เด็กชายกล้าหาญต้องจบชีวิตลงเพราะคำนาย แต่จู่ ๆ เขาต้องฟื้นคืนชีพในฐานะคนใหม่ทั้งที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้ ทุกคนจะยังคงโกหกเขาคนนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,รัก,ตลก,ลึกลับ,หญิง-หญิง,ชาย-หญิง,ชาย-ชาย,สืบสวนสอบสวน,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สิงหดาบเด็กชายกล้าหาญต้องจบชีวิตลงเพราะคำนาย แต่จู่ ๆ เขาต้องฟื้นคืนชีพในฐานะคนใหม่ทั้งที่จำเรื่องราวทั้งหมดได้ ทุกคนจะยังคงโกหกเขาคนนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
สิงหดาบ ย่อมาจากสิง (โต) หักดาบ
สิงโตแทนบุคคลสำคัญ หักดาบแทนการสละเลือดเนื้อ
ใครกันนะคือสีหราช... เหตุอันใดสีหราชต้องสิ้นชีพลงเพื่อทุกคน
ทุก ๆ อย่างมันเกิดขึ้นด้วยเพียงคำทำนายจากสรวงสวรรค์ส่งสารไปยังทุกคน
เขาคนนั้นมีความลับคือ อนาคตที่ลับแล อนาคตที่แม้แต่เครื่องฉายจิรกาลยังตามมิทัน
ต่อจากไปนี้ โปรดระมัดระวังสิ่งรอบข้างให้มากที่สุด เพราะการทรยศ
ล้วนแปรพักตร์กันเมื่อใดก็ได้ อย่าได้ลืมเสียว่าตนเป็นใคร
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุด
เพราะสมองอันล้ำค่า
นิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายแนวสืบสวน โรแมนติก ดราม่า แฟนตาซี และพีเรียดที่เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
เรื่องราวต่อไปนี้อาจมีเนื้อหาในเรื่องของประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้เขียนได้ทำการสร้างตัวละคร สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อดำเนินเรื่อง อาจมีเนื้อหาบางอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรม อาหาร อ้างอิงจากความจริง
TW : ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย/การใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะทางร่างกาย จิตใจ คำพูด ความรุนแรงในครอบครัว (พ่อแม่ของตัวเอก)
การทำแท้งโดยไม่ได้ตั้งใจ (เมียรองของพ่อของตัวเอก)
การดูถูกเหยียดหยาม การทำร้าย ใช้ความรุนแรงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ (ฝั่งตัวร้าย)
ยากระตุ้นความต้องการทางเพศ จำพวกยาเสน่ห์ใช้ภายในเรื่อง
ปีศาจ การตัดแขนและขา กินเนื้อกินเลือดทั้งเผ่าพันธุ์เดียวกันและต่างเผ่าพันธุ์เดียวกัน (ฝั่งตัวร้าย)
โลกเหนือธรรมชาติ ฆาตกรรม เลือด ลักพาตัว การทำร้ายทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน(เป็นเรื่องราวจากปากต่อปาก ไม่มีการบรรยายฉากนี้แน่นอนเจ้าค่ะ) ค้ามนุษย์ บังคับเสพยาเสพติด ทารุณกรรมเด็ก อาการซึมเศร้า มีอาการประสาทหลอน ฆ่าตัวตาย การตัดหัวประหารชีวิต
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชื่นชอบการเห็นผู้อื่นเจ็บปวด
คำหยาบคาย พูดจาส่อเสียด แบ่งแยกเชื้อชาติและสีผิว การเป็นทาส
แนะนำตัวละคร นายเอก
Cr. Zair or Twitter ของนักวาด : @pinkyxpsycho
ชื่อ : เสือ
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนกลางของพ่อสิงห์และแม่มะลิ
ตำแหน่ง : คุณหลวงหน่วยสืบสวนภามณีดา ภาคกลาง
ฉายา : พ่อเสือร้อยเมีย
ข้าต้องตามหาความจริงและความยุติธรรมให้พี่กล้าให้ได้
Cr. Twitter ของนักวาด : @seerdarker
พระเอก
ชื่อ : เชิง
ตำแหน่ง : คุณหลวงหน่วยสืบสวนนภาราม จากภาคเหนือ
ฉายา : พ่อเชิงปากหมา
พี่ชายนายคือกุญแจสำคัญของคดีระดับชาติ
Cr. Twitter ของนักวาด : @Mikumee_
ชื่อ : กล้า
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อสิงห์และแม่มะลิ
สถานะ : สิ้นชีพแล้วเมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
ถึงเวลาของข้าแล้ว...
