กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
“อย่าเสียใจให้มากเลยนะ หลินเอ๋อร์ เจ้าร้องไห้มากมายเช่นนี้ ลี่ถังกับลี่มี่จะเสียใจนะที่ทำให้เจ้าร้องไห้” มหาเทพหยางหลงเอ่ยปลอบเสวี่ยหลิน มหาเทวีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา นางกำลังร้องไห้เพราะแมวขาวตัวโปรดทั้งสองตัวเพิ่งตายไป ร่างบอบบางอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น มือใหญ่บรรจงเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน
“พวกมันก็อายุสองหมื่นห้าพันปีแล้ว แมวหิมะมักจะมีอายุเพียงนี้เท่านั้น ยามนี้เจ้ายังมีลี่กว่างและลี่หรู ลูกของพวกมันอยู่นะ ลี่กว่างกับลี่หรูเพิ่งอายุได้ห้าวันเอง เจ้าต้องดูแลพวกมันให้ดี ให้สมกับที่ลี่ถังและลี่มี่ไว้ใจฝากลูกของมันไว้กับเจ้า”
เสวี่ยหลินพยักหน้า ใบหน้างดงามน่ารักซบอยู่กับอกแกร่งของเขา แขนเรียวกอดเขาไว้แน่น อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดนางไว้อย่างปลอบประโลม เขาทราบดีว่าฟูเหรินของเขารักแมวแค่ไหน เขาเองจากที่ไม่เคยใส่ใจแมวก็ยังต้องรักใคร่เอ็นดูพวกมันไปโดยไม่รู้ตัว
เสวี่ยหลินใช้เวลาทำใจกับการจากไปของแมวหิมะตัวโปรด ลี่ถังและลี่มี่ เพียงสามเดือน เพราะนางต้องดูแลเอาใจใส่ลูกแมวน้อยลี่กว่างและลี่หรู ลูกของลี่ถังและลี่มี่ ทำให้ความโศกเศร้าของนางกินเวลาไม่นาน
ผ่านมาอีกหกเดือน ยามนี้เสวี่ยหลินเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ นางกำนัลสองคนเดินตามหลัง และมีลูกแมวน้อยขนขาว นัยน์ตาสีฟ้าใส สองตัววิ่งนำหน้า
“ลี่กว่าง ลี่หรู รอแม่ด้วย” นางร้องบอกด้วยน้ำเสียงเอ็นดูอย่างยิ่ง หากเจ้าลูกแมวน้อยทั้งสองยังคงวิ่งไล่แข่งกันอย่างไม่สนใจนาง
“ลี่กว่างกับลี่หรูนี่ซุกซนเหมือนลี่ถังกับลี่มี่เลยนะเพคะ” นางกำนัลที่เดินตามหลังชวนเสวี่ยหลินพูดคุย
“ก็ลูกของมันนี่นา แต่พวกมันก็น่ารักมากจริงๆ มหาเทวีถึงโปรดพวกมันนัก ข้าเองก็ยังชอบแมวเหมือนมหาเทวีเลย” นางกำนัลอีกคนตอบ
“พวกเจ้าต้องชอบพวกมันมากแน่ๆ ข้าเห็นพวกเจ้าตามใจลี่ถัง ลี่มี่ จนมาถึงลี่กว่าง ลี่หรู ตามใจจนเสียแมวแล้วกระมัง” เสวี่ยหลินตอบกลับอย่างขบขัน
“แหม พวกมันแค่มาอ้อนนิดหน่อยเองนะเพคะ พวกมันแค่อยากกินขนมที่มหาเทวีทำเก็บไว้แค่นั้นเอง” นางกำนัลผู้หนึ่งแก้ตัว
“ไม่หน่อยกระมัง ข้ามาดูทีไร ขนมที่ข้าทำไว้ให้มหาเทพ แทบจะไม่เหลือ จนท่านบ่นแล้วว่าถูกแมวแย่งขนมของท่านไปหมด ข้าแทบจะถูกท่านงอนใส่แล้วนะว่าข้าทำขนมให้แต่แมว ไม่ทำขนมเผื่อท่านเลย”
“เป็นความผิดของมหาเทวีเพคะ ทรงทำขนมอร่อยเกินไปและทำน้อยเกินไป” นางกำนัลอีกคนแก้ตัวด้วยสีหน้าทะเล้น
“อ้าว ! กลายเป็นความผิดข้าเสียแล้ว” เสวี่ยหลินตอบด้วยรอยยิ้มขบขัน หากเพียงครู่มือขาวผ่องก็ยกขึ้นแตะขมับตนเองก่อนจะหลับตาลง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับ
“ว้ายยยยยยยย มหาเทวี ! ทรงเป็นอะไรเพคะ” เสียงอุทานอย่างตกใจของนางกำนัลดังขึ้นเมื่อเห็นเสวี่ยหลินพลันล้มลงหมดสติ นางรีบเข้าประคองร่างของเสวี่ยหลินไว้ทันที
