กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
“เจ้าไม่ต้องส่งหรอก พิธีปักปิ่นของธิดาราชากิเลนสมควรเป็นพิธีใหญ่พอสมควร...”
“ไม่ใหญ่หรอกเจ้าค่ะ...” นางกล่าวแทรกขึ้น
“ข้าเป็นบุตรีที่เกิดจากพระสนมชั้นสูง มิใช่เฟยทั้งสี่หรือเก้าพระสนมเอก พิธีที่จัดจึงเป็นพิธีเล็กๆ ผู้ร่วมพิธีจะมีเพียงเสด็จพ่อและท่านแม่ของข้า แล้วก็ท่านตา ท่านยายเท่านั้น ข้าจึงบังอาจเชิญท่านเซียนมา เพราะข้า...อยากมีแขกของตัวเองที่มาร่วมพิธีปักปิ่นของข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ” ประโยคท้ายของนางแผ่วเบาอย่างยิ่ง ใบหน้าน่ารักก้มต่ำ
มือใหญ่สองข้างเอื้อมมาจับไหล่บอบบางไว้ “เจ้าไม่ได้บังอาจหรอก เจ้าเพียงเชิญข้าด้วยใจจริงเท่านั้น ข้ายิ่งสมควรไปร่วมพิธีของเจ้า ส่วนเทียบเชิญก็ไม่จำเป็น ข้ารู้จักเจ้าแล้ว ไม่ยากหรอกที่จะหาบ้านของเจ้าจนพบ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจอย่างยิ่ง เพิ่งพบหน้ากันครู่เดียว เซียนสูงศักดิ์ผู้นี้ก็ยินยอมไปร่วมพิธีปักปิ่นของนางที่แดนอีสานในอีกยี่สิบปีข้างหน้าแล้ว
“เจ้ากลับเข้าไปข้างในเถิด ออกมานานแล้ว ป่านนี้มารดาของเจ้าคงเป็นห่วงเจ้านัก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าลานะเจ้าคะ หากมีวาสนา ข้าคงมีโอกาสได้พบท่านก่อนพิธีปักปิ่นบ้าง”
นางแย้มยิ้มสดใส โบกมืออำลาเขาก่อนจะเร่งเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง
เซียนน้อยนี้ช่างน่าเวทนานัก ข้าสมควรสืบเรื่องราวของนาง จะได้ช่วยเหลืออะไรนางได้บ้าง เขาคิดในใจก่อนจะค่อยๆ เดินตามนางเข้าไปในงานเลี้ยง หากจงใจทิ้งระยะห่างจากนางเพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกต
“นั่นไง หลิงฉี องค์ชายหยางเทียนเสด็จกลับมาแล้ว” ราชินีเจียวเหม่ยกล่าวขึ้นเมื่อเหลือบเห็นองค์ชายหยางเทียนประทับนั่งลงยังที่นั่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง
“ไม่ได้เสด็จไปพูดคุยกับเทียนจวินต่อ หากมาพูดคุยกับราชาเสวี่ยซาน จริงสิ ราชาเสวี่ยซานเป็นพระปิตุลา (ลุง) ขององค์ชาย” ราชินีเจียวเหม่ยบอกเล่าออกมา
องค์หญิงหลิงฉีรีบลุกขึ้นจากที่นั่งของตน เร่งเดินไปหาเขาทันที
“คารวะองค์ราชา องค์ราชินี อุปราชหยางเค่อ ไท่จื่อ องค์ชายหยางเทียน” องค์หญิงหลิงฉีเอ่ยคารวะเทพเซียนผู้สูงศักดิ์ทั้งหมด
“ตามสบายเถิด องค์หญิงหลิงฉี”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“องค์ชายหยางเทียนเพคะ” คราวนี้นางจึงหันมาหาเขา
หยางเทียนหันมามอง
“องค์หญิงหลิงฉีมีอะไรรึ” เขาตอบกลับ
“เอ่อ...องค์ชายไปเดินเล่นที่ใดมาเพคะ ข้าตามออกไปจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านก็ไม่พบท่านเลย”
“ข้าก็เดินไปเรื่อยๆ พบเจอคนรู้จักก็หยุดทักทายกัน ทั้งสวนดอกไม้ของเทียนจวินแม้ในยามราตรีก็ยังจัดแต่งได้งดงาม ข้าเลยเดินเสียเพลิน”