ชื่อ : มณี
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่มะลิ
ตำแหน่ง : หมื่นมณี สิงหดาบ หนึ่งในหน่วยสืบสวนลับ
ฉายา : แม่หญิงคนแกร่งแห่งหน่วยสืบสวน
ชื่อ : พวงทอง
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนโตของพ่อสิงห์และแม่สร้อย
ตำแหน่ง : พี่สาวคนโตของบ้าน แม่อีกคนของน้อง ๆ ทำหน้าที่คอยดูแลเรือนเป็นอย่างดี
ฉายา : แม่นม
อย่าดื้อนัก ข้าไม่ได้ดีใจเหมือนพวกแม่ ๆ ของเจ้า
ชื่อ : สิน
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่สร้อย
ตำแหน่ง : เป็นลูกชายเอาแต่ใจอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำอะไร ทำตัวเป็นคุณชาย
นิสัย : ลูกแง เอาแต่ใจ เป็นคนหัวอ่อนต่อโลกค่อนข้างมากต่างจากพี่สาวของเขา มักโดนหลอกอยู๋บ่อย ๆ
อย่ามาแตะต้องตัวข้า ข้าเป็นบุตรชายของบ้านสิงหดาบเชียวนะ
ชื่อ : เดื่อ
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเดียวของพ่อสิงห์และบ่าวแพง
นิสัย : กล้าหาญและก้าวร้าวมาก ๆ เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย อยากรู้อยากเห็น ติดเพื่อนมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง จนกระทั่งได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้นิสัยของเขาเริ่มเปลี่ยนไป
ตำแหน่ง : ความลับ
แม่ข้าตายไปแล้ว ข้าเหลืออะไรบ้างไหม แม่ข้าเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้คนนึง
ชื่อ : สุข
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อสิงห์และแม่พิมพา (แฝดพี่)
นิสัย : หวาดระแวงกับทุกอย่างในชีวิตเพราะตั้งแต่เด็กโดนลักพาตัวมากกว่า 3 ครั้ง จนครั้งล่าสุดจัดเป็นคดีค้ามนุษย์ที่สุขเป็นเหยื่อคนแรกที่มีชีวิตรอดออกมาได้ ทำให้ปมครั้งนี้เขามีนิสัยกลัวการออกสังคม กลัวการเจอคนแปลกหน้า จึงถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในบ้าน บางครั้งแม่พวงทองสงสารจึงชวนไปทำกิจกรรมร่วมกันด้วย
ข้ากลัว...
ชื่อ : จันทร์
อันดับครอบครัว : บุตรสาวของรองของพ่อสิงห์และแม่พิมพา (แฝดน้อง)
นิสัย : ร้อนใจ เข้มแข็งทุก ๆ สถานการณ์ อิจฉาพี่น้องต่างแม่มากที่สุด
ชื่อ : นิ่มนวล
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่พิมพา
นิสัย : ใจดีมาก ๆ นิสัยต่างขั้วกับพี่สาวของเธออย่างแม่จันทร์เลย เป็นผู้หญิงที่มีความคิดสวยงาม อ่อนโยนและอ่อนต่อโลกด้วย
ชื่อ : แย้ม
อันดับครอบครัว : บุตรสาวคนโตของพ่อสิงห์และแม่เรไร
นิสัย : เอาแต่ใจ ค่อนข้างกัดจิกกับทุกคนในแม่ รวมถึงแม่ของตนเองด้วย เป็นคนรอบรู้เรื่องของชาวบ้านที่สุด
ชื่อ : บังอร
อันดับครอบครัว : บุตรสาวของรองของพ่อสิงห์และแม่เรไร
นิสัย : เป็นบุคคลที่โดนเลี้ยงมาโดยการตามใจมาโดยตลอด และยังมีใบหน้าสวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง จึงทำให้มีความคิดหลงตัวสูง และคิดว่าตัวเองทำอะไรมักจะถูกต้องเสมอ
ชื่อ : เดช
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนเล็กของพ่อสิงห์และแม่เรไร
