กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
“เจ้าจะให้แม่ช่วยอย่างไร”
“ลูกอยากได้โอสถเพิ่มระดับลมปราณจากเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” หยางเทียนหมายถึงโอสถจากของวิเศษของมารดาที่เสด็จปู่ตว๋อเทียนมอบให้มารดาของเขา
เสวี่ยหลินนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “นางดีพอที่เจ้าจะช่วยเหลือ?”
“ลูกแน่ใจว่านางดีพอพ่ะย่ะค่ะ ลูกมอบความช่วยเหลือให้นางโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ นางปฏิเสธลูกแทบจะเดี๋ยวนั้น นี่แสดงให้เห็นว่านางมิใช่คนละโมบโลภมากหรือคิดพึ่งพาแต่เพียงความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยไม่คิดพึ่งตนเอง”
มหาเทพและเสวี่ยหลินต้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ลูกยังมอบหยกปราณสื่อสารของลูกให้กับนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงมอบของสำคัญเช่นนั้นให้นาง” มหาเทพเอ่ยถาม
“ลูกจะได้ติดต่อนางได้ง่ายพ่ะย่ะค่ะ หากลูกมีเหตุเปลี่ยนแปลงใดจะได้บอกนางได้ทันเวลา เพราะลูกนัดพบนางกลางยามซวีทุกวันเพื่อชี้แนะนาง”
“ฟูจวิน ท่านเห็นว่าอย่างไร” เสวี่ยหลินหันมาปรึกษากับมหาเทพ
“เจ้าไปพบนางสักครั้งให้แน่ใจ หากสมควรช่วยเหลือก็ทำตามที่เทียนเอ๋อร์ต้องการ หากไม่ เทียนเอ๋อร์จะได้ช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น”
วันนี้กลางยามซวี (20.00 น.) ที่ชายป่าด้านหนึ่งของหุบเขาบูรพานิรันดร์
“คำนับท่านเซียน” เมิ่งหรูคำนับทันทีที่เห็นเขาเหาะลงมายืนอยู่ตรงหน้านาง แต่วันนี้มีเซียนสตรีนางหนึ่งติดตามเขามาด้วย หากที่เหมือนกันกับเขาคือเซียนสตรีผู้นี้ใส่หน้ากากสีขาวปิดบังใบหน้าครึ่งบนไว้
“นี่คืออาหญิงของข้า ข้าเล่าเรื่องของเจ้าให้อาหญิงฟัง ท่านจึงอยากพบเจ้า” เขาแนะนำเพียงเท่านี้ ไม่บอกด้วยซ้ำว่าเซียนสตรีนี้มีนามว่าอย่างไร
“คำนับท่านเซียนหญิง” เมิ่งหรูคารวะเซียนสตรีผู้นี้
“ตามสบายเถิด”
สุ้มเสียงหวานใสไพเราะยิ่งนัก เมิ่งหรูนึกชมอยู่ในใจ
นางพลันรู้สึกได้ว่าอาหญิงของท่านเซียนหยางไท่จับจ้องนางเป็นพิเศษ คล้ายจะมองทะลุไปถึงจิตใจของนางอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าอยู่ที่แดนอิสานเป็นอย่างไร” นี่เป็นคำถามที่เมิ่งหรูไม่คาดว่าจะถูกถาม
“สบายดีเจ้าค่ะ ท่านแม่ดูแลข้าดียิ่ง” นางตอบได้ทันที
“แล้วบิดาเจ้าล่ะ เขาดูแลเจ้าดีหรือไม่”
“เอ่อ...” ท่าทีของเมิ่งหรูอึกอักอย่างเห็นได้ชัด
“...ดีเจ้าค่ะ เสด็จพ่อดูแลข้ากับท่านแม่ดีมาก”
“แล้วพี่น้องของเจ้าล่ะ พวกเขาดีกับเจ้าหรือไม่”
“เอ่อ...” ท่าทีของเมิ่งหรูอึกอักเป็นครั้งที่สอง
“...ดีเจ้าค่ะ” คำตอบสั้นกว่าเดิม
เซียนสตรีผู้นั้นพยักหน้ารับรู้
“หากเจ้าบังเอิญได้รับโชควาสนาให้ตนเองเก่งกาจเหนือพี่น้องทุกคน เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับพวกเขา”
