ความรัก…มักถูกเปรียบเป็นสีขาวหรือสีชมพู แต่สำหรับเธอ รักจากเขา…รุนแรงลึกล้ำราวกับความมืดดำไร้จุดสิ้นสุด …เกลียด…คือคำที่พร่ำย้ำหัวใจตน แต่สิ่งที่รู้สึกตรงกันข้าม….อย่างสิ้นเชิง
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ไทย,อื่นๆ,ความรัก,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พิศวาสสีดำความรัก…มักถูกเปรียบเป็นสีขาวหรือสีชมพู แต่สำหรับเธอ รักจากเขา…รุนแรงลึกล้ำราวกับความมืดดำไร้จุดสิ้นสุด …เกลียด…คือคำที่พร่ำย้ำหัวใจตน แต่สิ่งที่รู้สึกตรงกันข้าม….อย่างสิ้นเชิง
แจ๊คหนุ่มหล่อนัยต์ตาคมเฉียบขาดเขาคือมือกีต้าร์เนื้อหอมของหญิงสาวมากมายนิสัยใจร้อนเอาแต่ใจกับเธอ เตยสาวสวยผู้ร่าเริง เพียงพบกันครั้งเดียวหัวใจเขารู้สึกรักหมดใจแต่จะทำอย่างไรเมื่อเธอคือคนรักของเพื่อนรัก
นี่คือกลางวันหรือกลางคืน อากาศรอบตัวร้อนหรือหนาว
เจ้าของแววตาชอกช้ำพยายามทบทวนอย่างเลื่อนลอย “ผู้ชาย คนนั้น” จากไปนานแล้ว หลังจากอุ้มร่างบอบช้ำไร้แรงยืน พามาส่งถึง เตียงนอนในบ้านหล่อน ไม่มีคำลาจากเขา...แม้แต่คำเดียว
เตยชูแขนข้างหนึ่งขึ้นสูงก่อนทิ้งลงข้างลำตัว หล่อนเกลียดตัวเองเพราะทุกอณูถูกแจ๊คเชยชมครอบครอง ร่างอ้อนแอ้นพยายามขยับลุกเพื่อหยิบผ้าห่มตรงปลายเตียงมาคลุมเรือนร่างแปดเปื้อนของตัวเองแต่ ความรวดร้าวจากน้ำมือ “เขา” ทำให้ต้องยอมนอนนิ่งไม่ขยับมากไปกว่านั้น น้ำตาอุ่นๆไหลลงทางหางตาจนหมอนเปียกชุ่ม มือน้อยๆทุบลงบนเตียงสุดแรงด้วยความเจ็บแค้น
หล่อนอยากตื่นมาแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน แต่ ร่างกายที่ปวดร้าวราวกับถูกฉีกออกจากกัน เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดีว่าเรื่องราวเมื่อคืนคือเรื่องจริง
ดวงตาหม่นเศร้าเหม่อมองเพดานอย่างเหม่อลอย ชีวิตเป็นอย่างนี้เอง เราไม่มีทางรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะพบสิ่งใดบ้าง เตยกัดริมฝีปากจนห้อเลือด ความไว้ใจคืออาวุธร้ายที่ทิ่มแทงตัวเองให้เจ็บช้ำแทบ กระอักเลือด ถ้าฉุกคิดสักนิด หรือไม่ไปกับเขาเมื่อคืน ทุกอย่างคงไม่เป็น อย่างนี้ เหนือกว่านั้น....เขา.....ทําให้หล่อนขาดความควบคุมตัวเองกระทั่ง ...ร่างกายที่ตอบสนอง!
