กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
“หรือว่าเพราะนางฝึกฝนเช่นนี้ นางจึงเก่งกาจขึ้น” องค์หญิงหัวอิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“เป็นไปไม่ได้ พวกเราทุกคนก็เห็น เมิ่งหรูใช้วารีธาตุได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง พวกเราทุกคนไม่มีใครใช้ได้ดีเท่านาง และพวกเจ้าสังเกตหรือไม่ว่าระดับลมปราณของนางสูงขึ้นและแข็งแกร่งกว่าพวกเรา” องค์หญิงหลิงฉีกล่าวขึ้น
“จริงด้วย ลมปราณของนางสูงขึ้นจริงๆ และไม่รู้ด้วยว่าอยู่ที่ระดับใด นั่นแสดงว่าลมปราณของนางต้องสูงกว่าพวกเราไม่น้อย” องค์หญิงหัวอิงกล่าวอย่างนึกขึ้นได้
“เป็นไปไม่ได้ แปดเดือนก่อนหน้านั้น นางยังอยู่เพียงราชาเซียนขั้นห้า ตอนนี้ลมปราณของนางจะมาแข็งแกร่งกว่าพวกเราได้อย่างไร ประการสำคัญคือระยะเวลาเพียงแปดเดือน หากจะเลื่อนระดับลมปราณ อย่างเต็มฝืนก็เลื่อนได้เพียงครึ่งขั้นย่อย ไม่มีทางที่นางจะมีระดับลมปราณสูงกว่าพวกเราเด็ดขาด” องค์หญิงซินเหมยกล่าวอย่างไม่เชื่อถือ
“แต่หากนางเลื่อนระดับลมปราณจนสูงกว่าพวกเราได้ ที่น่าสนใจคือนางทำได้อย่างไร ข้าว่าพวกเราไปจับตัวนางมาเค้นถามดีกว่า หากพวกเราทราบว่านางเลื่อนระดับลมปราณอย่างไร การเลื่อนระดับของพวกเราก็ไม่ยากอีกแล้ว” องค์หญิงไห่อิ่งเสนอขึ้นมา
“ข้าเห็นด้วยกับไห่อิ่ง จับเมิ่งหรูมาเค้นถามย่อมเป็นผลดีกับพวกเราที่สุด และหากพวกเราร่วมมือกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะเอาชนะพวกเราได้” องค์หญิงหลิงฉีเห็นด้วยทันที
วันนี้เมิ่งหรูเพิ่งฝึกฝนลมปราณที่หอลมปราณนิรันดร์เสร็จสิ้น ยามนี้เหลืออีกเพียงสองเค่อก็จะถึงกลางยามซวี (20.00 น.) นางจึงตั้งใจจะเดินไปยังสถานที่ฝึกฝนของนางกับท่านเซียนหยางไท่ที่ชายป่าตามปกติ หากเพียงเดินออกจากหอลมปราณได้ครู่เดียว ก็พบเห็นองค์หญิงหลิงฉี องค์หญิงไห่อิ่ง องค์หญิงซินเหมย และองค์หญิงหัวอิง เข้ามาล้อมนางไว้ เมิ่งหรูรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที
“ไม่เห็นเจ้าแค่ไม่กี่เดือน ดูเหมือนเจ้าจะเก่งกล้าขึ้นไม่น้อย ถึงกับชนะการแข่งขันหนึ่งต่อหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังชนะอย่างง่ายดาย” องค์หญิงหัวอิงเปิดฉากทักทายนาง
เมิ่งหรูนิ่งงัน นางปิดปากเงียบสนิท
“ตามมานี่ พวกเรามีเรื่องจะถามเจ้า” องค์หญิงซินเหมยกล่าวตัดบท
เมิ่งหรูจำต้องเดินตามองค์หญิงทั้งสี่ไป หากเมื่อมาถึงนางก็ต้องแปลกใจเพราะนี่เป็นสถานที่ที่นางลอบใช้ฝึกฝนกับท่านเซียนหยางไท่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
หรือว่าพวกนางรู้ว่าข้ามาฝึกฝนที่นี่กับท่านเซียน เมิ่งหรูคิดในใจอย่างหวาดหวั่น
นางเกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะทำให้ท่านเซียนหยางไท่เดือดร้อน อาจารย์ใหญ่ของหุบเขาบูรพานิรันดร์ในเวลานี้คือเทพหยางเจี้ยน อดีตเทียนจวิน พระบิดาของหยางหมิ่นเทียนจวิน
ท่านเซียนหยางไท่ของนางไม่มีทางทานอำนาจของเทพหยางเจี้ยนได้ หากเทพหยางเจี้ยนสั่งลงโทษ ท่านเซียนหยางไท่ต้องรับโทษหนัก เพราะหุบเขาบูรพานิรันดร์จะลงโทษเทพเซียนที่ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่บูรพานิรันดร์แต่ลอบสอนสั่งนักเรียนของหุบเขา ท่านเซียนหยางไท่จะต้องรับโทษในข้อหาว่าเป็นเซียนชั่วร้ายที่มาล่อลวงเทพเซียนเยาว์วัยให้เดินทางผิด เป็นข้อหาที่ร้ายแรงเกินไป
จิตใจของเมิ่งหรูต้องเขม็งตึงเมื่อคิดได้เช่นนี้ นางไม่มีทางยอมให้ผู้มีพระคุณของนางต้องรับโทษเด็ดขาด ทุกอย่างนางจะรับไว้เองผู้เดียว
“เมิ่งหรู เจ้าฝึกฝนอย่างไรจึงใช้วารีธาตุได้ดี” องค์หญิงหลิงฉีถามขึ้น
“ข้าก็ฝึกฝนตามปกติ”
“อย่ามาโกหก เจ้าต้องมีการฝึกพิเศษแน่ๆ ถึงใช้วารีธาตุได้ร้ายกาจเช่นนี้”
“ข้าฝึกตามปกติจริงๆ เคยฝึกอย่างไรก็ฝึกอย่างนั้น” เมิ่งหรูยืนกระต่ายขาเดียว
“ข้าไม่เชื่อ เจ้าใช้วารีธาตุได้ดีกว่าที่ผ่านมามากนัก ต้องมีคนฝึกฝนให้เจ้าแน่ๆ” องค์หญิงไห่อิ่งเอ่ยขึ้น คำพูดนี้แทบทำให้เมิ่งหรูเปลี่ยนสีหน้า
“ผู้ใดจะมาฝึกให้เซียนไม่ได้ความอย่างข้า ข้าฝึกเองคนเดียวมาตลอด พวกท่านก็ทราบดี”
“ฝึกเองคนเดียว? ช่างกล้าพูด เช่นนั้นเจ้าตอบได้หรือไม่ล่ะว่าเจ้าฝึกอย่างไร” องค์หญิงซินเหมยเอ่ยขึ้น
“ข้าก็หัดใช้วารีธาตุบ่อยๆ ฝึกใช้มันแปรเปลี่ยนให้อยู่ในหลายรูปแบบ” นางตอบตามจริง
“เจ้าฝึกแค่นี้? เฮอะ เชื่อเจ้า พวกข้าก็โง่เต็มประดาล่ะ” องค์หญิงหัวอิงกล่าวอย่างไม่เชื่อถือ
“ระดับลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับใด” องค์หญิงหลิงฉีถามถึงจุดสำคัญ
เมิ่งหรูชะงักไปครู่ก่อนจะตอบออกมา “จักรพรรดิเซียนขั้นหนึ่ง”
นางตอบเพียงเท่านี้เพราะสร้อยที่นางสวมใส่สามารถลวงระดับลมปราณของนางได้ นางจึงปรับให้มันแสดงว่านางอยู่ในระดับจักรพรรดิเซียนขั้นที่หนึ่ง
คำ ‘จักรพรรดิเซียนขั้นหนึ่ง’ ทำให้องค์หญิงทั้งสี่ตะลึงลาน ลมปราณระดับนี้เหนือกว่าพวกนางไปสามถึงสี่ขั้นย่อย มีเพียงองค์หญิงหลิงฉีเท่านั้นที่ต่ำกว่าเมิ่งหรูหนึ่งขั้นย่อยเพราะนางอยู่ในระดับราชาเซียนขั้นสิบ นางพยายามมาหลายปีแล้วที่จะทะลวงขึ้นสู่จักรพรรดิเซียนขั้นหนึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าฝึกฝนในหอลมปราณนิรันดร์เพียงหกเดือน แต่กลับเลื่อนระดับลมปราณได้ถึงครึ่งช่วงชั้นใหญ่กับหนึ่งขั้นย่อย ที่แท้เจ้าทำได้อย่างไร บอกมา” องค์หญิงหลิงฉีตวาดถามเสียงเกรี้ยวกราด เพลิงริษยาในใจนางลุกฮือโหม