“เช่นนั้น หากครั้งต่อไปองค์ชายจะไปเดินเล่น ข้าจะไปเป็นเพื่อนนะเพคะ”
“ขอบใจ”
เจอคำตอบสั้นเพียงนี้ องค์หญิงหลิงฉีก็ไม่ทราบว่าตนเองจะหาเรื่องใดมาชวนพูดคุยต่อ
“เอ่อ...ทูลลาเพคะ”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่พึงใจนางนะ น้องเล็ก” พระชายาเสวี่ยเยวี่ยนทักขึ้นเมื่อองค์หญิงหลิงฉีห่างออกไป ยามนี้องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยนแต่งให้กับอุปราชหยางเค่อมาห้าหมื่นปีแล้ว
“อาสะใภ้ ท่านจับสังเกตไวเหลือเกินนะขอรับ” หยางเทียนตอบกลับปนค่อนแคะเล็กน้อย
“ข้ารู้จักเจ้ามากี่แสนปี เล็กน้อยเพียงนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร องค์หญิงหลิงฉีผู้นี้ โดยศักดิ์ฐานะแล้ว นางเป็นหลานสาวข้าคนหนึ่ง เจ้าไม่ชอบนาง ข้าก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา”
นั่นเพราะพระชายาเสวี่ยเยวี่ยนคือบุตรสาวของราชาเสวี่ยซานที่เกิดแต่หลี่ซูเฟย หลี่ผิง องค์หญิงผู้เป็นน้องสาวของอดีตราชากิเลนหลี่จื้อ หลี่เหอที่เป็นราชากิเลนคนปัจจุบันคือบุตรชายของหลี่จื้อ โดยลำดับชั้นทางสายเลือดแล้ว เสวี่ยเยวี่ยนจึงมีฐานะเท่ากับหลี่เหอ
“นางนิสัยไม่ดีเท่าใดขอรับ” คำตอบนี้ทำให้ชาวจิ้งจอกเก้าหางหูผึ่ง สีหน้าท่าทีใคร่รู้เรื่องราวมากขึ้น
“แล้วเจ้าไปรู้ได้อย่างไรว่านางนิสัยไม่ดี” พระชายาเสวี่ยเยวี่ยนถามอย่างแปลกใจ
เรื่องราวที่เขาพบเห็นองค์หญิงหลิงฉีกลั่นแกล้งหลี่เมิ่งหรูก็ถูกเล่าออกมาอย่างละเอียด ฟังเรื่องราวจบแล้ว เสวี่ยเยวี่ยนอดเห็นใจหลี่เมิ่งหรูไม่ได้ เพราะหลี่เมิ่งหรูนับเป็นหลานสาวของนางเช่นกัน
เสวี่ยเยวี่ยนนึกชื่นชมเสด็จพ่อเสวี่ยซานของนางว่าดีกว่าราชาหลี่เหอยิ่งนัก เพราะแม้บิดาจะมีภรรยาถึงสาม หากเขาให้ความยุติธรรมอย่างทัดเทียม รักใคร่ส่งเสริมบุตรของเขาทุกคนอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด ดังนั้น แม้จะมีภรรยาถึงสาม หากครอบครัวนี้กลับสงบสุขยิ่ง
นางยังนึกขอบคุณอาหญิงเสวี่ยหลินผู้ล่วงลับไปแล้วที่ฉุดดึงหยางเค่อ ฟูจวินของนางมาจากเผ่ามังกร เขาจึงได้พบกับความสุขที่เผ่าจิ้งจอกเก้าหาง เสวี่ยเยวี่ยนจึงรักทั้งเผ่ากิเลนและเผ่าจิ้งจอกเก้าหางยิ่งนัก
“มันเป็นธรรมเนียมในเผ่ากิเลน เจ้าเข้าไปยุ่งอะไรมากไม่ได้หรอก ขนาดเสด็จแม่ของข้าที่มาจากเผ่ากิเลนแท้ๆ เมื่อแต่งออกมาแล้วก็ไปก้าวก่ายอะไรในเผ่ามากนักไม่ได้” เสวี่ยเยวี่ยนเล่าให้ฟัง อย่างไรนางก็ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังของเผ่ากิเลนมากกว่าหยางเทียน
“เมิ่งหรู ต้องพยายามยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้ เมื่อใดที่นางเข้มแข็งพอ นางจึงจะสามารถมีปากเสียงเพื่อตนเองและมารดาได้” นี่เป็นคำแนะนำที่นางมอบให้หยางเทียน
ผ่านมาอีกสิบห้าวัน หยางเทียนจึงได้รับทราบถึงเรื่องราวของกิเลนน้อยหลี่เมิ่งหรู
