กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
แน่นอนว่าการฝึกฝนของหยางเทียน เสวี่ยหลินย่อมช่วยเหลือเต็มที่ โอสถเพิ่มพูนลมปราณถูกนางซื้อหาจากระบบเกมและนำมามอบให้เขาได้ใช้เพื่อย่นระยะเวลาในการฝึกฝนของเขา ดังนั้น ผ่านมาอีกเพียงสองหมื่นปี หยางเทียนจึงฝึกฝนจนสามารถเลื่อนระดับลมปราณขึ้นมาที่เทพเทวาขั้นสิบได้ตามต้องการ เขาจึงออกจากถ้ำทิพย์บูรพา
ยามนี้เขาอายุสามแสนหกหมื่นปีแล้ว นับเป็นเทพอาวุโสยิ่งองค์หนึ่ง
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” เขาเรียกขานทันทีที่พบเห็นมหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลิน
“เทียนเอ๋อร์ !” เสวี่ยหลินเรียกนามของเขาด้วยความดีใจ หยางเทียนรีบก้าวเข้าไปหามารดา อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดมารดาไว้แน่น เขาคิดถึงบิดามารดาของเขาจริงๆ
“เจ้าอยู่ในระดับเทพเทวาขั้นสิบแล้ว ! ลูกแม่เก่งกาจยิ่งนัก” นางเอ่ยอย่างปลื้มใจในตัวเขาอย่างยิ่ง
“เพราะได้เสด็จแม่ช่วยเหลือ ลูกจึงฝึกฝนได้สำเร็จโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ” เสวี่ยหลินได้แต่แย้มยิ้มกับคำอ้อนของบุตรชาย
“เสด็จพ่อ” เขาเรียกขานก่อนจะผละจากมารดาเข้าไปกอดมหาเทพหยางหลงไว้แน่น ครู่หนึ่งจึงค่อยคลายอ้อมกอด
“เจ้าเก่งมาก ลูกพ่อ” มหาเทพชมเชยบุตรชาย
“ลูกเก่งเหมือนเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ทำเป็นพูดดี เจ้าลูกคนนี้” มหาเทพตอบกลับอย่างมีความสุข
“เทียนเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ามีลูกแมวหิมะคู่ใหม่แล้วนะ” เสวี่ยหลินเอ่ยบอก
“พวกมันมีนามอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เขาถามอย่างตื่นเต้น เขาเติบโตมากับแมวหิมะ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของมารดามาตลอด เลี้ยงลูกแมวหิมะมาหลายคู่แล้ว นิสัยรักแมวของมารดาจึงติดตัวเขามาเช่นเดียวกับมหาเทพหยางหลง
หยางเทียนทราบดีว่าแมวหิมะที่เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำนั้นไม่มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่พวกมันโดดเด่นที่สุดคือความน่ารักน่าเอ็นดูของมัน ทว่าแม้มันจะน่ารักเพียงใด แต่ไม่ค่อยมีเทพเซียนใดเลี้ยงดูมันเพราะมันไร้ซึ่งความสามารถนี่แหละ
หากเขากลับจดจำคำสอนของมารดาขึ้นใจ
“แมวหิมะไม่มีความสามารถอะไรหรอกลูก มันมีแค่ความน่ารักเท่านั้นแหละ แต่ความน่ารักของมันทำให้แม่กับพ่อสบายใจ เหล่าเทพเซียนเช่นพวกเรามีคนแวดล้อมมากมาย หากเราไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้ใดบ้างที่จริงใจกับเรา ทั้งยังยากจะพิสูจน์ให้เห็นความจริงใจนี้โดยง่าย”