นิสัย : สู้สุดใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งแม้จะเคยโดนลักพาตัวไปครั้งเดียว ก็พยายามพาตัวเองออกจากปมให้ได้ นักว่าเป็นบุคคลที่เก่งด้วยตัวเองอีกคน มีนิสัยใจเย็นกว่าพี่น้องของแม่เรไรหมดเลย
ชื่อ : จ้อย
อันดับครอบครัว : กำพร้า เป็นเด็กวัดภาคเหนือ
นิสัย : มีความเห็นอกเห็นใจแต่ก็ยังมีบางมุมที่เป็นคนใจร้าย
ตำแหน่ง : ความลับ
ชื่อ : ชาญ
อันดับครอบครัว : บุตรชายคนโตของพ่อแม่คู่นึงจากภาคกลาง
นิสัย : นิ่งเงียบ แต่การตัดสินใจค่อนข้างฉลาดกันเลยทีเดียว
ลำดับพี่น้อง
พ่อกล้า > พ่อเสือ > พ่อเดื่อ > แม่พวงทอง > แม่มณี > แม่แย้ม > พ่อสุข > แม่จันทร์ > พ่อสิน > แม่บังอร > แม่นิ่มนวล > พ่อเดช
คู่เอก เชิง - เสือ - ชาญ
คู่รอง กล้า - จ้อย , วีรดา - มณี
ณ เรือนของพระยาอติวิชญ์
เสียงลากเท้าดังขึ้นทำให้ทุกคนหันไปหาต้นเสียง เรือนร่างที่ปรากฎนั้น ชายสูงวัยอย่างพระยาอติวิชญ์กำลังยกฝ่ามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวดไว้เดินคู่มากับเด็กชาญที่เพิ่งสงบสติอารมณ์
“คุณพ่อ” เสียงของเชิงเอ่ยปากเรียกหาผู้เป็นบิดาก่อนจักรีบเดินเข้าไปกอดเรือนร่างของพ่อ
“ไม่เป็นไรกระไรแล้วหนาลูกเชิง ลูกวี ขวัญเอ๋ย ขวัญมา...” ฝ่ามือหนาของผู้เป็นพ่อตบลงบนหลังของลูก ๆ เอ่ยปลอบใจลูก ๆ เพื่อน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ คนที่ยังหลงเหลืออยู่ พระยาอติวิชญ์ปลอบใจลูก ๆ อยู่พักใหญ่
ทุกคนทั้งพระยาอติวิชญ์ เชิง ชาญ วีรดาและบ่าวที่ยังคงรอดชีวิตกำลังยืนมองดูขี้เถ้าที่เกิดจากการเผาไหม้เรือนไม้ทั้งหลัง เชิงและวีรดาโอบกอดกันเพียงสองคนต่างพากันพยายามกลั้นน้ำตาและเสียงให้ได้มากที่สุด ทั้งสองคนสูญเสียผู้เป็นมารดาไปต่อหน้าต่อตา ทั้ง ๆ ที่พวกตนพยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของตนแล้ว แต่สุดท้ายก็กลับช่วยกระไรสักอย่างไม่ได้เลย
"เพราะพวกเราใช่ฤๅเจ้าคะพี่เชิง เพราะพวกเราฤๅเจ้าคะ ถึงช่วยคุณแม่ไว้ไม่ได้" หญิงวีรดาเอ่ยทั้งน้ำตาและสะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจเจือปนด้วยความเจ็บใจที่ตนเองมิสามารถช่วยชีวิตผู้เป็นแม่ไว้ได้ แต่เชิงมิสามารถพูดกระไรได้เพราะตนนั้นเองก็พูดกระไรไม่ออกอีกแล้วหลังจากที่เห็นแม่ของตนถูกไฟเผาไปต่อหน้าต่อตา
"..." ชาญได้ยินคำพูดของแม่วีรดาจึงเดินเข้ามาโอบกอดทั้งสองคนนั้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย ไม่เพียงแค่นั้นมือของชาญนั้นเกิดอาการสั่นกลัว ชาญพยายามกอดทั้งสองคนแน่นขึ้นเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนจับได้ว่ามือของตนนั้นกำลังสั่นกลัวอยู่
ตึก ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังออกมาจากด้านหลัง
"..." สายตาของเด็กชายเจ้าของเสียงฝีเท้าเมื่อครู่นี้กวาดสายตามองไปทั่วเรือนพบว่าทั้งเรือนถูกไฟเผาไหม้หมดสิ้นจนไม่มีเหลือกระไรเลย เขาได้แต่ยืนนิ่งไปชั่วครู่
"กล้า... พระอาจารย์... เอ็ง..." เชิงเรียกชื่อของเจ้าของฝีเท้านั้น ทำให้พี่น้องทั้งสองคนที่เหลือหันไปหาเจ้าของเรือนร่างนั้น
"ข้าได้ยินมาจากพระยาชรัณ เขาบอกว่าพระยาอติวิชญ์ฆ่าแม่หญิงกุลิสรา" กล้าเปิดประเด็นทันทีหลังจากที่ตนได้ยินมา