“องค์หญิงเมิ่งหรูเป็นบุตรสาวของราชากิเลนหลี่เหอและเจี๋ยยวี๋ จิวอิง พ่ะย่ะค่ะ จิวเจี๋ยยวี๋ผู้นี้เดิมเป็นคุณหนูใหญ่ของขุนพลจิวหู รูปโฉมของนางงดงามน่ารัก เมื่อถึงวัยเหมาะสม จึงถูกถวายให้ราชากิเลนหลี่เหอ แม้บิดาของนางจะเป็นขุนพลใหญ่แต่ตำแหน่งนี้ก็มิได้ใหญ่โตสักเท่าใด นางจึงได้รับเพียงตำแหน่งเจี๋ยยวี๋อันเป็นลำดับชั้นสูงสุดของยี่สิบเจ็ดพระสนมชั้นสูง” หย่งเสียนรายงานถึงเรื่องราวของหลี่เมิ่งหรูให้หยางเทียนฟังหลังจากได้รับคำขอร้องของเขาให้ช่วยสืบเรื่องราวของกิเลนน้อยผู้นี้
“ราชาหลี่เหอมีบุตรสาวทั้งสิ้นห้าองค์ ได้แก่ หลี่หลิงฉี อายุสามหมื่นสี่พันปี หลี่ไห่อิ่ง สามหมื่นสามพันปี หลี่ซินเหมย สามหมื่นสองพันปี หลี่หัวอิง สามหมื่นหนึ่งพันปี และหลี่เมิ่งหรู สองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยแปดสิบปี องค์หญิงเมิ่งหรูจึงเป็นบุตรสาวคนสุดท้องในบรรดาองค์หญิงทั้งห้า และยังเป็นน้องสุดท้องในบรรดาโอรสธิดาทั้งหมดของราชาหลี่เหอ องค์หญิงทั้งสี่ยังไม่มีคู่หมาย แต่ก็เป็นที่คาดเดากันในเผ่ากิเลนว่าราชากิเลนจะถวายองค์หญิงหลิงฉีให้องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเกี่ยวอะไรด้วย” หยางเทียนประท้วงทันที สีหน้าขุ่นเคืองไม่น้อย
“ไม่เกี่ยวก็ต้องเกี่ยวพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายยังไม่แต่งพระชายาเข้าวัง ทั้งยังไม่มีสนม ย่อมเป็นที่หมายปองของเซียนสตรีมากหน้า ราชากิเลนหลี่เหอและคนเผ่ากิเลนจะคิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เผ่าที่เหลือก็ย่อมคิดเช่นเดียวกัน”
หยางเทียนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่ในบรรดาเซียนสตรีที่วาดหวังจะแต่งเข้าวังมังกรสวรรค์นั้น ย่อมต้องผ่านการพิจารณาเป็นพิเศษจากมหาเทวี เพราะเกณฑ์การคัดเลือกบุตรสะใภ้ของมหาเทวีนั้นเชื่อได้ว่าจะยากลำบากแก่เซียนสตรีทุกนาง ดังนั้น องค์ชายไม่ต้องกังวลพระทัยไป” หย่งเสียนตอบกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของเขา
“องค์หญิงเมิ่งหรูจะเข้าพิธีปักปิ่นในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ยามนางถือกำเนิดมา มิได้มีสิ่งใดโดดเด่น สิ่งที่โดดเด่นคือนางน่ารักราวกับตุ๊กตา ขณะที่สี่องค์หญิงล้วนรูปโฉมงดงามโดดเด่นกว่านาง สติปัญญาและความสามารถขององค์หญิงเมิ่งหรูก็ธรรมดาอย่างยิ่ง องค์หญิงทั้งสี่มีฝีมือเก่งกาจกว่านาง ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะต้องยอมลงให้องค์หญิงหลิงฉีและองค์หญิงที่เหลือ เพราะด้วยความสามารถและระดับพลังของนางล้วนต่ำชั้นกว่าองค์หญิงทั้งสี่”
“แต่เพราะองค์หญิงเมิ่งหรูทราบดีว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น นางจึงขยันหมั่นเพียรอย่างหนักยิ่งกว่านักเรียนคนใด ดังนั้น เมื่อนางอายุครบสามหมื่นปี นางก็จะสำเร็จการศึกษาจากบูรพานิรันดร์พร้อมกับพี่สาวทั้งสี่ของนาง”
