วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ตลก,รัก,ฟีลกู๊ด,เพื่อน,มหาวิทยาลัย,มหาลัย,พล็อตหาเรื่อง,พล็อตสร้าง,ชายรักชาย,วาย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อินกินหมี่ [มี E-book]วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ภายในเวลาไม่กี่นาทีนักศึกษาปีหนึ่งที่มีป้ายชื่อสีเขียวก็มารวมตัวกันตรงนี้ ภาพของผู้คนดูบางตากว่าตอนแรกไปมากเพราะเด็กปีหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งตอนนี้รุ่นพี่หลายคนก็เริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำกิจกรรมจนพร้อม และแล้วก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นพร้อมอธิบายรายละเอียดกิจกรรม
“สวัสดีค่าาา ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ปีหนึ่งอีกครั้งนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพี่ขออธิบายกิจกรรมแรกของกลุ่มสีเขียวเลยนะ กิจกรรมนี้มีชื่อว่าเต้นแร้งเต้นกาพาเพลิน~” เมื่อรู้ชื่อกิจกรรม เสียงโห่ร้องของเหล่ารุ่นพี่และน้อง ๆ ปีหนึ่งก็ดังขึ้นด้วยความครื้นเครง
“กิจกรรมนี้ง่ายมาก ทุกคนแค่เต้นไปตามจังหวะเพลงที่พี่สตาฟเปิดให้ฟังนะคะ เต้นไปเรื่อย ๆ ถ้าน้องเต้นดี! เด้งแรง! ท่าโดนใจ! กิจกรรมก็จะสิ้นสุดลงทันที ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญพี่ทีมสันทนาการร่วมเต้นกับน้องปีหนึ่งด้วยค่าาา” สิ้นเสียงอธิบายกิจกรรมจากรุ่นพี่คนสวย อินก็ยืนแน่นิ่งพร้อมเหงื่อเม็ดใหญ่ที่เริ่มผุดขึ้นมาตรงขมับ ให้ตายสิ กิจกรรมแรกต้องเต้นเหรอ เขาเต้นเป็นที่ไหนกัน!
“นี่! ทำไมไม่เต้นล่ะ เดี๋ยวไม่ผ่านกิจกรรมนะ” เสียงเล็กแหลมของคนที่เจอกันก่อนหน้านี้ดังมาเข้าหูแต่อินเลือกที่จะไม่สนใจ
“...”
“หรือมึงเต้นไม่เป็น แค่ทำท่าตามที่พี่เค้าสอนเองนะ ง่ายจะตายไป” จู่ ๆ อีกฝ่ายก็หยุดเต้นและยืนเท้าสะเอวพลางขมวดคิ้วจ้องเขม็งมาทางเขา
“อืม” เสียงตอบกลับของเด็กหนุ่มดังทุ้มในลำคอเพราะการยอมรับว่าตัวเองมีเรื่องที่ทำไม่ได้ก็คงไม่ใช่เรื่องแย่อะไรแต่สิ่งนี้กลับถูกใจคนตัวเล็ก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! คนอะไรวะแค่กางแขนกางขาเต้นแบบนี้ก็ทำไม่เป็น มา! กูช่วยเอง” อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังลั่นและหันมาฉีกยิ้มกว้างหลังพูดจบ
รอยยิ้มนั้นทำเอาเด็กหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยพลางคิดในใจว่าคนอะไรจะร่าเริงได้ขนาดนี้ สงสัยอีกฝ่ายคงใช้ชีวิตมาอย่างดีตรงกันข้ามกับคนมืดมนแบบเขา จังหวะนั้นเองที่สายตาของอินเหลือบมองป้ายชื่อสีเขียวของอีกฝ่าย ชื่อ ‘หมี่’ งั้นเหรอ หึ เหมาะสมกับเจ้าตัวจริง ๆ
มือเล็กของอีกฝ่ายคว้าจับมือหนาของเขาไว้และชูขึ้นสูงจนสุดแขนพร้อมโยกไปโยกมา ตามด้วยการจัดท่าทางให้เขาเต้นท่าแร้งตามที่รุ่นพี่สอน วินาทีนั้นนับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่สุดที่อินเคยเจอ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความสุขและความสนุกอีกครั้งในรอบหลายปี...