"ฮะ..." เชิงตกตะลึงกับคำพูดของกล้าหาญ เชิงถึงกับส่ายหน้าอยากจักพูดกระไรแต่ก็ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ
"เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ" พระยาอติวิชญ์หันหลังกลับมาหากล้าหาญทันทีหลังได้ยินประโยคนั้นออกมาจากปากของกล้าหาญ
"ไอ้ชรัณ! มันกล่าวหาว่าข้าฆ่ากุลิสรางั้นฤๅ" พระยาอติวิชญ์เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นพร้อมทั้งยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างไม่เข้าใจ น้ำตาของพระยาอติวิชญ์ไหลออกมาอย่างช้า ๆ พละกำลังของเขากำลังอ่อนล้าจนบ่าวและลูก ๆ ของพระยาอติวิชญ์สังเกตเห็นจึงเข้ามาไปประคองร่างของนายท่านทันที
"พ่อขอรับ"
"คุณพ่อเจ้าคะ"
"คุณพ่อ"
“นายท่านขอรับ”
เสียงเรียกผู้เป็นบิดาดังหลังจากเห็นคุณพ่อท่านกำลังล้มลง จึงรีบเข้าไปประคองร่างกายของคุณพ่อทันที
"ข้าฆ่าแม่กุลิสรางั้นฤๅ" พระยาอติวิชญ์เริ่มเสียสติอย่างไม่รู้ตัวเพราะตนจำได้แค่ว่าตนหมดสติไปแล้วที่เหลือเกิดอันใดขึ้นก็จำมิได้เลย
"ไม่จริงขอรับ พวกมันจงใจใส่ร้ายคุณพ่อ คุณพ่ออย่าไปเชื่อข่าวนั้นเลยหนาขอรับ" ชาญเป็นคนเดียวที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่จึงพยายามพูดให้คุณพ่อท่านได้สติกลับมา
"ข้า... ข้า... ข้าไม่เหลือกระไรแล้ว ข้าไม่เลือกกระไรแล้ว ฮืออ อ้าก ไยข้าต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ด้วย เพราะข้าใช่ฤๅไม่ เพราะข้ามันไม่ดีใช่ฤๅไม่" พระยาอติวิชญ์เอาแต่พูดจาโทษตนเองทั้งเอากำมือทุบอกของตัวเองอย่างรุนแรงไม่มีท่าจักหยุด
"คุณพ่อขอรับ คุณพ่ออย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ" เชิงพูดทั้งพยายามห้ามมือของพระอติวิชญ์ไว้
"มิใช่เพราะคุณพ่อดอกเจ้าค่ะ คุณพ่อโปรดอย่าโทษตัวเองเลยหนาเจ้าค่ะ" หญิงวีรดาพูดพร้อมกับจับมือด้วยการซ้อนมือของพี่ชายอย่างเชิงไว้ ส่วนชาญนั้นไม่ได้ปริปากพูดกระไร แต่มือของเขานั้นได้เป็นตัวแทนคำพูดไปแล้วเขาเอามือทั้งสองข้างซ้อนจับมือของทุกคนไว้
"หากไม่รังเกียจ ย้ายมาอยู่กับข้าก็ได้หนาขอรับ ข้ามิได้อยู่กับพระยาคุณาสินแล้ว เราทั้งสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้วหนาขอรับ" กล้าหาญพูดทั้งอธิบายเพิ่มเติมอีกว่าตนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระยาคุณาสินคู่ปรับของพระยาอติวิชญ์แล้ว
"ไยเจ้าถึงใจดีกับพวกข้าล่ะ พ่อกล้า..." พระยาอติวิชญ์เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจการกระทำของเด็กชายอย่างกล้าหาญเอาเสียเลย
"เพราะคุณเชิงเคยช่วยชีวิตกระผมไว้ไงขอรับ เพลานี้ถึงคราที่กระผมต้องตอบแทนกลับบ้าง" กล้าหาญพูดออกมาด้วยความจริงใจและยังเดินเข้าใกล้พวกเขามากขึ้น
"หึ เพราะลูกเชิงถูกสอนมาโดยแม่กุลิสราไงละ เขาถึงได้ใจดีและอ่อนโยนเหมือนแม่นาง" พระยาอติวิชญ์พูดทั้งที่กลั้นน้ำตาไม่ได้ เขาคิดถึงแม่หญิงกุลิสราเหลือเกิน พระยาอติวิชญ์หันไปมองลูกเชิงสลับกับแม่หญิงกุลิสรา ทั้งคนสองช่างเหมือนกันจริง ๆ เขายิ้มทั้งน้ำตา
"ขอบใจเจ้ามากหนา แต่ข้ามิได้อยากรบกวนเจ้าดอก" พระยาอติวิชญ์พยายามปฏิเสธแต่...
"พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันหนาขอรับ พระอาจารย์สอนข้าว่าข้ากับเชิง ชาญและวีรดาต่างเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน มีอันใดเราก็ต้องช่วยเหลือกัน" กล้ารีบูดขึ้นมาทันที ทำให้พระยาอติวิชญ์เบิกดวงโตแล้วหันไปสบสายตากับพระอาจารย์ของเด็ก ๆ ที่วิ่งมากับกล้าหาญ พระอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณต่อกล้าหาญในครานี้อย่างมาก เพราะหากไม่มีพระอาจารย์ กล้าหาญคงไม่สามารถเดินมาถึงเรือนของพระยาอติวิชญ์อย่างแน่นอน
"พระอาจารย์ยังคงใจดีและสั่งสอนพวกเจ้ามาดีจริง ๆ" พระยาอติวิชญ์เอ่ยทั้งเผยรอยยิ้ม มันทำให้เขาคิดถึงตอนที่เขายังเด็ก ๆ เขาพยายามนึกถึงใบหน้าของพระอาจารย์ที่เคยให้ความรู้แก่ตนก่อนภาพนั้นจักหายไป พระยาอติวิชญ์พยายามลุกขึ้นด้วยตัวเอง แต่ทั้งบ่าวและพี่น้องทั้งสามคนนั้นช่วยกันประคับประคองเล็กน้อยก่อนพระยาอติวิชญ์จักเดินเข้าหาเด็กชายกล้าหาญและตนคุกเข่าลงเพื่อให้พูดคุยกันในระดับสายตาเดียวกันกับพ่อกล้า
"เห้อ... ข้าขอขอบคุณเจ้าอีกครั้งนะ พ่อกล้า..."
"มิเป็นไรขอรับ" กล้าหาญเอ่ยพร้อมเผยรอยยิ้มจริงใจให้กับพระอติวิชญ์
ณ เรือนของกล้าหาญ เกียรติไชย
กล้าหาญเดินนำทางให้ทุก ๆ คนเดินตามมายังจนถึงเรือนของเขาอย่างปลอดภัย ทุกคนค่อย ๆ ก้าวเท้าขึ้นกระไดช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง
"พี่เรียมจ๊ะ ช่วยจัดที่นอนให้พวกเขาด้วยหนาขอรับ" กล้าหาญพูดขึ้นพร้อมกับเผยฝ่ามือไปยังกลุ่มคนของพระยาอติวิชญ์แล้วหันไปสบตากับบ่าวเรียมอีกครั้ง
"ได้เจ้าค่ะ เชิญทางนี้เลยหนาเจ้าค่ะ" บ่าวเรียมรับคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างกล้าหาญก่อนจักพาพวกบ่าวของพระยาอติวิชญ์ไปยังกะรท่อมเล็ก ๆ
"แม่ลำดวน นายมั่น พวกเอ็งช่วยจัดหาเตียงให้ท่านพระอติวิชญ์ และลูกชายลูกสาวของท่านด้วยละ หากขาดสิ่งใดให้บอกข้า" กล้าหาญหันหน้าไปหาบ่าวลำดวนและนายมั่นก่อนจักพูดมอบหมายให้ทั้งสองคนช่วยกัน
"เจ้าค่ะ/ขอรับ"
"ประเดี๋ยวข้าจักออกไปข้างนอกก่อนหนาขรับ หากมีอันใด เรียกบ่าวของข้าได้เลยหนาขอรับ" ครานี้กล้าหาญหันไปพูดกับพระยาอติวิชญ์และเหล่าลูก ๆ ของเขา
"ขอบใจเจ้ามากหนา" พระอติวิชญ์พูดด้วยความซึ้งใจและขอบพระคุณกล้าหาญมาก ๆ กล้าหาญเผยรอยยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าตอบก่อนจักก้มศีรษะลงเล็กน้อยและเดินผ่านผู้ใหญ่อย่างพระยาอติวิชญ์ไป เด็กชายจ้อยที่ตามมาเงียบ ๆ จึงเลือกที่จักเดินตามกล้าหาญไปด้วย
ณ เรือนของพระคุณาสิน
เด็กผู้ชายวัย ๑๕ ปีและเด็กชายวัย ๑๓ ปี กำลังเดินเข้ามายังเรือนของพระยาคุณาสิน บ่าวในเรือนเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไปหาพระยาคุณาสินที่กำลังเครียดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