“ยอดเยี่ยม ทราบว่าตนเองอ่อนด้อย นางก็เพิ่มความขยัน ช่างมีวิริยะอุตสาหะยิ่งนัก” หยางเทียนออกปากชม
“และอย่างที่องค์ชายทราบ เมื่อองค์หญิงเมิ่งหรูกลับถึงแดนอีสาน ราชินีเจียวเหม่ยก็ลงโทษให้นางอดอาหารสามวันและไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนสามวันสามคืน เมื่อจบการลงโทษนี้แล้ว นางจึงสามารถกลับมาเล่าเรียนต่อที่บูรพานิรันดร์พ่ะย่ะค่ะ”
“ยามนี้นางอยู่ที่บูรพานิรันดร์แล้ว?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“นางมีสหายที่บูรพานิรันดร์บ้างหรือไม่”
“ก็มีบ้างพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็คบหาเพียงผิวเผิน และเท่าที่ข้าสืบมาได้ นางไม่มีสหายสนิทเลยสักคนเพราะองค์หญิงทั้งสี่ตั้งกลุ่มกีดกันมิให้ผู้ใดคบหากับองค์หญิงเมิ่งหรูพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด หรือว่านางเคยมีเรื่องบาดหมางร้ายแรงกับองค์หญิงทั้งสี่มาก่อน”
“ไม่เคยมีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่มารดาขององค์หญิงไห่อิ่ง องค์หญิงซินเหมย องค์หญิงหัวอิง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับราชินีเจียวเหม่ย พวกนางทั้งสี่จึงรวมตัวกีดกันมิให้บุตรหลานของพระสนมคนอื่นเงยหน้าอ้าปากได้ องค์หญิงเมิ่งหรูที่ถือกำเนิดจากจิวเจี๋ยยวี๋จึงได้รับเคราะห์นี้ไปอย่างไม่ตั้งใจ และเพราะนางไม่ได้เก่งกาจในด้านใดเลย มีเพียงความขยันและอุตสาหะเป็นที่ตั้ง จึงกลายเป็นข้อด้อยของนางไปโดยปริยาย”
หยางเทียนต้องถอนหายใจออกมา ไม่คาดว่าชีวิตของหลี่เมิ่งหรูดูเหมือนจะย่ำแย่พอๆ กันหรืออาจจะยิ่งกว่าท่านลุงหยางเค่อของเขาเมื่อก่อนหน้านั้น มิน่าคืนวันนั้นที่เขาพบนางโดยบังเอิญ อาภรณ์ที่นางสวมใส่แม้จะดูล้ำค่าอยู่บ้างหากก็ดูไม่สมตำแหน่งองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลนสักเท่าใด
“องค์ชายคิดทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ ทรงอย่าลืมว่านี่เป็นเรื่องภายในของเผ่ากิเลน พวกเราเป็นคนนอกไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้ เหมือนเช่นที่มหาเทวีเองก็ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของเทพสมุทรบูรพาหยางเซิงเพื่ออุปราชหยางเค่อได้”
หยางเทียนต้องถอนหายใจอีกรอบ เขาทราบดีว่าไม่อาจยุ่งเกี่ยวแต่จะให้นิ่งเฉยดูดาย ปล่อยให้กิเลนน้อยนี้ต้องทุกข์ตรมทั้งๆ ที่เขาสามารถช่วยเหลือนางได้ เขาก็ทำใจไม่ได้จริงๆ
“แต่ยามนี้องค์ชายสบายพระทัยได้ว่าองค์หญิงเมิ่งหรูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าใด เพราะแม้นางจะถูกองค์หญิงทั้งสี่กีดกันและกลั่นแกล้ง หากทั้งหมดก็ยังอยู่ในบูรพานิรันดร์ องค์หญิงทั้งสี่ทำอะไรไม่ได้มากนักหรอกพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น ตลอดยี่สิบปีนี้องค์หญิงเมิ่งหรูย่อมอยู่ที่บูรพานิรันดร์ได้ไม่ลำบากนัก”