“เป็นไงมึง เต้นสนุกใช่มั้ยล่ะ” สิ้นสุดกิจกรรมเต้นแร้งไปได้ด้วยดี คนตัวเล็กก็หันมายิ้มยิงฟันพร้อมเหงื่อที่ไหลไปตามกรอบหน้า
“อืม ก็ดี” คำตอบแสนสั้นจากเด็กหนุ่มบวกกับเบ้าหน้าฟ้าประทานทำให้คนตัวเล็กรู้สึกหมั่นไส้ในความขี้เก๊กขึ้นมาเล็กน้อยจนอดไม่ได้ ต้องขอพูดจาเหน็บแนมไอ้ยักษ์นี่สักหน่อย
“กูอยากจะแหม~ มาจากดาวอังคาร ก่อนหน้านี้มึงยังเด้งเอวอยู่เลย ทำมาพูด อืม ก็ดี จะทำเข้มเพื่อ? กิจกรรมต่อไปจะเริ่มแล้ว ร่าเริงไว้นะเพื่อนอย่าทำตัวซังกะตาย เป็นแบบนี้มีหวังไม่ผ่านกิจกรรมกันพอดีอ่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า กูผ่านเรื่องนี้ไปได้” คนตัวเล็กหันมาจ้องเขาพลางยกมือลูบคางตัวเอง ก่อนจะหรี่ตามองอย่างมีพิรุธจนอินทำตัวไม่ถูก
“ไม่อ่ะ กูตัดสินใจละ มึงอยู่กับกูไว้นะเดี๋ยวกูช่วยมึงเอง” เมื่ออีกฝ่ายพูดจบอินก็อึ้งและนิ่งงันไปเล็กน้อย...เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ดี
‘มึงเป็นอย่างนี้ตลอดเลยไอ้อิน เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวหม่นหมองสักที เฮ้อ! มึงอยู่ใกล้กูไว้นะเดี๋ยวกูจะพามึงร่าเริงเอง’
“มึงได้ยินป่ะเนี่ย!” เสียงเล็กตะโกนถามเพราะจู่ ๆ ก็เห็นคนร่างยักษ์นิ่งเงียบไป
“ขอบใจ” อินตอบกลับไปเสียงเบา ทว่ามันกลับดังชัดสำหรับคนฟัง
“ขะ..ขอบใจอะไรกันเล่า! เรื่องคะ..แค่นี้เอง!” คนตัวเล็กหูแดงขึ้นมาทันทีเพราะได้รับคำขอบคุณจากอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะหันหน้าหนีเพื่อเก็บอาการเขินอาย อินเห็นแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อยและคิดทบทวนว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรลงไป ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งลงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมถัดไป
“กิจกรรมที่สองคือสามัคคีตีลังกา ให้น้อง ๆ แบ่งทีมกันนะคะ แล้วคัดเลือกตัวแทนสองคนออกมาแข่งขันกับทีมอื่น กติกาง่าย ๆ คือให้คนหนึ่งตีลังกาไปคาบขนมจากอีกฝั่งและตีลังกากลับมา มอบขนมให้อีกคนที่รออยู่ คนที่ได้รับขนมก็ต้องรีบกินขนมให้หมด ทีมไหนกินขนมเสร็จก่อนถือว่าชนะและจะได้รับขนมเป็นของรางวัล เอาไปกินกันทั้งทีม!!!”
วู้ววว!!!
“พร้อมแล้วก็แยกย้ายกันแบ่งกลุ่มได้เลยค่าาา” นักศึกษาต่างพากันหันมองและพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อหากลุ่มให้เร็วที่สุด หมี่ก็พาอินไปจับกลุ่มกับเพื่อนใหม่ได้สำเร็จ ก่อนจะเริ่มมีการปรึกษากันว่าใครจะเป็นตัวแทนออกไปแข่งขัน
“อะแฮ่ม! คือเราไม่อยากจะพูดอย่างนี้เลยนะเพราะเดี๋ยวจะหาว่าคุย แต่เรากินเก่งมาก ฉะนั้นเราขอเสนอตัวเองเป็นหนึ่งในตัวแทนเพื่อไปช่วงชิงรางวัลอันแสนล้ำค่าที่ล่อตาล่อใจนั่นมาเอง!” เพื่อน ๆ หน้าเหวอกันเล็กน้อยเพราะสิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมา ขนมเนี่ยนะรางวัลอันล้ำค่า?
“เยี่ยม!”
“ได้เลย!”
“ทำให้เต็มที่นะ!”
