วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ตลก,รัก,ฟีลกู๊ด,เพื่อน,มหาวิทยาลัย,มหาลัย,พล็อตหาเรื่อง,พล็อตสร้าง,ชายรักชาย,วาย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อินกินหมี่ [มี E-book]วัยรุ่นหนุ่มสองคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน...เริ่มมีใจให้กันและกัน มาลุ้นกันว่าทั้งคู่จะประคับประคองความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่
.
.
.
“โอ๊ยยย ปวดหัวจัง” หมี่ตื่นขึ้นมาในเช้าที่แสนสดใสพร้อมกับร่างกายที่แสนปวดร้าว นี่เมื่อคืนเขากินเบียร์ไปมากขนาดไหนถึงได้ปวดหัวจะเป็นจะตายขนาดนี้ จังหวะที่หมี่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็เห็นร่างใหญ่โตของรูมเมทนอนฟุบอยู่ข้างเตียง
“เฮ้ย! ทำไมมึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้เนี่ย” เสียงเล็กแหลมอุทานขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อเบาเสียงลง
“เอ๊ะ! นั่นกระเป๋าตังไอ้อินเหรอ...” ขณะที่หมี่เริ่มมีอาการเลิ่กลั่ก สายตาดันเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำที่หล่นอยู่ข้างตัวอีกฝ่าย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ มือเล็กก็เอื้อมไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาสำรวจอย่างช้า ๆ และระวังไม่ให้อีกฝ่ายตื่น
กระเป๋าสตางค์สีดำสนิทที่หมี่คิดเองเออเองว่าน่าจะเป็นหนังแท้มีตราสัญลักษณ์เป็นรูปปีกนางฟ้าสีเงินวาววับมุมขวาล่าง เปิดออกปุ๊บก็เห็นบัตรประจำตัวประชาชนของอีกฝ่ายที่เสียบไว้ในช่องขวามือ หมี่เลยถือวิสาสะหยิบบัตรออกมาดู
“เกิดวันที่หนึ่งกันยายน เห้ย! ไอ้ยักษ์อายุน้อยกว่ากูอีกเหรอเนี่ย ทำไมหน้าแก่จังวะ” บ่นอุบอิบพลางสอดบัตรเก็บไว้ในช่องเดิม ก่อนจะเห็นรูปถ่ายใบเล็กที่แนบไว้ในช่องนี้ด้วย หมี่มองเด็กสองคนในภาพและคลี่ยิ้มตามเด็กหนึ่งคนในนั้น
“มีฝาแฝดจริง ๆ ด้วยสินะ ถ้ามึงยิ้มบ้างก็คงจะน่ารักดี”
“ใครน่ารักนะ” จู่ ๆ เสียงเข้มจากเจ้าของกระเป๋าที่อยู่ในมือก็ดังขึ้นทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยง
“อ๊ะ! ตกใจหมดเลย อะ...อ๋อ กูหมายถึงกูเอง แหม~ คนอะไรจะน่ารักขนาดนี้ตั้งแต่ตื่นนอน เนอะ ฮ่าฮ่าฮ่า” หมี่ตอบพลางหัวเราะเบา ๆ พร้อมยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อ
“กระเป๋าตังกู” ทว่าสายตาดุดันของอินและมือหนาที่ยื่นมาตรงหน้าทำเอาคนตัวเล็กกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะน้อมรับความผิดแต่โดยดีและรีบพาตัวเองหนีออกจากสถานการณ์นี้
“นี่คร้าบบบ ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคร้าบบบ”
“หึ” อินที่ได้กระเป๋าตังกลับมาก็หัวเราะในลำคอพลางส่ายหัวให้กับวิธีการแก้ตัวของอีกฝ่าย