คำถามนี้ทำให้เมิ่งหรูตะลึงลาน นางไม่เคยครุ่นคิดถึงเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน เพราะนางไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะเก่งกาจกว่าพวกเขา นางเพียงหวังให้นางเก่งขึ้นกว่านี้จะได้ปกป้องตนเองและมารดาได้เท่านั้น แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคำถามนี้ซ่อนนัยสำคัญบางอย่างเอาไว้ และคำตอบของนางจะเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงบางสิ่งที่สำคัญกับนาง หากสิ่งสำคัญนั้นคือสิ่งใดก็สุดที่นางจะคิดคำนวณได้ เมิ่งหรูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งค่อยตอบออกมา
“ขอเพียงพวกเขาไม่ล้ำเส้นข้า ต่างคนต่างอยู่ ข้าจะไม่ทำอะไรพวกเขาทั้งสิ้น และหากพวกเขาไม่ทำสิ่งใดที่เกินเลยจนเกินไป ข้าก็จะยอมหลับตาข้างหนึ่ง ไม่เอาความพวกเขา เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับข้า”
เซียนสตรีผู้นั้นแย้มยิ้มพอใจจนมองเห็นลักยิ้มสองข้างแก้มที่บุ๋มลง เมิ่งหรูเห็นเซียนสตรีผู้นี้พลันมีท่าทีคล้ายกำลังเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง มุมปากของนางยกยิ้มขบขันก่อนจะออกปากถามอีกครั้ง
“คำถามสุดท้าย หากเจ้ามีอำนาจชี้เป็นชี้ตายสี่ทะเลแปดดินแดน เจ้าคิดจะทำอย่างไร” หากคำถามก่อนหน้าทำให้เมิ่งหรูตื่นตะลึง คำถามนี้ทำให้นางต้องก้าวถอยหลังอย่างตกใจแท้จริง
“ทำไมท่านเซียนหญิงถามข้าเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีอำนาจเช่นนั้น” เมิ่งหรูต้องถามออกมา
“เรื่องบางอย่าง เจ้าไม่จำเป็นต้องทราบมันในเวลานี้ดอก ตอนนี้เจ้าเพียงตอบคำถามข้าก็พอ”
เมิ่งหรูนิ่งไปครู่หนึ่งจึงค่อยตอบออกมา “หากข้ามีอำนาจชี้เป็นชี้ตายสี่ทะเลแปดดินแดน ข้าจะไม่ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ จะปล่อยไว้เช่นนี้”
“เพราะเหตุใด”
“เวลานี้สี่ทะเลแปดดินแดนสงบสุขดีอยู่แล้ว ข้าจะไปเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งใด เพื่อให้ตนเองได้ครอบครองสี่ทะเลแปดดินแดนอย่างนั้น? ข้าไม่กระทำแน่นอน แม้การครองสี่ทะเลแปดดินแดนจะมีอำนาจมากมายแต่ก็ต้องรับผิดชอบสรรพชีวิตทั้งหมด ข้าไม่คิดหาความลำบากเช่นนั้นให้ตนเองหรอกเจ้าค่ะ คนที่คิดครอบครองล้วนโง่เขลา ตนเองสุขสบายดีอยู่แล้ว จะใฝ่หาความลำบากเพื่ออะไร”
เซียนสตรีผู้นี้ยิ่งแย้มยิ้มพอใจมากขึ้น ลักยิ้มสองข้างแก้มยิ่งเห็นชัดเจน
“เจ้าเป็นเด็กดี กิเลนน้อย สมควรแก่การส่งเสริม” นางกล่าวชมเชยอย่างจริงใจ
“เอ่อ...แต่ถ้าท่านเซียนหญิงถามข้าว่าข้าอยากได้สิ่งใดในสี่ทะเลแปดดินแดน ข้าบอกท่านได้เลยเจ้าค่ะว่ามีสถานที่หนึ่งที่ข้าอยากได้มากๆ” นางเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เจ้าอยากได้ดินแดนใด” เซียนสตรีนางนั้นถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ใช่ดินแดนเจ้าค่ะ ข้าอยากได้ร้านชาลี่ถังลี่มี่”
“อะไรนะ? ร้านชาลี่ถังลี่มี่?”
