วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ตลก,รัก,ฟีลกู๊ด,เพื่อน,มหาวิทยาลัย,มหาลัย,พล็อตหาเรื่อง,พล็อตสร้าง,ชายรักชาย,วาย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อินกินหมี่ [มี E-book]วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
อุก อ้วกกกกก!!!!
“เฮ้ย!” ชัดเจน สิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากปากของคนตัวเล็กถือเป็นคำตอบอย่างดีให้กับคำถามของเขา
เศษอาหารที่หมี่อาเจียนออกมานั้นทำให้รู้เลยว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายกินอะไรเข้าไปบ้าง แถมตอนนี้สิ่งพวกนั้นก็เปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโปรดของเขาอีกด้วย โอ้โห กลิ่นก็สุดจะบรรยายทำเอาอินหลุดสบถออกมาอีกจนได้
“ไอ้หมี่! มึงนี่มันตัววุ่นวายของจริงเลยว่ะ ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวด้วยวะ” ถึงแม้ว่าหมี่จะอ้วกใส่แต่อินก็ไม่ปล่อยมือที่โอบเอวบางไว้ เด็กหนุ่มยกมืออีกข้างขึ้นเสยผมเผยให้เห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นตรงขมับ
ท้ายที่สุดแล้วอินก็พาหมี่ไปอ้วกในห้องน้ำได้สำเร็จและรีบออกมาเช็ดอ้วกที่เลอะเทอะหน้าประตูห้องน้ำ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถือวิสาสะถอดเสื้อเปื้อนอ้วกของอีกฝ่ายออกและหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็ก วินาทีที่ความเย็นจากผ้าขนหนูอันเปียกชุ่มสัมผัสร่างกายสีขาวอมชมพูก็ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมขนลุกชูชัน
มือหนาลูบไล้ผ้าเปียกไปตามส่วนต่าง ๆ พลางสอดส่องสายตามองเรือนร่างอีกฝ่ายไปด้วย หมี่ที่ยังคงมึนเมาอยู่แต่รับรู้ทุกสิ่งอย่างก็ตัวแดงขึ้นมาอีกครั้งเพราะความเขินอาย
ตึกตัก~ ตึกตัก~
เสียงนี้อีกแล้ว
อินหยุดมือที่กำลังเช็ดตัวให้อีกฝ่ายและเงียบฟัง เมื่อรู้ว่าต้นเสียงมาจากคนตัวเล็กตรงหน้า คิ้วเข้มขมวดเป็นปมและก้มลงไปแนบหูบนอกของหมี่เพื่อฟังเสียงหัวใจ พลางคิดว่าเสียงแบบนี้คือหัวใจเต้นผิดจังหวะรึเปล่า ก่อนจะเริ่มกังวลว่าคนตัวเล็กอาจมีอาการแอลกอฮอล์เป็นพิษ
“นะ...นี่...ขยับออกไปได้แล้ว” อินที่ได้ยินอีกฝ่ายบอกแบบนั้นก็ถอยและลุกขึ้นทันที ก่อนจะกลับมาใช้น้ำเสียงทุ้มเข้มและยื่นมือไปหาอีกฝ่าย
“ลุกไหวมั้ย” หมี่ที่ดูเหมือนว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้วเอื้อมมือมาจับมือของอินไว้แน่นเพื่อใช้พยุงตัวและลุกขึ้นยืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี
จังหวะที่อินได้สัมผัสมือแสนนุ่มนิ่มของคนตัวเล็กนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว มือของอีกฝ่ายเล็กมากแถมยังดูบอบบางมากราวกับมือของเด็กตัวน้อยเลย คิดไปคิดมาเด็กหนุ่มก็เริ่มสงสัยว่ามือยังนิ่มขนาดนี้ แล้วส่วนอื่นของร่างกายจะนิ่มขนาดไหน...นี่เขาคงเมาเหมือนกันสินะ
ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความทุลักทุเล ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่เตียงนอนของหมี่ ร่างเล็กนั่งลงอย่างหมดแรง ขณะที่อินเดินไปเก็บซากกระป๋องและทำความสะอาดพื้นที่ตรงนั้นจนแวววับสะอาดเอี่ยมอ่อง แล้วก็ถอดเสื้อที่เปื้อนอ้วกออก เปลี่ยนไปใส่เสื้อกีฬาตัวอื่นแทน
“ฮ้าาา~ อ้วกแล้วค่อยสบายตัวขึ้นหน่อย” หมี่ที่นอนแผ่อยู่บนเตียงถอนหายใจและพูดออกมาเสียงดัง อินได้ยินอีกฝ่ายกลับมาโวยวายได้อีกครั้งก็เผลอยิ้มไม่รู้ตัว
“สร่างเมายัง” หลังจากมัดถุงขยะเสร็จ เด็กหนุ่มเดินไปหาอีกฝ่ายและนั่งลงตรงพื้นที่ว่างข้างเตียงพลางมองตรงไปยังคนที่นอนอยู่นั้น
“ขอบใจมากนะที่ตามใจกูอ่ะ!”