เป็นแค่ลูกสนมชั้นต่ำ ถือดีอย่างไรมาเก่งกล้าเกินหน้าข้า องค์หญิงหลิงฉีครุ่นคิดอย่างไม่ยินยอม
“ข้าก็ฝึกฝนตามปกติ โอสถเพิ่มพูนลมปราณข้าก็ปรุงใช้เอง พวกท่านก็ปรุงได้แล้วก็ใช้เช่นเดียวกับข้า ลมปราณของท่านไม่เลื่อนระดับแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไมไม่เลื่อน”
“ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้าฝึกฝนเพียงเท่านี้ ต้องมีใครสักคนช่วยเจ้าฝึกฝน ทั้งคนผู้นั้นยังต้องมอบโอสถเพิ่มพูนลมปราณชั้นยอดให้กับเจ้า เจ้าจึงรุดหน้าผิดปกติ” องค์หญิงหลิงฉีกล่าวออกมาราวกับตาเห็น ใจของเมิ่งหรูต้องสั่นสะท้านอย่างยิ่ง
“เมิ่งหรู เจ้าแอบฝึกฝนกับคนนอก ทั้งเจ้าและมันต้องถูกลงโทษ แต่หากเจ้ายินยอมบอกว่าคนผู้นั้นเป็นใคร บางทีข้าจะช่วยพูดจากับอาจารย์ใหญ่ให้ท่านลดหย่อนโทษให้เจ้ากับคนผู้นั้น”
“ข้าไม่ได้ฝึกกับใครทั้งนั้น ข้าฝึกของข้าเองคนเดียว” เมิ่งหรูยืนกราน เรื่องนี้ไม่มีวันที่นางจะเปิดปากเด็ดขาด
“ผู้ใดเชื่อเจ้าก็โง่แล้ว จับนาง !”
ทันใดนั้นพื้นดินที่เมิ่งหรูยืนอยู่ปรากฏหิมะน้ำแข็งขึ้นปกคลุมเต็มพื้นที่ น้ำแข็งขึ้นปกคลุมเท้าทั้งสองข้างของนางอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกลามสูงขึ้น องค์หญิงทั้งสี่คิดแช่แข็งเมิ่งหรูเพื่อจับตัวนาง ในมือของเมิ่งหรูปรากฏกระบี่เล่มหนึ่ง คมกระบี่ทอประกายสีครามสว่างเรืองรอง ย่อมเป็นกระบี่คลื่นสมุทรที่เสวี่ยหลินสร้างให้ และบัดนี้มันกลายเป็นกระบี่ประจำตัวของนางแล้ว
เพียงกระบี่คลื่นสมุทรปรากฏ รอบกายเมิ่งหรูทอแสงสีน้ำเงินเข้มแห่งวารีธาตุ แสงสีน้ำเงินนี้จากที่ครอบคลุมแนบร่างของนางพลันยืดขยายออกอย่างรวดเร็ว
เพล้งงงงงงงงงง
น้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างของเมิ่งหรูแตกกระจายเมื่อแสงสีน้ำเงินเข้มสัมผัสถูกมัน นางสะกิดปลายเท้าทะยานขึ้นสูง กระบี่ในมือวาดออกอย่างรวดเร็ว
“พยุหะเหมันต์”
ปรากฏเข็มเรียวเล็กบางสีขาวใสดุจน้ำแข็งหลายสิบหมื่นเล่มพุ่งทะลวงเข้าใส่องค์หญิงทั้งสี่
“กรี๊ดดดดดดดด”
“กรี๊ดดดดดดดด”
“กรี๊ดดดดดดดด”
“กรี๊ดดดดดดดด”
พวกนางกรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะแข็งใจควงกระบี่ในมือปัดเข็มน้ำแข็งเหล่านั้นให้กระเด็นออกห่าง
“มหาวาตะเหมันต์” เมิ่งหรูเอ่ยเสียงแผ่วเบา
พลันปรากฏห่าเข็มน้ำแข็งหนาหนักและรุนแรงมากมายราวพายุโหมกระหน่ำกลางทะเลลึกสาดซัดเข้าใส่องค์หญิงทั้งสี่ชนิดไม่หยุดพัก พวกนางควงกระบี่เร็วขึ้นหวังกระแทกห่าเข็มน้ำแข็งให้พ้นตัว หากพวกมันกลับหนาแน่นเกินคาด กระบี่ที่พวกนางควงอย่างเร็วรี่ไม่อาจต้านทานห่าเข็มน้ำแข็งได้อีกต่อไป พวกมันพุ่งทะลวงเข้าใส่พวกนางอย่างรวดเร็ว โลหิตสีแดงฉานค่อยๆ ไหลอาบอาภรณ์ที่พวกนางสวมใส่ จนในที่สุดพวกนางทั้งสี่ก็ฝืนต้านต่อไปไม่ไหว ต่างคนต่างพุ่งทะยานออกจากที่แห่งนี้อย่างทุลักทุเลถึงขีดสุดด้วยสภาพโลหิตโซมกาย