น้ำตาร้อนจัดกัดกร่อนถึงส่วนลึก ในความโชคร้าย รุนแรง เคียดแค้น มีสิ่งหนึ่งแทรกตัวเงียบ อ้อมอกมั่นคงเหมือนยังโอบล้อม แววตาคมแกมดุที่มองหล่อนยามครอบครองฝังแน่น หรือสิ่งแปลกปลอม ที่แจ๊คหยิบยื่นให้ ไม่ได้ทำปฏิกิริยาเฉพาะร่างกายแต่...มันถึงจิตใจ
ไม่มีทาง! คำปฏิเสธกึกก้องในอก อย่าคิดหนีจากผม ไม่งั้นไอ้บอสรู้เรื่องของเราแน่ คำขู่ของแจ๊คดังขึ้นในความทรงจำ
“ไม่!” หญิงสาวเค้นเสียง หล่อนจะไม่ยอมตกเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ของผู้ชายชั่วๆ นั้น เด็ดขาด เตยยื่นหน้ามองข้างเตียงเอื้อมมือหยิบกรอบรูปบนโต๊ะหัวเตียง มากอดไว้แนบอก ก่อนยกขึ้นมองผ่านม่านน้ำตา
กรอบรูปล้อมรอบภาพตนเองและชายหนุ่มใบหน้ายิ้มแย้ม มือข้างหนึ่งของเขาคล้องอยู่บนไหล่อย่างรักใคร่...
...บอส...
ผู้ไม่เคยทำให้หล่อนเสียใจสักครั้งตั้งแต่คบกันมาเกือบหนึ่งปี ความที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด พอมี บอสเข้ามา เขาจึงเป็นทุกอย่าง ทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และคนรัก มือซึ่งถือกรอบรูปตกลงข้างกาย หญิงสาวไม่อยากคาดเดาว่า เขาจะคลุ้มคลั่งแค่ไหนเมื่อรู้เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น
บอสจะรู้ไม่ได้! นี่คือคำมั่น
“ถ้าจะจากกันก็ขอให้จากกันทั้ง ๆ รักเถอะนะ” น้ำเสียงสั่นเครือพึมพำ
เตยตัดสินใจแน่วแน่ ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากทุกอย่าง คือ เลิกกับบอสและหลบหลีกหนีจากทุกคนโดยเฉพาะ...แจ๊ค!
.....ทิ้งต่อง...
หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับเสียงกริ่งซึ่งดังขั้นสองสามครั้ง เตยพยุงกายลุกขึ้นชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างแล้วแทบทรุดฮวบลงเดี๋ยวนั้น บอสเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูรั้วด้วยท่าทีกระวนกระวาย หล่อนเอนกายพิงกำแพง สมองสับสนเกินกว่าจะเคลื่อนกาย ในขณะเสียงกดกริ่งยังคงดังซ้ำๆและรัวเร็วขึ้นตามลำดับอารมณ์ของชายหนุ่มเบื้องล่าง เตยเม้มปากกำมือเข้าหากัน นาทีแห่งการจากลามาถึงแล้ว นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย!
เพียงร่างสูงขาวก้าวพ้นประตูเข้ามา หล่อนก็ถูกเขาดึงมือทั้ง สองไปกอบกุมไว้ ก่อนเขาจะเลื่อนมือขึ้นแตะข้างแก้มพลางไล้เบาๆ อย่าง ทะนุถนอม
“ผมเป็นห่วงแทบแย่ เมื่อคืนโทร.หาก็ไม่ติด เมื่อเช้าโทร.ไปที่ ทำงานเขาบอกว่าลาป่วย ตัวร้อนจี๋เลย ไปหาหมอหรือยัง” บอสเอ่ยยืดยาว หญิงสาวน้ำตาไหล ความตั้งใจก่อนลงมาพบเขาถูกทุบทำลายอย่างย่อยยับ ด้วยแววตาห่วงหาอาทรของชายหนุ่มเบื้องหน้า
"เตย..."
“เอาเถอะ ๆ อย่าเพิ่งพูดเลย ให้ผมพาเตยไปหาหมอก่อน” เขา พูดพร้อมโอบประคองพาเดินออกจากบ้าน เตยเบือนหน้าหนี ซ่อนแววตาหวั่นเกรงไว้ไม่ให้เขาเห็น พร้อมเบี่ยงกายออกจากอ้อมแขนเขาอย่างนึกละอายแก่ใจกับความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ...หล่อนไม่คู่ควรกับความรักของเขาอีกแล้ว....
