วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ตลก,รัก,ฟีลกู๊ด,เพื่อน,มหาวิทยาลัย,มหาลัย,พล็อตหาเรื่อง,พล็อตสร้าง,ชายรักชาย,วาย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อินกินหมี่ [มี E-book]วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาอีกหลายสิบขั้นจนถึงชั้นสามในที่สุด ก่อนจะพบว่าหมายเลขห้องเรียงเหมือนกับชั้นสองเลย ทำให้การหาห้องของกันต์ง่ายกว่าครั้งแรกและไม่นานก็เจอห้องสามหนึ่งสาม ทว่าเมื่อกันต์จะใช้กุญแจไขเปิดประตูห้องก็มีนักศึกษาหนุ่มร่างบึกบึนคนหนึ่งเปิดประตูออกมาพอดี
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มผิวแทนกล่าวทักทาย
“ดีครับ คนไหนพักห้องนี้เอ่ย” อีกฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่เห็นน้องใหม่ยืนอยู่หน้าห้องสองคนก็ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ผมครับ” กันต์ตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ก็รุ่นพี่ตรงหน้าดูน่ากลัวจะตายไป หุ่นนี่อย่างกับหมีเลย ถึงเขาจะตัวใหญ่ไม่แพ้กันแต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับรุ่นพี่ที่หุ่นเป็นนำมวยปล้ำแบบนี้
“อ่า เข้าไปจัดของได้เลย พี่จะออกไปข้างนอกหน่อย”
“ผมให้เพื่อนเข้าไปด้วยได้มั้ยครับ”
“...เอ่อ...” คำถามของกันต์ทำเอาอีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย อินเห็นว่ารุ่นพี่คนนั้นมีท่าทีไม่สบายใจก็พูดอธิบาย
“ผมชื่ออินครับอยู่ห้องสองศูนย์ห้าคือผมแค่อยากมาดูว่าเพื่อนอยู่ห้องเดียวกับใคร ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลยครับ” น้ำเสียงของอินฟังดูจริงจังและหนักแน่นจนทำให้รุ่นพี่ยอมใจ
“ก็ได้...ยังไงก็อย่าทำเรื่องวุ่นวายล่ะ” การกระทำดังกล่าวทำให้รุ่นพี่รู้สึกดีและมองว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนคงไม่ทำอะไรเสียหาย เลยอนุญาตและ กล่าวเตือนเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป
“คนอะไรจะตัวใหญ่ได้ขนาดนั้น” เงาของรุ่นพี่ไม่ทันจะหายลับตา เสียงของกันต์ก็ดังพึมพำขึ้นทันที
“แต่พี่เค้าดูเป็นคนใจดีนะ ไม่งั้นคงไล่กูกลับห้องไปนานละ” อินพูดพลางคิดว่ารุ่นพี่คนนั้นดูเป็นคนใจดีจริง ๆ เพราะการที่อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวพวกเขาขนาดนี้แสดงว่าเป็นพื้นฐานก็คงเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย
“มึงกลับห้องได้ละ” อินที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ต้องย่นคิ้วทันทีเพราะคำพูดจากเพื่อนสนิทที่ตอนนี้จัดวางสัมภาระอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยถามตามปกติเพื่อให้แน่ใจ
“ให้กูอยู่ช่วยจัดของก่อนมั้ย” คำถามนั้นทำให้กันต์หยุดมือที่กำลังจะเปิดกระเป๋าและหันหน้ามองอิน
“กูพูดจริงนะไอ้อิน กูรู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้กลัวขี้ขลาด แต่มึงไม่ต้องดูแลกูขนาดนี้ก็ได้ แค่มึงเดินมาเป็นเพื่อนจนถึงห้องพักเนี่ย กูก็สบายใจแล้ว มึงเป็นคนพูดเองว่าต่อไปกูก็ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ให้กูค่อย ๆ เรียนรู้ไปอ่ะ อีกอย่างคือกูไม่ใช่น้องชายมึงนะ...”