“แต่กับแมวหิมะ พวกมันมีความจริงใจให้กับผู้ที่เลี้ยงมันเสมอ เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าแมวหิมะทุกตัวที่พวกเราเลี้ยงไว้ พวกมันจะติดตามเราไปทุกที่ ต่อให้พวกมันจะไปเที่ยวเล่นที่ใดในวังมังกรสวรรค์เป็นเวลาหลายชั่วยามจนพวกเราหาพวกมันไม่เจอ แต่พวกมันจะกลับมาหาพวกเราเสมอ นั่นเพราะโลกของพวกมันมีเพียงพวกเรา พวกมันจึงมองว่าเราเป็นพวกเดียวกับมัน เป็นผู้ที่มันสามารถไว้ใจ เชื่อใจ ได้ตลอดเวลา”
“และเมื่อลูกไม่สบายใจในเรื่องใด พวกมันจะรับรู้ได้ทันทีและจะมาอยู่กับเจ้า คอยปลอบใจเจ้า พวกมันน่ารักถึงเพียงนี้ แม่กับพ่อจึงรักพวกมันยิ่งนัก รักพวกมันเหมือนบุตรคนหนึ่งเลยทีเดียว เวลาที่พวกมันจากไป แม่จึงไม่เคยสามารถหักห้ามตนเองไม่ให้ร้องไห้เพื่อพวกมันได้เลยสักครั้ง” นี่คือสาเหตุที่มารดาของเขาร่ำไห้ยามแมวหิมะจากไปและเขาต้องคอยปลอบมารดาของเขาเสมอมา
“แม่เลี้ยงเจ้าให้อยู่คู่กับพวกมันเสมอก็เพื่อสอนให้เจ้ามีความอ่อนโยน เข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเมตตา ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากหรือลำบากกว่าเรา อีกเหตุผลก็เพราะเจ้าถือกำเนิดมาสูงส่งนัก เจ้าคือบุตรของมหาเทพที่เข้มแข็งที่สุดในสี่ทะเลแปดดินแดน เป็นหลานชายที่รักยิ่งของมหาเทพผู้สร้าง สองเรื่องนี้ล้วนสามารถทำให้เจ้าหยิ่งผยอง ยโสโอหัง ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น แม่จึงอาศัยแมวหิมะเพื่อคอยกล่อมเกลาเจ้าให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง”
“แต่ทั้งหมดทั้งมวลยังต้องเลือกอีกว่าเจ้าสมควรมอบให้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน ถ้าเราให้อะไรกับใครแล้ว มันไม่มีค่า สู้เราเก็บเอาไว้ดีกว่า เวลาเราให้คำแนะนำกับคนที่เขาไม่อยากได้ เขาเรียกว่า ‘จุ้นจ้าน’ ให้ทรัพย์กับคนที่เขาไม่อยากได้ทรัพย์จากเรา เขาเรียกว่า ‘ดูถูก’ ให้ความรักกับคนที่ไม่มีใจกับเรา เขาเรียกว่า ‘รำคาญ’ *** เหล่านี้เจ้าต้องตระหนักให้ดี”
นึกถึงตอนนี้หยางเทียนยิ่งซาบซึ้งกับความรักที่มารดามีให้เขายิ่งนัก
“พวกมันเพิ่งอายุครบห้าเดือน ตัวผู้คือ ‘ลี่หยาน’ ตัวเมียคือ ‘ลี่อิน’ เจ้าเข้าไปดูสิ พวกมันเล่นกันอยู่ในห้องแมวหิมะแน่ะ” เสียงของเสวี่ยหลิน มารดาของเขาแว่วเข้าหู
เพราะเลี้ยงแมวหิมะตลอดมา เสวี่ยหลินจึงจัดห้องอันกว้างขวางแห่งหนึ่งในตำหนักมังกรสวรรค์ไว้สำหรับแมวหิมะโดยเฉพาะ ในห้องนั้นย่อมมีสิ่งของทุกอย่างครบครันสำหรับแมวหิมะที่นางและมหาเทพหยางหลงเลี้ยงไว้
“พ่ะย่ะค่ะ แล้วลูกจะเข้าไปทำความรู้จักกับพวกมัน”
“แล้วจากนี้เจ้าจะทำสิ่งใด” มหาเทพหยางหลงถามขึ้น
“ลูกคิดว่าจะไปนั่งฟังพี่ชายหยางหมิ่นว่าราชการพ่ะย่ะค่ะ จะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ และคอยช่วยเหลือพี่ชาย”
ยามนี้หยางหมิ่นไท่จื่อรับตำแหน่งเทียนจวินต่อจากหยางเจี้ยนที่สละบัลลังก์ให้บุตรชายแล้ว
