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายแนวสืบสวน โรแมนติก ดราม่า แฟนตาซี และพีเรียดที่เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
เรื่องราวต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาในเรื่องของประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้เขียนได้ทำการสร้างตัวละคร สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อดำเนินเรื่อง อาจมีเนื้อหาบางอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรม อาหาร อ้างอิงจากความจริง
TW : ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย/การใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะทางร่างกาย จิตใจ คำพูด ความรุนแรงในครอบครัว (พ่อแม่ของตัวเอก)
การทำแท้งโดยไม่ได้ตั้งใจ (เมียรองของพ่อของตัวเอก)
การดูถูกเหยียดหยาม การทำร้าย ใช้ความรุนแรงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ (ฝั่งตัวร้าย)
ยากระตุ้นความต้องการทางเพศ จำพวกยาเสน่ห์ใช้ภายในเรื่อง
ปีศาจ การตัดแขนและขา กินเนื้อกินเลือดทั้งเผ่าพันธุ์เดียวกันและต่างเผ่าพันธุ์เดียวกัน (ฝั่งตัวร้าย)
โลกเหนือธรรมชาติ ฆาตกรรม เลือด ลักพาตัว การทำร้ายทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน(เป็นเรื่องราวจากปากต่อปาก ไม่มีการบรรยายฉากนี้แน่นอนเจ้าค่ะ) ค้ามนุษย์ บังคับเสพยาเสพติด ทารุณกรรมเด็ก อาการซึมเศร้า มีอาการประสาทหลอน ฆ่าตัวตาย การตัดหัวประหารชีวิต
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชื่นชอบการเห็นผู้อื่นเจ็บปวด
คำหยาบคาย พูดจาส่อเสียด แบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว การเป็นทาส
แนะนำตัวละคร นายเอก
Cr. Zair or Twitter ของนักวาด : @pinkyxpsycho
ชื่อ : เสือ
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนกลางของพ่อสิงห์และแม่มะลิ
ตำแหน่ง : คุณหลวงหน่วยสืบสวนภามณีดา ภาคกลาง
ฉายา : พ่อเสือร้อยเมีย
ข้าต้องตามหาความจริงและความยุติธรรมให้พี่กล้าให้ได้
Cr. Twitter ของนักวาด : @seerdarker
พระเอก
ชื่อ : เชิง
ตำแหน่ง : คุณหลวงหน่วยสืบสวนนภาราม จากภาคเหนือ
ฉายา : พ่อเชิงปากหมา
พี่ชายนายคือกุญแจสำคัญของคดีระดับชาติ
Cr. Twitter ของนักวาด : @Mikumee_
ชื่อ : กล้า
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อสิงห์และแม่มะลิ
สถานะ : สิ้นชีพแล้วเมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
ถึงเวลาของข้าแล้ว...
ชื่อ : มณี
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่มะลิ
ตำแหน่ง : หมื่นมณี สิงหดาบ หนึ่งในหน่วยสืบสวนลับ
ฉายา : แม่หญิงคนแกร่งแห่งหน่วยสืบสวน
ชื่อ : พวงทอง
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนโตของพ่อสิงห์และแม่สร้อย
ตำแหน่ง : พี่สาวคนโตของบ้าน แม่อีกคนของน้อง ๆ ทำหน้าที่คอยดูแลเรือนเป็นอย่างดี
ฉายา : แม่นม
อย่าดื้อนัก ข้าไม่ได้ดีใจเหมือนพวกแม่ ๆ ของเจ้า
ชื่อ : สิน
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่สร้อย
ตำแหน่ง : เป็นลูกชายเอาแต่ใจอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำอะไร ทำตัวเป็นคุณชาย
นิสัย : ลูกแง เอาแต่ใจ เป็นคนหัวอ่อนต่อโลกค่อนข้างมากต่างจากพี่สาวของเขา มักโดนหลอกอยู๋บ่อย ๆ
อย่ามาแตะต้องตัวข้า ข้าเป็นบุตรชายของบ้านสิงหดาบเชียวนะ
ชื่อ : เดื่อ
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเดียวของพ่อสิงห์และบ่าวแพง
นิสัย : กล้าหาญและก้าวร้าวมาก ๆ เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย อยากรู้อยากเห็น ติดเพื่อนมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง จนกระทั่งได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้นิสัยของเขาเริ่มเปลี่ยนไป
ตำแหน่ง : ความลับ
แม่ข้าตายไปแล้ว ข้าเหลืออะไรบ้างไหม แม่ข้าเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้คนนึง
ชื่อ : สุข
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อสิงห์และแม่พิมพา (แฝดพี่)
นิสัย : หวาดระแวงกับทุกอย่างในชีวิตเพราะตั้งแต่เด็กโดนลักพาตัวมากกว่า 3 ครั้ง จนครั้งล่าสุดจัดเป็นคดีค้ามนุษย์ที่สุขเป็นเหยื่อคนแรกที่มีชีวิตรอดออกมาได้ ทำให้ปมครั้งนี้เขามีนิสัยกลัวการออกสังคม กลัวการเจอคนแปลกหน้า จึงถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในบ้าน บางครั้งแม่พวงทองสงสารจึงชวนไปทำกิจกรรมร่วมกันด้วย
ข้ากลัว...