“เจ้ารีบไปทูลมหาเทพ มหาเทวีประชวรหมดสติ” นางกำนัลผู้นั้นร้องสั่ง
ไม่กี่อึดใจ ร่างของมหาเทพหยางหลงก็ปรากฏ อ้อมแขนแข็งแรงโอบอุ้มร่างบอบบางอย่างระมัดระวังก่อนจะเร่งพานางเข้าไปนอนพัก มือใหญ่แตะตรวจชีพจรเพียงครู่ก็ยิ้มกว้าง
“ไม่มีอะไรน่ากังวล เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง” มหาเทพกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเสียนถามขึ้นอย่างงุนงง
“หลินเอ๋อร์ของข้าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”
ข่าวมหาเทวีเสวี่ยหลินตั้งครรภ์ได้สองเดือนแพร่กระจายไปทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนอย่างรวดเร็ว เหล่าเทพเซียนต่างยินดีที่จะได้มีองค์ชายน้อยหรือองค์หญิงน้อยจากมหาเทพหยางหลงทั้งสิ้น มหาเทพแต่งมหาเทวีมาได้สองหมื่นสามพันปีแล้วแต่ยังไม่มีบุตรเลยสักคน
เมื่ออายุครรภ์ได้ห้าเดือนจึงชัดเจนว่ามหาเทพหยางหลงจะได้องค์ชายน้อย
“อุแว้ อุแว้ อุแว้”
วันนี้ครบเก้าเดือนแล้วและถึงกำหนดคลอด เสียงทารกร้องไห้ดังออกมา สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนที่มารออยู่หน้าห้อง ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก
“ยินดีด้วยเพคะ องค์ชายน้อยน่ารักมากเลย” เป็นพระชายาเหม่ยเมิ่ง พระสัสสุ (แม่ยายหรือแม่สามี) ของมหาเทพหยางหลงอุ้มทารกน้อยที่ยามนี้อยู่ในห่อผ้าหนานุ่มมายื่นให้เขา
เขายื่นมือไปรับมาด้วยความดีใจอย่างที่สุด บัดนี้เขามีบุตรแล้ว เป็นความฝันที่เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง
ร่างเล็กจ้อยในห่อผ้าส่งเสียงอ้อแอ้พร้อมขยับตัวเล็กน้อย จุมพิตอบอุ่นแตะลงที่หน้าผากนั้นด้วยความรักเปี่ยมล้น เขาโอบกอดร่างน้อยนั้นอย่างทะนุถนอมยิ่งราวกับกำลังประคองดวงแก้วอันเปราะบาง
“ส่งหลานมาให้ข้าดูหน่อย” เสียงชราเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น
“มหาเทพผู้สร้าง !” เทพเซียนที่อยู่รายรอบอุทานขึ้นอย่างตกใจก่อนจะรีบประสานมือถวายความเคารพ
มหาเทพหยางหลงยื่นทารกน้อยให้ “เสด็จพ่อ ประทานนามให้บุตรของข้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มหาเทพตว๋อเทียนรับมาเพ่งพิศแล้วจึงค่อยก้มลงจุมพิตหน้าผากก่อนจะกอดไว้ครู่หนึ่ง
“หลานปู่ ข้ามีหลานแล้ว” เสียงชราเอ่ยอย่างปลื้มใจก่อนจะครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยเอ่ยปาก
“หยางเทียน นามของหลานชายข้าคือ หยางเทียน”
แม้องค์ชายน้อยหยางเทียนจะยังเป็นทารกน้อยหากก็ถูกเสวี่ยหลินอบรมสั่งสอนตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะนางจะพูดคุยกับเขาอยู่เสมอเพื่อกระตุ้นให้ลูกน้อยของนางคุ้นเคยกับนางและมหาเทพหยางหลง จนมหาเทพเองที่เริ่มแรกมองด้วยความแปลกใจก็เริ่มกลายเป็นสนใจและเรียนรู้ไปพร้อมกับนาง
เพราะเมื่อทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ เสวี่ยหลินก็ขนซื้อตำรับตำราจากแดนมนุษย์มามากมาย เพื่อศึกษาให้ทราบว่าตนเองต้องปฏิบัติตัวอย่างไรระหว่างตั้งครรภ์ แน่นอนว่าหมอที่จะดูแลครรภ์ของนางย่อมเป็นมหาเทพหยางหลง