“ก็ดี เจ้าทำตามที่ต้องการเถิด หากมีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาพ่อได้ตลอดเวลา”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
หยางเทียนพักผ่อนเที่ยวเล่นอยู่เจ็ดวันจึงค่อยไปร่วมนั่งฟังหยางหมิ่นเทียนจวินว่าราชการ เมื่อเทียนจวินมีข้อติดขัดใด เขาก็สามารถชี้แนะแก้ไขจนลุล่วงไปด้วยดี ทุกวันที่ไปร่วมรับฟังข้อราชการจึงทำให้เขาได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
“อีกสิบวันจะถึงวันคล้ายวันเกิดของข้า ข้าจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ขึ้นสักครั้ง ขอเชิญเหล่าเทพเซียนทุกท่านให้มาร่วมพบปะสังสรรค์กันตามสบาย ครั้งนี้ข้าจะไม่ออกเทียบเชิญใดๆ หวังเพียงให้ทุกท่านได้มาพูดคุยอย่างสนุกสนานในงานเลี้ยงของข้า” หยางหมิ่นเทียนจวินกล่าวขึ้น
ถ้อยคำของเทียนจวินทำให้หยางเทียนนึกขึ้นได้เช่นกันว่ายามนั้นที่เขาเพิ่งออกจากการกักตัวฝึกฝน เทียนจวินเพิ่งเสร็จสิ้นการจัดงานเลี้ยงส่วนพระองค์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
นี่ข้าออกจากการกักตัวมาได้หนึ่งปีแล้ว? วันเวลาช่างเร็วจริงๆ เขานึกในใจ
“ท่านแม่ พวกเราไม่ไปร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของเทียนจวินได้หรือไม่ งานนี้มีเทพเซียนไปร่วมกันมากแล้ว พวกเราไม่ไปก็ไม่มีผู้ใดตำหนิท่านแม่ได้” เสียงหวานใสกล่าวอ้อนวอน
“พวกเราสมควรไปนะ หรูเอ๋อร์ อีกยี่สิบปีข้างหน้าเจ้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว เสด็จพ่อของเจ้าย่อมต้องจัดพิธีปักปิ่นให้ เจ้าจะได้คุ้นเคยกับงานเลี้ยงและงานพิธีใหญ่ ครั้งนี้เทียนจวินทรงจัดงานโดยไม่มีเทียบเชิญ หวังให้เหล่าเทพเซียนทั้งหลายได้มาพบปะสังสรรค์ นี่เป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะได้รู้จักเทพเซียนมากมาย เรียนรู้พิธีการต่างๆ และจะได้รู้ว่าสมควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง” จิวอิง ปลอบหลี่เมิ่งหรูผู้เป็นบุตรสาว
“แต่ท่านแม่ก็ทราบ องค์ราชินีไม่โปรดให้เหล่าสนมของเสด็จพ่อไปร่วมงานนี้ ทั้งองค์หญิงหลิงฉีก็ไม่ชอบหน้าบุตรของสนมทุกคน ถ้าพวกเราไป ก็อาจถูกองค์หญิงหลิงฉีกลั่นแกล้งได้นะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องกังวลหรอก หรูเอ๋อร์ พวกเราอยู่ท้ายขบวนเสด็จ ทำตัวให้ไม่เป็นที่ระคายพระเนตรขององค์ราชินีกับองค์หญิงก็พอแล้ว พระสนมชั้นจิ่วผินและเฟยทั้งสี่ย่อมไม่สนใจพวกเรา เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
หลี่เมิ่งหรูกล่าวอะไรไม่ออก ได้แต่ทำตามที่มารดาสั่ง
ผ่านไปอีกสิบวัน วันนี้เป็นวันที่หยางหมิ่นเทียนจวินจัดงานเลี้ยง เหล่าเทพเซียนมากมายต่างทยอยเข้าสู่งาน นอกเหนือจากอาหารคาวหวานจากโรงครัวของเทียนจวินแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจขาดชา ขนมหวาน และของว่างจากร้านชาในตำนานอย่างร้านชาลี่ถังลี่มี่ที่ครั้งนี้มาให้บริการเพียงชา ขนมหวาน และของว่างเท่านั้น เพราะเหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างต้องการเดินพบปะพูดคุยกันไปทั่วงาน