“แต่เมื่อนางอายุครบสามหมื่นปีแล้ว นั่นจึงจะเป็นช่วงเวลาที่จะไม่ทราบอนาคตของนาง เพราะราชาหลี่เหออาจยกนางให้แต่งกับองค์ชายของเผ่าใดเผ่าหนึ่งได้ หากองค์ชายคิดช่วยเหลือนาง สมควรรอให้นางผ่านพิธีปักปิ่นก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเสียนแนะนำเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเขา
“วิชาต่อสู้เหตุใดจึงยากนัก ข้าพยายามเท่าใดก็ไม่ดีขึ้นเลย นี่ก็ใกล้จะถึงช่วงที่ต้องต่อสู้แบบสามต่อสามแล้ว ข้าควรทำอย่างไรดี จะมีใครยอมให้ข้าเข้ากลุ่มด้วยหรือไม่” เมิ่งหรูบ่นพึมพำกับตนเอง นางนั่งอยู่เพียงลำพังที่ชายป่าด้านหนึ่งของหุบเขาบูรพานิรันดร์ สถานที่แห่งนี้ไม่มีเทพเซียนคนใดย่างกรายเข้ามา นางจึงมักมานั่งขบคิดหรือฝึกฝนที่นี่เพียงคนเดียวตลอดมา
“ปราณเซียนของข้าก็อยู่เพียงราชาเซียนขั้นห้าเหมือนคนอื่นๆ องค์หญิงทั้งสี่ต่างอยู่ในระดับราชาเซียนขั้นเจ็ดถึงสิบ แล้วข้าจะไปเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร การสะสมให้ได้หนึ่งแสนคะแนนเป็นไปไม่ได้สำหรับข้าเลย”
“ยามนั้นองค์หญิงเสวี่ยหลินที่อายุพอๆ กับข้า ได้ยินว่าปราณเซียนของนางอยู่ที่จักรพรรดิเซียนขั้นสามแล้ว นางฝึกฝนอย่างไรกันนะปราณเซียนของนางจึงแข็งแกร่งเพียงนั้น ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ ข้าต้องหาวิธีถามนางในเรื่องนี้ให้ได้”
“ตอนนี้ข้าได้แต่พยายามฝึกฝนให้มากขึ้นแล้วล่ะ ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว” เมิ่งหรูต้องถอนหายใจออกมา นางหาทางออกในเรื่องนี้ไม่ได้เลย
“ให้ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังแทรกขึ้น เมิ่งหรูสะดุ้งเฮือกก่อนจะเหลียวไปมองอย่างตกใจ
เบื้องหน้านางยามนี้เป็นเซียนบุรุษ รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทีสง่างาม เขายืนเอามือไพล่หลังไว้ เส้นผมยาวดำสนิทและชายอาภรณ์พัดพลิ้วไปตามลม เขาอยู่ในอาภรณ์สีขาวดูเรียบง่ายหากชัดเจนว่าตัดเย็บอย่างประณีต มวยผมของเขาครอบไว้ด้วยกวานทองคำขาวฉลุลายแบบเรียบๆ ประดับด้วยหยกน้ำค้างหิมะที่สลักเป็นเศียรมังกร บ่งบอกชัดเจนว่าเซียนบุรุษผู้นี้มาจากเผ่ามังกรและยังสูงศักดิ์ไม่น้อย
แต่ที่ประหลาดตาคือ เขาสวมใส่หน้ากากสีขาวเรียบใบหนึ่งปิดบังใบหน้าครึ่งบนไว้ มองเห็นเพียงริมฝีปากน่ามองและไรหนวดเขียวครึ้มเหมือนเขาเพิ่งโกนหนวดเครามาใหม่ๆ เขาแย้มยิ้มให้นางอย่างขบขัน ภาพลักษณ์นี้ทำให้เขายิ่งดูสูงส่งสง่างามกว่าเดิม
เมิ่งหรูจ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึง อ้าปากค้างน้อยๆ เบิ่งตาโตกว้าง นางมั่นใจว่านางไม่เคยพบเจอเซียนบุรุษผู้นี้ หากน้ำเสียงของเขา นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน เมื่อเพ่งมองอีกทีก็เหมือนจะคล้ายว่านางเคยพบเห็นเขามาแล้ว แต่จะเป็นไปได้อย่างไร นางไม่เคยมีวาสนาพบเซียนบุรุษรูปงามและสูงศักดิ์เช่นนี้แน่นอน เขาเป็นผู้ใด