บอสไม่โกรธ กลับก้มลงมองส่งยิ้มอ่อน ยกมือขึ้นยีผมหล่อนเบา ๆ “เกเรซะแล้ว อย่าบอกว่ากลัวหมอนะสาวน้อย”
“เปล่าซะหน่อย” หันมาฝืนยิ้มให้เขา เดินแยกไปทรุดกายนั่งยังโซฟา “เตยแค่รู้สึกเหนื่อย ๆ"
ชายหนุ่มตามมานั่งเคียง ยกมือขึ้นอังหน้าผาก เอียงคอทอดตา สังเกตสีหน้าคนรักอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วขมวดคิ้ว
“หน้าซีดมากรู้ไหม อย่าดื้อ ไปหาหมอกับผมเถอะ”
เตยหันมองเขาตรง ๆ จ้องลึกในดวงตาแสนอ่อนโยนแล้ว สะท้อนใจ ถ้ายังขืนคบกันต่อไป หล่อนคงรู้สึกผิดไปตลอดชาติ แต่ถ้าจะบอกเลิกก็เอ่ยไม่ออกบอกไม่ได้ เขาช่างดีกับหล่อนเหลือเกิน
“นี่เราต้องทำยังไง”
“เตยอยากพัก แล้วอาจจะ....เลิกร้องเพลง” ท้ายคำไม่ดังกว่ากระซิบ
“เตย!” บอสเรียกชื่อหล่อนเสียงดัง จับไหล่ทั้งสองแน่น “ไม่ได้นะ ถ้าเลิกกะทันหันแล้ว ไอ้พวกเพื่อนผมมันจะหานักร้องทันได้ ยังไง”
เตยตวัดค้อนด้วยความขุ่นเคือง หล่อนรู้มานานแล้วว่าเขาเป็น คนรักและเห็นแก่เพื่อนมาก แต่ไม่เคยเห็นเป็นเรื่องใหญ่มาก่อน ผิดกับ คราวนี้......
“บอสเห็นแก่เพื่อนมากกว่าเตยงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่” ค้านเสียงอ่อน “มีเหตุผลหน่อยสิเตย คุณเป็นนักร้องนำคนเดียว ถ้าเลิกปุ๊บปั๊บที่วงก็แย่สิ แล้วยิ่งไอ้แจ๊คด้วยมันต้องโกรธแทบ บ้าแน่”
“บอส!” ลุกขึ้นตวาดสุดเสียง “เตยบอกว่าเตยเหนื่อย ถ้าคุณ เห็นเพื่อนดีกว่าก็กลับไปเลย แล้วไม่ต้องมาอีก"
“เตย” เขาเรียกด้วยน้ำเสียงเข้มต่ำอย่างเริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง “คุณ เป็นอะไรของคุณ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ใช่ เตยทำตัวเป็นเด็กๆ เป็นคนไม่มีเหตุผล และตอนนี้...เตยเหนื่อย กลับไปเถอะบอส บอสกำมือข่มอารมณ์โกรธกรุ่น มองคนรักด้วย แววตาขุ่นเคือง
“ได้ ผมจะไป” กล่าวจบก็หมุนตัวดึงประตูเปิดสุดแรงจนแทบ ปลิวตามมือ ก่อนเคลื่อนกายผ่านออกไปด้วยความรวดเร็ว
ชายหนุ่มสามคนซึ่งประกอบด้วย นนท์ชายหนุ่มผิวดำแดงรูปร่างล่ำสันผู้เป็นตำแหน่งมือกลอง กานต์ผู้ชายตัวสูงใหญ่ไว้ผมยาวคนเดียว ในวงตำแหน่งมือเบส และชายหน้าตาคมผิวขาวมือกีตาร์นามว่า บอสนั่งหน้าเครียดบนโซฟารูปตัวยู ท่ามกลางแสงสลัวหลากสีในผับ ซึ่งเป็นที่ทำงานทุกค่ำคืนของพวกเขา
“คืนนี้มึงลุยร้องเดี่ยวไปก็แล้วกัน” นนท์หันไปพูดกับแจ๊คที่นั่งอยู่ติดกัน
มือกีตาร์พ่นควันขาวหม่นออกจากปากให้ลอยอ้อยอิ่งดูราวกับไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่ภายในจิตใจร้อนรุ่มยิ่งกว่าสุมไฟ
“กูไม่มีทางเลือกเลยสิ”