เสียงของเซียนรับใช้เผ่ามังกรที่ทยอยขานการมาถึงของเทพเซียนต่างๆ ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ราชากิเลนหลี่เหอ ราชินีกิเลนเจียวเหม่ย หลี่เจี่ยไท่จื่อ และองค์หญิงหลิงฉีเสด็จ”
เสียงขานการมาถึงของราชาและราชินีเผ่ากิเลนดังขึ้น ด้านหลังของพวกเขาย่อมเป็นเฟยทั้งสี่ พระสนมในลำดับชั้นต่างๆ และบุตรหลานของพวกนาง
หลี่เมิ่งหรูเหลียวมองรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้ นางพลันรู้สึกได้ว่าไม่เสียทีที่ยอมตามใจมารดา ยามนี้นางและจิวเจี๋ยยวี๋ จิวอิง มารดาของนางอยู่รั้งท้ายสุดในกลุ่มของเอ้อร์สือชีซื่อฟู่หรือยี่สิบเจ็ดพระสนมชั้นสูง ด้านหลังนางตามมาด้วยพระสนมในลำดับชั้นปาสืออียวี่ชีหรือแปดสิบเอ็ดสนมชั้นล่าง
“ท่านแม่ พวกเราไม่ต้องไปนั่งรวมกับพวกเขาใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลี่เมิ่งหรูกระซิบถามมารดา
“ไม่ต้องหรอก นี่เป็นงานเลี้ยงที่เทียนจวินอนุญาตให้เดินไปมาได้ เจ้าสังเกตสิ เทพเซียนชั้นสูงล้วนมีที่นั่งเฉพาะ เสด็จพ่อของเจ้าต้องไปนั่งรวมที่นั้น แต่พวกเราไม่ต้อง เจ้าอยากเดินเที่ยวชมที่ใดหรือรับประทานอะไรก็ทำได้ตามใจ”
“ลูกอยากรับประทานของร้านชาลี่ถังลี่มี่เจ้าค่ะ ได้ยินชื่อเสียงมาตั้งนานแล้ว ไท่จื่อไปแดนพายัพครั้งใดก็ต้องซื้อมาฝากทุกครั้ง แต่พวกเราได้น้อยอย่างยิ่ง ลูกยังรับประทานได้ไม่มาก ของก็หมดเสียแล้ว จะไปแดนพายัพเพื่อซื้อเอง องค์ราชินีก็ไม่อนุญาตให้ท่านแม่ออกไปนอกแดนอีสาน ลูกก็ไปไม่ได้อีกเพราะยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่น” หลี่เมิ่งหรูบ่นออกมา
“เช่นนั้น เจ้าก็ไปเถิด อย่าได้ซุ่มซ่ามเชียวล่ะ นี่เป็นงานเลี้ยงใหญ่ เทพเซียนมากมาย เจ้าต้องวางตัวให้เหมาะสม”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องห่วง” นางรับคำอย่างร่าเริง
หลี่เมิ่งหรูตรงดิ่งมาที่ซุ้มของร้านชาลี่ถังลี่มี่ทันที มองเห็นเทพเซียนเข้าแถวกันอยู่ราวสิบคน นางรีบเข้าไปต่อแถว เพียงไม่นานก็มาถึงรอบของนาง
“รับอะไรดีเจ้าคะ ท่านเซียนน้อย” นางกำนัลที่ยืนรอรับคำสั่งเอ่ยถามอย่างเอ็นดู นางเซียนน้อยผู้นี้น่ารักราวกับตุ๊กตานัก
“เอ่อ...ข้าสั่งไม่ถูก พี่สาวแนะนำข้าได้หรือไม่” หลี่เมิ่งหรูตอบอย่างประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มาที่ร้านชาชื่อดัง นางไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับร้านชานี้เลย ทราบเพียงว่าที่นี่มีของอร่อย
“ท่านเซียนน้อยชอบรับประทานแบบไหนเจ้าคะ รสหวาน รสเข้มข้น หรือกลมกล่อม”
“หวานเจ้าค่ะ”
“รอสักครู่นะเจ้าคะ”
ได้ยินนางกำนัลผู้นั้นหันไปสั่งนางกำนัลที่ทำหน้าที่ชงชาและอีกนางที่อยู่หน้าตู้กระจกที่ใส่ของหวาน รอเพียงไม่นานนางกำนัลผู้นั้นก็นำกล่องไม้อย่างดีมายื่นให้หลี่เมิ่งหรู