“เจ้าค่ะ ข้าชอบชา ขนมหวาน และของว่างที่ร้านนี้มากเจ้าค่ะ ข้าเคยได้ชิมมาบ้างเพราะหลี่เจี่ยไท่จื่อเคยซื้อขนมหวานและของว่างมาฝาก และข้าได้ชิมครั้งสุดท้ายก็ที่งานเลี้ยงของเทียนจวินเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเจ้าค่ะ ดังนั้น ถ้าข้ามีอำนาจชี้เป็นชี้ตายสี่ทะเลแปดดินแดนจริงล่ะก็ ข้าอยากได้เพียงร้านชาแห่งนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” ฟังคำตอบของนางแล้ว เซียนสตรีผู้นั้นต้องหัวเราะออกมาทันที เสวี่ยหลินไม่คาดคิดเลยว่านางจะพบเจอแฟนคลับตัวยงของร้านชาลี่ถังลี่มี่
ขณะที่หยางเทียนต้องยิ้มออกมาอย่างขบขัน
กิเลนน้อยของข้า เจ้าจะรู้ตัวบ้างหรือไม่ว่าเจ้ากำลังกล่าวว่าจะยึดร้านชาลี่ถังลี่มี่ต่อหน้าเจ้าของร้านชาแห่งนี้ หยางเทียนครุ่นคิดอย่างชอบใจ
“เจ้าชอบถึงขนาดนี้เชียว?”
“เจ้าค่ะ ข้าอยากรับประทานของจากร้านชาลี่ถังลี่มี่ทุกวัน นางกำนัลที่เผ่ากิเลนเล่าให้ข้าฟังว่าทุกคนในวังมังกรสวรรค์ได้รับประทานของจากร้านชาลี่ถังลี่มี่ทุกมื้อ เพราะมหาเทวีเสวี่ยหลิน เจ้าของร้านชาปรุงถวายมหาเทพและองค์ชายหยางเทียนตลอด ข้าล่ะอิจฉามหาเทพกับองค์ชายมากๆ เลยเจ้าค่ะ”
“หากมหาเทวีเสวี่ยหลินทรงทราบว่าเจ้าชอบร้านชาของนางมากเช่นนี้ มหาเทวีต้องปลื้มพระทัยแน่นอน” เซียนสตรีผู้นี้ยิ่งเอ็นดูนางมากขึ้น
เมิ่งหรูได้แต่ยิ้ม
“เมิ่งหรู เจ้านั่งลง”
“เจ้าค่ะ” นางรับคำอย่างงุนงงหากก็นั่งลงโดยดี
เซียนสตรีนางนั้นนั่งลงตรงข้ามกับเมิ่งหรู มองเห็นนางวาดฝ่ามือ หากมิได้ปรากฏสิ่งใดออกมา ท่าทางของนางคล้ายกำลังเลื่อนอะไรไปมาบางอย่าง เมิ่งหรูมองอย่างไม่เข้าใจ ผ่านไปราวครึ่งเค่อนางก็วาดฝ่ามืออีกครั้ง
เมิ่งหรูรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างในร่างของตนเองเปลี่ยนแปลงไป หากไม่ทราบว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทราบเพียงว่านางรู้สึกได้ว่าตนเองเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น
ข้าอุปาทานไปเองกระมัง นางคิดในใจ
เซียนสตรีผู้นี้พลันล้วงหยิบตะกร้าอาหารขนาดสี่ชั้นจำนวนสามสิบใบออกมาจากมิติส่วนตัวของนาง และผลักตะกร้าทั้งหมดให้เมิ่งหรูที่รับมาอย่างงุนงง
“นี่เป็นอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างร่างเซียนกิเลนของเจ้า เจ้าต้องรับประทานอาหารที่ข้าให้ไปทั้งหมดนี้ให้หมดภายในหนึ่งเดือน เมื่อเจ้ารับประทานหมด ร่างเซียนกิเลนของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกสองในสิบส่วน และความแข็งแกร่งนี้จะเพิ่มอย่างถาวรมิใช่ชั่วคราว”
เมิ่งหรูตกตะลึงตาค้าง ก่อนจะพลันนึกขึ้นได้ นางเปิดตะกร้าอาหารใบหนึ่งขึ้นมาก่อนจะต้องนิ่งอึ้ง เพราะแต่ละชั้นของตะกร้านั้น อัดแน่นไปด้วยอาหารมากมาย นางเงยหน้ามองเซียนสตรีผู้นี้ด้วยอาการบอกไม่ถูก