"คุณท่านขอรับ คุณกล้ามาหาขอรับ" บ่าวคนนั้นบอกความจริงที่เห็นไปให้พระยาคุณาสินได้ยิน พระยาคุณาสินที่ก้มหน้าก้มตากุมขมับจึงหันไปหาต้นเสียงที่ดังเมื่อครู่นี้
"จ้อย ข้าฝากเจ้าขึ้นไปถามพระยาคุณาสินได้ฤๅไม่" กล้าหาญลังเลที่จักขึ้นไป ได้แต่ยืนรออยู่ข้างล่างก่อนจักส่งให้เป็นหน้าที่ของจ้อยสหายรักของเขา พระยาคุณาสินเข้ามาได้ยินประโยคของกล้าหาญทันพอดี
"มีอันใดจักคุยกับข้า ก็ขึ้นมาด้วยตัวเจ้าเถิด มิมีผู้ใดรู้ดอกว่าเจ้ายักพูดกระไรกับข้า ขึ้นมาสิ เจ้าด้วยจ้อย" น้ำเสียงนุ่มนวลของพระยาคุณาสินได้เอ่ยปากเชิญชวนให้ทั้งสองคนขึ้นมาบนเรือนของเขา ทุกคนเดินตามพระยาคุณาสิน
ท่านพระยาคุณาสินค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แล้วตั้งไม้เท้าขึ้นตรงไว้แล้ววางมือลงบนหัวเท้าไม้ของตนเอง กล้าหาญเข้ามานั่งเก้าอี้ไม้ทันทีหลังจากที่ให้เกียรติเจ้าของบ้านนั่งก่อน ส่วนจ้อยนั้นเลือกที่จักนั่งพื้นข้างล่างเพราะจ้อยรู้ฐานะของตนเองดี
"คุณสินพอจะ-" จู่ ๆ กล้าหาญก็เอ่ยชื่อเล่นของพระยาคุณาสินแต่ยังไม่ทันจบประโยค
"เรียกข้าว่าพ่อเถิด" พระยาคุณาสินได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าก่อนจักพูดขึ้น พร้อมกับกวาดสายตาไปหาจ้อยแล้วกวาดสายตากลับมาหากล้าหาญ กล้าหาญได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองจ้อยก่อนจักพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์ จ้อยยังมิรู้ว่าพระยาคุณาสินและกล้าหาญมิใช่พ่อลูกที่ทั้งคู่ปิดบังความลับไว้ รู้เพียงแค่ว่ากล้าหาญถูกรับเลี้ยง การที่กล้าหาญเรียกเพียงแค่ว่าคุณสิน มันอาจจักดูเป็นคนอื่นมาเกินไป
"คุณพ่อขอรับ คุณพ่อได้ทราบข่าวฤๅไม่ขอรับ ที่พระยาชรัณกล่าวหาว่าคุณพ่อไปวางเพลิงเรือนเขา" กล้าหาญพูดเอ่ยด้วยความร้อนใจเพราะตนนั้นไม่เชื่อว่าพระยาคุณาสินจักทำเรื่องเช่นนั้นได้
"ข้าได้ยินแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านต่างพากันร้องเรียกให้ข้าออกไปพูด"
"แต่คุณพ่อมิได้ทำใช่ฤๅไม่ขอรับ" กล้าหาญเอ่ยถามด้วยความลังเล
"ไยเจ้าไม่เชื่อที่พระยาชรัณพูด?" พระยาคุณาสินเอ่ยถามอย่างใจเย็นก่อนจักเทน้ำชาลงในแก้วชาใบเล็ก
"เพราะพวกมันเป็นคนพูดปดขอรับ" กล้าหาญพูดด้วยความเดาในมุมมองของตนจนจบประโยค พระยาคุณาสินจึงส่งแก้วใบเล็กที่เทน้ำชาไว้ให้กับกล้าหาญลูกชายของตน
"ขอบพระคุณขอรับ" กล้าหาญรับแก้วใบเล็กนั้นก่อนจักยกเข้าไปในปากของตนแล้ววางแก้วใบเล็กนั้นลงอย่างเบา ๆ
"เรื่องนี้ข้ามิได้โดนใส่ร้ายข้าเพียงผู้เดียวดอก พระยาอติวิชญ์เองคงจักใจสลายมากเลยสินะ เขาไม่มีวันฆ่าแม่กุลิสราได้ลงคอดอก แม่กุลิสราคือรักแรกและรักเดียวของเขาที่คอยมาแสนนาน" พระยาคุณาสินเอ่ยทั้ง ๆ ที่ไม่ยอมสบตากับกล้าหาญได้แต่มองออกไปข้างนอก
