กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น

บุปผาแห่งมังกร - บทที่ 5 กิเลนน้อยที่เปลี่ยนไป โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุปผาแห่งมังกร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี

รายละเอียด

บุปผาแห่งมังกร โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน

เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง

 

 

เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ​ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น​ เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง​ เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน​ แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ​ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด​ นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี​

เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนาง​ด้วยใจเมตตาสงสาร​ หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป​ แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น​ เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้

กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง

สารบัญ

บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 1 หยางเทียน บุตรแห่งมหาเทพหยางหลง,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 2 กิเลนน้อยหลี่เมิ่งหรู,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 3 นัดแนะ,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 4 เลื่อนระดับโดยไม่คาดหมาย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 5 กิเลนน้อยที่เปลี่ยนไป,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 6 ความสามารถเป็นที่ประจักษ์,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 7 กิเลนน้อยผู้ครองหัวใจมังกร,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 8 แขกพิเศษของกิเลนน้อย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 9 คนละดิวิชั่น,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 10 ผูกมัดใจนาง

เนื้อหา

บทที่ 5 กิเลนน้อยที่เปลี่ยนไป

ครืนนนนนนนนนนน

 

ม่านวารีผืนมหึมาพลันโอบล้อมรอบด้าน ห่อหุ้มหยางเทียนไว้ภายในอย่างรวดเร็ว นางฟันกระบี่ลงตรงๆ ที่ม่านวารีนั้น พริบตาม่านวารีก็แปรเปลี่ยนเป็นม่านเหมันต์ วารีธาตุกลายสภาพเป็นน้ำแข็งหมดสิ้น นางคิดแช่แข็งเขาไว้ภายใน พลันนางต้องเบิ่งตากว้างเมื่อพบว่าภายในก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มเขาไว้กลับเจิดจ้าด้วยแสงแห่งอัคคีธาตุทั้งยังเป็นสีทอง

 

ซู่วววววว ซู่วววววว ซู่วววววว

ซู่วววววว ซู่วววววว ซู่วววววว

 

อัคคีทองคำปะทุขึ้นภายในก้อนน้ำแข็งนั้น และแผดผลาญน้ำแข็งของนางจนกลายเป็นสายน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก้อนน้ำแข็งของนางก็สลายหาย เพลิงทองคำดับวูบ

มือข้างที่ถือกระบี่ของเมิ่งหรูตกลงข้างลำตัว นางยืนก้มหน้านิ่งอย่างหมดแรงใจ รู้สึกราวกับตนเองไร้ความสามารถเสียเหลือเกินทั้งๆ ที่ระดับพลังปราณของนางก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรนางเลย นั่นเพราะเผ่ากิเลนเชี่ยวชาญวารีธาตุ หากฝ่ายตรงข้ามสามารถสกัดกั้นหรือทำลายวารีธาตุได้ เผ่ากิเลนก็หมดทางชนะ

มือใหญ่ยื่นมาลูบศีรษะนางอย่างปลอบประโลม

“อย่าเพิ่งหมดกำลังใจสิ เจ้าไม่ได้ไม่เก่งเสียหน่อย” เขาปลอบเสียงนุ่ม เข้าใจความรู้สึกของนางชัดเจนทีเดียว

“เจ้าแค่ยังขาดเล่ห์เหลี่ยม ใช้ออกอย่างทื่อด้าน ไม่พลิกแพลง เจ้าจึงมักจะไม่ค่อยชนะ เสมอก็ยังยาก ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่” ประมือกับนางเพียงไม่นาน เขาก็อ่านนางออกหมดสิ้น

กิเลนน้อยของเขายังไร้เดียงสาในเชิงยุทธ์นัก นางจะทำคะแนนได้ไม่ดีก็เป็นเรื่องปกติ

“เจ้าค่ะ” นางรับคำ สีหน้าไม่สู้ดี

“เอาเถิด ข้าเริ่มสอนเจ้าเรื่องธาตุดีกว่า เมื่อเจ้าเข้าใจมันมากขึ้น เจ้าก็จะพลิกแพลงใช้ออกได้ดี”

“พวกเราไปนั่งที่ใต้ต้นไม้นั่นดีกว่า เจ้าจะได้นั่งฟังสบายๆ” เขาจับข้อมือน้อยไว้ จูงนางมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่

“ฟังข้าให้ดี” เขาเริ่มสั่งสอนนางแล้ว

“อย่างที่เจ้าทราบ ในโลกนี้ มีสี่ธาตุหลัก ปฐพี วารี วายุ และอัคคี มังกร จิ้งจอกเก้าหาง และเสือขาว เชี่ยวชาญวายุธาตุ หากจิ้งจอกเก้าหางคือที่สุดของผู้ใช้ธาตุลม หงส์แดงและสิงโตเชี่ยวชาญอัคคีธาตุ แต่หงส์แดงคือที่สุดของผู้ใช้ธาตุไฟ เต่ามังกรและกิเลนเชี่ยวชาญวารีธาตุ ทว่ากิเลนคือที่สุดของผู้ใช้ธาตุน้ำ ส่วนเต่ามังกรยังถือครองปฐพีธาตุ เต่ามังกรจึงขึ้นชื่อเรื่องการป้องกันที่เป็นรองเพียงมังกร”