“ท่านไม่ใช่อาจารย์ที่บูรพานิรันดร์ ท่านเป็นใคร” เสียงหวานใสถามออกไปอย่างใจคิด
“หึ ถึงกับลืมเลือนผู้มีพระคุณของเจ้าไปแล้ว?” เขาตอบกลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะทั้งยังเต็มไปด้วยความเอ็นดู
มองเห็นนางเบิ่งตากลมกว้างกว่าเดิม ริมฝีปากอ้าออกอย่างตกใจ
“ทะ...ท่าน...ท่านเซียน...หยางไท่” นางเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะได้พบเขาเร็วเช่นนี้ นี่ห่างมาเพียงเดือนเดียวเองนะที่นางได้พบเขาในสวนดอกไม้ของเทียนจวิน
“ยังจำได้นี่ ข้าก็นึกว่ากิเลนน้อยเช่นเจ้าจะความจำสั้นเสียแล้ว” เขากล่าวพร้อมกับเดินมานั่งลงข้างกายนางหน้าตาเฉย
“ท่านเซียนหยางไท่จริงๆ?” นางถามอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจ
นี่ผู้มีพระคุณของนางรูปงามปานนี้เลย? คืนวันนั้นที่ได้พบเขา นางก็คิดว่าเขาสง่างามมากแล้ว หากวันนี้ได้พบเขาในยามเย็นที่พระอาทิตย์ยังทอแสงอ่อนๆ นางจึงเพิ่งทราบชัดเจนว่าเขารูปงามเพียงใด นางไม่เคยพบเห็นเซียนบุรุษใดจะรูปงามเท่าเขามาก่อน แม้มหาเทพหยางหลงจะขึ้นชื่อว่ารูปงาม หากนางก็ไม่เคยพบเห็นมหาเทพมาก่อนเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าจะมีเซียนใดเหมือนข้าอีกอย่างนั้น?” เขาถามอย่างอารมณ์ดี
“มะ...ไม่มีเจ้าค่ะ ถ้าจะมีก็คงเป็นมหาเทพหยางหลง”
เขาแย้มยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งหรูจ้องมองรอยยิ้มของเขาอย่างเผลอตัวก่อนจะนึกขึ้นได้
“เอ่อ...ท่านเซียนมาทำอะไรที่บูรพานิรันดร์เจ้าคะ”
“บังเอิญข้าเหาะผ่านมาแถวนี้ จึงเห็นเจ้านั่งเจ่าจุก สีหน้าราวกับลูกแมวถูกมัดไว้ จึงแวะมาพบเจ้า”
จะให้บอกอย่างไรล่ะว่าเขาสู้อุตส่าห์มาเฝ้าดูนางที่บูรพานิรันดร์อยู่หลายวันกว่าจะสบโอกาสเข้ามาพบนางเช่นนี้
“ท่านเซียนกล่าวเสียข้าเห็นภาพเลยเจ้าค่ะ ลูกแมวถูกมัด” ใช่ ยามนี้นางอยู่ในสภาพนี้จริงๆ เพราะนางหาทางแก้ปัญหาไม่ได้
“แล้วอย่างไร ให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่”
“เอ่อ...ท่านเซียนช่วยข้ามาครั้งหนึ่งแล้ว หากท่านช่วยข้าอีก คงไม่ดีเท่าใด ทั้งข้าและท่านเพิ่งรู้จักกันและรู้จักอย่างผิวเผิน ข้าไม่สมควรรบกวนท่านอีก ขอเพียงข้าพยายามให้มากๆ ข้าเชื่อว่าข้าจะสามารถผ่านไปได้ ท่านเซียนไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ” เมิ่งหรูไม่กล้ารับความช่วยเหลือจากเขาอีก
ฟังนางปฏิเสธแล้ว เขาต้องยิ้มออกมา นางปฏิเสธทั้งๆ ที่นางก็มั่นใจว่าเขาสามารถช่วยนางได้ มีเซียนน้อยรายยิ่งนักที่เข้มแข็งพอจะปฏิเสธข้อเสนอดีๆ เช่นนี้
“ช่วยเจ้า ข้าก็ไม่ได้เสียเวลาสักเท่าใด สั่งสอนเจ้าให้มากหน่อย เดี๋ยวเจ้าก็ทำได้เอง”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ ข้าว่างพอจะช่วยสอนเจ้าได้ ถือเสียว่าเจ้าช่วยข้าให้ใช้เวลาได้เป็นประโยชน์ก็แล้วกัน” เขาบอกง่ายๆ บ่งชัดว่าไม่ให้นางปฏิเสธ