“หน้าที่ของเจ้าคือรับประทานมันให้หมด อย่าทำให้ข้าต้องเสียอาหารชุดนี้โดยเปล่าประโยชน์”
“เจ้าค่ะ” เมิ่งหรูรับคำอย่างตื่นตะลึง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ทราบว่ามีอาหารที่สามารถเสริมสร้างร่างเซียนได้อย่างถาวร และแค่รับประทานมันให้หมดภายในหนึ่งเดือนเท่านั้น นางต้องรับประทานมันแน่นอน เมิ่งหรูเก็บอาหารทั้งหมดไว้ในมิติส่วนตัวของนาง
เซียนสตรีผู้นี้ยื่นส่งขวดหยกใบหนึ่งให้นาง
“เอ่อ...อะไรเจ้าคะ”
“เจ้ารับไปและเก็บไว้เสียก่อน”
เมิ่งหรูรับขวดหยกมาอย่างงุนงงก่อนจะเก็บขวดหยกใบนั้นไว้ในมิติส่วนตัวของนางด้วยความงุนงงยิ่งกว่า
“ในนั้นเป็นโอสถเพิ่มระดับลมปราณจำนวนหกสิบเม็ด เจ้ารับประทานครั้งละหนึ่งเม็ดทุกสามวัน ระหว่างนี้เจ้านั่งโคจรลมปราณไปด้วย และควรฝึกให้ร่างกายตนเองโคจรลมปราณได้แม้แต่ในยามที่เจ้านอนหลับพักผ่อน การโคจรลมปราณไว้ตลอดเวลา จะทำให้เจ้าเลื่อนระดับลมปราณได้ง่าย เจ้าต้องกักตัวฝึกฝนอยู่ที่หอลมปราณนิรันดร์เป็นเวลาหกเดือน เมื่อครบกำหนด ระดับลมปราณของเจ้าจะอยู่ที่จักรพรรดิเซียนขั้นสาม”
คำบอกเล่าของนางทำให้เมิ่งหรูตะลึงลาน อ้าปากค้าง
หกเดือน ! หกเดือนเท่านั้น ! นางจะเลื่อนระดับลมปราณของตนได้ถึงแปดขั้นย่อย ! ! เกือบหนึ่งช่วงชั้นใหญ่เชียวนะ !
“ข้ากลับก่อน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนนางสักพักแล้วค่อยกลับเถิด ท่าทางกิเลนน้อยของเจ้าจะยังตกใจไม่หาย”
เซียนสตรีผู้นั้นกล่าวอย่างขบขันกับเซียนหยางไท่ก่อนจะเหาะเหินไปยังทิศทางหนึ่งที่เมิ่งหรูมองเห็นไกลๆ ว่ามีเซียนบุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งรอรับเซียนสตรีผู้นี้อยู่ เซียนบุรุษนั้นจับจูงมือของนางก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะเหาะเคียงข้างกันไป เมิ่งหรูมองเห็นพวกเขาคล้ายเป็นนกยวนยางคู่หนึ่งที่โบยบินเคียงคู่กัน
“เมิ่งหรู เมิ่งหรู...” หยางเทียนเรียกนาง หากเมิ่งหรูยังคงตกตะลึงไม่หาย มือใหญ่ยื่นมาบีบจมูกนางไว้จนหายใจไม่ออก นั่นแหละนางจึงได้รู้สึกตัว
“ท่านเซียน ท่านเซียนหญิงนั่นเป็นผู้ใดเจ้าคะ” นางละล่ำละลักถาม
“นางเป็นอาหญิงของข้าเอง เจ้าจำไม่ได้? ไฉนอยู่ๆ ความจำเจ้าจึงสั้นนัก” เขาแสร้งบ่นเพื่อให้นางลดความสนใจเซียนสตรีผู้นั้น
“อาหญิง? จริงสิ นางเป็นอาหญิงของท่าน นางเก่งกาจถึงเพียงนี้?” เมิ่งหรูยังคงถามด้วยความตื่นตะลึง
“อาหญิงของข้าต้องเก่งกาจอยู่แล้ว แต่ยามนี้เจ้าไปที่หอลมปราณนิรันดร์เถิด ไปกักตัวฝึกฝนเสีย อีกหกเดือนข้างหน้า ข้าจะมาพบเจ้าที่นี่กลางยามซวีเช่นเดิม และจำให้ดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในที่นี้ เจ้าไม่สามารถบอกเล่าผู้ใดได้”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาด เช่นนั้นข้าไปกักตัวฝึกฝนที่หอลมปราณนิรันดร์ก่อนนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปเถิด หากมีอะไรติดขัด เจ้าก็ติดต่อหาข้าด้วยหยกปราณที่ข้ามอบให้”