"คุณพ่อรู้ได้เยี่ยงไรขอรับ"
"ข้ากับอติวิชญ์เคยเป็นสหายกันมาก่อน เราต่างมีพระอาจารย์คนเดียวกัน แต่แล้วชรัณก็อิจฉาข้าที่ได้ดีและคอยอยู่เคียงข้างอติวิชญ์มาตลอด ชรัณเลยพยายามใส่ร้ายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า จนมันประสบความสำเร็จที่ทำให้ข้าและอติวิชญ์แตกคอกัน" พระยาคุณาสินพูดจบก็ถอนหายใจก่อนจักพูดต่อ
"แล้วก็เรื่องแม่บุษบา ข้าขอโทษหนากล้าหาญ ขะ...ข้าแค่..." ครานี้พระยาคุณาสินยอมหันหน้ามาสบตากับกล้าหาญก่อนจักปากสั่นกลั้นอารมณ์ข้างในของตนเองไว้
"คุณพ่อตัดสินใจเช่นใด ข้าเข้าใจว่าการตัดสินใจของคุณพ่อคงจักผ่านการคิดมากมาย ข้าไม่โกรธอันใดคุณพ่อแล้วขอรับ อย่าได้กังวลไปเลยขอรับเจ้าคุณพ่อ" กล้าหาญเอ่ยทั้งที่ค่อย ๆ คลี่รอยยิ้มของตนเองออกมา พระยาคุณาสินเห็นเช่นนั้นก็อดกลั้นน้ำตานั้นไม่อยู่ น้ำตาของเขานั้นจึงค่อย ๆ ไหลออกมาก่อนที่จักรู้สึกตัวจึงยกมือขึ้นมาเช็คน้ำตาของตนออกไปต่อหน้าลูกชายอย่างกล้าหาญ
"อยากพบแม่บุษบาบ้างฤๅไม่ละ" พระยาคุณาสินเอ่ยถาม
"อยากสิขอรับ"
ณ เรือนของหนึ่งอนันต์และบุษบา
ทั้งพระยาคุณาสิน กล้าหาญ จ้อย และบ่าวชายอีก ๓ คนเดินตามกันเป็นลำดับ เด็กชายกล้าหาญกวาดสายตาของตนเองมองไปรอบ ๆ ว่าบ้านเรือนแบบใดที่หญิงบุษบาอยู่ บ่าวที่คอยรับใช้หนึ่งอนันต์และบุษบาเห็นก็ยกมือไหว้อย่างมีมารยาทก่อนจักเดินนำไปจนเข้าไปถึงในสวน ทั้งสองคนผัวเมียกำลังทำกิจกรรมร่วมกันอย่างสานปลาตะเพียน จนหนึ่งอนันต์เห็นพระยาคุณาสินเป็นคนแรกจึงรีบวางปลาตะเพียนนั้นแล้วยกมือขึ้นไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างมีมารยาท
"ข้าไหว้ขอรับคุณพ่อ" พระยาคุณาสินรับไหว้จากหนึ่งอนันต์ทันที หญิงบุษบาเองก็รีบยกมือไหว้ผู้เป็นบิดาตามหลัง แต่มิได้พูดอันใดเพราะยังคงโกรธพ่อท่านอยู่เล็กน้อย
"ส่วนนี้กล้าหาญ เป็นพี่ชายของบุษบา อายุมากกว่าพวกเธอ ๑ ปีนะ" พระยาคุณาสินเอ่ยแนะนำตัวกล้าหาญ พี่ชายของหญิงบุษบาพร้อมทั้งเอาฝ่ามือแตะลงบนไหล่ของกล้าหาญ
"ข้าไหว้ขอรับพี่ชาย ข้าชื่อหนึ่งอนันต์ หรือเรียกข้าว่าหนึ่งก็ได้หนา" หนึ่งอนันต์ยกมือไหว้ผู้เป็นพี่ชายของเมียตน กล้าหาญรับไหว้ทันที
"สบายดีฤๅไม่ แม่บุษบา" ผู้เป็นบิดาอย่างพระยาคุณษสินเอ่ยถามความทุกข์สุขของลูกสาว
"สบายดีเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปเอาน้ำไว้หนาเจ้าค่ะ" หญิงบุษบาเห็นว่าพ่อเดินมาเหนื่อย ๆ กะว่าจักเดินไปเอาน้ำมาให้แล้วปล่อยให้คุณพ่อคุยกับหนึ่งอนันต์ผู้เป็นผัวของตน
"ไม่เป็นไรแม่บุษบา เดี๋ยวข้าไปเอาให้ เจ้ายกของหนักไม่ได้หนา" หนึ่งอนันต์พูดจบก็ส่งรอยยิ้มให้หญิงบุษบาก่อนจักขอตัวไปเอาน้ำชามาให้ทุกคน