“...โอเค...งั้นกูกลับห้องก่อน มีอะไรก็โทรมา” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปฟังดูเศร้าหมองกว่าปกติแต่อินรู้ดีว่าเพื่อนสนิทพูดด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์
“เออ แล้วมึงก็ไม่ต้องเก็บคำพูดกูไปคิดมากอีกล่ะ ที่กูพูดไปเพราะอยากให้มึงได้ใช้ชีวิตของมึงบ้างเหมือนกัน กูไม่มีอะไรในใจทั้งนั้น” กันต์แตะบ่าอินเบาๆ อย่างรู้ใจ
“เออน่า กูเข้าใจแล้ว” อินพยักหน้างึกงักและเดินกลับห้องตัวเอง
เมื่อถึงห้องพัก อินหยุดนิ่งยืนมองตัวเลขสีทองที่ติดอยู่หน้าประตู เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมาพรูใหญ่ราวกับกำลังระงับความวิตกกังวลภายในจิตใจ
“หรือความจริงแล้วเป็นตัวกูเองที่ขี้กลัว”
สองขายาวก้าวเข้าห้องและทำความสะอาดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะจัดแจงสัมภาระที่ขนมาให้เข้าที่เข้าทาง เสื้อผ้าประเภทชุดนักศึกษาถูกนำไปแขวนไว้ในตู้ล๊อกเกอร์อย่างเรียบร้อย ขณะที่เสื้อผ้าทั่วไปถูกพับเก็บและเรียงไว้ในลิ้นชักด้านล่างตู้ รวมถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายก็ถูกจัดไว้ในซอกมุมข้างโต๊ะไม้
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เด็กหนุ่มก็จัดสรรของทุกอย่างให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสะดวกต่อการใช้งานได้สำเร็จ รวมถึงจัดของจิปาถะเล็กน้อย เช่น อุปกรณ์อาบน้ำหรืออุปกรณ์การเรียนให้เป็นระเบียบด้วยเช่นกัน ก่อนจะหย่อนก้นลงบนเบาะนอนแสนบางที่วางอยู่บนเตียงเหล็กสองชั้นแข็ง ๆ พลางเหม่อมองไปยังพื้นที่โล่งกว้างอีกฝั่ง
‘ภูริวัฒน์’
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเห็นชื่อนี้เพียงแค่ครั้งเดียวจากกระดานรายชื่อแต่เขาจำมันได้ขึ้นใจเพราะนั่นคือชื่อเพื่อนร่วมห้องที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยจนกว่าจะเรียนจบมหาลัยฯ คิดว่าคงเป็นอย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่ชิงย้ายหอไปเสียก่อน จะว่าไปเจ้าของชื่อนี้จะเป็นคนแบบไหนกันนะ
เราสองคนจะนิสัยเข้ากันได้รึเปล่า ถ้าเขาออกกำลังกายในห้องพักอีกฝ่ายจะบ่นเหม็นเหงื่อมั้ยนะ สงสัยคงต้องจัดตารางฝึกนอกสถานที่ซะแล้วหรือไม่ก็ต้องไปสมัครเข้าฟิตเนสแทน จริงสิ ถ้าอีกฝ่ายเป็นพวกหัวรุนแรงจะทำยังไงดีล่ะ ยิ่งคิดยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่จนต้องสะบัดหัวเพื่อสงบสติอารมณ์
ครืดดด ครืดดด
แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือช่วยเบี่ยงเบนความคิดมากของอินได้ทันท่วงที มือหนากดรับสายและเงียบฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“จัดของเสร็จยัง” ซึ่งปลายสายก็ไม่พ้นนายกันต์นั่นเอง
“เสร็จแล้ว มีอะไรรึเปล่า”
“กูเพิ่งจัดของเสร็จเลยว่าจะเอารถกลับไปจอดไว้ที่บ้าน วันรับน้องค่อยนั่งแท็กซี่มา มึงจะกลับเลยมั้ย” อินเงียบไปและคิดตาม ถึงแม้ว่างานรับน้องจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าแต่เขาก็ยังไม่อยากนอนค้างที่หอพักวันนี้
“กลับ บอกพ่อไว้ว่าวันนี้แค่มาทำความสะอาดห้อง ไม่ได้บอกว่าจะมานอนค้าง”
“เค เจอกันข้างล่าง”
.