“เอ่อ...แล้ว...ท่านเซียนอยากได้อะไรตอบแทนเจ้าคะ ข้าไม่ทราบว่าจะตอบแทนท่านอย่างไร อีกอย่างข้าก็มีโอสถวิเศษและ...” นางก้มหน้าก้มตาบอกกล่าวเขา
“ไม่ต้องหรอก ถือเสียว่าข้าสร้างกุศลช่วยกิเลนน้อยอย่างเจ้าก็แล้วกัน” เขาตัดบทนางทันที
เมิ่งหรูเงยหน้ามามองเขา นางอ้าปากค้าง นัยน์ตากลมโตเบิ่งกว้างอย่างตื่นตะลึงยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต นี่เป็นข้อเสนออันดีเลิศที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งล้ำค่าใดๆ
มือใหญ่เอื้อมมาหุบปากนางด้วยรอยยิ้มชอบใจ “ถ้าข้าเป็นแมลงวัน คงถูกเจ้ากลืนลงท้องไปแล้ว”
นางได้แต่ยิ้มแห้ง มือใหญ่พลันเอื้อมมาจับข้อมือนางไว้ก่อนจะตรวจชีพจรของนางอย่างละเอียด ครู่หนึ่งก็เอ่ยปาก
“ร่างเซียนกิเลนของเจ้าไม่มีปัญหาใด เป็นปกติเช่นเซียนทั่วไป หากพลังลมปราณของเจ้าต่ำไปสักหน่อย เพียงราชาเซียนขั้นห้า แม้ระดับนี้จะอยู่ในระดับเดียวกับผู้อื่น แต่หากจะผ่านวิชาต่อสู้ให้ได้ดี ปราณเซียนของเจ้าควรอยู่ในระดับราชาเซียนขั้นสิบ”
เมิ่งหรูต้องนิ่วหน้า
“ราชาเซียนขั้นสิบ อีกตั้งครึ่งช่วงชั้นใหญ่ ข้านึกไม่ออกเลยเจ้าค่ะว่าจะฝึกฝนอย่างไรจึงจะไปถึงระดับนั้นได้” นางกล่าวอย่างท้อแท้
“อ๊ะ...ท่านเซียนจะสอนข้า ข้าต้องกราบท่านเซียนเป็นอาจารย์ก่อนเจ้าค่ะ” นางกล่าวอย่างนึกขึ้นได้ก่อนจะกระวีกระวาดนั่งคุกเข่า ตระเตรียมโขกศีรษะคำนับเขาเป็นอาจารย์ หากมือใหญ่เอื้อมมารั้งนางไว้และยังเอ่ยเสียงดุ
“เจ้าไม่ต้องทำถึงเพียงนี้หรอก ถือเสียว่าข้าชี้แนะเจ้าเท่านั้น” เขาตัดบทอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“แต่...”
“ข้าบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้อง อย่าดื้อสิ นี่ข้ายังไม่ทันชี้แนะอะไรเลย เจ้าก็จะดื้อเสียแล้ว” เขาดุนาง เมิ่งหรูต้องยิ้มแห้งอีกรอบก่อนจะยอมนั่งลงตามปกติ
“เรื่องระดับลมปราณของเจ้า ข้าจะไปคิดดูก่อนว่าควรจะฝึกฝนเจ้าอย่างไร”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้ามาพบข้าที่นี่กลางยามซวี (20.00 น.) ทุกวัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะมาชี้แนะให้” เขานัดแนะกับนาง
“เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดพบเห็นเจ้ากับข้า แถวนี้ไม่มีเทพเซียนใดอยากมาหรอกเพราะผีดุ”
เมิ่งหรูอ้าปากค้างอีกรอบก่อนจะมีสีหน้าหวาดระแวง นัยน์ตาดำกลมโตคู่งามกวาดมองรอบด้านอย่างหวาดผวาเพราะเวลานี้เริ่มมืดค่ำแล้ว
“นี่แดนเซียนนะเจ้าคะ มีผีด้วย?” นางถามอย่างไม่แน่ใจ ไม่เห็นเคยได้ยินว่าแดนเซียนมีผี
“มีสิ ข้ายังเคยเห็นแถวนี้ตั้งหลายครั้ง” เขาตอบกลับอย่างนึกสนุก กิเลนน้อยของเขาน่าแกล้งยิ่งนัก
“ถะ...แถวนี้...หลายครั้ง...เลยเหรอเจ้าคะ” น้ำเสียงของนางสั่นน้อยๆ สายตาเหลือบมองรอบด้านอย่างหวาดระแวงกว่าเดิม
“ใช่ หลายครั้ง เจ้ากลัวผี?”