มหาเทพและหย่งเสียนถูกเสวี่ยหลินเกณฑ์ให้มานั่งศึกษาตำราเหล่านี้ไปพร้อมกับนาง พวกเขาจึงทราบชัดเจนว่าสมควรดูแลทารกเซียนในครรภ์อย่างไร ดังนั้น อาหารบำรุงร่างเซียนและบำรุงครรภ์ โอสถบำรุงครรภ์ ล้วนถูกมหาเทพคัดสรรและลงมือปรุงด้วยตนเองทั้งสิ้นเพื่อให้มั่นใจว่าฟูเหรินและบุตรของเขาจะได้รับแต่สิ่งที่ดีเลิศ องค์ชายน้อยหยางเทียนจึงคลอดออกมาแข็งแรงสมบูรณ์อย่างยิ่ง
ยามนี้เมื่อคลอดเจ้าตัวเล็กออกมาแล้ว เสวี่ยหลิน มหาเทพหยางหลง และหย่งเสียนที่ศึกษาหาความรู้จากทุกตำรับตำราในแดนมนุษย์ถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็กมาแล้ว ก็ทราบอย่างละเอียดว่าสมควรเลี้ยงดูองค์ชายน้อยผู้นี้อย่างไร
“เทียนเอ๋อร์ หยิบขนมมาให้ลี่กว่าง ลี่หรูสิลูก” เสวี่ยหลินเอ่ยบอกบุตรชายตัวน้อยที่ยามนี้อายุหกพันปี (เทียบเป็นอายุมนุษย์ได้สามปี)
“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงเล็กๆ ตอบรับก่อนจะวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ห้องครัวเล็กในตำหนัก
ไม่นานนัก ร่างเล็กก็วิ่งกลับมานั่งลงข้างมารดา พร้อมกับวางขนมไว้ตรงหน้าเจ้าแมวน้อยลี่กว่างและลี่หรู
“กินเยอะๆ นะลี่กว่าง ลี่หรู จะได้โตเร็วๆ” หยางเทียนน้อยเอ่ยบอก น้ำเสียงบอกชัดถึงความรักใคร่เจ้าแมวน้อยทั้งสอง
ตั้งแต่ที่เสวี่ยหลินตั้งครรภ์ เจ้าแมวน้อยลี่กว่างและลี่หรูจะชอบมานอนซบกับครรภ์ของนาง คล้ายพวกมันรับรู้ว่าพวกมันมีพี่น้องอยู่ในครรภ์นี้ เมื่อคลอดหยางเทียนน้อยแล้ว เจ้าแมวน้อยทั้งสองจะมาคลอเคลียคอยเล่นกับเด็กน้อยอยู่เสมอ จนทุกคนในวังมังกรสวรรค์คุ้นชินกับภาพที่องค์ชายน้อยหยางเทียนจะมีลูกแมวขาวสองตัวคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา แม้ยามมหาเทพพาเสวี่ยหลินและบุตรชายมาพักผ่อนที่แดนพายัพ ทุกคนในแดนพายัพก็จะเห็นหยางเทียนน้อยกับแมวขาวสองตัวที่อยู่ด้วยกันเสมอ
“นิสัยรักสัตว์ของเทียนเอ๋อร์จะทำให้เขาอ่อนโยน มีเมตตา เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น นี่เป็นคุณสมบัติที่เขาต้องมี ส่วนเรื่องการมองคน พวกเราค่อยๆ สอนเขาเมื่อเขาอายุสักสองหมื่นปีเถิด ตอนนี้เขายังเยาว์นัก เร็วเกินไปที่จะสอนเขาในเรื่องนี้” เสวี่ยหลินเอ่ยบอกเมื่อมหาเทพหยางหลงเกรงว่าบุตรชายจะไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น
“พวกเราต้องทำให้เทียนเอ๋อร์รู้สึกว่าเขาสามารถพูดคุยกับพวกเราได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระสักเพียงไหนหรือเรื่องร้ายแรงสักเพียงใด ทำให้เขารู้สึกว่าพวกเราเป็นทั้งบิดามารดา สหายสนิท เป็นทุกอย่างของเขา เพียงเท่านี้เขาก็จะปลอดภัยจากหลายสิ่งแล้ว”
“ท่านคงไม่ลืมว่าพวกเราไม่อาจปกป้องเขาได้ตลอดเวลาและตลอดไป แต่การสอนของพวกเราจะทำให้เขาปกป้องตนเองได้เป็นอย่างดี” คำพูดนี้ทำให้มหาเทพหยางหลงเห็นด้วยทันที
เสวี่ยหลินทราบดีว่านางควรตระเตรียมสิ่งใดและสอนบุตรชายของนางอย่างไร เพื่อให้เขาแข็งแกร่งเช่นมหาเทพหยางหลงผู้เป็นบิดา และเฉลียวฉลาดเท่าทันผู้อื่นเช่นบิดาและมารดาอย่างนาง