“ในนี้จะมีขนมหวานสามชิ้น ได้แก่ ฟรุตทาร์ทไส้ครีมชาวานิลลา มิลเฟยมัตฉะและครีมโรลเค้กชาซิลเวอร์มูน ชาร้อนในชุดนี้คือ Milk Oolong ที่เป็นชาอู่หลงรสนุ่มที่มีกลิ่นหอมของนมเป็นเอกลักษณ์ และยังมี Napoleon Tea Ice Cream ซึ่งเป็นไอศกรีมแมคคาดาเมียคาราเมลผสมชาดำ”
ถ้อยคำหลายอย่างที่นางกำนัลผู้นี้กล่าวช่างแปลกหูหลี่เมิ่งหรูนัก แต่ฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่ารับประทานอย่างยิ่ง
“เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว ไม่ต้องนำกล่องไม้ที่ใส่ชาและขนมหวานมาคืนนะเจ้าคะ ท่านเพียงนำถ้วยชาและถ้วยขนมใส่ลงกล่องและปิดฝาให้เรียบร้อย แล้ววางไว้ ไม่เกินหนึ่งอึดใจกล่องนี้จะกลับคืนมาที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่เจ้าค่ะ”
“รับประทานให้อร่อยนะเจ้าคะ หากไม่พอ ท่านสามารถมารับได้อีกทุกอย่างเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นี้กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะยิ้มแย้มแจ่มใสให้นาง
“ขอบคุณพี่สาวมากเจ้าค่ะ”
“เสด็จแม่ เห็นองค์ชายหยางเทียนหรือไม่เพคะ เมื่อครู่ข้ายังเห็นท่านสนทนากับเทียนจวินอยู่เลย” องค์หญิงหลิงฉีถามราชินีเจียวเหม่ย
“แม่เห็นองค์ชายลุกออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก ไปเพียงลำพังด้วย เจ้ารีบตามไปเถิด เจ้ากับท่านรู้จักกันอยู่แล้วย่อมทำความคุ้นเคยได้ง่าย”
องค์หญิงหลิงฉีรีบเดินออกมาด้านนอก กวาดสายตามองหาองค์ชายหยางเทียน หากไม่พบเห็น
“องค์ชายประทับที่ใด เมื่อครู่ยังเห็นแว่บๆ อยู่เลย” นางรำพึงออกมาก่อนจะออกเดินเพื่อค้นหาองค์ชายหยางเทียน
ปลีกตัวมาที่มุมที่ไม่ค่อยมีผู้คนเท่าใด หลี่เมิ่งหรูจึงพบที่เหมาะที่ศาลาเล็กแห่งหนึ่งในสวน นางนั่งลงก่อนจะเปิดฝากล่องออกและหยิบชาร้อนถ้วยหนึ่งที่ใส่มาในถ้วยชาใหญ่ให้ถึงสองถ้วยขึ้นมาจิบ นางต้องหลับตาพริ้มกับรสชาติและกลิ่นหอมของชา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาและเริ่มหยิบขนมหวานในกล่องมาละเลียดชิมทีละอย่าง ทุกคำที่นางกัดและเคี้ยว หลี่เมิ่งหรูต้องหลับตาซาบซึ้งกับรสชาติของขนมหวานที่ลงตัวอย่างยิ่ง เมื่อจิบชาตามไปด้วย ความอร่อยยิ่งทบทวี ยามนี้นางจึงทราบชัดเจนแล้วว่าเหตุใดร้านชาลี่ถังลี่มี่จึงมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนักและยังไม่มีร้านชาใดเทียบเทียมได้
หลี่เมิ่งหรูนั่งรับประทานชาและขนมหวานอย่างเพลิดเพลินท่ามกลางลมราตรีที่พัดเบาๆ จนเย็นสบาย ห่างออกไปไม่ไกลเป็นเทียนหอมหลายอันที่จุดไว้รายรอบให้แสงสว่างแก่สถานที่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเทียนหอมโชยมาตามลม นางสูดกลิ่นหอมทั้งจากชา ขนมหวาน และเทียนหอมอย่างมีความสุข บรรยากาศรื่นรมย์อย่างยิ่ง