“เจ้าค่ะ”
“นางเด็กนั่นหายไปไหน” องค์หญิงหลิงฉีถามขึ้น
“นางกักตัวฝึกฝนอยู่ที่หอลมปราณนิรันดร์ได้หนึ่งเดือนแล้วเพคะ” องค์หญิงไห่อิ่งบอกออกมา
“กักตัวฝึกฝน? หนึ่งเดือน? เฮอะ คิดเลื่อนระดับลมปราณล่ะสิ คงทำได้หรอก” องค์หญิงหลิงฉีกล่าวอย่างดูแคลน
“นั่นสิเพคะ การเลื่อนระดับลมปราณมิใช่เรื่องง่าย แค่เลื่อนเพียงหนึ่งขั้นย่อยยังต้องฝึกฝนกันเนิ่นนาน” องค์หญิงซินเหมยตอบรับ
“แล้วพวกเจ้าทราบหรือไม่ว่านางเด็กเมิ่งหรูจะกักตัวนานเพียงใด”
“ข้าสอบถามอาจารย์ที่ดูแลหอลมปราณนิรันดร์ ท่านบอกว่าเมิ่งหรูจะกักตัวฝึกฝนหกเดือนเพคะ” องค์หญิงหัวอิงบอกออกมา
“หกเดือน?” องค์หญิงหลิงฉีทวนคำอย่างครุ่นคิด
“เมื่อนางกลับออกมาจากหอลมปราณนิรันดร์ นางจะมีเวลาเหลืออยู่สองปีที่จะสะสมคะแนนสำหรับการประลองเดี่ยวให้ได้ครบสามหมื่นคะแนนจึงจะถือว่าสอบผ่านการต่อสู้แบบเดี่ยวในรอบนี้ ยามนี้นางเด็กนั่นมีคะแนนสะสมเพียงสองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกคะแนน นางต้องการอีกสองหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยยี่สิบสี่คะแนนภายในสองปี เท่ากับนางต้องเก็บให้ได้ปีละหนึ่งหมื่นสามพันเก้าร้อยสิบสองคะแนน”
“เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ ปีละหมื่นสามพันกว่าคะแนน เร็วที่สุดนางก็ต้องแข่งให้ชนะทุกรอบ แต่ฝีมืออย่างนางแค่ทำให้เสมอ นางยังเต็มฝืน นางไม่มีทางสอบผ่านในรอบนี้หรอกเพคะ ต้องรอไปอีกหลายรอบเลยเชียวล่ะกว่าจะเก็บครบสามหมื่นคะแนน นี่ยังไม่นับคะแนนที่นางต้องเก็บให้ได้อีกเจ็ดหมื่นคะแนนจากการต่อสู้แบบสามต่อสามนะเพคะ” องค์หญิงไห่อิ่งเสริมขึ้นอย่างเยาะหยัน
“จริงของพี่สาวไห่อิ่ง เมิ่งหรูไม่มีทางทำได้ กว่านางจะสำเร็จการศึกษาจากบูรพานิรันดร์ก็โน่น อีกสักสามพันปีข้างหน้ากระมัง” องค์หญิงซินเหมยทับถมเมิ่งหรูอย่างไม่เหลือดี
“ใช่ การศึกษาเล่าเรียนในวิชาอื่น นางแค่ขยันให้มากกว่าพวกเรา นางจึงสามารถตามพวกเราทัน แต่วิชาต่อสู้ไม่มีทางที่นางจะตามพวกเราได้ทันเด็ดขาด” องค์หญิงหัวอิงเห็นด้วย
องค์หญิงทั้งสี่ต้องยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ เรื่องกลั่นแกล้งนางเด็กเมิ่งหรูนี่ เป็นเรื่องที่พวกนางชมชอบที่สุด เมิ่งหรูไม่สามารถขัดขืนหรือตอบโต้อะไรพวกนางได้ เพราะด้วยระดับพลังที่ต่ำต้อยกว่า
นี่ผ่านมาสามเดือนแล้ว กิเลนน้อยของข้าเป็นอย่างไรบ้างนะ หยางเทียนครุ่นคิด
หรือข้าจะแอบไปดูที่บูรพานิรันดร์ดี?