เมิ่งหรูพยักหน้า นางก็ทราบเช่นกัน

“วิธีเอาชนะง่ายที่สุดคือ โถมโจมตี กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ใช้พลังที่มากกว่าเอาชนะอีกฝ่าย ถูกหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” เมิ่งหรูก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน

“ผู้ที่เหมาะจะใช้วิธีนี้คือผู้ที่มีระดับพลังปราณสูงกว่าเจ้า พวกเขาเหล่านั้นจึงจะกระทำเช่นนี้ได้ เมื่อครู่ที่เจ้าประลองกับข้า เจ้าใช้วิธีนี้จึงไม่ฉลาดอย่างยิ่ง เจ้าจึงพ่ายแพ้ข้าอย่างง่ายดาย”

เมิ่งหรูพยักหน้าอย่างเห็นด้วย นั่นเพราะเขามีระดับพลังปราณที่สูงกว่านางมากนัก แม้นางจะไม่ทราบว่าระดับใด แต่สูงกว่านางแน่นอน

แล้วนี่ข้าโง่เง่าไปประลองกับเขาเช่นนั้นอีก? ทำไมข้าโง่อย่างนี้ นางนึกก่นด่าตนเองอยู่ในใจ

“ดังนั้น เจ้าก็ต้องพลิกแพลงให้เป็น จริงๆ แล้วทุกธาตุล้วนมีพลังทำลายร้ายแรง เพียงแต่เจ้าต้องเข้าใจมันให้ลึกซึ้ง ข้าจะไม่กล่าวถึงผู้ที่มีพลังปราณต่ำกว่าเจ้า เพราะเจ้าย่อมสามารถเอาชนะพวกเขาอย่างง่ายดาย ข้าจะกล่าวถึงผู้ที่ทัดเทียมกับเจ้าหรือสูงกว่าเจ้าไม่เกินสามขั้นย่อย”

“สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าต้องกลมกลืนไปกับวารีธาตุที่เจ้าเชี่ยวชาญ จงทำตัวดั่งว่าเจ้าคือวารีธาตุ อย่าคิดว่าตนเองคือกิเลน จงคิดเสมอว่าเจ้าคือธาตุน้ำอันแข็งแกร่ง ธาตุน้ำสามารถกลมกลืนไปกับทุกสิ่งและทำลายล้างได้ทุกอย่าง”

“เมื่อเจ้าคือวารีธาตุที่ผู้อื่นไม่สามารถแยกแยะเจ้าออกจากมันได้ นั่นจะเป็นการซุกซ่อนตัวตนและรัศมีพลังของเจ้าทั้งหมด เมื่อพวกเขาไม่อาจแยกแยะก็ไม่สามารถค้นหาเจ้าพบ นั่นจึงเป็นโอกาสให้เจ้าเอาชนะพวกเขา หรือหากเจ้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ อย่างแย่ที่สุดก็คือเจ้าสามารถเสมอกับพวกเขาได้ไม่ยาก”

“ทั้งเจ้าจงนึกให้ดีว่ายามมนุษย์ประสบภัยพิบัติ ภัยที่ร้ายแรงจนทำให้พวกเขาสูญเสียมหาศาลคืออุทกภัยครั้งใหญ่ วารีธาตุสามารถกัดเซาะผืนดินให้กลายเป็นทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร กระทั่งหุบเหวที่ก้นทะเล ไม่มีธาตุใดกระทำเช่นนี้ได้”

คำอธิบายนี้ทำให้เมิ่งหรูเบิ่งตากว้างอย่างตกตะลึง นี่เป็นการเปิดมุมมองใหม่ที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน

กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกับวารีธาตุ ! !