ตุ้บบบ
เสียงของบางอย่างหล่นลงที่พื้นทำให้หลี่เมิ่งหรูลืมตาขึ้นทันที จึงได้พบเห็นกล่องไม้ที่ใส่ชาและขนมหวานนั้นคว่ำอยู่ที่พื้น ชาร้อนหกหมดสิ้น ขนมหวานที่เหลือในกล่องเละเทะหกเปื้อนพื้นจนหมด สีหน้าของนางทอแววเสียดายชัดเจนก่อนจะเงยหน้ามอง หากเพียงสบตากับคนที่ปัดกล่องขนมของนางลงพื้น หลี่เมิ่งหรูก็ต้องพูดไม่ออกและยังต้องรีบยืนขึ้นอย่างสำรวม
“พี่สาวหลิงฉี” นางเรียกแผ่วเบา
“ผู้ใดเป็นพี่สาวเจ้า ข้าไม่เคยมีน้องสาว”
เสียงขององค์หญิงหลิงฉีดังไม่ใช่น้อย สะกิดความสนใจของเซียนบุรุษผู้หนึ่งที่ออกมาเดินเล่นในสวนด้านนอก เซียนบุรุษนี้เดินมายังทิศทางที่ได้ยินเสียงก่อนจะพบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ร่างสูงสง่าหลบอยู่หลังเงามืดของต้นไม้ใหญ่ จับตามองเหตุการณ์ที่อยู่ห่างตนเองไปไม่ไกล
“ขออภัยเพคะ องค์หญิงหลิงฉี” นางต้องเปลี่ยนคำเรียกขาน
“งานเลี้ยงอยู่ด้านนั้น แต่เจ้ากลับหลบมาอยู่ตรงนี้ มานั่งรอให้เซียนบุรุษใดมองเห็นเจ้ากระมัง ไร้ยางอายนัก”
“ไม่ใช่นะเพคะ ข้าเพียงหาที่เงียบๆ นั่งรับประทานเท่านั้น”
“เฮอะ ที่เงียบๆ หากข้าเชื่อคำเจ้า ข้าคงโง่เต็มที เจ้าตั้งใจมานั่งรอเซียนบุรุษ คงหวังจะให้มีใครรับเจ้าเป็นสนมกระมัง ยังไม่ทันปักปิ่น ก็ให้ท่าบุรุษเสียแล้ว ไม่ต่างจากมารดาเจ้าจริงๆ”
“องค์หญิงหลิงฉี ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้ามิได้เป็นเช่นที่ท่านกล่าว มารดาข้าก็มิได้เป็น ท่านกล่าวหาข้าและมารดาเช่นนี้ แล้วตัวท่านเล่า มาเดินอะไรแถวนี้ ในเมื่อท่านกล่าวว่าข้ามาให้ท่าบุรุษ แล้วท่านล่ะ มาให้ท่าบุรุษเช่นกันกระมัง” หลี่เมิ่งหรูโต้กลับอย่างโกรธเคือง
เพียะ—
เสียงตบหน้าดังขึ้นทันที ใบหน้าของหลี่เมิ่งหรูสะบัดตามแรงตบก่อนจะล้มลงไปนั่งกับพื้น แก้มขาวผ่องข้างหนึ่งปรากฏรอยแดงห้านิ้วชัดเจน
“สามหาว ! เป็นแค่ลูกสนม ริอาจมาตีฝีปากกับข้า ช่างไม่ประมาณตัว จำใส่สมองของเจ้าให้ดี อย่าได้สร้างเรื่องเสื่อมเสียให้เผ่ากิเลนเด็ดขาด และอย่ามาให้ท่าบุรุษเช่นมารดาเจ้า”
กล่าวจบแล้วองค์หญิงหลิงฉียกเท้าเหยียบขยี้ลงที่ข้อเท้าข้างหนึ่งของนางโดยแรง
“โอ๊ยยยยย” หลี่เมิ่งหรูร้องออกมา
มองเห็นหลี่เมิ่งหรู น้องสาวต่างมารดา ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เท้ายิ่งเหยียบขยี้แรงกว่าเดิม หากหลี่เมิ่งหรูไม่ร้องอีกแล้ว นางได้แต่เม้มปากอย่างอดทน
“ชิส์” องค์หญิงหลิงฉีสบถออกมาอย่างไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าจากไป
หลี่เมิ่งหรูนิ่งอึ้ง นางเจ็บไปทั้งกายและใจ ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอ น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่ หากมือขาวผ่องปาดเช็ดมันอย่างรวดเร็ว มือลูบคลำข้อเท้าที่ถูกเหยียบครู่หนึ่งค่อยมาคลำแก้มข้างที่ถูกตบ นางนั่งนิ่งอย่างพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างเต็มที่ ครู่ใหญ่จึงค่อยเป็นปกติ