ไปดูสักหน่อยดีกว่า เผื่อนางมีอะไรให้ข้าช่วยเหลือ เขาตัดสินใจปุบปับ
ใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อก็มาถึงหุบเขาบูรพานิรันดร์ในแดนบูรพา หยางเทียนร่ายเวทล่องหนก่อนจะเหาะตรงไปยังหอลมปราณนิรันดร์ ร่างสูงสง่าที่ล่องหนอยู่เดินเข้าไปในหอลมปราณอย่างสะดวกดาย ไม่มีผู้ใดสัมผัสทราบได้ว่ามีผู้แปลกปลอมในที่แห่งนี้
แล้วเมิ่งหรูกักตัวอยู่ที่ห้องฝึกฝนใดกัน? เขารำพึงขึ้นในใจ
เขาไม่สามารถแผ่ปราณเซียนออกตรวจสอบได้ เพราะเทพเซียนที่ดูแลหอลมปราณนิรันดร์จะทราบได้ทันทีว่ามีคนลักลอบเข้ามา
“เมิ่งหรูกักตัวมาสามเดือนแล้ว นางอดทนและขยันจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นเซียนน้อยคนใดจะขยันมากถึงเพียงนี้” เสียงเซียนชราที่ดูแลหอลมปราณดังขึ้น
“นางขยันขันแข็งเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายที่สวรรค์ไม่ส่งเสริมนางเลย” เสียงเซียนชราอีกคนดังขึ้นพร้อมกับทอดถอนใจ
“นั่นสิ แต่หกเดือนนี้นางจะเลื่อนระดับลมปราณได้? ข้าคิดว่าอย่างมากนางก็เลื่อนได้เพียงครึ่งขั้นย่อย หากระดับลมปราณของนางอยู่สักราชาเซียนขั้นเก้าหรือสิบ นางจะสอบผ่านวิชาต่อสู้ในรอบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเก็บคะแนนไปอีกนานกว่าจะครบสามหมื่น”
“นางฝึกฝนอยู่ห้องลมปราณใด ข้าจำไม่ได้เสียแล้ว”
“ชั้นที่หนึ่งร้อยสิบเก้า ห่างจากบันไดไปทางซ้ายมือห้องที่ห้า”
ได้ยินแล้ว หยางเทียนก็เหาะขึ้นไปทันที ไม่กี่อึดใจเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องฝึกฝนลมปราณ ฝ่ามือวางทาบลงที่บานประตู ประกายแสงสีขาวเรืองรองวาบขึ้น ครู่หนึ่งม่านพลังที่ปิดกั้นห้องฝึกฝนไว้ก็สูญหาย เขาเดินผ่านประตูบานนั้นเข้าไป
ห้องฝึกฝนแห่งนี้เป็นห้องว่างห้องหนึ่ง ทั้งห้องปูลาดด้วยพรมขนสัตว์สีขาวสะอาด มุมห้องทั้งสี่มีกระถางกำยานจุดไว้ กลิ่นหอมของกำยานลอยอยู่จางๆ เหนือกระถางกำหยานเป็นเชิงเทียนที่จุดเทียนไว้สามเล่มให้ความสว่างภายในห้อง เมิ่งหรูยังคงนั่งหลับตาโคจรลมปราณอย่างไม่รู้เรื่องราวใด
แผ่ปราณเซียนออกตรวจสอบ หยางเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าระดับลมปราณของนางในเวลานี้อยู่ที่ราชาเซียนขั้นเก้าแล้ว นางกำลังฝึกฝนเพื่อขึ้นสู่ขั้นสิบ
เด็กน้อยของข้าขยันขันแข็งและเก่งกาจยิ่งนัก อดทนฝึกฝนอย่างเคร่งครัดจริงๆ เขานึกชมเชยนาง
ยืนมองนางอยู่ครู่ใหญ่ เขาจึงค่อยจากไป สบายใจแล้วว่ากิเลนน้อยของเขาฝึกฝนได้เป็นอย่างดี
เมิ่งหรูค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยามนี้ครบหกเดือนแล้วที่นางเข้ามากักตัวฝึกฝน
ข้าทำสำเร็จแล้ว นางคิดในใจ ริมฝีปากแย้มยิ้มดีใจกับความสำเร็จที่ได้รับ
จริงสิ ข้าควรติดต่อหาท่านเซียนหยางไท่ก่อน ท่านยังไม่ทราบแน่ว่าข้าจะออกจากการฝึกฝนแล้ว
มือไวเท่าความคิด เมิ่งหรูหยิบหยกปราณสื่อสารสีขาวที่สลักเป็นรูปเศียรมังกรออกมา แผ่ปราณเซียนเล็กน้อยเข้าไปในหยกปราณนั้น รอคอยอยู่อึดใจเดียวก็ปรากฏดวงแสงรัศมีกว้างราวเจ็ดชุ่น (1 ชุ่น = 1 นิ้ว) รั้งรออีกราวสามอึดใจในดวงแสงนั้นจึงปรากฏภาพเซียนบุรุษที่สวมใส่หน้ากากสีขาวเรียบปิดบังใบหน้าครึ่งบนไว้
“ท่านเซียน ข้าเองเจ้าค่ะ” นางส่งเสียงทักทายอย่างยินดี
“ครบหกเดือนแล้วกระมัง เจ้าจึงติดต่อข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ลมปราณของข้าอยู่ที่จักรพรรดิเซียนขั้นสามและอีกครึ่งก้าวสู่ขั้นสี่เจ้าค่ะ” คำบอกเล่าของนางทำให้หยางเทียนนึกทึ่ง
“จริง?”