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พรุ่งนี้ลูกต้องไปเรียนที่บูรพานิรันดร์แล้ว ลูกต้องคิดถึงเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มากๆ เลย” องค์ชายน้อยหยางเทียนบอกออกมา ยามนี้หยางเทียนอายุครบสองหมื่นห้าพันปีแล้ว ถึงเกณฑ์ที่ต้องไปศึกษาที่บูรพานิรันดร์
“เจ้าเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างไปจากพ่อกับแม่แล้ว ไปศึกษาเพิ่มเติมที่บูรพานิรันดร์ จะช่วยให้เจ้ามีภูมิความรู้กว้างไกลขึ้น ทั้งยังจะได้พบปะคบหาผู้อื่น จะได้เรียนรู้ได้มากขึ้น” มหาเทพหยางหลงบอกกับบุตรชายสุดที่รัก
นั่นเพราะหยางเทียนมีสหายไม่มากนัก เขาศึกษาร่ำเรียนกับมหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลินมาโดยตลอด มิตรสหายของเขามีเพียงหย่งเสียนเซียนกวน เซียนรับใช้คนสนิทของบิดาของเขา ส่วนที่วังพายัพในแดนพายัพของมารดา เขาก็มีญาติที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาสามคน คนแรกคือเสวี่ยจงไท่จื่อ อายุสองหมื่นแปดพันปี โอรสของราชาเสวี่ยซานผู้เป็นพระปิตุลา (ลุงหรืออา) ของเขา คนที่สองคือองค์ชายเสวี่ยไห่ อายุสองหมื่นเจ็ดพันปี โอรสของราชาเสวี่ยซานกับจินกุ้ยเฟย คนที่สามคือองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยน อายุสองหมื่นหกพันปี ธิดาของราชาเสวี่ยซานและหลี่ซูเฟย
“จำไว้ให้ดีนะลูก ห้ามบอกผู้ใดว่าเจ้าครอบครองจตุธาตุอัญมณี ผู้ที่มีจตุธาตุอัญมณีนี้มีเพียงเจ็ดคนคือ พ่อกับแม่ เสด็จตา เสด็จยาย เสด็จลุงเสวี่ยซาน พี่ชายเสวี่ยจงของเจ้า และตัวเจ้า” เสวี่ยหลินเอ่ยบอก
“ลูกทราบแล้ว จะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาด” หยางเทียนน้อยรับคำ เขาตั้งใจแน่วแน่อยู่แล้วว่าของสำคัญเช่นนี้ไม่สามารถให้ผู้ใดล่วงรู้ได้
“จำคำแม่ไว้ให้ดี ‘รู้หน้าไม่รู้ใจ’ และ ‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’ สองประโยคนี้ เจ้าต้องยึดถือไว้ให้มั่น จะช่วยให้เจ้าเรียนรู้เรื่องราวได้มากขึ้น”
“และจำไว้ให้ดีว่า อย่าทะนงตนว่าเจ้าเป็นบุตรของมหาเทพหยางหลง หลานชายของมหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียน ศักดิ์ฐานะนี้แม้สูงส่งอย่างที่สุด แต่เจ้าต้องตระหนักให้ดีว่ายิ่งเจ้าอยู่สูงเท่าใด เจ้ายิ่งต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้น รู้กาลเทศะให้มาก ความควรไม่ควรใด เจ้าต้องตระหนักไว้เสมอ เจ้าต้องนั่งในใจเขา อย่านั่งบนศีรษะเขา เข้าใจนะลูก”
“ลูกทราบแล้ว จะไม่ทำให้เสด็จแม่และเสด็จพ่อผิดหวังเด็ดขาด”
“เจ้ามีปัญหาอะไร ก็ติดต่อหาพ่อกับแม่ได้ทุกเมื่อนะลูก” มหาเทพหยางหลงบอกกล่าวก่อนจะส่งหยกปราณสีเหลืองทองที่สลักเป็นรูปเศียรมังกรให้
“พ่ะย่ะค่ะ”
เช้าวันนี้มหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลินให้องค์ชายหยางเทียนเสด็จมาที่บูรพานิรันดร์เอง เพื่อฝึกให้เขาช่วยเหลือตนเองและคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้เร็วขึ้น เทพเซียนในบูรพานิรันดร์ที่พบเห็นเขาต้องแปลกใจว่าไยองค์ชายน้อยหยางเทียนจึงเสด็จเพียงลำพัง ไร้เงาของมหาเทพและมหาเทวี กระทั่งหย่งเสียนเซียนกวนก็ยังไม่ติดตามมา