ชื่อ : จันทร์
อันดับครอบครัว : บุตรสาวของรองของพ่อสิงห์และแม่พิมพา (แฝดน้อง)
นิสัย : ร้อนใจ เข้มแข็งทุก ๆ สถานการณ์ อิจฉาพี่น้องต่างแม่มากที่สุด
ชื่อ : นิ่มนวล
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่พิมพา
นิสัย : ใจดีมาก ๆ นิสัยต่างขั้วกับพี่สาวของเธออย่างแม่จันทร์เลย เป็นผู้หญิงที่มีความคิดสวยงาม อ่อนโยนและอ่อนต่อโลกด้วย
ชื่อ : แย้ม
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนโตของพ่อสิงห์และแม่เรไร
นิสัย : เอาแต่ใจ ค่อนข้างกัดจิกกับทุกคนในแม่ รวมถึงแม่ของตนเองด้วย เป็นคนรอบรู้เรื่องของชาวบ้านที่สุด
ชื่อ : บังอร
อันดับครอบครัว : บุตรสาวของรองของพ่อสิงห์และแม่เรไร
นิสัย : เป็นบุคคลที่โดนเลี้ยงมาโดยการตามใจมาโดยตลอด และยังมีใบหน้าสวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง จึงทำให้มีความคิดหลงตัวสูง และคิดว่าตัวเองทำอะไรมักจะถูกต้องเสมอ
ชื่อ : เดช
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่เรไร
นิสัย : สู้สุดใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งแม้จะเคยโดนลักพาตัวไปครั้งเดียว ก็พยายามพาตัวเองออกจากปมให้ได้ นักว่าเป็นบุคคลที่เก่งด้วยตัวเองอีกคน มีนิสัยใจเย็นกว่าพี่น้องของแม่เรไรหมดเลย
ชื่อ : จ้อย
อันดับครอบครัว : กำพร้า เป็นเด็กวัดภาคเหนือ
นิสัย : มีความเห็นอกเห็นใจแต่ก็ยังมีบางมุมที่เป็นคนใจร้าย
ตำแหน่ง : ความลับ
ชื่อ : ชาญ
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อแม่คู่นึงจากภาคกลาง
นิสัย : นิ่งเงียบ แต่การตัดสินใจค่อนข้างฉลาดกันเลยทีเดียว
ลำดับพี่น้อง
พ่อกล้า > พ่อเสือ > พ่อเดื่อ > แม่พวงทอง > แม่มณี > แม่แย้ม > พ่อสุข > แม่จันทร์ > พ่อสิน > แม่บังอร > แม่นิ่มนวล > พ่อเดช
คู่เอก เชิง - เสือ - ชาญ
คู่รอง กล้า - จ้อย , วีรดา - มณี
หลังเลิกเรียนเสร็จแล้ว ณ วัดพิชเญศ
"ขอขอบพระคุณพระอาจารย์มากเลยหนาขอรับ" เด็กชายกล้าหาญยกฝ่ามือทั้งสองข้างประสานกันแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย ผู้เป็นพระอาจารย์เห็นเช่นนั้นจึงรีบรับไหว้จากพ่อกล้าทันที กล้าหาญไม่รอช้าจึงรีบวิ่งมุ่งตรงไปยังตลาดบ้านใหญ่ เด็กชายกล้าหาญเดินชมตลาดบ้านใหญ่เพียงลำพังจนพบเห็นเด็กชายคุ้นเคยคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่หน้าอาคาร อาคารนั้นเป็นภัตตาคาร เด็กชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ ๆ มองจากกระจกเข้าไปยังด้านใน