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งหรูตอบรับอย่างกระตือรือร้น

“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าลองบอกข้ามาสิว่าในฐานะที่เจ้าถือครองวารีธาตุ เจ้าจะแปรเปลี่ยนวารีธาตุของเจ้าเป็นอะไรได้บ้าง”

“น้ำแข็ง”

“แล้วอะไรอีก”

“เอ่อ...” เมิ่งหรูนิ่งคิด หากคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

“โอ๊ยยยยย” นางร้องออกมา เมื่อถูกหยางเทียนดีดหน้าผาก มือขาวผ่องคลำหน้าผากป้อยๆ

“เจ็บนะเจ้าคะ”

“ก็เจ้าคิดไม่ออกเสียทีนี่ ข้าก็ต้องกระตุ้นให้เจ้าคิดให้ออกน่ะสิ” เขาตอบหน้าตาเฉย

“ก็ข้าคิดไม่ออกจริงๆ นี่เจ้าคะ นอกจากน้ำแข็งแล้วข้าคิดอะไรไม่ออกเลย”

เขาต้องถอนหายใจออกมา กิเลนน้อยของเขาไม่เคยเผชิญพบภัยอันตราย นางจึงไม่มีประสบการณ์ ผิดกันกับเขาที่มหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลินจับเขาฝึกฝนในมิติพิเศษและยังพาเขาไปล่าสัตว์อสูร เขาจึงมีประสบการณ์กับสัตว์อสูรร้ายกาจมากมายตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งเขายังประมือกับบิดามารดาเสมอมา ประสบการณ์การต่อสู้จึงมากมาย

“เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง”

หยางเทียนสะบัดมือครั้งหนึ่ง เหนือฝ่ามือของเขาปรากฏเข็มอันแหลมคมเล่มหนึ่ง เมิ่งหรูจ้องมองอย่างตื่นตะลึง

“เข็มวารี” เขาบอกออกมา

เบื้องหน้านางคือวารีธาตุที่ถูกบีบอัดจนมีขนาดเท่าเข็มเล่มหนึ่ง เขาสะบัดมืออีกครั้ง

 

ครืนนนน

 

เสียงครืนครั่นดังขึ้น ไม่เบาและไม่ดัง เมิ่งหรูเงยหน้ามองจึงได้เห็นคล้ายห่าฝนที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อสังเกตให้ดี นางก็พบว่าห่าฝนเหล่านี้ แท้จริงเป็นวารีธาตุที่ถูกบีบอัดจนกลายเป็นเข็มวารีจำนวนมหาศาล

“พายุเข็มพิรุณ” เขาบอกให้นางฟัง

เขาสะบัดมืออีกครั้ง พายุเข็มพิรุณของเขาพลันแปรสภาพเป็นเข็มน้ำแข็งอันเรียวเล็ก

“พยุหะเหมันต์”

เขาสะบัดมืออีกครั้ง พยุหะเหมันต์ก็หายไป เมิ่งหรูจ้องมองอย่างตะลึงลาน นี่ยิ่งกว่าการเปิดโลกใหม่ให้นางด้วยซ้ำ

“ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างตื่นเต้น

“เจ้าลองทำให้ข้าดูว่าเจ้าสามารถแปรเปลี่ยนวารีธาตุเป็นอะไรได้บ้าง”

เริ่มแรกเมิ่งหรูเลียนแบบเขา เริ่มต้นที่เข็มวารี แม้จะยังทำได้ไม่ดี หากนางก็ทำซ้ำจนเหมือนที่เขาทำได้ไม่ผิดเพี้ยน แล้วจึงต่อด้วยพายุเข็มพิรุณและพยุหะเหมันต์ จากนั้นนางจึงเริ่มคิดในแบบของนางเอง นางเปลี่ยนวารีธาตุของนางเป็นกระบี่วารี พายุกระบี่ หอกวารี พายุหอกวารี และครั้งนี้นางทำให้วารีธาตุเป็นน้ำแข็ง พื้นดินปรากฏหอกน้ำแข็งอันแหลมคมปกคลุมไปทั่วบริเวณ พร้อมกับบนท้องฟ้าปรากฏพายุเข็มพิรุณที่โหมกระหน่ำราวฝนตกหนักตกลงมา

หยางเทียนมองการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างทึ่งจัด กิเลนน้อยของเขาเฉลียวฉลาดไม่เบา เพียงได้รับคำแนะนำเล็กน้อย นางก็เรียนรู้และพลิกแพลงได้อย่างรวดเร็ว เขานั่งมองนางฝึกฝนอย่างเพลิดเพลิน

“ท่านเซียนเจ้าคะ ข้าไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงหวานใสบอกกล่าวอย่างอ่อนล้า นางฝึกฝนวารีธาตุมาราวสองชั่วยามแล้ว นางไม่เคยฝึกวารีธาตุเนิ่นนานขนาดนี้มาก่อน ทั้งยามนี้ก็เป็นกลางยามจื่อ (00.00 น.)