“จริงเจ้าค่ะ ข้าทำตามที่ท่านเซียนหญิงบอกไว้อย่างเคร่งครัดที่ให้ข้าฝึกฝนโคจรลมปราณไว้ตลอดเวลา จึงมาได้เช่นนี้”
“ดีมาก เช่นนั้น วันนี้กลางยามซวี ข้าจะไปพบเจ้าที่เดิม”
“เจ้าค่ะ”
กลางยามซวี ชายป่าด้านหนึ่งที่ร้างผู้คนของหุบเขาบูรพานิรันดร์
“จำได้ว่าเจ้าบอกว่าเจ้าชอบของจากร้านชาลี่ถังลี่มี่ ข้าเลยเอามาฝาก” หยางเทียนบอกกล่าวเมื่อนั่งลงข้างกายเมิ่งหรูที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะยื่นตะกร้าไผ่สานใบไม่ใหญ่นักให้นาง นางยิ้มกว้างทันที
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
มือขาวผ่องยื่นไปรับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบเอ่ยปากถาม “ท่านเซียนไปแวะซื้อที่แดนพายัพหรือเจ้าคะ”
“ข้าให้เซียนรับใช้ไปซื้อให้ ไม่ได้ลำบากอะไร เจ้ารับประทานเสียก่อน เดี๋ยวจะชืดเสียหมด”
เขาไม่บอกหรอกว่าเป็นมหาเทวีเสวี่ยหลิน มารดาของเขาที่เป็นเจ้าของร้านชาลี่ถังลี่มี่ปรุงให้ด้วยตนเอง ทันทีที่เขาไปขอให้นางทำขนมเพื่อนำมามอบให้เมิ่งหรู นางก็รีบลงมือปรุงให้ทันที
“เอาไปให้แฟนคลับของแม่ด้วย” มารดาของเขาบอกด้วยรอยยิ้มชอบใจ เขาเข้าใจคำ ‘แฟนคลับ’ ที่มารดาบอกแล้วว่าหมายถึงผู้ที่ชื่นชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ กิเลนน้อยของเขากลายเป็นแฟนคลับของมารดาไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเปิดออกก็พบว่าในนั้นมีชาร้อนหนึ่งกาเล็กพร้อมถ้วยชา ขนมหวานและของว่างหน้าตาน่ารับประทานอีกสองอย่าง
เมิ่งหรู หากเจ้าทราบว่าของเหล่านี้เป็นเจ้าของร้านชาลี่ถังลี่มี่ปรุงให้ด้วยตนเอง เจ้าจะเป็นอย่างไรกันนะ เขานึกอย่างขบขันเมื่อนั่งมองนางรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
“ดูท่าทางเจ้าชอบมากจริงๆ”
“ใช่เจ้าค่ะ” นางตอบทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก
“ข้ายังคิดเลยว่าเมื่อข้าสำเร็จจากบูรพานิรันดร์แล้ว ข้าอยากไปลองทำงานที่ร้านชาสักเดือนก็ยังดี แต่ก็ได้ยินมาว่ามีเทพเซียนมากมายอยากไปทำงานที่นั่น ร้านชาจึงไม่เคยว่าง ข้าคงไม่ได้ทำหรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้านี่ชอบร้านชาลี่ถังลี่มี่จริงๆ เลยนะ...” เขากล่าวออกมาอย่างเอ็นดูก่อนจะกล่าวต่อ
“...อาหญิงของข้าเป็นสหายสนิทกับเจ้าของร้านชา แล้วข้าจะให้อาหญิงพูดคุยกับเจ้าของร้านชาให้ก็แล้วกันว่าเจ้าอยากไปฝึกฝนที่นั่น” เมิ่งหรูย่อมนึกไม่ถึงว่าอาหญิงของเขาคือเจ้าของร้านชาลี่ถังลี่มี่ เรื่องแค่นี้เขาย่อมบอกกับมารดาได้ทันที
“จริงๆ นะเจ้าคะ ท่านเซียนไม่หลอกข้านะ”
“จริงสิ ข้าจะไปหลอกเจ้าทำไม”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่...ถึงได้ไปทำงานที่นั่นจริงๆ ข้าก็คงไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เสด็จพ่อต้องไม่ให้ข้าไปแน่” นางบอกอย่างหดหู่