ระหว่างที่นั่งรอหมี่อาบน้ำ อินก็รวบรวมสติจากอาการเมาค้างและลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย เตรียมชุดนักศึกษา อุปกรณ์การเรียนและถอดเสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหล้าติดอยู่ออกจากตัว ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันรอบเอวไว้
เมื่อหมี่เดินออกมาจากห้องน้ำ อินก็เข้าไปอาบน้ำต่อทันที เด็กหนุ่มไม่สบายใจที่ตัวเองมีกลิ่นเหงื่อรวมกับกลิ่นแอลกอฮอล์แบบนี้เลย มือหนาเปิดน้ำให้ไหลรดศีรษะจนเส้นผมเปียกชุ่มและหวังว่าการทำแบบนี้จะช่วยให้เขาสร่างเมาได้ ก่อนจะลูบไล้ฟองสบู่ไปทั่วร่างกายและรีบอาบน้ำให้เสร็จ
“วันนี้มึงมีเรียนมั้ย” หมี่ถามทันทีเมื่อเห็นอินเดินออกมาจากห้องน้ำ
“มีเรียนบ่าย” เด็กหนุ่มตอบคำถามของคนตัวเล็ก ขณะนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวและยืนใช้ผ้าอีกผืนเช็ดผม
ร่างกายสมส่วนถูกเปิดเผยให้รูมเมทได้เห็นเพียงชั่วขณะ ก่อนจะถูกปกปิดไว้ภายใต้ชุดนักศึกษาที่พอดีตัว มือหนาปาดเจลและจัดแต่งทรงผมให้ดูเรียบร้อยเหมาะสมตามกาลเทศะ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทุกการเคลื่อนไหวนั้นตกอยู่ในสายตาของคนตัวเล็กตลอดเวลา
“กูก็มีเรียนบ่าย” หมี่รีบต่อบทสนทนาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวเรื่องที่โดนเขาแอบมอง ก่อนจะจัดชุดนักศึกษาที่ใส่อย่างลวก ๆ ให้ดูดีขึ้นพร้อมยกมือแต่งทรงผมให้กระเซอะกระเซิงน้อยลง
และแล้วบรรยากาศภายในห้องก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง อินยังคงจัดแจงกิจวัตรประจำวันของตัวเองไปตามปกติ ขณะที่หมี่ซึ่งเป็นคนชอบพูดก็เริ่มอยู่ไม่สุข เริ่มขยับหันซ้ายหันขวาท่าทีลุกลี้ลุกลน จนในที่สุดก็ไม่สามารถอดทนอีกต่อไป
“กูไม่ชอบเวลาที่มึงเงียบเลยอ่ะ” คำพูดของหมี่ทำให้อินต้องหันไปมองพร้อมเลิกคิ้วสูง
“เอางี้ดีกว่า มึงเล่าเรื่องเพื่อนสนิทมึงให้ฟังหน่อย ถือซะว่าฆ่าเวลา” อินที่เลิกคิ้วเพราะไม่เข้าใจคำพูดก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายก็ต้องขมวดคิ้วทันทีเมื่อเจอคำถามนี้เข้าไปและเผลอตอบกลับเสียงแข็ง
“ทำไมกูต้องเล่า”
“เอ่อ ก็แบบว่า...คือกูแค่อยากรู้อ่ะ เวลาอยู่เงียบ ๆ มันอึดอัดนะเว้ย แล้วเพื่อนมึงเรียนที่นี่ด้วยมั้ยอ่ะหรือเรียนที่อื่น” หมี่ที่คิดหาข้ออ้างไม่ทันก็สารภาพไปตามตรงพร้อมทำสีหน้าสลดแต่ก็ไม่วายแอบเนียนถามเรื่องเพื่อนของอีกฝ่ายเข้าจนได้ อินที่ดูเหมือนจะไม่ทันเล่ห์กลของคนตัวเล็กก็ตอบไป
“ไอ้กันต์ก็เรียนที่นี่ ห้องมันอยู่ชั้นสาม” หรือไม่อินก็แค่ยอมตอบเพื่อให้อีกฝ่ายเลิกทำหน้าเศร้า...และมันได้ผล
“หะ! ที่หอนี้อ่ะนะ” ดวงตากลมโตเริ่มเปล่งประกายขึ้นมาทันที
“อืม” วินาทีนั้นอินรู้ตัวแล้วว่าเขาทำพลาดไป เขาไม่น่าหลงกลตอบอะไรออกไปเลยเพราะเขาคงต้องโดนอีกฝ่ายซักประวัติรอบสองแน่นอน หลังจากที่เมื่อคืนโดนซักไปแล้วหนึ่งรอบ
“วันรับน้องมึงบอกว่าเรียนคณะวิทย์กีฬาฯ ใช่มั้ย แล้วกันต์เรียนคณะเดียวกับมึงป่ะ” นั่นไง เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด แต่เดี๋ยวก่อน...