“อยากนอนเลยมั้ย”
“อืม” อินได้ยินแบบนั้นก็กำลังจะลุกขึ้นไปนอนที่เตียงตัวเองบ้างแต่เสียงของหมี่ก็ทำให้เขาหยุดความคิดนั้น
“ชีวิตกูมีแค่พี่ชาย...พ่อแม่โดนรถชน แล้วก็ตายไปตั้งแต่กูยังเด็ก ๆ พี่เลยทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเรายังมีชีวิตรอด ทั้งเรียน ทำงานและเลี้ยงดูกู” ถึงแม้เด็กหนุ่มจะมองไม่เห็นหน้าคนตัวเล็กแต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเสียใจ
“พี่รับภาระคนเดียวมาตลอด ไม่เคยคิดเอ่ยปากให้กูช่วยทำอะไรเลย พี่ตามใจกูทุกอย่างจนบางครั้ง...กูเริ่มหงุดหงิดและรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า” เสียงของหมี่ไม่ได้สดใสเหมือนอย่างทุกที อินที่รู้สึกเป็นห่วงคนตัวเล็กเลยตัดสินใจไม่ลุกไปไหนและพร้อมรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายอยากระบาย
“ความจริงแล้ว ที่กูนั่งรถและขนของมาเองก็เพราะอยากให้พี่รู้ว่าน้องชายคนนี้ดูแลตัวเองได้ พี่จะมาช่วยกูทั้งที่ตัวเองป่วยอยู่มันไม่ได้รึเปล่า นั่นมันมากไป กูปีหนึ่งแล้วนะเว้ย ถึงเวลาที่กูต้องเริ่มใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว” หมี่พูดพลางยกมือขึ้นราวกับกำลังเอื้อมคว้าอะไรบางอย่างในอากาศ ทว่าตรงหน้ามีเพียงความว่างเปล่า
“พี่แค่ไม่อยากให้มึงลำบากรึเปล่า” อินคงทำได้เพียงแค่พูดปลอบใจตามสิ่งที่ตัวเองคิด
“เหอะ! คนเป็นพี่ เค้าคงมีความคิดแบบนี้กันสินะ...แต่กูอึดอัดว่ะ ครอบครัวเรามีกันแค่สองคนแต่พี่ทำเหมือนกับว่ากูไม่มีตัวตนและเลือกที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว...ช่างเถอะ กูก็แค่เพ้อไปเรื่อย”
เด็กหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของคนตัวเล็กและไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าสิ่งที่ได้เจอหรือได้ระบายออกมานั้นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เขาจึงคิดหาวิธีที่จะช่วยให้คนตัวเล็กรู้สึกดีขึ้นในแบบฉบับของตัวเอง บุคคลที่ไม่ค่อยเข้าสังคมแถมยังพูดน้อยอีกด้วย
“กูมีน้องชายคนนึง” เสียงทุ้มเข้มของอินเรียกความสนใจจากหมี่ได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีน้ำตาลคาราเมลของคนตัวเล็กมองตรงมาที่เขา
“น้องกูชื่ออัน เป็นเด็กสดใสร่าเริง กินเก่งและยิ้มกว้าง ใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนานตลอดเวลา อันเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ พ่อแม่ก็รักเราไม่เท่ากัน...แต่อันทำให้กูรู้สึกแตกต่าง” หมี่ขยับมาใกล้ขึ้นเพื่อให้มองเห็นอินได้ชัด เด็กหนุ่มเห็นอีกฝ่ายจ้องตาไม่กะพริบก็จำใจเล่าต่อ
“อันเป็นคนเดียวที่ทำให้กูรู้สึกมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้และคอยอยู่เคียงข้างกูเสมอ อันเปรียบเสมือนแสงสว่างในชีวิตกูเลย” ฟังมาถึงตรงนี้ดวงตาแสนแป๋วแหว๋วของหมี่ก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็คิดว่าที่ผ่านมาไอ้ยักษ์ต้องเจอเรื่องแบบไหนกันนะ
“น้องชายนิสัยต่างจากมึงคนละขั้วเลย ตอนนี้น้องอันอายุเท่าไหร่ล่ะ เรียนอยู่ที่ไหน” หมี่ลุกมานั่งขัดสมาธิเพราะดูเหมือนว่าการสนทนาครั้งนี้จะมีเนื้อหาลึกซึ้งกว่าที่คิดไว้