“แล้วข้าจะลองให้ท่านเซียนอาวุโสพูดกับบิดาเจ้าให้ก็แล้วกัน รับรองว่าบิดาเจ้าอนุญาตแน่” เมิ่งหรูย่อมไม่คาดว่าเซียนอาวุโสที่ว่านี้คือมหาเทพหยางหลง ใครจะกล้าปฏิเสธกันล่ะ มีแต่จะรีบตกปากรับคำล่ะไม่ว่า
“จิ...จริงนะเจ้าคะ?” นางละล่ำละลักขอคำยืนยัน ยามนี้นางนึกไม่ออกเลยว่าต้องเป็นเซียนอาวุโสท่านใดจึงสามารถโน้มน้าวบิดาของนางได้
“จริงสิ แล้วเจ้าอยากทำอะไรในร้านชาล่ะ”
“ข้าอยากหัดชงชา หัดทำขนมและของว่าง หัดทุกอย่างเลยก็ได้เจ้าค่ะ ข้าชอบ”
“ถ้าเจ้าอยากหัดทำให้เก่งทุกอย่าง เกรงว่าน่าจะต้องใช้เวลาสักหกเดือนกระมัง เดือนเดียวไม่ได้หรอก”
“หกเดือนหรือนานกว่านั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าทำได้”
เขาต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู กิเลนน้อยของเขาช่างน่ารักจริงๆ
เมิ่งหรูรับประทานของโปรดจนหมดอย่างรวดเร็ว นางใช้แขนเสื้อซับปากจนสะอาดเรียบร้อยค่อยหันมาพูดจากับเขา
“ท่านเซียนเจ้าคะ ยามนี้ข้ามีเวลาหกเดือนที่จะฝึกฝนก่อนที่จะต้องเข้าแข่งขันเพื่อสะสมคะแนน หุบเขาให้เวลานักเรียนทุกคนในรอบนี้สองปีเพื่อเก็บสะสมคะแนนเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจว่าสองปีนี้จะเก็บสะสมให้ได้หนึ่งหมื่นคะแนน แล้วก็รออีกสองปีจะได้เก็บอีกหนึ่งหมื่นคะแนน และอีกสองปีเพื่อเก็บหนึ่งหมื่นคะแนนสุดท้ายที่เหลือ ก็จะครบสามหมื่นคะแนน”
“จากนั้น ข้าจะได้ลงประลองแบบสามต่อสามอีกห้าปีเพื่อเก็บสะสมอีกเจ็ดหมื่นคะแนน ข้าตั้งใจจะค่อยๆ สะสมให้ครบหนึ่งแสนคะแนนเพื่อไปแข่งขันในรอบสุดท้าย เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะสำเร็จการศึกษาจากหุบเขาบูรพานิรันดร์และก็พอดีกับที่ข้าต้องเข้าพิธีปักปิ่น” เมิ่งหรูบอกกล่าวกับเขา
“เช่นนั้น เจ้ามาประลองกับข้า” หยางเทียนบอกออกมา หากเมิ่งหรูอ้าปากค้างไปแล้ว
“เอ่อ...ให้ข้าประลองกับท่าน ไม่ไหวเจ้าค่ะ ข้าสู้ท่านไม่ได้หรอก”
“ข้าแค่ต้องการดูฝีมือของเจ้า จะได้ทราบว่าควรชี้แนะเจ้าอย่างไร”
เมิ่งหรูมีสีหน้าโล่งอกทันที
“เจ้าจงสู้ให้สุดฝีมือ ข้าจะได้ทราบอย่างชัดเจน”
“เจ้าค่ะ”
มือขาวผ่องปรากฏกระบี่ทอแสงสีครามสว่าง บ่งบอกชัดเจนว่านี่เป็นปราณกิเลนธาตุน้ำ นั่นเพราะเผ่ากิเลนเชี่ยวชาญวารีธาตุ
คว้ากกกกกกกกกกกก
พลังปราณจากกระบี่ของเมิ่งหรูโถมจู่โจมเข้าใส่หยางเทียน แต่เมื่อพลังนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งจั้ง (1 จั้ง = 2.5 เมตร) กระบี่ไม้ในมือของเขาตวัดฟาดทันที
ฟุ่บบบบ
เสียงทึบทึมดังขึ้น หากพลังปราณที่จู่โจมใส่เขาพลันสูญสลาย พลังปราณวายุธาตุของเขาแข็งแกร่งกว่านางมากนัก กระบี่ในมือนางตวัดออกอีกครั้ง