“พี่ชายจง พี่ชายไห่ พี่สาวเยวี่ยน” หยางเทียนเรียกขึ้นด้วยความดีใจเมื่อพบเห็นลูกพี่ลูกน้องที่เข้าเรียนก่อนเขามารอรับที่เรือนกลางของหุบเขาบูรพานิรันดร์
“ในที่สุดน้องเล็กของพวกเราก็มาเสียที” เสวี่ยจงไท่จื่อทักขึ้นด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“อาหญิงเสวี่ยหลินบอกพวกเราไว้แล้วว่าเจ้าจะมาวันนี้ ท่านจึงฝากให้ดูแลเจ้าด้วย รีบเข้าไปข้างในเถิด จะได้จัดการเรื่องที่พักและชุดนักเรียนให้เรียบร้อย” องค์ชายเสวี่ยไห่บอกเล่าออกมา
“อาหญิงฝากของมาให้ข้าด้วยหรือไม่” องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยนทักถามขึ้น
“ฝากขอรับ เสด็จแม่ฝากตำราอาหาร ขนมหวานและของว่างมาให้ด้วย ท่านเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อสามวันก่อน” บอกแล้วหยางเทียนก็ยื่นส่งตำราเล่มหนึ่งให้นาง
“เสด็จแม่บอกว่าพี่สาวเยวี่ยนต้องหัดทำให้ข้า พี่ชายจง และพี่ชายไห่รับประทาน ฝีมือท่านจะได้ดีขึ้น”
“อาหญิงบอกหรือเจ้าบอกกันแน่” เสวี่ยเยวี่ยนกล่าวอย่างรู้เท่าทัน
“เหมือนๆ กันแหละขอรับ พี่สาวเยวี่ยนจะให้พวกข้าสามคนอดตายหรือไร”
“ชิส์ ทำให้ก็ได้” เสวี่ยเยวี่ยนส่งเสียงอย่างแง่งอนหากก็ยอมทำให้ เพราะนางก็อยากลองทำอยู่แล้ว ทราบดีว่าของทุกอย่างในร้านชาลี่ถังลี่มี่ล้วนรสชาติดีทั้งสิ้น นางเคยไปฝึกฝนเรียนรู้วิธีปรุงอาหารและการให้บริการลูกค้ากับเสด็จปู่เสวี่ยหมิงและเสด็จย่าเหม่ยเมิ่งจึงได้รับรู้ว่าการฝึกฝนนั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง เพื่อให้ร้านชาแห่งนี้รักษาคุณภาพการให้บริการไว้ในระดับดีเลิศตลอดเวลา
ความสัมพันธ์ระหว่างเสวี่ยจงไท่จื่อ องค์ชายเสวี่ยไห่ และองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยนแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาทั้งสามถูกเลี้ยงดูร่วมกัน ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างทัดเทียม ถ้าจะมากกว่าผู้อื่นไปบ้างก็จะเป็นเสวี่ยจงไท่จื่อ เพราะเขาเป็นไท่จื่อของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางที่ต้องสืบบัลลังก์ต่อจากราชาเสวี่ยซาน
โดยกฎเกณฑ์ของทุกเผ่า ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำเผ่าได้ต้องเป็นสายเลือดแท้ของเผ่าเท่านั้น องค์ชายเสวี่ยไห่ที่เป็นลูกครึ่งเผ่าจิ้งจอกเก้าหางและเผ่าสิงโต องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยนที่เป็นลูกครึ่งจิ้งจอกเก้าหางและเผ่ากิเลน จึงไม่สามารถรับตำแหน่งผู้นำของเผ่าใดได้ หากพวกเขาไม่เคยต้องน้อยเนื้อต่ำใจ เผ่าจิ้งจอกเก้าหาง เผ่าสิงโต และเผ่ากิเลนให้เกียรติพวกเขาอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาคือผลสำเร็จของการเชื่อมไมตรีเมื่อเจ็ดหมื่นแปดพันปีก่อน
หากเสวี่ยจงไท่จื่อก็ถูกอบรมสั่งสอนให้รักใคร่พี่น้องต่างมารดาไม่ต่างจากพี่น้องร่วมอุทร เพราะราชาเสวี่ยซานไม่ต้องการให้บุตรของเขาต้องพบเจอสภาพเลวร้ายเช่นที่หยางเค่อพบเจอ ดังนั้น สามคนพี่น้องต่างมารดาจึงรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง ราชินีหนิงเหมย จินกุ้ยเฟย และหลี่ซูเฟยจึงสบายใจที่ไม่ต้องมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเช่นพระชายาเอกหวงจื่อเสีย มารดาของหยางเค่อ