.
.
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็กลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงแก่พ่อแม่ไม่น้อยเพราะอีกสองวันก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัยฯ แล้ว แต่ทำไมเด็กหนุ่มพวกนี้ถึงไม่นอนค้างที่หอพักเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนคนอื่นกันนะ
จนกระทั่งวันรับน้องได้มาถึง อินนั่งรถโดยสารมาลงหน้ารั้วมหาลัยฯ เพียงคนเดียวเพราะกันต์มีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงและป่วยหนักจนไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เมื่อวานอินก็โทรติดต่ออาจารย์หอเพื่อขอช่วยให้ประสานงานเรื่องยกเว้นการเข้าร่วมกิจกรรมของกันต์เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้อินก็มายืนอยู่ตรงลานกว้างที่เต็มไปด้วยใครก็ไม่รู้
ณ ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัย XX นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งมากหน้าหลายตาต่างก็หลั่งไหลมารวมตัวกันตรงพื้นที่แห่งนี้เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องประจำปีการศึกษานี้ หลายคนมาด้วยกันก็จะรวมตัวเป็นกลุ่มได้เร็ว บางคนมาเป็นคู่ก็จะยืนอยู่ใกล้กัน ขณะที่รุ่นพี่จากคณะต่าง ๆ ก็มาช่วยกันคอยสอดส่องดูแลรุ่นน้อง คอยดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความราบรื่น
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ร่างสูงของอินก็ถูกหลายสายตาจับจ้องเพราะเขาดูโดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือกริยาท่าทาง ทุกอย่างดูดีไปหมด เสียอย่างเดียวคือใบหน้านั้นไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าคมดูดุดันจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“เขียนชื่อเล่นนะครับ” กระดาษแข็งสีเขียวสว่างแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาให้เขาพร้อมเชือกขาวแดหนึ่งเส้นงสำหรับทำป้ายชื่อ
อินมองหน้ารุ่นพี่ที่ส่งอุปกรณ์พวกนั้นมาให้ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับและหันมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่รอบข้าง ส่วนใหญ่ก็เริ่มลงมือเขียนป้ายชื่อกันแล้ว เด็กหนุ่มรอให้เพื่อนคนหนึ่งเขียนเสร็จก่อน แล้วขอยืมปากกาต่อจากอีกฝ่าย อินเขียนชื่อเล่นและร้อยเชือกขาวแดงเพื่อให้เป็นสายคล้องคอ
“เขียนชื่อเสร็จกันรึยังครับ เขียนเสร็จแล้วรบกวนแขวนป้ายชื่อและหันมาฟังทางนี้หน่อยครับ” พี่ว้ากตะเบ็งเสียงผ่านโทรโข่งดังมากจนทำให้เหล่ารุ่นน้องสะดุ้งโหยงนั่งหลังตรงกันเป็นแถว ก่อนจะหันไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
“ยินดีต้อนรับน้อง ๆ เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย XX นะครับ วันนี้ทุกคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมแรกพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็คือกิจกรรมรับน้องนั่นเอง!!!” เสียงเฮของรุ่นพี่ดังลั่นพร้อมเสียงรัวกลองสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน
“กิจกรรมวันนี้พี่ ๆ ร่วมกันจัดเตรียมไว้ให้รุ่นน้องด้วยความรักความเอ็นดูเลยนะครับ” จบประโยคพูดนี้ รุ่นพี่หลายคนที่ยืนล้อมรอบน้องปีหนึ่งต่างก็ส่งเสียงโห่แซวทันทีแต่ทำได้ไม่นาน พี่ว้ากก็ยกมือขึ้นห้ามเพื่อขอพูดต่อ
“ตอนนี้ขอให้น้อง ๆ ก้มดูป้ายชื่อของตัวเองนะครับ แต่ละคนจะได้กระดาษแข็งที่มีสีแตกต่างกัน ใครได้ป้ายชื่อสีอะไรก็ให้แยกย้ายไปตามสีนั้น ซึ่งแต่ละสีจะมีพี่เลี้ยงคอยชูป้ายบอกทางและตะโกนเรียก ขอให้แยกย้ายกันอย่างเป็นระเบียบด้วยนะครับ”
อินจำได้ว่าตัวเองรับป้ายชื่อสีเขียวมา เขาจึงหันมองรอบทิศเพื่อหาป้ายบอกทางไปยังกลุ่มสีดังกล่าว ทว่ามีเพื่อนนักศึกษาหลายคนเริ่มพากันลุกขึ้นยืนจนทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด เด็กหนุ่มเลยตัดสินใจลุกขึ้นยืนเช่นกัน ก่อนจะเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชูป้าย ‘สีเขียว’ อยู่ไม่ไกล
โอ๊ยยยย!