มือขาวผ่องเก็บข้าวของที่ตกหล่นจนเรียบร้อยก่อนจะวางกล่องนั้นไว้บนโต๊ะหินในศาลา ยกมือร่ายเวทครู่หนึ่งและวาดฝ่ามือเหนือรอยเปรอะเปื้อนบนพื้น รอยเปื้อนนั้นจึงหายไป อดไม่ได้ที่จะต้องลูบคลำข้อเท้าที่ถูกเหยียบอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ พยุงตนเองให้ลุกขึ้น
ข้าควรทำอย่างไรดี ถ้ากลับเข้าไปในงานตอนนี้ ทุกคนก็จะเห็นรอยแดงที่แก้ม แล้วข้าจะบอกกับผู้อื่นว่าอย่างไร นางครุ่นคิดอย่างกังวล
พลันมีมือหนึ่งยื่นตลับหยกมาอยู่ที่เบื้องหน้า หลี่เมิ่งหรูจ้องมองอย่างแปลกใจก่อนเหลียวมองเจ้าของมือและตลับหยกนี้ หากนางกลับมองเห็นไม่ชัดเจน เพราะเขาหันหลังให้แสงจันทร์ทำให้ใบหน้าของเขาอยู่ในเงามืด ทราบเพียงว่าเขาช่างสง่างามนัก สง่างามจนนางประหม่าไปหมด นึกรู้ได้ทันทีว่าบุรุษตรงหน้าสมควรเป็นเซียนผู้สูงศักดิ์สักคน
“นี่เป็นโอสถแก้รอยช้ำ เจ้าทาเสียก่อน รอยแดงจะได้หายไป แล้วทาต่ออีกสองสามวัน แก้มที่บวมของเจ้าจะหายเป็นปกติ รอยช้ำที่ข้อเท้าก็เช่นกัน” บุรุษผู้นี้บอกกล่าว น้ำเสียงของเขาทุ้มนุ่มนวลและสุภาพยิ่งนัก นางคาดเดาไม่ออกเลยว่าเขาเป็นผู้ใด
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยื่นมือไปรับตลับหยกนั้นก่อนจะเปิดมันออกและทาโอสถนั้นที่แก้มของตน
สัมผัสของโอสถบอกนางว่านี่เป็นโอสถชั้นเลิศอย่างยิ่ง เพราะสัมผัสนั้นช่างละเอียดเนียนนุ่ม ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรที่ใช้ปรุงมันขึ้นมา
“เจ้านั่งลง” เขาบอกกล่าวก่อนจะหยิบตลับยามาจากมือของนาง หลี่เมิ่งหรูนั่งลงบนเก้าอี้หินในศาลาอย่างงุนงง
มือใหญ่ยื่นมาจับข้อเท้าของนางไว้เบาๆ ก่อนจะถอดรองเท้าปักของนางออก
“ท่านเซียน อย่าเจ้าค่ะ ข้าทาเองได้” นางร้องห้ามอย่างตกใจ ยื่นมือมาจับมือของเขาไว้
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย เจ้าทาเองไม่ถนัดเท่าใดดอก ข้าช่วยทาให้จะดีกว่า จะได้ดูด้วยว่าข้อเท้าเจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่” เขาบอกกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางจำต้องชักมือกลับ สีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
เขาถอดถุงเท้าผ้าของนางออก มือเปิดตลับยา ใช้นิ้วป้ายยามาทาที่รอยแดงที่ข้อเท้าของนางจนทั่ว เขาลงน้ำหนักที่ปลายนิ้วเล็กน้อยเพื่อนวดให้ยาซึมเข้าผิวได้ดี ครู่หนึ่งรอยแดงช้ำจึงค่อยๆ ลดลง ถุงเท้าผ้าถูกสวมใส่ให้ตามด้วยรองเท้าปักคู่สวยของนาง
“เรียบร้อยแล้ว” เขาบอกออกมา มือขาวผ่องคว้าจับมือเขาไว้ก่อนจะใช้ชายกระโปรงของตนเช็ดทำความสะอาดมือของเขาจนเรียบร้อย
“ขอบคุณนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” บอกแล้วเขาจึงยื่นตลับยาให้นาง
“เอ่อ...แล้วข้าจะคืน...”