แม้หยางเค่อจะเป็นเผ่ามังกรหากยามนี้เขารั้งตำแหน่งอุปราชของเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง เขาจะทำหน้าที่ช่วยเหลือราชกิจของราชาจิ้งจอกเก้าหางและว่าที่ราชาคนใหม่ และที่ผ่านมา เขาไม่ได้กลับไปเยี่ยมบิดามารดาที่ทะเลบูรพาเลย เขาอยู่เพียงแดนพายัพหรือเดินทางท่องเที่ยวในสี่ทะเลแปดดินแดนบ้าง หลานรักของเขาย่อมต้องเป็นเสวี่ยจงไท่จื่อ องค์ชายเสวี่ยไห่ องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยน และองค์ชายหยางเทียน
หยางเทียนศึกษาเล่าเรียนที่บูรพานิรันดร์ด้วยวิธีการเดียวกับที่เสวี่ยหลินเคยศึกษาที่นี่และเป็นวิธีที่เหล่านักเรียนทั้งหลายต่างใช้วิธีนี้ศึกษาเช่นกัน นั่นคือ การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง หากมีข้อติดขัด เขาจึงจะสอบถามอาจารย์ประจำวิชา ด้วยความขยันหมั่นเพียรและอุตสาหะ เขาจึงใช้เวลาเพียงสิบปีก็สำเร็จ และก็เหลือเพียงวิชาต่อสู้เท่านั้น ที่เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับมัน เมื่ออายุสามหมื่นปี เขาจึงสามารถสำเร็จการศึกษาที่บูรพานิรันดร์พร้อมกับเสวี่ยจงไท่จื่อ องค์ชายเสวี่ยไห่ และองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยน จากนั้นเขาจึงกลับมาศึกษาเล่าเรียนกับมหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลินจนกว่าเขาจะมีอายุครบสี่หมื่นปี
เสวี่ยหลินได้ปรับเปลี่ยนค่าสถานะของหยางเทียนให้อยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่สุดมาตั้งแต่เขาอายุได้เพียงหนึ่งหมื่นปี เพื่อให้ร่างเซียนของเขาอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดเสมอ รวมทั้งของวิเศษอันล้ำเลิศมากมายที่จำเป็นสำหรับเขา เสวี่ยหลินก็เสาะหาวัตถุดิบมาสร้างสรรค์ให้เขาอย่างเต็มที่ เพื่อให้บุตรชายของนางยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับมหาเทพหยางหลงผู้เป็นบิดา
ระหว่างที่เขาร่ำเรียนกับมหาเทพและเสวี่ยหลิน มหาเทพจึงเปิดเผยเรื่องสมดุลพลังอันเป็นความลับสูงสุดของสี่ทะเลแปดดินแดน และเรื่องราวของมหาเทวีเสวี่ยหลิน มารดาของเขา เขาจึงได้ทราบสาเหตุที่บิดารักใคร่ทะนุถนอมมารดาอย่างที่สุด เขายิ่งซาบซึ้งกับสิ่งที่มารดากระทำ และตื้นตันกับความเพียรพยายามและความอดทนของมหาเทพหยางหลง บิดาของเขาที่กว่าจะได้มารดากลับคืนมา
“โอสถพันจันทรานี้ เป็นมารดาของเจ้าใช้ร่างและชีวิตของนางสร้างมันขึ้นมา สรรพชีวิตในสี่ทะเลแปดดินแดนได้อยู่อย่างสงบสุขอีกครั้งก็เพราะนาง ดังนั้น ทุกครั้งที่เจ้ารับประทานโอสถนี้ พึงระลึกไว้เสมอว่าเจ้ากำลังรับประทานเลือดเนื้อของมารดา”
“ที่พ่อให้เจ้ารับประทานก็เพื่อบำรุงร่างเซียนของเจ้าให้แข็งแกร่งไม่ต่างจากพ่อ อีกประการก็เพื่อช่วยรักษาสมดุลพลังแม้มันจะไม่จำเป็นเพราะพ่อรักษาอยู่แล้วก็ตาม”