“เช่นนั้น ก็หยุดเพียงเท่านี้ จำไว้ให้ดีว่าที่เจ้าต้องหมั่นฝึกฝนคือ เจ้าต้องสามารถแปรเปลี่ยนวารีธาตุให้เป็นไปตามที่เจ้าต้องการได้ดั่งใจ เสมือนหนึ่งเจ้าหายใจเข้าออก หากเจ้ากระทำได้ ผู้ที่เผชิญหน้ากับเจ้าก็ยากยิ่งที่จะชนะเจ้าได้”

เมิ่งหรูตาโตกับคำสั่งสอนนี้ทันที

“นี่ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักเถิด ระวังอย่าให้ผู้ใดพบเห็น”

“เจ้าค่ะ”

“พรุ่งนี้ ข้าจะมาพบเจ้าที่นี่กลางยามซวี (20.00 น.) เช่นเดิม”

หยางเทียนฝึกสอนเมิ่งหรูทุกวันตลอดห้าเดือนที่ผ่านมาเพื่อให้นางพร้อมที่จะเข้าแข่งขันประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่งเพื่อเก็บสะสมคะแนน นางพัฒนาฝีมือตนเองได้อย่างรวดเร็วเมื่อพบเจอผู้ชี้แนะที่เข้าใจนางอย่างแท้จริง เขาสอนนางเรื่องวารีธาตุ วิชากระบี่ของเผ่ากิเลนที่เมิ่งหรูเองก็ต้องแปลกใจว่าเขาทราบถึงวิชากระบี่ของเผ่ากิเลนได้อย่างไร

เขายังปรุงโอสถหลายขนานมาให้นางเพื่อบำรุงร่างเซียนและปราณกิเลนของนาง ทั้งยังสอนนางหัดปรุงโอสถเหล่านี้เพื่อให้นางมีโอสถไว้ใช้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องพึ่งพาเขา หยางเทียนยิ่งชื่นชมนางกว่าเดิมเมื่อได้เห็นว่าฝีมือการปรุงโอสถของนางไม่น้อยหน้าผู้ใด ยามนี้นางสามารถปรุงโอสถได้ความบริสุทธิ์แปดในสิบส่วนแล้ว นับว่าเป็นผู้ปรุงโอสถที่มีฝีมือหาตัวจับยากผู้หนึ่ง

“เจ้าฝึกปรุงโอสถอีกไม่นาน ย่อมจะได้ความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วน หมั่นฝึกฝนให้ดี” เขาบอกกล่าวเมื่อนางนำโอสถที่นางฝึกปรุงมาให้เขาติชม

เมิ่งหรูยิ้มรับอย่างปลาบปลื้มกับคำชมของเขา

 

 

เหลืออีกหนึ่งเดือนก็จะถึงกำหนดการแข่งขันประลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง วันนี้เมิ่งหรูต้องแปลกใจเมื่อพบเห็นอาหญิงของท่านเซียนหยางไท่อีกครั้ง

“คารวะอาหญิง”

“ตามสบายเถิด หลานชายข้าเล่าให้ฟังว่าเจ้าขยันหมั่นเพียรยิ่งนัก ฝีมือจึงรุดหน้ามากขึ้น”

“เป็นเพราะท่านเซียนชี้แนะข้าเจ้าค่ะ ข้าจึงทำได้ดี”

“เจ้านั่งลง ข้าอยากดูอะไรสักหน่อย”

เมิ่งหรูนั่งลงแต่โดยดีแม้ในใจจะสงสัยว่าอาหญิงผู้นี้จะทำสิ่งใด มองเห็นอาหญิงยกมือวาดขึ้น ก่อนจะนั่งมองนางและอะไรบางอย่าง

“เมิ่งหรู เจ้าชอบอาวุธอะไร” อาหญิงถามขึ้นหลังผ่านไปราวสองเค่อ

“เอ่อ...กระบี่เจ้าค่ะ”

“อืมมม งั้นก็คงต้อง...กระบี่คลื่นสมุทรสินะ แต่ก็เหมาะกับกิเลนน้อยอย่างเจ้าพอดี” นางกล่าวคล้ายรำพึงออกมา

“กระบี่คลื่นสมุทร? คืออะไรเจ้าคะ” เมิ่งหรูอดถามออกมามิได้หากอาหญิงผู้นี้เพียงแย้มยิ้มไม่ตอบคำ

มองเห็นอาหญิงล้วงหยิบวัตถุดิบระดับสูงหลายอย่างและมากมายอย่างยิ่งออกมาจากมิติส่วนตัวของนาง เมิ่งหรูเบิ่งตากว้างอย่างตกตะลึง

วัตถุดิบระดับสูงถูกจัดแบ่งไว้เป็นชุด อาหญิงหยิบวัตถุดิบแต่ละชุดมาวางตรงหน้า มือขาวผ่องวางเหนือวัตถุดิบเหล่านั้น ปราณเซียนสีทองสว่างวาบพร้อมกับพลังเวทมหาศาลแพร่กระจายจากใต้ฝ่ามือครอบคลุมวัตถุดิบเหล่านั้นจนหมดสิ้น ผ่านไปราวสามอึดใจ แสงสีทองวูบดับ ปรากฏเป็นกระบี่คมกริบทอประกายริ้วคลื่นสีครามแห่งวารีธาตุ