“อันเป็นน้องชายฝาแฝด เขาจมน้ำและจากกูไปก่อนจบมอสาม...” หมี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดไปตามเรื่องที่อินเล่า ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มที่เห็นคนฟังเงียบผิดปกติก็กังวลว่าสิ่งที่พูดไปจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี เลยพูดต่อด้วยน้ำเสียงติดเล่นเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่านี้
“ตอนนั้นกูเคว้งมากเลย...แต่กูกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เพราะไอ้กันต์”
“ไอ้กันต์เหรอ” คนตัวเล็กเอียงคอด้วยท่าทีสงสัยและทวนชื่อของบุคคลอื่นที่ตัวเองเพิ่งเคยได้ยิน
“เพื่อนสนิทที่กูเคยบอกไง” หมี่พยักหน้ารับรู้เมื่อได้คำตอบพลางประติดประต่อเรื่องราวในหัว ไอ้ยักษ์สูญเสียน้องชายฝาแฝดไปแต่กลับมาได้เพราะเพื่อนสนิท คงสนิทกันมากแน่ ๆ คิดเองเสร็จสรรพก็เอนตัวลงนอน
“เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเอาเรื่องเลยสินะ...” คนตัวเล็กบ่นพึมพำและคิดสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกหน่วงใจแบบนี้ ก่อนจะนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนังเพื่อหลบหน้าอิน
“ตอนนั้นกูจำได้ว่าไอ้กันต์อาการหนักกว่ากูมาก ๆ พ่อแม่กูเลยต้องพามันไปหาหมอ เห็นมันเสียศูนย์ขนาดนั้นกูเลยต้องทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ เสียไอ้อันไปแล้ว กูไม่อยากเสียมันไปอีกคน”
อินที่ไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้จากอีกฝ่ายก็พูดต่อพลางยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตัวเอง เขานึกย้อนไปถึงช่วงเวลาเก่า ๆ และเริ่มดำดิ่งไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
“งืมมม กูด้วย” ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องงงงวยกับปฏิกิริยาตอบกลับของคนตัวเล็กที่ตอนนี้นอนหันหลังให้เขาอยู่
“อะไรของม- หึ หลับไปแล้วเหรอ” จากการยิ้มเยาะให้ชีวิตตัวเองก็ต้องแปรเปลี่ยนมาเป็นการยิ้มเอ็นดูคนตรงหน้า นี่อีกฝ่ายหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่รู้จะได้ฟังเรื่องที่เขาเล่าจนจบรึเปล่า
สายตาคมของเด็กหนุ่มหันมองเวลาและรับรู้ว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว มือหนาหยิบผ้านวมผืนใหญ่ที่อยู่ปลายเท้าของหมี่ห่มให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ คนตัวเล็กหดตัวและซุกหน้าเข้าหาไออุ่นจากผ้าห่มทันทีพร้อมหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“กูไม่เคยเปิดใจให้ใครมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ...หมี่” อินพูดเสียงเบาราวกับละเมอ เด็กหนุ่มเองก็รู้สึกตกใจที่ตัวเองยอมพูดคุยเรื่องส่วนตัวให้คนนอกครอบครัวหรือคนที่เพิ่งได้รู้จักกันอย่างหมี่มากขนาดนี้ มือหนาหยิบกระเป๋าตังขึ้นมาจากกางเกงและเปิดดูภาพถ่ายใบเล็กที่แนบไว้ด้านใน
“กูจะพยายามใช้ชีวิตส่วนที่เหลือเพื่อมึงนะ...อัน”
อินพูดพลางมองเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยิ้มกว้างอยู่ในรูปและอาจเป็นเพราะความมึนเมาจากแอลกอฮอล์บวกกับความง่วงที่ถาโถมเข้ามาทำให้เด็กหนุ่มสลบไปทั้งที่ยังนั่งอยู่ข้างเตียงของเพื่อนร่วมห้อง
.
.
.
มีคนใจเต้นตึกตักค่าาา คุณผู้ชมมมมม