เหล่าพ่อครัวกำลังเสิร์ฟอาหารจานหลักให้กับลูกค้าภายในร้านนนั้น เด็กชายจ้อยเห็นเช่นนั้นก็เบิกดวงตาตะลึงกับการเพิ่งพบเห็นเป็นครั้งแรก
"นี่! เจ้าเด็กบ้า เอ็งทำกระไร ออกไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้เลย" ชายหนุ่มผู้เฝ้าประตูภัตตาคารแห่งนี้ใช้น้ำเสียงหนักแน่นดุเพื่อไล่เด็กคนนั้น แต่เด็กชายจ้อยมิได้เรียนรู้หนังสือมาจึงมิไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้เขาควรทำอย่างไร ทำได้แต่จ้องมองเขา
"มาจ้องมองเยี่ยงนี้ เอ็งอยากมีปัญหานักฤๅไง ฮะ!!" ชายหนุ่มเฝ้าประตูภัตตาคารคนนั้นเริ่มหาเรื่องกับเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างจ้อยเข้าเสียแล้ว
"ขอโทษขอรับ" กล้าหาญรีบวิ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือดันศีรษะของจ้อยก้มลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยคำขอโทษแก่เขาทันที
"เออ รีบไสหัวไปเลยนะ มันเกะกะหน้าร้าน" ชายหนุ่มคนนั้นขึ้นเสียงไล่เด็กทั้งสองคนนั้นออกไป
กล้าหาญไม่รอช้าจึงจับมือจ้อยแล้วพาเดินออกจากภัตตาคารนั้นแล้วตรงเข้าไปในตลาดน้ำที่อยู่ติดกับตลาดบ้านใหญ่
"ปล่อยมือข้าได้แล้ว" เด็กชายจ้อยรู้สึกอึดอัดที่มือ จึงสะบัดมืออกจากกันทันที
"อ่อ ขอโทษนะ" กล้าหาญเริ่มรู้ตัวว่าการที่ไปจับมือของจ้อยโดยไม่ได้ขออนุญาตเป็นสิ่งที่ไม่ควร จึงเอ่ยคำขอโทษออกมา
"ขอโทษ เรื่องกระไรฤๅ?" จ้อยเอ่ย
"ที่ข้าเผลอจับมือเจ้าไง’ " กล้าหาญตอบคำตอบกลับ แต่จ้อยไม่ได้พูดกระไรออกไปได้แต่นิ่งงงกับสิ่งที่กล้าหาญกระทำกับตนนั้น
ขอโทษงั้นฤๅ แปลกจัง... กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องขอโทษกันด้วยฤๅ
พ่อจ้อยผู้ไม่ชินเคยกับคำว่าขอโทษ เพราะตนถูกสอนให้สู้คน สู้ในศักดิ์ศรีของตัวเอง ถูกสอนให้ทำตามสิ่งที่ถูกต้อง จึงได้หลงความถูกต้องมากเกินไปจนลืมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขามิเคยแม้แต่จักใส่ใจแลดูแม้แต่น้อย เช่นเรื่องนี้ การแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งที่เขามองข้ามมาโดยตลอด
เด็กชายกล้าหาญเดินไปนั่งลงกับพื้นตรงริมน้ำที่มีเรือของแม่ค้าสัญจรไปมาก่อนจักตะโกนเรียกอีกคน
“มานั่งตรงนี้สิพ่อจ้อย” สิ้นคำพูดของกล้าหาญ จ้อยลังเลก่อนจักเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ
"จริงสิ เจ้าสนใจกระไรในนั้นฤๅ เอ่อ... ที่นั่นเขาเรียกกันว่าภัตตาคารนะ" กล้าหาญถามตามที่สงสัยเมื่อครู่นี้แล้วเอียงศีรษะลงเล็กน้อย แต่คิดว่าจ้อยต้องไม่รู้จักเป็นแน่จึงสอนให้จ้อยเรียกอย่างถูกต้องเสียก่อน
"ภัตตาคาร?"