“กระบี่คลื่นสมุทร !?” เมิ่งหรูอุทานออกมาอย่างไม่แน่ใจ

อาหญิงผู้นี้ค่อยๆ สร้างของวิเศษต่อหน้านางมากมายหลายชิ้น ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามจึงสร้างเสร็จสิ้นทั้งหมด จากนั้นนางหยิบวัตถุดิบระดับสูงออกมาอีกมากมายก่อนจะจัดเรียงไว้สำหรับของวิเศษแต่ละอย่าง ปราณเซียนสีทองสว่างและพลังเวทมหาศาลปรากฏขึ้นครอบคลุมของวิเศษและวัตถุดิบเหล่านี้อีกครั้ง ราวหนึ่งเค่อทุกอย่างจึงแล้วเสร็จ

“ยื่นมือของเจ้ามา”

เมิ่งหรูยื่นมือไปตรงหน้านาง ปลายนิ้วขาวผ่องของอาหญิงกรีดลงบนปลายนิ้วของนาง

“โอ๊ะ !” นางอุทานออกมา

โลหิตสีแดงสดไหลทะลักจากปลายนิ้ว อาหญิงนำนิ้วเปื้อนโลหิตของนางวางเหนือของแต่ละอย่างก่อนจะปล่อยให้โลหิตสามหยดไหลลงบนของแต่ละชิ้น

 

ซู่ววว

 

เพียงโลหิตสามหยดสัมผัสกับของวิเศษ ปรากฏเสียงซู่ขึ้นเบาๆ และควันสีขาวลอยอ้อยอิ่ง อาหญิงทำเช่นนี้กับของวิเศษทุกชิ้นจนครบถ้วน

“นี่เป็นของวิเศษที่ข้าสร้างให้เจ้า หลานชายข้ากล่าวว่าแม้เจ้าจะมีฝีมือดีขึ้นกว่าเดิมแต่เจ้ายังขาดของวิเศษเหล่านี้ และกระบี่ที่เจ้าใช้ก็ไม่เหมาะกับเจ้าสักเท่าใด ของเหล่านี้จะทำให้เจ้าเก่งกาจยิ่งกว่าเดิม” เมิ่งหรูอ้าปากค้าง

“การหยดโลหิตลงบนของวิเศษก็เพื่อสร้างพันธสัญญา จะไม่มีผู้ใดแย่งชิงของเหล่านี้ไปจากเจ้าได้ ต่อให้สังหารเจ้า ของเหล่านี้ก็จะไม่ยินยอมให้คนผู้นั้นได้ใช้พวกมัน แต่พวกมันทั้งหมดจะกลับคืนมาที่ข้าในฐานะผู้สร้าง”

“นี่เป็นของวิเศษที่เหมาะกับเจ้าที่สุดแล้ว เครื่องประดับเหล่านี้เจ้าควรใส่ติดตัวไว้ให้ชิน มันจะช่วยเจ้าได้มาก กระบี่คลื่นสมุทร เจ้าควรใช้เป็นประจำให้คุ้นชินกับมัน ของวิเศษที่เหลือเจ้าควรใช้มันในยามที่เจ้าลงแข่งขันหนึ่งต่อหนึ่งและสามต่อสาม เข้าใจแล้วนะ”

“ขะ...เข้าใจเจ้าค่ะ ขอบคุณอาหญิงมากเจ้าค่ะ พระคุณนี้ข้าจะไม่ลืมเลย หากมีสิ่งใดที่ข้าสามารถกระทำเพื่อท่านได้ ขอเพียงอาหญิงเอ่ยปาก ข้าจะกระทำให้เจ้าค่ะ ท่านสามารถเรียกใช้ข้าได้ตลอดไป” เมิ่งหรูกล่าวอย่างตื้นตัน นางคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้งให้อาหญิงผู้นี้ น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนใจดีกับนางขนาดนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขามิใช่ญาติสนิทมิตรสหาย เป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้น โดยเฉพาะอาหญิงผู้นี้ที่นางเพิ่งได้พบเพียงสองครั้ง อาหญิงก็เมตตานางเช่นนี้แล้ว

“เจ้าเป็นเด็กดี เด็กดีย่อมสมควรได้รับการส่งเสริม” อาหญิงบอกกล่าวอย่างเอ็นดู

หยางเทียนเข้ามาประคองมารดาของเขาให้ลุกขึ้น เมิ่งหรูจึงค่อยลุกขึ้นตาม

“อากลับก่อนล่ะ เจ้าก็สอนนางแล้วกันว่าของเหล่านี้สมควรใช้อย่างไร”

“ขอบคุณอาหญิงขอรับ”

อาหญิงเหาะเหินไปยังทิศทางหนึ่งที่เมิ่งหรูมองเห็นอยู่ก่อนแล้วว่ามีเซียนบุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งรอรับนางอยู่ เซียนบุรุษนั้นจับจูงมือของนางก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะเหาะเคียงข้างกันไป นางมองเห็นพวกเขาคล้ายเป็นนกยวนยางคู่หนึ่งที่โบยบินเคียงคู่กันอีกครั้งแล้ว