“เจ้าค่ะ” เมิ่งหรูรับคำ สีหน้าแทบจะร้องไห้แล้ว
เขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะแบมือตรงหน้านาง กลางฝ่ามือของเขาเป็นหยกน้ำค้างหิมะสลักเป็นรูปเศียรมังกรเช่นเดียวกับหยกประดับบนกวานของเขา
“นี่เป็นหยกปราณสื่อสารของข้า มันกันผีได้ เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะมีผีตนใดกล้าหลอกหลอนเจ้า และหากเจ้ามีปัญหาเร่งด่วนอะไร ก็ติดต่อหาข้าผ่านหยกปราณนี้ได้ตลอดเวลา”
เห็นนางรีบหยิบหยกปราณจากมือของเขาอย่างรวดเร็วจนเขาแปลกใจ
“มันกันผีได้จริงๆ นะเจ้าคะ” นางถามย้ำ
หยางเทียนแทบหลุดหัวเราะออกมาเดี๋ยวนั้น เขากลั้นหัวเราะเสียจนปวดท้องไปหมด ริมฝีปากยิ้มกว้างอย่างกลั้นไม่อยู่ นางไม่ได้สนใจว่านี่เป็นหยกปราณที่ใช้ติดต่อเขาได้ตลอดเวลา หากสนใจเพียงว่ามันกันผีได้ ! !
หากเป็นผู้อื่นที่ได้รับหยกปราณนี้จากเขา มีแต่จะยินดีที่จะได้ติดต่อกับเขาโดยตรงและยังเป็นการติดต่อเขาได้ตลอดเวลา
กิเลนน้อยของเขาช่างน่ารักน่าแกล้งเสียจริงๆ นางให้ความรู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเดียวกับเจ้าแมวน้อยลี่หยานและลี่อินที่วังมังกรสวรรค์ของเขานัก
“กันได้สิ เจ้าไม่เชื่อข้า?” เขาถามกลั้วหัวเราะ
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าเชื่อท่าน แค่อยากให้แน่ใจ” เขายิ้มกว้างอย่างชอบใจ
“เจ้าเก็บหยกปราณของข้าไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดพบเห็น นี่เป็นของสำคัญของข้า”
“เจ้าค่ะ ข้าจะเก็บไว้กับตัว ไม่ให้ผู้ใดพบเห็นเด็ดขาด”
“ดีมาก”
“เอ่อ...ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ มันมืดแล้ว ข้า...เอ่อ...” นางพลันกล่าวอำลาเขาอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากลับเถิด แล้วอย่าลืม พรุ่งนี้ ที่นี่ กลางยามซวี” เขาย้ำนัดหมายอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านเซียนมากนะเจ้าคะ ข้าไปก่อน” นางกล่าวพร้อมกับรีบลุกขึ้นยืนและเหาะจากไปชนิดไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่นิดเดียว เห็นนางเหลียวมองรอบด้านอย่างหวาดๆ ไปพร้อมกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” เขาหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่เมื่อนางลับสายตาเขาไป มาพบนางครั้งนี้ช่างสร้างความบันเทิงใจให้เขาดียิ่งนัก
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องอยากปรึกษาพ่ะย่ะค่ะ” หยางเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อเข้ามาร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมบิดามารดาที่ตำหนักใหญ่
“เจ้าจะปรึกษาเรื่องใด” มหาเทพหยางหลงถามขึ้นอย่างสงสัย ร้อยวันพันปีเจ้าลูกชายตัวดีแทบไม่เคยมีเรื่องใดมาปรึกษา
“ลูกคิดช่วยเซียนน้อยนางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เซียนน้อยนางหนึ่ง? ผู้ใด?” มหาเทวีเสวี่ยหลินถามขึ้นอย่างแปลกใจ ทราบอยู่หรอกว่าบุตรชายของนางใจดี มีเมตตา แต่ไม่เคยเห็นว่าเขาจะมาปรึกษาและออกปากช่วยใครเป็นเรื่องเป็นราวเช่นนี้มาก่อน ทั้งดูท่าทีแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กเสียด้วย
เรื่องราวของหลี่เมิ่งหรู องค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลนจึงถูกหยางเทียนเล่าออกมาจนหมดสิ้น
“เจ้าก็เลยจะช่วยสั่งสอนชี้แนะนาง ก็ดีแล้วนี่ลูก แม่กับพ่อไม่ห้ามเจ้าหรอก”
“แต่ระดับพลังปราณของนางที่ราชาเซียนขั้นห้า ลูกเห็นว่าต่ำไปสักหน่อย ลูกจึงอยากให้เสด็จแม่ช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”