"ไยเจ้าถึงยกของหนักมิได้ฤๅ?" พระยาคุณาสินสงสัยจากประโยคเมื่อครู่นี้ของหนึ่งอนันต์
"เปล่าดอกเจ้าค่ะ คุณหนึ่งอนันต์ไม่ค่อยชอบให้ลูกถือของหนัก ๆ เพราะกลัวจักเกิดอันใดขึ้นเจ้าค่ะ" หญิงบุษบาพูดออกไปตามความจริงและยังเผยรอยยิ้มกว้าง เพราะหนึ่งอนันต์ดูแลเธอดีนัก
"คุณพ่อมาหาลูก มีกระไรฤๅเจ้าคะ" หญิงบุษบาถามผู้เป็นพ่อ
"เปล่าดอก ข้าแค่อยากพาพ่อกล้ามาเยี่ยมลูกนะ" พระยาคุณาสินเอ่ยออกด้วยความลำบากใจเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าตนนั้นเป็นคนแยกพวกเขาทั้งสองคนออกจากกัน
"งั้นฤๅเจ้าคะ ส่วนเจ้าละจ้อย" หญิงบุษบาไม่ลืมสหายคนสนิทอย่างจ้อยจึงเอ่ยถามทันที
"ข้ามาหาเจ้าเพราะอยากเจอนะ สบายดีฤๅไม่ แม่หญิงบุษบา" จ้อยเอ่ยถาม
"สบายดีจ้ะ" หญิงบุษบาตอบ
"มาแล้วขอรับ" หนึ่งอนันต์ยกน้ำชามาให้ทุกคน เขานั้นทำหน้าที่ได้ดีด้วยการเทน้ำชาลงในถ้วยใบเล็กก่อนจักส่งให้พระยาคุณาสินและกล้าหาญตามลำดับ
"เอาให้พ่อจ้อยด้วยเจ้าค่ะ เขาเป็นสหายของข้าเองเจ้าค่ะ" หญิงบุษบาเห็นว่าหนึ่งอนันต์ส่งถ้วยน้ำชานั้นให้แค่สองคนเลยทักทวง
"อะ...เอ่อ มิเป็นไรดอก ข้าไม่หิว" จ้อยรีบปฏิเสธทันที
"ได้ไงกัน เจ้าเป็นสหายข้าเชียวหนาจ้อย รับไปเถิด" หญิงบุษบาเอ่ย
"งั้นเทลงในถ้วยของข้าเลยขอรับ" กล้าหาญส่งถ้วยเล็กนั้นให้หนึ่งอนันต์ แต่ก่อนส่งถ้วยนั้นได้ใช้เสื้อผ้าของตนเช็คถ้วยน้ำชาที่ถูกใช้งานไปแล้วให้สะอาดเสียก่อน หนึ่งอนันต์จึงเทน้ำลงในถ้วยเล็กใบนั้นที่กล้าหาญส่งมา เมื่อหนึ่งอนันต์เทน้ำชาในถ้วยชาเสร็จ หนึ่งอนันต์จึงส่งถ้วยชาใบนั้นให้กับมือของจ้อย จ้อยลังเลก่อนจักหันไปสบสายตากับหญิงบุษบา
"ดื่มสิ" กล้าหาญเห็นว่าจ้อยไม่ยอมรับน้ำชานั้นจากมือหนึ่งอนันต์เสียทีเลยทักทวงขึ้น จนจ้อยรู้สึกตัวก็รีบรับถ้วยน้ำชายกดื่มทันที
"ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยหนาเจ้าค่ะ" หญิงบุษบาเอ่ยทั้งหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูผู้เป็นสหายอย่างจ้อย
"จริงสิ เจ้ายังเวียนหัวอยู่ฤๅไม่" หนึ่งอนันต์นึกได้ว่าก่อนหน้านี้หญิงบุษบาเวียนหัวอยู่ ก่อนที่พระยาคุณาสินและกล้าหาญจักมา
"ตอนนี้ข้าไม่เวียนหัวแล้วเจ้าค่ะ แต่ปวดหลังหนาเจ้าค่ะ" หญิงบุษบาใช้น้ำเสียงพูดกับหนึ่งอนันต์อย่างสบายใจเจือด้วยน้ำเสียงออดอ้อนผู้เป็นผัวตน
ทั้งพระยาคุณาสิน กล้าหาญ และจ้อย ทั้งสามคนได้เห็นว่าหนึ่งอนันต์ดูแลหญิงบุษบาได้ดีกว่าที่พวกเขาคิด ดีเกินกว่าที่จักกังวลว่าแม่บุษบาจักตกในอันตรายฤๅไม่ กล้าหาญเห็นเช่นนั้นจึงเผยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข กล้าหาญรับรู้ถึงความห่วงใยของหนึ่งอนันต์ที่มีต่อหญิงบุษบา และพยายามเข้าใจเป็นอย่างดีว่าไยพระยาคุณาสินถึงอยากให้แม่บุษบาตบแต่งกับคน ๆ นี้