"ใช่ ภัตตาคาร"
"เจ้าสนใจกระไรฤๅ" กล้าหาญพยักหน้าก่อนจักเอ่ยปากถามอีกครั้ง
"ข้าวพวกนั้นไม่เห็นเหมือนที่ชาวบ้านตักบาตรให้หลวงพ่อเลย" จ้อยนึกได้ก็พูดออกไปตามความจริง เปรียบเทียบระหว่างข้าวที่ชาวบ้านตักบาตรให้หลวงพ่อกับข้าวในภัตตาคารมันช่างแตกต่างกันนัก มันช่างวิลิศมาหรายิ่งกว่าสิ่งใด
"เจ้าอยากกินงั้นฤๅ"
"..." จ้อยมิได้ตอบกระไรได้แต่พยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ กล้าหาญเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่คลี่รอยยิ้มแย้มออกมา
"ก๋วยเตี๋ยวไม่จ๊ะ" จู่ ๆ แม่ค้าคนหนึ่งพายเรือเข้าเทียบท่าเอ่ยถามเด็กชายทั้งสองคน
"ไม่ดีกว่าจ้ะ ฉันไม่มีทิวาเลยจ้ะ" กล้าหาญพูดออกอย่างจริงใจหลังจากที่ได้ยกฝ่ามือตบ ๆ กระเป๋าหาทิวา
"ป้าทำให้กิน ไม่เอาทิวาดอกจ้ะ รอประเดี๋ยวหนา" ระหว่างที่รอจ้อยชะเง้อคอมอง หันซ้ายมองขวาชมบรรยากาศต่าง ๆ ในตลาดน้ำแห่งนี้
"หนู ๆ ชื่อกระไรกันบ้างฤๅจ๊ะ" แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเอ่ยถามชื่อของทั้งสองคน
"กระผมชื่อกล้าหาญขอรับ"
"จ้อย... จ้อยขอรับ"
"ดูเป็นเด็กพูดจาฉาดฉานฉายแววฉลาดจังเลยหนา" แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเอ่ยชมท้ังที่มือทั้งสองข้างของเธอกำลังทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
"พ่อแม่ไปไหนฤๅ ไยพวกหนูถึงอยู่ที่นี่กันเพียงสองคน" เพียงคำถามประโยคของแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวก็ทำเอาทั้งสองคนชะงักเจือปนความอึดอัดใจลึก ๆ จึงเงียบกันไปสักพักจนกล้าหาญเป็นคนแรกที่พูดขึ้นตามด้วยจ้อย
"พ่อแม่ผมจากไปแล้วขอรับ"
"เหมือนกันเลย พ่อแม่ข้าก็จากไปแล้ว" จ้อยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองคนเดียวแล้วที่เหงา คนที่อยู่ข้าง ๆ ตนนั้นก็เหงาเหมือนกับเขาด้วย
"เก่งจังเลยนะจ๊ะ ขอบคุณหนาที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกหนูสองคนคงจักไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว พวกหนูต่างเข้าใจความรู้สึกกันและกันเช่นนี้ คงจักเป็นสหายที่ดีต่อกันเป็นแน่ ข้าเชื่อเช่นนั้นหนา" สิ้นประโยคของแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวก็เผยรอยยิ้มออกมา
"นั่นสิขอรับ อยากขอบคุณตัวเองมากเลยขอรับที่ยังมีชีวิตอยู่" กล้าหาญพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเขากำลังเงยมองนภา สูบลมหายใจเข้าไปอย่างใจเย็น