“กันต์?” น้ำเสียงของอินเต็มไปด้วยความสงสัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้คนตัวเล็กเริ่มเลิ่กลั่กเพราะคิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
“เพื่อนมึงชื่อกันต์ไม่ใช่เหรอหรือกูจำผิด”
“ไม่ผิด แต่กูแค่สงสัยว่าทำไมมึงไม่เรียกกูว่าอินแบบปกติบ้าง”
“หะ!? อะไรของมึง กูก็เรียกมึงปกตินี่” คนตัวเล็กอุทานเสียงดังเพราะคิดว่าไอ้ยักษ์กำลังน้อยใจตัวเองอยู่ กลับกันอินที่ได้ยินคำว่า ‘ปกติ’ ออกจากปากของอีกฝ่ายก็พูดแย้งเสียงแข็ง
“ไอ้ยักษ์กับไอ้แก่เนี่ยนะเรียกปกติ”
“อ๊ะ! อันนั้นไม่นับดิ กูแซวเล่นเอง แหะ ๆ” คนตัวเล็กเกาท้ายทอยแก้เขินตามประสานิสัยติดตัว
“เรียนคณะเดียวกัน”
“หือ อะไรนะ” ก่อนจะต้องงุนงงว่าไอ้ยักษ์พูดเรื่องอะไร
“ก็ที่มึงถามก่อนหน้านี้ไง” เอ๋ ก่อนหน้านี้เขาถามอะไรไอ้ยักษ์ไปนะ หมี่ครุ่นคิดไปพักหนึ่งเพราะเขาลืมคำถามไปแล้ว
“อ๋ออ กูจำได้ละ ฮ่าฮ่าฮ่า!” หมี่หัวเราะกลบเกลื่อนเพราะนึกได้แล้วว่าตัวเองถามเรื่องเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายไป พลางคิดว่าต้องโทษไอ้ยักษ์นี่แหละที่ทำให้เขาลืม ทางด้านอินที่เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายขี้ลืมขนาดนี้ก็ทำได้เพียงส่ายหัวเอือมระอา นอกจากหมี่จะบ้าบอแล้ว ยังเอ๋อด้วยเหรอเนี่ย
“แล้วที่มึงบอกว่าพ่อแม่มึงพามันไปหาหมอคือยังไงวะ...มันไม่มีครอบครัวเหรอ” ไม่ทันไรหมี่เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยต่อ
“แม่ไอ้กันต์ทำงานต่างประเทศ นาน ๆ จะกลับมาไทยทีแต่กูไม่รู้ว่าคุณน้าทำงานอะไร กูไม่เคยถาม...ส่วนพ่อมัน ตั้งแต่กูจำความได้ กูยังไม่เคยเห็นหน้าเลย” พูดมาถึงตรงนี้อินก็มีสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งคนถามเองก็ยังรับรู้ได้
“ทำไมชีวิตดราม่าจังวะ ทั้งมึงทั้งเพื่อนเลย...แต่เอาเถอะ หลังจากนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะเพราะมีกูอยู่ตรงนี้ทั้งคน ถึงกูจะดูบ้าบอและทำอะไรไม่ได้เรื่อง แต่อยู่กับกู มึงจะสนุกและมีความสุขอย่างแน่นอน กูรับประกัน” นิ้วโป้งเล็กถูกยกขึ้นมาทำท่าการันตี
‘กูไม่ได้เป็นคนเก่งแบบมึงนะไอ้อินแต่จำไว้เลยว่าตราบใดที่มึงยังมีกู ชีวิตมึงจะมีแต่ความสุขและความสนุก กูรับรอง ฮี่ฮี่’
อีกแล้ว ความรู้สึกนี้แบบมันเกิดขึ้นกับเขาอีกแล้ว ความรู้สึกอบอุ่นที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจราวกับจะระเบิดออกมา นี่มันอะไรกัน อินจำได้ว่าเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ทว่าช่วงเวลานั้นมันผ่านมานานมากแล้ว...นานมากจนเขาเกือบจะลืมเลือน
“งั้นก็ฝากด้วยละกัน”
.
.
.
ง่อววววว จบบทที่สอง สมชื่อ 'หมี่พิเศษ' จริง ๆ ค่ะ เพราะอินและกันต์ซื้อหมี่พิเศษไปกินที่บ้านกันนี่เนอะ