“เออ” กานต์แทรกขึ้นอย่างหัวเสีย “เลือกได้ไงเล่า อีกห้านาที จะต้องเล่นอยู่แล้ว ไอ้เตยมันเป็นอะไรของมันวะ จู่ๆ มาเลิกซะงั้น” มือ เบสผู้มีอารมณ์ดีและสนิทกับเตยมากที่สุดในวง และติดปากเรียกหญิงสาวราวกับเป็นเพื่อนชาย เช่นเดียวกับนนท์บ่นอุบชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน
“สนิทกันไม่ใช่รึไง” นนท์เลิ่กหน้าถามกานต์ “พรุ่งนี้แน่ะลองไปเกลี้ยกล่อมดูหน่อยซิ”
มือกลองประจำวงยังบ่นต่ออีกว่า
“ขาดไอ้เตยไปคน ตายห่ากันหมด พวกนักเที่ยวหลงมันจะตาย
เสียงงี้ หุ่นงี้ บาดใจฉิบหาย”
กานต์และนนท์ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ถึงแม้นนท์สนิทกับเตยน้อยกว่า แต่ก็ยังนับว่าไม่ห่างเหินเท่าแจ๊คที่พวกเขาเห็นคุยกับหล่อนนับครั้งได้ ทั้งที่เตยเข้ามาร้องเพลงให้วงนี้ผ่านทางบอสเพื่อนสนิทของแจ๊คแท้ ๆ
“เลิกพล่ามแล้วขึ้นเวทีเถอะ ได้เวลาแล้ว”
ผู้เดียวซึ่งวางตัวนิ่งตลอดการสนทนา เอ่ยเสียงเข้มต่ำอย่างไม่ สบอารมณ์ ก่อนลุกขึ้นเต็มความสูงเดินนำขึ้นเวทีพร้อมกีตาร์คู่ใจเป็นคนแรก
หลังเล่นดนตรีเสร็จ แจ๊คเก็บอุปกรณ์พร้อมเพื่อนอีกสองคน โดยไม่พูดจา หลายครั้งที่เพื่อนร่วมวงหันมามองอย่างฉงน เมื่อเขากระแทกของบึงปังอย่างกับเด็กไม่ได้ดั่งใจ
“เป็นไรของมึง” กานต์ถาม
“ช่างกู”
“เฮ้ย หงุดหงิดอะไรนักหนา มากับกูนี่ ของเด็ด ๆ รออยู่” นนท์เดินเข้ามาคล้องคอเอ่ยชวนอย่างอารมณ์ดี
แจ๊คชะงักมองเพื่อนราวกับจะถาม
“ตามมาเหอะ รับรอง มึงจะอยากกราบกูงาม ๆ” นนท์ว่ายิ้มๆ หันไปยักคิ้วกับกานต์ซึ่งหัวเราะในลำคออย่างรู้กัน
สามหนุ่มนักดนตรีเดินออกจากผับตรงไปยังรถของตัวเองซึ่ จอดเรียงกันอยู่ด้วยความบังเอิญ แจ๊คเห็นเพื่อนทั้งคู่พยักหน้าให้กันส่งความนัย
“มึงขับตามกูมา” นนท์หันมาบอก แจ๊คเปิดประตูรถวางกีตาร์ในอ้อมแขนลงอย่างทะนุถนอมเข้ารถประจำที่นั่งคนขับ เคลื่อนรถตามสองคันข้างหน้าอย่างว่าง่าย ดีเหมือน กันมนุษย์กลางคืนที่ยึดอาชีพนักดนตรีอย่างเดียวและมักเข้านอนเอาตอนเช้า
เพราะมักตะลอนทัวร์ต่อจากเลิกงาน วันนี้ไม่รู้จะไปร่อนเร่ที่ไหนด้วย สมองมันตื้อไปหมด ทั้งโมโห ทั้งห่วงเตยที่ประท้วงเขาด้วยการลาออกจากวง
“ป่านนี้จะทำอะไรอยู่“
เขากำพวงมาลัยรถแน่นจนเส้นเลือดที่ข้อมือปูดโปน
ผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียว มีงาน มีเงิน จะเอาอะไรกับชีวิตมากมาย นอกจากหาความสุขใส่ตัวไปวัน ๆ แจ๊คถอนหายใจหนักหน่วง ลูกคนเดียวที่พ่อแม่ตามใจมาแต่เด็ก พอออกมาอยู่ข้างนอกก็มีชีวิตอิสระ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่น่าแปลกที่เขาไม่อาจหักห้ามใจ