“ท่านเซียน ขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ” เมิ่งหรูหันมากล่าวกับเขาอย่างตื้นตัน หากมิใช่ท่านเซียนหยางไท่ นางไม่มีวันได้ของวิเศษเลิศล้ำเช่นนี้แน่นอน

นางพลันคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ตระเตรียมโขกศีรษะขอบคุณเขาเช่นเดียวกับที่นางขอบคุณมารดาของเขา มือใหญ่รั้งร่างนางให้ลุกขึ้นทันที

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าเพียงช่วยเหลือกิเลนน้อยเช่นเจ้า ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ขอเพียงเจ้าตั้งใจฝึกฝนให้ดี เชื่อฟังและทำตามที่ข้าสอน เท่านั้นก็พอ”

“เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังและทำตามที่ท่านบอกทุกอย่างเลย”

“เช่นนั้นก็นั่งลง ข้าจะได้อธิบายให้เจ้าฟังว่าของวิเศษแต่ละอย่างเป็นอย่างไร เจ้าจะได้ใช้ได้ถูกต้อง”

ของวิเศษที่นางได้รับครั้งนี้มีถึงสิบชิ้น กระบี่คลื่นสมุทร เกราะอกคลื่นสมุทร สนับแขนคลื่นสมุทร สนับขาคลื่นสมุทร รองเท้าคลื่นสมุทร และเครื่องประดับชุดคลื่นสมุทรอันได้แก่ต่างหู สร้อยคอ แหวน กำไล ดอกไม้ประดับผม

“ของที่เจ้าควรใส่ติดตัวไว้เป็นประจำคือ รองเท้าคลื่นสมุทร และเครื่องประดับทั้งห้าชิ้นนี้ ยามที่เจ้าฝึกซ้อมก็จงใช้กระบี่คลื่นสมุทรเสมอ กระบี่เดิมของเจ้าเก็บใส่หีบไปได้เลย ส่วนเกราะอก สนับแขน สนับขานั้น เจ้าเก็บไว้ในมิติส่วนตัว นำมันออกมาใช้เมื่อเจ้าแข่งขันหนึ่งต่อหนึ่งและสามต่อสาม”

“ของทั้งหมดที่อาหญิงของข้าสร้างให้ จะเกื้อหนุนเจ้าที่เป็นเผ่ากิเลนและถือครองธาตุน้ำ ดังนั้น การใช้ปราณกิเลนและวารีธาตุของเจ้าจะยิ่งร้ายกาจกว่าเดิม เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี และไม่ต้องกังวลว่าของเหล่านี้จะไปสะกิดความสงสัยผู้อื่น เจ้าเองก็เห็นแล้วว่ารูปแบบภายนอกของมันก็เป็นเหมือนของทั่วไป ไม่เด่นสะดุดตาผู้ใด”

“เจ้าค่ะ”

ระยะเวลาอีกหนึ่งเดือนที่เหลือนี้ เมิ่งหรูฝึกซ้อมกับหยางเทียนด้วยของวิเศษที่เสวี่ยหลินสร้างให้ เมื่อจบสิ้นเวลาฝึกซ้อม เมิ่งหรูก็พร้อมแล้วสำหรับการแข่งขันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง

 

 

“หลี่หลิงฉีชนะ”

เสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมการแข่งขันแบบหนึ่งต่อหนึ่งดังขึ้น

“หลี่ไห่อิ่งชนะ”

“หลี่ซินเหมยชนะ”

“หลี่หัวอิงชนะ”

เสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมการแข่งขันแบบหนึ่งต่อหนึ่งในสนามอื่นทยอยประกาศผลการแข่งขันมาเรื่อยๆ

“คู่ต่อไป ไป๋อวี้ เผ่าเสือขาวและหลี่เมิ่งหรู เผ่ากิเลน” เสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมการแข่งขันในสนามประลองหนึ่งเรียกผู้แข่งขันคู่ต่อไป

ร่างจำลองของไป๋อวี้และเมิ่งหรูปรากฏขึ้นบนสนามประลอง

“เริ่มได้”

ไป๋อวี้ทะยานเข้าหาเมิ่งหรูอย่างรวดเร็ว นางคิดใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเผด็จศึกเมิ่งหรู หากพริบตานั้นทั้งสนามประลองพลันปรากฏม่านน้ำแข็งหนาหนักปกคลุมจนหมดสิ้น ผู้ชมรอบสนามมองไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดภายในม่านน้ำแข็งนั้น