"หืม เจ้าหนูคนนี้เนี่ยนะ กล้าหาญสมชื่อจริง ๆ เอ้า ป้ามีรางวัลให้พวกหนูทั้งสองคนด้วย ป้าเพิ่มหมูกับลูกชิ้นให้เลยหนา" แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเอ่ยชมก่อนจักรีบตักหมูกับลูกชิ้นเข้าไปเพิ่ม
"ขอบพระคุณขอรับ" กล้าหาญยกมือไหว้ขอบคุณ แต่เห็นจ้อยนิ่งเลยประคองจับมือของจ้อยให้พนมมือกันแล้วก้มศีรษะลง
"ขอบคุณค้าบบบบ" กล้าหาญพูดแทนจ้อยด้วยน้ำเสียงก๊วนกวนก่อนจักรีบรับถ้วยก๋วยเตี๋ยวจากมือของแม่ค้า แล้วยกซดน้ำเสียก่อน
"โหหหห อร่อยมากเลยหนาขอรับ" กล้าหาญเอ่ยชมก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยถ้วยนี้อย่างเสียงดังให้แม่ค้าได้ยินแล้วชื่นใจ
"ขอบคุณหนา กินให้อร่อย ๆ เลยหนา ไม่พอเดี๋ยวป้าจักให้อีก" แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเอ็นดูทั้งสองคนราวกับลูกชายของตน เธอนั้นเอาแต่เฝ้ามองทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวถ้วยนั้นของเธอ
เมื่อกินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนโบกมือลาแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวคนนั้นก่อนจักเดินกลับวัดโดยที่กล้าหาญเดินไปส่งจ้อยที่วัดเกลียวพัตราก่อนแล้วตนจึงรีบกลับเรือนของตนเองทันที
ณ เรือนกล้าหาญ เกียรติไชย
"นายมั่น!" หลังจากกลับมาถึงเรือนกล้าหาญจึงเอ่ยเรียกชื่อบ่าวชายคนสนิททันที
"ขอรับคุณกล้า" บ่าวชายคนสนิทรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
"ส่งข่าวถึงพระยาคุณาสินให้ข้าหน่อย"
"ได้ขอรับ"
ณ เรือนพระยาคุณาสิน
"เกียรติไชยต้องการตำราอาหารงั้นฤๅ" พระยาคุณาสินถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"ขอรับคุณท่าน" บ่าวชายคนสนิทของกล้าหาญยืนยันคำตอบเดิม
"รอข้าประเดี๋ยว ข้าจักลองไปหาดูเผื่อจักมีอยู่บ้าง" พระยาคุณาสินเดินเข้าไปในห้องเพื่อตามหาตำราอาหารให้เกียรติไชย
ไม่นานพระยาคุณาสินก็ออกมาพร้อมกับตำราอาหารเล่มหนึ่งจึงส่งให้กับบ่าวคนสนิทของกล้าหาญอย่างนายมั่น
นายมั่นรับตำราอาหารจากมือท่านพระยาคุณาสินก่อนจักขอไหว้ลาแล้วจากไป
ณ เรือนกล้าหาญ เกียรติไชย
"ในที่สุด" กล้าหาญยกตำราอาหารเล่มนั้นของพระยาคุณาสินขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วมือของตัวเองลูบอย่างเบา ๆ
"จักว่าไปแล้ว ข้าจักอ้างเช่นใดดี" กล้าหาญนึกได้ว่าตำราอาหารพวกนี้คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมมือถึง
"หากข้าบอกเอามาจากพระอาจารย์ จ้อยต้องตามสืบเรื่องของข้าเป็นแน่เลย"
"หรือว่าขโมยมาดีหนา"
"หรือข้าควรจักขอตำราอาหารสักเล่มจากหลวงพ่อปองคุณแล้วเก็บไว้แต่เอาเล่มนี้ให้จ้อยดี?"