“ไม่ต้องคืนดอก เจ้าเก็บไว้ใช้เถิด นี่ไม่ใช่โอสถล้ำค่าอะไร ข้าปรุงมันขึ้นมาเมื่อใดก็ได้” เขากล่าวพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้หินอีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ นาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านเซียนมีนามใด ข้าจะได้รู้จักผู้มีพระคุณ”
เห็นเขานิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยปาก “เรียกข้า หยางไท่”
ที่แท้ท่านเซียนผู้นี้เป็นเผ่ามังกร นางนึกในใจ นั่นเพราะเผ่ามังกรสายตรงทุกคนจะใช้แซ่หยางทั้งสิ้น
“แล้วเจ้าล่ะ มีนามใด”
“ข้า หลี่เมิ่งหรู เจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นบุตรสาวของราชากิเลนหลี่เหอ?” น้ำเสียงของเขาแสดงความแปลกใจ
“เจ้าค่ะ แต่ข้าเป็นบุตรของจิวเจี๋ยยวี๋ จิวอิงเจ้าค่ะ ไม่ได้เป็นบุตรขององค์ราชินี”
“เช่นนั้น นางเซียนที่ตบหน้าและเหยียบข้อเท้าเจ้าคือผู้ใด”
“นางคือองค์หญิงหลิงฉี บุตรของราชินีกิเลนเจียวเหม่ยเจ้าค่ะ” นางบอกเสียงแผ่ว
มองเห็นเขาพยักหน้าอย่างคล้ายจะนึกออก
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้ทำผิดเช่นที่นางกล่าวหา ก็อย่าปล่อยให้นางระรานเจ้าเช่นนี้ มิฉะนั้น นางก็จะถืออำนาจกระทำกับเจ้าเช่นนี้ตลอดไป” เขาบอกกล่าวเชิงสั่งสอน
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ธรรมเนียมของเผ่ากิเลน บุตรหลานของสนมไม่อาจตอบโต้บุตรหลานของราชินีได้ แค่ข้าต่อปากต่อคำกับนาง เมื่อกลับถึงแดนอีสานแล้ว องค์ราชินีย่อมต้องลงโทษให้ข้าอดอาหารสามวันและไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนสามวันสามคืนเจ้าค่ะ”
เห็นเขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “แล้วหลังจากเจ้ารับโทษแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป”
“กลับบูรพานิรันดร์เจ้าค่ะ ทางบูรพานิรันดร์ให้นักเรียนหยุดเรียนได้เจ็ดวันเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงของเทียนจวินและพักผ่อน อีกยี่สิบปีข้าก็จะสำเร็จการศึกษาจากที่นั่นแล้ว”
“ยามนี้เจ้าอายุเท่าใด” เขาถามอย่างสงสัย
“สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบปีเจ้าค่ะ เมื่อข้าสำเร็จจากบูรพานิรันดร์ ก็จะถึงพิธีปักปิ่นของข้าพอดี...เอ่อ...ถ้าท่านเซียนไม่รังเกียจที่ข้าต่ำต้อย ข้า...เอ่อ...ขอเชิญท่านมาเป็นเกียรติในพิธีปักปิ่นของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ เมื่อถึงพิธีปักปิ่นของเจ้า ข้าจะไป” เขาตอบรับอย่างไม่ลังเล
“แล้วข้าจะส่งเทียบเชิญให้ท่านที่ใดเจ้าคะ” นางถามกลับด้วยความดีใจ
*** ถ้าเราให้อะไรกับใครแล้ว "มันไม่มีค่า" สู้เราเก็บเอาไว้ดีกว่า
เวลาเราให้คำแนะนำกับคนที่เค้า "ไม่อยากได้" เค้าเรียกว่า "เสือก" ครับ
ให้ "เงิน" คนที่เค้ายังไม่อยากได้รับเงินเรา เค้าเรียกว่า "ดูถูก" ครับ
ให้ "ความรัก"กับคนที่เค้าไม่มีใจ" เค้าเรียกว่า "รำคาญ" ครับ
ฉะนั้นเนี่ย "การให้" เป็นสิ่งที่มีค่า แต่ถ้าให้คน "ผิดที่-ผิดเวลา" คุณค่ามันจะ "หมด" ไปทันที
ผู้เขียนหยิบยืมมาจากคำพูดของ อ.จตุพล ชมภูนิช ***