“แหม~ ทุกคนช่วยเชียร์กันขนาดนี้ ก็ต้องขอขอบคุณมากเลยนะ~” ซึ่งเสียงสมาชิกส่วนใหญ่ก็พร้อมเพรียงกันเห็นดีเห็นงามที่มีคนเสนอตัวเองเข้าแข่งขัน คนตัวเล็กยืนเกาท้ายทอยและบิดตัวไปมาแก้เขิน
“แล้วอีกคนจะเป็นใครล่ะ การตีลังกาไปกลับพร้อมคาบขนมไว้ด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” เสียงหนึ่งในสมาชิกถามขึ้นอย่างกังวล หมี่หันมองอินทันทีและตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกมา
“อะแฮ่ม! ในเมื่อเวลาสำหรับการคัดเลือกผู้กล้านั้นมีจำกัด เราจึงขอเสนอเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอกันแต่ดูมีแววน่าสนใจ ร่างกายแข็งแรงสมส่วน แขนขาที่ยาวกว่าคนอื่น ๆ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขัน คนนี้เลย!” พูดจบก็ผายมือไปทางอินที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ
“อะไรของมึง กูไม่ไป” อินตอบกลับเสียงแข็ง
“โถ่ ร่างกายเหมาะจะเป็นนักกีฬาขนาดนี้กะอีแค่ตีลังกาสองสามทีคงไม่คณามือมึงหรอก...หรือมึงจะบอกว่าตีลังกาไม่เป็น!” คนตัวเล็กแสร้งทำท่าทางตกใจจนเกินเหตุและนั่นทำให้เริ่มมีคนหันมาสนใจเขา
“เป็น” เด็กหนุ่มเลือกตอบความจริงไปเพราะจะให้เขาโกหกอีกฝ่ายว่าตีลังกาไม่เป็นก็ทำไม่ได้อีก ศักดิ์ศรีมันค้ำคอซะขนาดนี้ อีกอย่างคือถ้าบอกไปว่าทำไม่เป็นมีหวังโดนอีกฝ่ายล้อยันเรียนจบแน่ ๆ ซึ่งคำตอบของอินนั้นก็เข้าทางคนตัวเล็กอย่างจัง
“นั่นไง! มึงตีลังกาเป็นเพราะงั้นช่วยหน่อยนะ รางวัลเป็นขนมเลยนะ คุ้มค่าให้ทุ่มเทจะตายไป” เสียงเล็กแหลมของหมี่นั้นฟังดูออดอ้อนกว่าทุกที มือเล็กยกโบกไปมาเพื่อให้รู้ว่าของรางวัลที่จะได้มานั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน
“ยังไงพวกเราก็เป็นคนลงแข่งนะ ต้องได้ขนมมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว มึงเชื่อกู! มีแต่คุ้มกับคุ้ม!” จู่ ๆ คนตัวเล็กก็เกาะไหล่เขาและเขย่งขาขึ้นมากระซิบกระซาบข้างหูเพื่อโน้มน้าวอีกครั้งในจังหวะที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างสูงได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายและเห็นว่าความคิดนั้นตลกดีก็ยอมตอบตกลง
“ก็ได้”
“มึงนี่เห็นแก่กินเหมือนกันนะ ดีเลย เราพวกเดียวกัน!”
เมื่อได้ตัวแทนในการลงแข่งเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็มายืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้นการแข่งขัน และเนื่องจากชุดนักศึกษาค่อนข้างพอดีตัวสำหรับอิน เขาจึงต้องดึงกางเกงและเสื้อให้ร่นขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อป้องกันเสื้อผ้าฉีกขาดจากการฉีกแข้งฉีกขาตีลังกา
ส่วนคนตัวเล็กก็ยกมือบางขึ้นนวดแก้มเบา ๆ และอ้าปากกว้างเพื่อวอร์มกรามเตรียมพร้อมเคี้ยวขนมด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ รอเพียงไม่กี่อึดใจเสียงเป่านกหวีดก็ดังขึ้นเป็นสัญญานเริ่มต้นการแข่งขัน แขนขาที่เหยียดยาวของอินทำให้เขาตีลังกาเพียงสามครั้งเท่านั้นก็ไปถึงจุดที่วางขนมไว้
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงไปคาบขนมตรงหน้าขึ้นมาหนึ่งซองและตีลังกากลับมาที่กลุ่มพร้อมแกะขนมยื่นให้คนตัวเล็กที่รออยู่ เมื่อได้รับขนมมาแล้วก็ไม่รอช้า หมี่เทขนมทั้งซองเข้าปากทันทีพร้อมชูซองขนมที่ว่างเปล่าขึ้นสูงและโบกพัดไปมา
“ได้ทีมที่ชนะแล้วค่าาา!” เสียงของรุ่นพี่คนสวยประกาศดังลั่นผ่านโทรโข่งพร้อมผายมือมาทางพวกเขา เสียงรุ่นพี่สตาฟตีกลองรัวดังกึกก้องพร้อมเสียงปรบมือจากเหล่านักศึกษาที่คอยเป็นกองเชียร์ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดีใจของสมาชิกในทีม
เย้!!!
“อีมเอาอะอ๊ะ!” คนตัวเล็กหันมาพูดทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก
“กลืนก่อนค่อยพูด” เสียงทุ้มเข้มพูดดุ ทำเอาอีกฝ่ายที่ได้ยินแบบนั้นรีบกลืนขนมลงคอทันที
“อึก! ทีมเราชนะ!”