"แล้ววัตถุดิบล่ะ แพงขนาดนั้น จ้อยต้องสงสัยแน่ ๆ"
"รับจ้างจับปลาดีไม่"
"หรือ"
"เห้ออออ ไยข้าต้องโกหกด้วยนะ"
"น้ำลำไยกับน้ำกระเจี๊ยบก็คงไม่เลวนัก"
"น้ำตาลปั้นดีฤๅไม่หนา"
“แต่สายไหมก็ทำง่ายอยู่หนา”
"ขนมล่ะกัน ง่ายสุดแล้ว" และแล้วเด็กชายกล้าหาญก็นั่งคิดกระไรไปเรื่อยทั้งคืนก็ได้คำตอบสุดท้ายภายในคืนนั้นทันที
ไม่กี่วันต่อมา ฟ้าสางวันใหม่ ณ วัดเกลียวพัตรา
"ไอ้จ้อย!! ตื่นได้แล้ว ไอ้จ้อย" ลุงครามตะโกนเสียงดังลั่นไปทั่ววัด แต่จ้อยยังคงนอนหลับไม่สนกระไรอยู่ต่อไป
"ระวังกินข้าวเช้าไม่ทันเด้อพ่อจ้อย" เด็กชายกล้าหาญส่งเสียงออกมาจากข้างหน้าทำให้จ้อยสะดุ้งตื่นเพียงเพราะประโยคของกล้าหาญ กล้าหาญเห็นเช่นนั้นจึงเผยยิ้มเล็กยิ้มน้อยทันที
ทุกคนในวัดต่างพากันนั่งกันอย่างเรียบร้อย รอพิธีกรรมเสร็จก็รอหลวงพ่อและคณะสงฆ์ฉัตรข้าวเสร็จ ทั้งสองคนพ่อจ้อยและพ่อกล้าแย่งที่นั่งกัน
"เอ้า ๆ ที่มีตั้งเยอะมาแย่งนั่งกระไรกงนี้" ลุงครามบ่น
“ที่โปรดข้า เอ็งไปนั่งกงนั้นสิ” จ้อยพูด
“กระไรกัน กงนี้ก็ที่โปรดของข้าเช่นกัน” กล้าพูด
“เกี่ยงกันเช่นนี้ เดี๋ยวก็มิได้กินข้าวเช้ากันพอดี นั่งเบียด ๆ กันไปเลย เอ้า!”
"ข้าจองไข่พะโล้!!" จ้อยเอาทีท่าหวงไข่พะโล้ด้วยแย่งช้อนกลางแล้วคว้าไข่พะโล้ ภูมิใจออกหน้าออกตา
"ได้ไงกัน" กล้าหาญขัดใจจ้อย
"โอ๊ย อย่าแย่งกัน มีอย่างอื่นให้กินเยอะแยะ มันก็กินได้เหมือนกันทั้งนั้นแหละหนา" ลุงครามพยายามห้ามเจ้าเด็กสองคนที่กำลังแย่งไข่พะโล้กัน
"นี่! หมึกต้มหวาน ลองกินดู" ลุงครามไม่รอช้าจึงรีบตักหมึกหวานใส่ถ้วยของจ้อยและกล้าหาญให้เท่ากันทั้งคู่ ทั้งสองคนพากันกินข้าวเช้าอย่างเต็มอิ่ม
ณ สระน้ำขาดใหญ่หลังวัดเกลียวพัตรา
"เอ็งมาทำไม" จู่ ๆ จ้อยก็นึกได้ว่ากล้าหาญมาทำกระไรในวัดตั้งแต่หัววัน
"นี่~~~ ตำราอาหาร" กล้าหาญยกตำราอาหารออกมาจากกระเป๋าผ้าที่บ่าวเรียมเตรียมไว้ให้
"โหหหห ตำราอาหารงั้นฤๅ เอ็งไปได้มาจากไหน" จ้อยทำตาเบิกบานด้วยตื่นเต้นกับตำราอาหารเล่มนี้ ช่างเป็นตำราอาหารที่หรูหราเหลือเกินจนเขานึกสงสัยว่ากล้าหาญได้มาจากใดกันนะ
"ข้าขอมาจากหลวงพ่อ วัดใกล้ ๆ นี้เอง"
วัดใกล้ ๆ วัดเกลียวพัตรา มีแค่ วัดโพธิ์ วัดคุณานนท์ เท่านั้น...