ไป๋อวี้ที่พุ่งทะยานเข้าหาเมิ่งหรูต้องหยุดชะงักเมื่ออุณหภูมิรอบด้านลดต่ำอย่างรวดเร็วราวกับว่านางตกอยู่ใต้ธารน้ำแข็งอันเย็นเฉียบ และอุณหภูมิที่ลดต่ำนี้ยังคงลดลงด้วยความเร็วน่าตระหนกจนฟันของนางสั่นกึกๆ ประการสำคัญคือนางมองไม่เห็นเมิ่งหรู รอบด้านมีเพียงม่านน้ำแข็งขาวโพลน ปราณเสือขาวแผ่ออกกว้างเพื่อตรวจสอบหากไม่พบเจอเมิ่งหรู

ทันใดนั้น พายุเข็มน้ำแข็งบังเกิดขึ้นโหมกระหน่ำเข้าใส่ไป๋อวี้ทุกทิศทาง เข็มน้ำแข็งเรียวบางหากแหลมคมอย่างยิ่งพุ่งปักลงบนร่างของนางจนดูราวกับเม่นน้ำแข็ง โลหิตสีแดงสดไหลรินไม่ขาดสาย ไป๋อวี้เจ็บปวดแทบขาดใจ นางไม่ทราบจะหลบพายุเข็มน้ำแข็งนี้อย่างไร

 

ชึบบบ

 

ไป๋อวี้รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบบางเฉียบสายหนึ่งตัดผ่านลำคอของตนเอง สายตาของนางพลันพร่ามัวอย่างรวดเร็วก่อนจะมืดดับในที่สุด ร่างจำลองของไป๋อวี้แตกสลาย

ม่านน้ำแข็งหนาหนักที่ปกคลุมสนามประลองไว้สูญหายในพริบตา ไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ของวารีธาตุ บนสนามประลองปรากฏเพียงร่างจำลองของเมิ่งหรู

“หลี่เมิ่งหรูชนะ” เสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมการประลองดังขึ้นอย่างตื่นตะลึง

ทุกคนที่ชมการประลองรอบสนามแห่งนี้อ้าปากค้าง เพราะการประลองจบลงอย่างรวดเร็ว เมิ่งหรูใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งในสามเค่อก็เอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว

ผ่านไปไม่นาน เมิ่งหรูก็ขึ้นประลองอีกครั้ง รอบนี้นางพบกับฉิงกวางจากเผ่าหงส์แดง ผู้ใช้ธาตุไฟ ธาตุตรงกันข้ามกับนาง

“เริ่มได้”

คำ ‘ได้’ สิ้นสุดลง ทั้งสนามประลองก็บังเกิดเพลิงสีขาวลุกท่วมจนหมดสิ้น หากทันทีที่เมิ่งหรูเห็นเพลิงสีขาว นางเร่งเร้าวารีธาตุในกาย ทั่วร่างของนางยามนี้จึงโอบล้อมไว้ด้วยดวงแสงสีน้ำเงินของธาตุน้ำ

“กิเลนน้อยอย่างเจ้า จะต้านเพลิงของข้าได้? ช่างไม่...”

ฉิงกวางยังกล่าวดูแคลนไม่ทันจบ ทั่วทั้งลานประลองก็ปรากฏแผ่นน้ำแข็งสีครามแพร่กระจายจนทั่ว แผ่นน้ำแข็งนี้ทวีความหนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน มันแช่แข็งเพลิงสีขาวไว้ข้างใต้จนหมดสิ้น

ฉิงกวางแตกตื่นตะลึงลาน นี่เป็นครั้งแรกที่มันพบเจอคู่ต่อสู้ธาตุน้ำที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ช่วงเวลาที่มันตื่นตะลึง ใต้ฝ่าเท้าของมันพลันปรากฏน้ำแข็งที่ลุกลามปกคลุมตั้งแต่เท้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองเห็นน้ำแข็งหนายืดขยายคลุมร่างของมันจนมาถึงช่วงเอว

ในมือของฉิงกวางพลันทอประกายแสงสีขาวเจิดจ้าของเพลิงสีขาว หากมันยังไม่ทันลงมือ พายุเข็มน้ำแข็งพลันปรากฏอีกครั้ง เข็มน้ำแข็งอันแหลมคมพุ่งทะลวงร่างของมันอย่างไร้ปรานี เข็มหลายร้อยเล่มพุ่งปักใบหน้า ดวงตา จมูก ปาก พร้อมกับที่มันถูกแช่แข็งขึ้นมาจนถึงลำคอ ฉิงกวางเปล่งเสียงร้องไม่ออก

 

ชึบบบ

 

ฉิงกวางรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบตัดผ่านลำคอของมัน สายตาของมันพร่ามัวและมืดดับอย่างรวดเร็ว ร่างจำลองของฉิงกวางแตกสลายกลายเป็นละอองแสงที่ยังคงถูกขังไว้ในแผ่นน้ำแข็ง

 

เปรี๊ยะ—

 