เตย...ชื่อของหล่อนกึกก้องในสำนึก ภาพวันแรกเจอ หวนกลับมา... ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนก่อน ในวันที่ฟ้าใสท่ามกลางแดดจ้าริมทะเลสีคราม เขาและเพื่อนในวงนัดไปเที่ยวกันวันสุดสัปดาห์ บอสซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือและยังติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอตามมาเที่ยว โดยพาหญิงสาวคนหนึ่งมาด้วย
แจ๊คจำภาพตัวเองที่กะพริบตาถี่ ขณะหูฟังคำเปิดตัวคนรักของเพื่อนสนิทอย่างไม่อยากให้สิ่งที่ได้ฟังเป็นเรื่องจริง เพราะผู้หญิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทรวดทรงไม่จัดว่าอ้วนหรือผอมจนเกินไป หล่อนมีผิวขาวเหลือง ใบหน้าเนียนมีเครื่องสำอางอ่อนๆ แต่งแต้ม นิยามได้คำเดียวว่าสวย สวยมากทีเดียว
เขาจำชื่อหล่อนได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกแนะนำ
เตย ผู้หญิงสวยเข้าตำราผิวพม่านัยน์ตาแขก ผู้ร่าเริง มนุษยสัมพันธ์ดีจนเพื่อนอีกสองคนสามารถพูดคุยกับหล่อนได้อย่างสนิทสนมตั้งแต่วันแรกพบ จะมีก็เขานี่แหละ ไอ้ความหลงใหลในรูปทรัพย์ที่เหมาะเจาะไปเสียหมดของเตยผลาญใจจนกลายเป็นริษยาเพื่อนของตัวเอง
“คนอย่างไอ้บอสน่ะเหรอที่จะเหมาะสมกับเตย” เขาคิดแค้น ๆ
เป็นการพบและพูดกันไม่กี่คำเพียงครั้งเดียว ก่อนพบกันอีกเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว บอสซึ่งเคยได้ยินเขาเปรยว่าอยากได้นักร้องหญิงมาฝากฝังคือคนรัก เขาตอบรับทันทีในฐานะหัวหน้าวงโดยไม่มีการทดสอบใดๆ นั่นคือจุดเริ่มต้นช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดได้เจอหน้ากันทุกวัน ความลุ่มหลงที่ เพิ่งบรรเทาเบาบางลงจึงย้อนคืนกลับมาแล้วยังทบทวีคูณขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เตยกลายเป็นนักร้องขวัญใจนักท่องราตรีรวมทั้งคนในวงเองด้วยนิสัยง่ายๆ ไม่จุกจิกน่ารำคาญเหมือนผู้หญิงทั่วไป บอสมารับหล่อนหลังเลิกงานเสมอ ยกเว้นช่วงหลังที่ฝ่ายนั้นติดงานจนแทบกระดิกตัว ปไหนไม่ได้ หรือด้วยเหตุผลอื่นเขาก็ไม่อาจรู้ ช่องว่างตรงนี้ทำให้แจ๊คไม่อาจละเลย...
และเพราะการตัดสินใจแต่งงานของบอสเป็นแรงขับ วินาทีที่ บอสเอ่ยขอให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวตอกย้ำ...เขามิได้แค่หลงในความสวย แต่... วันเวลาที่ใกล้กัน นิสัยใจคอ ทำให้รู้สึกมากกว่านั้น....จนไม่อาจทนเห็น ใครได้หล่อนไป
เตย...เรือนร่างสวยหอมกรุ่นในอ้อมกอดเขายังจดจำได้แววตาตื่นตระหนกหวาดกลัวและแสนยั่วยวนยังเตือนใจ...หล่อนเป็นของเขา เท่านั้น!