นั่นเพราะหากรับประทานโอสถพันจันทราทุกวัน วันละห้าเม็ด ครบทุกหนึ่งร้อยปี จะสามารถเพิ่มพูนค่าสถานะของร่างเซียนให้เพิ่มขึ้นหนึ่งในหมื่นส่วน ตะวันร้อยจันทร์สามารถสร้างโอสถพันจันทราได้วันละสิบเม็ด ดังนั้น นับจากที่ตะวันร้อยจันทร์ให้กำเนิดโอสถพันจันทรา ยามนี้ผ่านมาแปดหมื่นสามพันปีแล้ว หากแต่สามหมื่นปีแรกที่เสวี่ยหลินกลับมาถือกำเนิดเป็นครั้งที่สองนั้น นางยังมิได้รับประทานโอสถพันจันทรา มันจึงยังคงเหลืออยู่ห้าสิบสี่ล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นเม็ด
แต่เมื่อเสวี่ยหลินแต่งให้มหาเทพหยางหลง เขาจึงให้นางรับประทานโอสถนี้ด้วย ทำให้นับแต่นั้นมาจนกระทั่งหยางเทียนอายุครบสามหมื่นปี จึงไม่มีโอสถพันจันทราในช่วงเวลานี้เหลืออยู่เลย มันคงเหลือเพียงช่วงสามหมื่นปีแรกที่มีห้าสิบสี่ล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นเม็ดเท่านั้น นี่เป็นส่วนที่มหาเทพหยางหลงมอบให้หยางเทียนรับประทานทั้งหมด
เมื่อใดที่โอสถส่วนนี้หมดลง เสวี่ยหลินจะไม่รับประทานโอสถพันจันทราที่ตะวันร้อยจันทร์สร้างขึ้นอีกต่อไป แต่นางจะมอบให้บุตรชายของนางได้รับประทาน ทว่ากว่าโอสถส่วนแรกจะหมดลงก็เป็นเวลาอีกสามหมื่นปีข้างหน้า
“ลูกทราบแล้ว จะไม่ทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ผิดหวังเด็ดขาด” หยางเทียนให้สัญญาอย่างหนักแน่น มารดาของเขาดีงามถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางทำให้มารดาที่รักเขาอย่างยิ่งผิดหวังแน่นอน
เมื่อหยางเทียนอายุครบสามหมื่นสองพันปี จึงเข้าพิธีสือเจีย ซึ่งเป็นพิธีสวมกวานครั้งแรก เพื่อแสดงว่าเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีสิทธิและอำนาจในการปกครองคนขั้นต้นแล้ว แต่อย่าได้หลงลืมตน ยังต้องปรับปรุงพัฒนาตนให้สมกับความเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
พิธีไจ้เจียหรือพิธีสวมกวานครั้งที่สองกระทำเมื่อเขาอายุสามหมื่นหกพันปี พิธีนี้ก็เพื่อหวังให้ชายหนุ่มที่สวมกวานมีความราบรื่นก้าวย่างอย่างมั่นคงในหน้าที่การงาน และพิธีซานเจียหรือพิธีสวมกวานครั้งที่สามได้จัดขึ้นเมื่อเขาอายุสี่หมื่นปี เพื่อบอกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและสามารถเข้าร่วมงานพิธีการต่างๆ ได้แล้ว
ระดับพลังของหยางเทียนในยามนี้อยู่ที่เทพเทวาขั้นเจ็ด เป็นรองจากมหาเทพหยางหลงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่กับสามขั้นย่อยเพราะยามนี้มหาเทพอยู่ในระดับวิถีเริ่มต้นขั้นที่สิบ นี่เป็นเพราะเสวี่ยหลินส่งเสริมบุตรชายของนางอย่างถึงที่สุด นางจึงซื้อหาโอสถเพิ่มพูนลมปราณจากระบบเกมที่นางได้รับจากมหาเทพผู้สร้างตว๋อเทียนมอบให้เขา ทำให้การฝึกฝนของเขารุดหน้ายิ่งกว่าผู้ใด
หลังเสร็จสิ้นพิธีซานเจีย มหาเทพหยางหลงจึงให้หยางเทียนมาเรียนรู้และช่วยราชกิจของหยางหมิ่นไท่จื่อ โอรสของหยางเจี้ยนเทียนจวินและกุ้ยตานเทียนโฮ่ว รวมทั้งเป็นองครักษ์ให้กับหยางหมิ่นไท่จื่อด้วย เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้ทั้งบู๊และบุ๋นไปพร้อมกัน