แผ่นน้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างของฉิงกวางแตกกระจายและเลือนหาย ขณะที่แผ่นน้ำแข็งบนพื้นลานประลองก็เลือนลับ ทุกสิ่งบนสนามประลองไร้ร่องรอยของวารีธาตุอีกครั้ง

“หลี่เมิ่งหรูชนะ” เสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมการประลองดังขึ้น

ทุกคนรอบลานประลองต้องตื่นตะลึง

“นี่เมิ่งหรูเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด” เสียงของผู้ชมคนหนึ่งดังขึ้น

“นั่นสิ นางใช้เวลาน้อยมากในการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม นางทำได้อย่างไร”

“วารีธาตุของนางแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ข้ายังไม่เคยเห็นเผ่ากิเลนคนใดใช้วารีธาตุได้เก่งกาจเช่นนาง”

“ก่อนหน้านี้ นางยังย่ำแย่เอามากๆ แค่ให้เสมอนางก็แทบตายแล้ว แต่นี่นางชนะอย่างง่ายดายสองครั้งติดกันแล้วนะ”

“นางฝึกซ้อมอย่างไรจึงทำได้ดีถึงเพียงนี้”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงฝีมือของเมิ่งหรูดังขึ้นรอบสนามประลอง

เมิ่งหรูยังคงลงประลองหนึ่งต่อหนึ่งอย่างต่อเนื่องเพื่อสะสมคะแนน และทุกครั้งที่นางแข่งขัน นางจะเอาชนะคู่แข่งมาอย่างง่ายดาย

นางคิดคำนวณมาอย่างดีแล้วว่าเพื่อให้สะสมได้ครบสามหมื่นคะแนนภายในสองปีนี้ นางต้องลงแข่งวันละยี่สิบเก้ารอบและต้องชนะทุกครั้ง ดังนั้น นางจะเก็บคะแนนได้วันละหนึ่งร้อยสี่สิบห้าคะแนน การแข่งขันประลองหนึ่งต่อหนึ่งจัดขึ้นสัปดาห์ละสองวัน หากนางทำได้ตามที่คำนวณไว้ ในหนึ่งสัปดาห์นางจะสะสมได้สองร้อยเก้าสิบคะแนน เมื่อครบสองปีนางจะมีสามหมื่นคะแนนพอดี

เมื่อแข่งขันครบยี่สิบเก้ารอบและเก็บได้ครบหนึ่งร้อยสี่สิบห้าคะแนนแล้ว เมิ่งหรูก็ไม่ลงแข่งต่อ นางกลับมาอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนพักและไปที่หอลมปราณนิรันดร์เพื่อฝึกฝนลมปราณต่อทันที

“ยามนี้เริ่มการแข่งขันแล้ว ข้าจะไม่มาพบเจ้าสามวัน คือสองวันที่เจ้าแข่งขัน และอีกวันเพื่อให้เจ้าได้พักผ่อน แต่การพักผ่อนของเจ้าจะต้องไปฝึกฝนที่หอลมปราณนิรันดร์ ไม่ใช่นอนพักที่เรือนพักของเจ้า เมื่อครบสามวันนี้แล้ว อีกสี่วันที่เหลือนั่นจะเป็นวันที่ข้าจะมาชี้แนะเจ้าเช่นเดิม”

ท่านเซียนหยางไท่บอกกับนางเช่นนี้ เมิ่งหรูทำตามที่เขาบอกนางอย่างเคร่งครัด

 

 

“นางเด็กเมิ่งหรูนั่น เก่งอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด” องค์หญิงหลิงฉีถามขึ้นเมื่อผ่านมาได้สองเดือนแล้ว และชัยชนะอันหมดจดรวดเร็วของเมิ่งหรูก็เป็นที่พูดกันปากต่อปากไปทั้งหุบเขาบูรพานิรันดร์

“ไม่ทราบเลยเพคะ เหมือนอยู่ดีๆ นางก็เก่งขึ้นมา ไม่รู้ว่านางฝึกฝนอย่างไร” องค์หญิงไห่อิ่งบอกออกมา

“ข้าเฝ้าจับตานางมาตลอดหนึ่งเดือนนี้ เมื่อนางแข่งขันเสร็จก็กลับที่พักไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็มาฝึกฝนต่อที่หอลมปราณนิรันดร์ มีสี่วันในหนึ่งสัปดาห์ที่นางจะเข้านอนตั้งแต่ต้นยามซวี (19.00 น.) และตื่นต้นยามเฉิน (07.00 น.) จากนั้นนางก็มารับประทานอาหารเช้าที่โรงอาหารก่อนจะเข้าไปฝึกฝนต่อที่หอลมปราณนิรันดร์ทั้งวัน จนกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้านอนต้นยามซวี” องค์หญิงซินเหมยเล่าให้ทุกคนฟัง