แจ๊คฟาดมือลงบนพวงมาลัยอย่างหัวเสีย ผู้หญิงรอบตัวล้วน “วิ่งเข้าหา” ทุกคนยินยอมพร้อมใจด้วยกันทั้งสิ้น คนเดียวในอ้อมกอดที่มองเขาอย่างโกรธแค้นปนเศร้า.....เตย
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเสียงโทรศัพท์ติดตามตัวดังขึ้น แทรกความคิดอันฟุ้งซ่าน แค่กดปุ่มรับเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น
“ขับชมวิวหรือไงวะ ข้ายังกะเต่า พวกกูชะลอกันจนแทบจะจอดแล้วนะมึง”
“เออ ๆ กูรู้แล้ว เดี๋ยวเหยียบแซงซะเลย จะถึงหรือยังล่ะ”
“ผ่านไฟแดงข้างหน้า แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยก็ถึง ตามมาเร็ว ๆ ล่ะ แจ๊คไม่ตอบกลับแต่ตัดสายทิ้ง กดฝ่าเท้าบนคันเร่งส่งรถพุ่งเร็วขึ้น จนแทบชิดคันข้างหน้า เขาหน้างงนิดนึงเมื่อเห็นเพื่อนเลี้ยวเข้าจอดหน้าผับแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่สุดซอยอันเป็นทางตันและรีบออกจากรถตรงดิ่งเข้าไป ถามทันที
“อะไรของพวกมึง เพิ่งเลิกงานจากผับก็เด้งมาอีกผับนึง ไม่เบื่อ กันบ้างหรือไง”
กานต์ระบายยิ้มอารมณ์ดี เข้ามาตบไหล่เบา ๆ
“เข้าไปก่อน แล้วค่อยติเถอะวะ"
แจ๊คถอนใจดัง ๆ ให้เพื่อนได้ยิน เขาไม่คิดว่าการย้ายจากผับ หนึ่งมาอีกผับหนึ่งมันจะสนุกกว่ากันตรงไหน แต่เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่ภายในซึ่งบรรยากาศไม่แตกต่างจากผับที่เขาทำงานนัก ชายหนุ่มรีบกระชากคอเสื้อนนท์และกานต์อย่างแรง จนผงะถอยหลังด้วยไม่ทันตั้งตัวกันทั้งคู่พาหลบมุมหนึ่ง ขณะตาอันชินต่อความมืดสลัวเพ่งมองไป เบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด ไม่สนใจเสียงประท้วงของเพื่อนอีกสองคน
“เชี่ย! ดึงทำไมวะ” นนท์บ่นส่วนกานต์สะบัดตัวออกจาก มือที่กุมคอเสื้อเขาอย่างรวดเร็วหันกลับมองแจ๊คตาขวาง
“อะไรของมึงเนี่ย วันนี้มึงกวนมากรู้ตัวรึเปล่า”
มือกีตาร์ประจำวงไม่ได้ยินทั้งคำด่าและคำถาม ยังคงเพ่งมอง ฝ่าแสงหลากสีวูบวาบไปยังมุมในสุดของร้าน อาการดังกล่าวทำให้ที่เหลือสบตากันงง ๆ ก่อนมองตามสายตาของเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นและเมื่อเห็นชัดเจนก็อุทานพร้อมกัน
“เฮ้ย!"
“เออดี เห็นกันแล้วจะได้เลิกถาม” แจ๊คพูดลอย ๆ
“เหอะ จะว่าไง ก็ไอ้เตยเขางอกน่ะสิ”
ชายหนุ่มซึ่งเห็นเหตุการณ์เป็นคนแรกสีหน้าเรียบเฉยยากคาดเดาความรู้สึก เพื่อนกันและยังสนิทมาหลายปี มีหรือจะจำพลาด แว็บเดียวก็ทำให้ต้องเพ่งมองซ้ำโซฟามุมสุดของร้านมีเพียงแสงสลัววูบวาบผ่านผู้ชายคนหนึ่งในชุดทำงานอันได้แก่เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนขึ้นลวกๆ ปลด กระดุมลงเผยแผงอกปล่อยชายออกนอกกางเกงผ้าสีเข้ม นั่งเบียดชิดหญิงสาวท่าทางเปรี้ยวจี๊ด สังเกตได้จากการแต่งกายที่มีเพียงเสื้อเกาะอกที่น่าจะกว้างเพียงหนึ่งฝ่ามือกับกระโปรงสั้นกุดเผยเรียวขาขาว ทั้งคู่เคล้าเคลียหยอกล้ออย่างหวานชื่น แจ๊คจะไม่สนใจมากนักเพราะเป็น ภาพที่เห็นจนชาชินตามสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี ถ้าผู้ชายที่ตอนนี้ กำลังเอียงหน้าเข้าไปใกล้ซอกคอเปลือยโล่งของผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่.....บอส