หยางเทียนเรียนรู้จากหยางหมิ่นไท่จื่ออยู่ห้าหมื่นปี และไปเรียนรู้อีกห้าหมื่นปีกับเสวี่ยจงไท่จื่อ แล้วจึงขอมาเรียนรู้ที่แดนหรดีของเผ่าสิงโตในฐานะหลานชายฝ่ายภรรยาของจินกุ้ยเฟยอีกห้าหมื่นปี และไปเรียนรู้ที่แดนอิสานของเผ่ากิเลนในฐานะหลานชายฝ่ายภรรยาของหลี่ซูเฟยอีกห้าหมื่นปี จากนั้นจึงอาศัยความสัมพันธ์อันดีระหว่างเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง เผ่าเสือขาว และเผ่าเต่ามังกรเพื่อไปเรียนรู้ที่แดนประจิมของเผ่าเสือขาวและแดนอุดรของเผ่าเต่ามังกรแห่งละห้าหมื่นปี
ยามนี้หยางเทียนอายุสามแสนสี่หมื่นปีแล้ว และกลับสู่วังมังกรสวรรค์ของมหาเทพหยางหลง
“เจ้าจะไปเรียนรู้ที่แดนทักษิณต่อเลยหรือไม่ พ่อจะได้บอกกล่าวกับฉิงเซียง” มหาเทพหยางหลงถามขึ้นเมื่อเห็นบุตรชายเข้ามาพบหลังกลับจากแดนอุดรได้เจ็ดวัน
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ถึงเรื่องจะผ่านมานานมากแล้ว แต่นางทำอะไรไว้กับเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกจำได้ดี” น้ำเสียงของหยางเทียนเรียบสนิทเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องเดียวที่เขาตั้งข้อรังเกียจเผ่าหงส์แดง
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อใด ก็บอกพ่อ แล้วพ่อจะจัดการให้”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปเรียนรู้มาทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนแล้ว ไม่ถูกตาต้องใจเซียนสตรีนางใดบ้างเลย?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ หากลูกจะแต่งเซียนสตรีใด ลูกก็ต้องหาให้ได้อย่างเสด็จแม่ หากไม่ดีเท่าเสด็จแม่ ลูกอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า”
มหาเทพหยางหลงต้องยิ้มออกมาอย่างขบขัน “กว่าเจ้าจะหาได้ เกรงว่าจะอายุเท่าพ่อกระมัง พ่อได้พบแม่เจ้าครั้งแรกก็เมื่ออายุสี่แสนหนึ่งหมื่นแปดพันปีที่งานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายของหยางเจี้ยน ยามนั้นแม่ของเจ้าเพิ่งอายุหนึ่งหมื่นแปดพันปีเท่านั้น กระทั่งพ่อและนางยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะเป็นคู่วาสนากันได้”
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร พบเมื่อใดก็เมื่อนั้น หรือไม่พบเลยก็ไม่เป็นไร”
“แล้วจากนี้เจ้าจะทำสิ่งใด”
“จะกักตัวฝึกฝนพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ลูกอยู่ในระดับเทพเทวาขั้นเจ็ด กักตัวฝึกฝนสักระยะจะได้เลื่อนถึงเทพเทวาขั้นสิบเท่าเสด็จตา เสด็จยาย”
“เช่นนั้น เจ้าก็ไปฝึกฝนในถ้ำทิพย์บูรพาเถิด ที่นั่นมีปราณอันแข็งกล้าที่กักเก็บไว้จะเป็นประโยชน์ในการเลื่อนระดับพลังของเจ้า”
เผ่าหงส์แดงที่รอคอยการมาขององค์ชายหยางเทียนจึงได้รับแจ้งจากวังมังกรสวรรค์ว่าองค์ชายไม่ว่างเสด็จมาเรียนรู้ที่แดนทักษิณ เพราะยามนี้ทรงกักตัวฝึกฝนแล้ว แม้จะเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผล แต่เผ่าหงส์แดงก็ทราบได้ทันทีว่าสมควรเป็นเรื่องเมื่อสามแสนหกหมื่นสามพันปีก่อนที่ราชินีฉิงเซียงและเฟิงชิงกุ้ยเฟยก่อเรื่องไว้ ทำให้องค์ชายหยางเทียนไม่เสด็จแดนทักษิณทั้งๆ ที่เสด็จไปเรียนรู้จากทุกแดนในสี่ทะเลแปดดินแดน