“โทษที พอดีเราโดนไอ้คนนั้นชนมาอีกทีน่ะ” เสียงเล็กแหลมของใครบางคนอุทานออกมาพร้อมคำขอโทษปนอธิบาย อินมองคนตรงหน้าและประมวลผล ตัวบางขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่จะโดนชนจนกระเด็นมา
“ไม่เป็นไร...ว่าแต่เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า” อินถามไถ่อาการอีกฝ่าย นี่โชคดีนะที่มือหนาของเขาจับต้นแขนบางของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น
“หะ!เรียกใครว่าเธอ กูเป็นผู้ชายจ้ะ ไม่เห็นเหรอว่ากูใส่กางเกงอ่ะ!” แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงและพยายามดีดตัวออกจากมือหนาที่จับตัวอยู่ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่กางเกงสแล็กสีดำของตัวเอง
“เห็นแล้วว่าใส่กางเกง แต่มึงตัวเล็กจะตายแถมดูบอบบางขนาดนี้จะให้กูไปถามว่า มึงเป็นไรมั้ยทั้งที่ยังไม่รู้จักกัน มันก็ฟังดูแปลก ๆ มั้ยล่ะ” อินพูดไปตามสิ่งที่คิดโดยไม่มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิดแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้หน้าแดงขึ้นมาล่ะ หรือจะเขินที่โดนชมว่าเป็นคนตัวเล็ก?
“ตะ...ตัวเล็กเหรอ! ถะ...แถมยังบอบบางอีก! หึ้ย! มึงมันไอ้ยักษ์!” โอเค ที่หน้าแดงไม่ได้เป็นเพราะเขินแต่เป็นเพราะโกรธสินะ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นกูไปล่ะ” อินเห็นว่าอีกฝ่ายเถียงกลับได้ขนาดนี้ก็คงจะไม่เป็นไรแล้วเลยขอตัว แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขาออกมาก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเล็กแหลมที่ตะโกนรั้ง
“ดะ...เดี๋ยว! มึงป้ายชื่อสีเขียวเหมือนกูเลย กูไปด้วย”
“หึ อยากไปด้วยเพราะมองทางข้างหน้าไม่เห็นเหรอ” สายตาดุดันจ้องมองร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว
“ใครบอกว่ากูมองทางไม่เห็น! กูแค่จะเอามึงมาบังตัวเองไว้เพราะกลัวว่าจะมีใครเดินมาชนกูอีกต่างหาก ตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างมึงใครชนก็คงไม่เจ็บหรอก!” ตอนนี้คนตัวเล็กหน้าดำหน้าแดงเพราะทั้งโกรธและอายจนทำตัวไม่ถูกแต่เรื่องอะไรเขาจะไปยอมอ่อนข้อให้ไอ้ยักษ์ปากเสียนี่กันล่ะ
“งั้นก็เดินตามมาให้ทันล่ะ” อินที่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปก็ขอสงบศึกไว้เพียงแค่นี้ ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังกลุ่มสีเขียว
.
.
.
เริ่มรู้สึกได้ถึงความวายป่วง...ว่าแต่นายภูริวัฒน์จะเป็นคนแบบไหนกันนะ