วัดพิชเญศที่กล้าหาญเรียนกับพระอาจารย์อยู่ห่างไกลจากวัดเกลียดพัตราไปมากนักและไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
"งั้นฤๅ!"
"ข้ายกให้เอ็ง แต่มีข้อแม้"
"ข้อแม้กะไรฤๅ"
"เอ็งต้องเรียนหนังสือตามที่ข้าสอน ข้าถึงจักยอมยกตำรานี้ให้แก่เอ็งใช้ตลอดชีวิต" กล้าหาญยื่นข้อเสนอให้กับจ้อย
"เอาสิ เยี่ยงไรข้าก็ได้ผลประโยชน์ทั้งนั้น"
"ข้อแม้ที่สอง เอ็งต้องช่วยข้าเรื่องแม่บุษบา" จบสิ้นประโยคของกล้าหาญ จ้อยลังเลอยู่พัก ๆ
"ก็ได้ ข้ายอมช่วยเจ้า"
กล้าหาญรีบเปิดตำราเรียนที่หลอกจ้อยว่าขอมาจากพระอาจารย์เพื่อใช้สอนให้กับจ้อยทันที หลังเรียนได้ไม่นาน
"โอ๊ยยยย ไยมันถึงจำยากเยี่ยงนี้นัก" จ้อยบ่น
"ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา ถ้าเจ้าอยากได้ตำรา เจ้าต้องอ่านให้ออกเสียก่อน เจ้าถึงจักสามารถอ่านตำรานี้ได้"
"แล้ว... ลองทำสัก ๑ อย่างได้ฤๅไม่"
"เราไม่มีกระไรเลยนะ เช่นผักชี หอม" จบสิ้นประโยคของกล้าหาญ จ้อยก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที
ณ เรือนพระยาคุณาสิน
"นี่! เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม" กล้าหาญพยายามหยุดห้ามจ้อยไว้ เพราะการบุกรุกในพื้นที่ส่วนตัวของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
"เอาหน่า ที่นี่เป็นเรือนของท่านพระยาคุณาสิน" จ้อยยอมบอกออกไป
"แต่เรามาแบบนี้จักไม่รบกวนพวกท่านเอาฤๅ"
"ไม่ดอก ตามข้ามา" จ้อยเดินนำกล้าหาญไปหลังครัวเรือนของท่านพระยาคุณาสิน
"ไหว้จ้ะ ป้าเจี๊ยบ ข้าไหว้จ้ะแม่ภา" จ้อยเอ่ยทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ที่สนิทสนม
"อ้าวจ้อย เอ็งมาได้เยี่ยงไรนิ แล้วเอ็งมาทำกระไรที่นี่ฤๅ" ป้าเจี๊ยบเอ่ยถาม
"ข้ามาหาแม่บุษบานะ อยู่ฤๅไม่" จ้อยอ้างถึงแม่บุษบา
"อยู่สิ ประเดี๋ยวข้าจักไปตามให้หนา นั่งรอก่อน" ป้าเจี๊ยบพูดจบก็รีบขึ้นไปหาหญิงบุษบา ทั้งสองคนก็ได้นั่งรออยู่อย่างเงียบ ๆ ข้างล่าง เมื่อหญิงบุษบาเดินลงมาจากบนเรือนจึงเห็นทั้งสองคนกำลังนั่งรอตนอยู่
"อ้าวจ้อย! กล้า!" หญิงบุษบาเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของทั้งสองคนก่อนจักรีบเข้ามากอดคอทั้งสองคนด้วยความคิดถึง
"อุ๊ย คุณบุษบาเจ้าคะ อย่าทำเช่นนี้เลยหนาเจ้าค่ะ มันไม่งาม" ป้าเจี๊ยบเห็นท่าทีของหญิงบุษบาแล้วก็รู้สึกกลัวมีผู้ใดเข้ามาเห็นเลยเอ่ยตักเตือน
"ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าลืมตัว" หญิงบุษบารีบคลายกอดนั้นออกแล้วสะบัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยมิให้เห็นรอยยับที่เกิดจากการถูกกอดเมื่อครู่นี้
"พวกเจ้ามาหาข้า มีอันใดฤๅ" หญิงบุษบาเอ่ยปากถามทั้งสองคน
"นี่!!" จ้อยรีบเอาตำราอาหารนั้นออกจากมากระเป๋าผ้าของกล้าหาญที่ตนนั้นเป็นคนสะพายมาด้วยตัวเองปรากฎให้หญิงบุษบาเห็น
"เจ้าไปได้มาจากที่ใดฤๅจ้อย" หญิงดีใจจนออกหน้าออกตามากเกินไปทำให้ผู้เป็นพ่ออย่างพระยาคุณาสินเข้ามาเห็น
"ผู้ใดฤๅแม่บุษบา" พระยาคุณาสินแกล้งถามอย่างไม่รู้จักมาก่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขายืนด้วยท่ายืนจังก้า หลังตรงแล้วเอาฝ่ามือทั้งสองข้างไคว้หลังไว้
"คนนี้จ้อย ส่วนคนนี้กล้าหาญเจ้าค่ะ เป็นสหายของบุษบาเองเจ้าค่ะ"
"แล้วพวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าบุษบาอยู่ที่นี่" พระยาคุณาสินเอ่ยถามอย่างมีมารยาทรู้ทั้งรู้ว่าคนในย่านนี้คงต้องบอกให้พวกสองคนรู้
"หากพวกเราถามชาวบ้านแถวนี้ว่าบ้านท่านพระยาคุณาสินอยู่ที่ใด ทุกคนในย่านนี้ก็แทบจักรู้จักทุกคนเลยขอรับ" พ่อจ้อยพูดอย่างสุภาพผิดหูผิดตาพระยาคุณาสินนัก เพราะตนเองก็เคยรู้มาว่าเด็กวัดอย่างพ่อจ้อยมักพูดจาไม่มีหางเสียง ไร้คนอบรมสั่งสอนทั้งเรื่องมารยาทและหนังสือ
"ฮ่า ๆ ก็จริงอย่างที่เจ้าว่าหนา ว่าแต่ตำรานั้นได้มาจากที่ใดกันฤๅ" พระยาคุณาสินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจักเห็นตำราในมือของจ้อยนั้นจึงเอ่ยถาม
"หลวงพ่อให้มาขอรับ" กล้ารีบตอบคำถามของพระยาคุณาสินทันที เพื่อมิให้ความแตก พระยาคุณาสินได้ยินเช่นนั้นก็สบตาของกล้าหาญก่อนแล้วเอ่ยปากขึ้น
"งั้นฤๅ" เขาเผยรอยยิ้มด้วยความรู้ดี เพราะทั้งสองคนได้ตกลงกันไว้แล้วว่าพวกเราต่างมิเคยรู้จักกันมาก่อน
"คุณพ่อเจ้าคะ ตำรานี้เป็นตำราอาหาร หากหญิงบุษบาอยากจักใช้ของในครัว คุณพ่ออนุญาตฤๅไม่เจ้าคะ" หญิงบุษบาพยายามขอร้องคุณพ่อท่านพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน เธอกระพริบตาถี่ ๆ จนพระยาคุณาสินอดที่จักกลั้นหัวเราะด้วยความความเอ็นดูมิได้
"ได้สิ แต่ป้าเจี๊ยบต้องดูแลพวกเราอย่างใกล้ชิดเท่านั้นหนา ข้าถึงจักสบายใจ" พระยาคุณาสินอนุญาตพร้อมกับเผยฝ่ามือไปทางป้าเจี๊ยบ เป็นการส่งสัญญาณว่าทั้งสามคนต้องอยู่ภายใต้การดูแลของป้าเจี๊ยบอย่างใกล้ชิด
"ได้เลยเจ้าค่ะ" หญิงบุษบาพูดออกไปด้วยความดีใจยกมือไหว้ขอบคุณเสียก่อนจึงรีบพาทั้งสองคนเข้าไปในครัวทันที