“หึ” อินเผลอยกยิ้มมุมปากอีกครั้งอย่างลืมตัว เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเขย่าแขนแกร่งของเขาไปมาพร้อมมีท่าทีดีใจขนาดไหน
“ทีมที่ชนะ! ส่งตัวแทนมารับของรางวัลจากพี่สตาฟตรงนี้นะคะ!” สิ้นเสียงนั้น คนตัวเล็กก็หายวับไปอยู่หน้าจุดรับขนมทันทีอย่างกับนินจา ก่อนจะนำขนมที่ได้มาแจกจ่ายให้เพื่อน ๆ
“เอาล่ะกิจกรรมที่สามคือสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว น้อง ๆ สามารถอยู่ทีมเดิมได้เลยนะคะ แล้วคัดเลือกตัวแทนเพื่อลงแข่งสองคนเช่นเดิม จะเป็นคู่เดิมหรือคู่ใหม่ก็ได้ค่ะ” พี่คนสวยอธิบายเรื่องการแบ่งทีมเสร็จเรียบร้อย หมี่ก็หันไปบอกเพื่อน ๆ ในทีมพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าราวกับจะไปออกรบ
“งั้นทีมเราเอาคู่เดิมเลยนะ! ทุกคนไม่ต้องห่วงเราจะแบกความหวังของทุกคนไว้และเอาคว้าชัยชนะเกมนี้มาให้ได้ ไว้ใจได้เลย!” พูดจบก็เดินไปยังจุดเตรียมตัวเริ่มแข่งโดยมีอินเดินตามไปเงียบ ๆ
“กติกาของเกมนี้ง่ายมาก ให้แต่ละคู่ใช้ส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้าหนีบลูกบอลไว้ด้วยกันและนำลูกบอลไปใส่ในขวดโหลที่อยู่ทางด้านนั้นค่ะ” ได้ยินคำอธิบายกิจกรรมนี้ คนตัวเล็กถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจและขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเพราะกำลังใช้ความคิด
“แต่ละคู่จะใช้ส่วนไหนของใบหน้าและวิธีการหนีบลูกบอลแบบไหนก็ได้ทั้งนั้นนะคะ คู่ไหนนำลูกบอลลงขวดได้ก่อน ถือว่าชนะไปเลยค่ะ!” เสียงเชียร์ดังขึ้นจากทั่วสารทิศยิ่งสร้างความกดดันให้คนตัวเล็ก
“แย่แล้ว! นี่ไอ้ยักษ์ก้มลงมาอีกหน่อยได้มั้ย!” เสียงบ่นดังขึ้นเป็นระยะเพราะทั้งคู่กำลังทดลองหาวิธีการหนีบบอลกันอยู่
“เขย่งขาขึ้นมาสิ” แต่ยิ่งคุยกันก็เหมือนจะยิ่งทำให้หงุดหงิด หึ้ย! ใครจะไปยอมกันล่ะ!
“กูเขย่งจนสุดขาแล้วเนี่ย! มึงอ่ะก้มลงมา!”
“ก้มมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ปวดหลัง”
“โว๊ะ! ไอ้ยักษ์แก่! ก้มแค่นี้ทำมาเป็นบ่นปวดหลัง ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องชนะเกมนี้ไปให้ได้นะเว้ย มึงดูแววตาของเพื่อนในทีมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังนั้นสิ มึงจะมาทำลายจิตใจของทุกคนตอนนี้ไม่ได้นะ!”
หมี่พูดพลางกุมมือทั้งสองเข้าหากันและส่งสายตาวิ้งวิ้งมาทางเขาราวกับกำลังอ้อนวอน เด็กหนุ่มได้แต่ส่ายหัวเอือมระอาให้กับการกระทำนั้นและคิดว่าการที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ดูน่ารักไปมากกว่าเดิมหรอก..
“แน่ใจนะว่าตอนชนกู หัวมึงไม่ได้กระทบกระเทือน”
“หะ? หัวกระเทือนอะไรของมึง อย่าเพิ่งมานอกเรื่อง! ช่วยกันคิดหาวิธีชนะเกมนี้ก่อน” หมี่ได้แต่ยืนเกาหัวด้วยความงุนงง เขาไม่ได้หัวกระเทือนอะไรสักหน่อย ไอ้ยักษ์นี่พูดบ้าอะไรกัน
“กูมีวิธีแล้ว” ได้ยินคำนี้คนตัวเล็กถึงกับหูผึ่ง หันควับมาถามทันที
.
.
.
รี้ดที่น่ารักอยากซื้อขนมให้ผมก็โดเนทได้เลยนะฮะ ผมจะกินให้เกลี้ยงเล้ยยยยย//หมี่