แจ๊คถูกภาพและความคิดสับสนของตัวเองครอบงำอยู่ชั่วครู่ ก่อนดวงตาคมกล้าวิบวับขึ้นอย่างพึงพอใจ จนส่องประกายล้อกับแสงไฟ เหยียดยิ้มมุมปาก พูดขึ้นว่า
“ไปเหอะอย่าเข้าไปกวนมันเลย ไหนล่ะของเด็ดของพวกมึง”
คราวนี้กลายเป็นเพื่อนของเขาอึ้งค้างกันบ้าง เพราะถึงพวกเขา จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงตามประสาคนโสดแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครก้าวล้ำวุ่นวายกับเตยเกินเพื่อน แถมยังห่วงใยราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆโดยเฉพาะกานต์
“กูว่ามันชักจะยังไงแล้ว ที่ไอ้เตยมันเลิกร้องเพลง เพราะมี ปัญหาส่วนตัวรึเปล่าวะ” นนท์เปรย สีหน้ากังวล
“พรุ่งนี้กูจะไปหาเตย”
แจ๊คแววตาประกายวาบขึ้นแว็บหนึ่งโดยไม่มีใครสังเกต
“เออ ๆ จะเอาไงกันก็เอา ตอนนี้กูเริ่มเบื่อแล้ว” เขาตัดบท “มึงนี่ มา ๆ” นนท์เดินนำมาอีกด้าน แทบไม่ต้องแนะนำกันให้เสียเวลา เพียงเดินมาถึงสามสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่นั่งอยู่ก่อนลุกขึ้น ทักทายอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันก่อนหน้านี้เป็นสิบปี
แจ๊คหันไปสบตาเพื่อนที่ยักคิ้วให้ยิ้มๆ อันที่จริงวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะวุ่นวายเรื่องผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น แต่ความคิดนี้เป็นอันยุติทันที เมื่อสาวน้อยหนึ่งในสามส่งแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันมาเบื้องหน้า พร้อมเดินเข้ามาเบียดกายจน สัมผัสได้ถึงความอวบหยุ่นของทรวงอกอย่างท้าทาย
แจ๊คหัวเราะห์ในลำคอในเมื่อน้ำมันราดลงมาไฟมันย่อมติดเป็นธรรมดา เขาลดแก้วลงแตะต้นขาอวบอย่างจงใจ หยอกล้อจนหญิงสาวคนดังกล่าวหัวเราะคิกคักกระเถิบหนีอย่างมีจริต ชายหนุ่มกักตัวหล่อนไว้ด้วยวงแขนแข็งแรง เขายิ้มอย่างสุขสมครึ้มใจเป็นที่สุดกับความบังเอิญ ที่ได้ล่วงรู้ความลับของบอสแล้ว ยังมีดอกไม้สวยๆ ที่พร้อมจะให้ดอมดมอยู่เบื้องหน้า
ภายในห้องรับแขกที่กว้างขวางพอสำหรับหญิงสาวซึ่งครอบครองบ้านหลังกะทัดรัดเพียงลำพัง ชายหนุ่มมาดเซอร์กำลังถามไถ่เจ้าของบ้านอย่างอาทร
“คิดดีแล้วเหรอเตยที่ว่าจะเลิกร้องเพลง แล้วบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรน่ะจริงหรือ"
เตยระบายยิ้ม เป็นยิ้มจากใจด้วยความตื้นตัน ในจำนวน เพื่อนในวงก็เห็นจะมีกานต์นี่แหละ ที่ดำรงตนเหมือนเป็นพี่ชายไม่มีผิด รองลงมาก็คือนนท์ที่ฝากถามไถ่และส่งความคิดถึงผ่านกานต์มาด้วย
“จริงสิ” หล่อนเว้นจังหวะ “เตยขอโทษนะ คือ...งานประจำมัน เยอะมาก แยกร่างไม่ถูกจริงๆ เลยต้องเลิก”
กานต์ลอบถอนใจ งานเยอะอะไรนักหนา ที่ผ่านมาหล่อนก็ทำงานสองอย่างควบคู่ได้ไม่มีบ่น และเท่าที่รู้ไอ้งานเลขานุการที่เจ้านายผู้มากวัยแสนจะใจดีก็ไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด เขามองหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์
เตยยังยิ้มสดใส แต่บางอย่างในแววตามันฟ้อง รอยเจ็บช้ำโลดออกมาอย่างปิดไม่มิด