เพียงพวกนางทั้งหมดจากไป เข็มน้ำแข็งทั้งหมดก็สูญหาย เหลือไว้เพียงคราบโลหิตของพวกนางที่เปรอะเปื้อนพื้นดินเป็นหย่อมๆ
กระบี่คลื่นสมุทรในมือเลือนลับ เมิ่งหรูมองตามพวกนางแล้วต้องถอนหายใจยาว นึกรู้ได้ทันทีว่าเรื่องยุ่งยากที่นางไม่คาดคิดได้มาหานางแล้ว องค์หญิงทั้งสี่ต้องนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องอาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนแน่นอน มือขาวผ่องยกขึ้นลูบใบหน้าตนเองอย่างท้อใจ
“เจ้าเก่งมาก จัดการได้ดี” เสียงทุ้มเอ่ยชมจากเบื้องหลังนาง แน่นอนว่าย่อมเป็นหยางเทียน
หยางเทียนมาถึงนานแล้ว มาถึงตั้งแต่ก่อนที่องค์หญิงทั้งสี่จะชักนำเมิ่งหรูมาที่แห่งนี้ แต่เมื่อเห็นพวกนาง เขาจึงซ่อนตัวเพื่อดูเรื่องราว เพียงไม่คาดว่าพวกนางทั้งสี่จะบีบคั้นกิเลนน้อยของเขาเช่นนี้ ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาจึงทราบละเอียดชัดเจน
“เป็นอะไร ไม่เห็นต้องทำหน้าเศร้าเลย” เขาถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของนาง
“พวกนางต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องอาจารย์ใหญ่แน่ๆ”
“เจ้าไม่ได้ทำผิด พวกนางต่างหากที่หาเรื่องเจ้าก่อน เจ้าเพียงปกป้องตนเองเท่านั้น”
“แต่ว่า...”
มือใหญ่เอื้อมมาลูบศีรษะของนางอย่างปลอบโยน เขาคาดเดาได้แล้วว่าเด็กน้อยของเขากำลังวิตกเรื่องใด
“เจ้าไม่ต้องกังวล เพียงกล่าวไปตามความเป็นจริงเท่านั้น โอสถเพิ่มพูนลมปราณที่เจ้าใช้ ทุกคนก็มีอยู่แล้ว เจ้าเพียงปรุงได้ดีกว่าพวกนางเท่านั้น หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ที่ฝีมือปรุงโอสถของเจ้าดีกว่าพวกนาง”
“สำหรับการฝึกฝน เจ้าก็เพียงยืนกรานว่าเจ้าศึกษาค้นคว้าและฝึกฝนด้วยตนเอง ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าเจ้ามีคนนอกฝึกฝนให้ พวกนางจะมีหลักฐานใดเอาผิดเจ้าได้เพราะพวกนางไม่ขยันหมั่นเพียรเท่าเจ้าและนั่นก็เป็นเรื่องที่พวกนาง ‘คิดเอง เออเอง’ ทั้งสิ้น”
คำ ‘คิดเอง เออเอง’ ทำให้ประกายตาของเมิ่งหรูวาบขึ้น
“จริงของท่านเซียนเจ้าค่ะ” นางเห็นด้วยทันที
“แล้วเรื่องระดับลมปราณของข้าล่ะเจ้าคะ เพียงหกเดือน ระดับลมปราณของข้าก็เลื่อนขึ้นมากมาย มันดูเหลือเชื่อมากเลยนะเจ้าคะ” เมิ่งหรูหันมากังวลเรื่องนี้จากที่เคยดีใจว่านางเลื่อนระดับลมปราณได้มาก
“ก็เจ้าบอกพวกนางไปแล้วนี่ว่าลมปราณของพวกนางไม่เลื่อนระดับแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าทำไมไม่เลื่อน ส่วนที่เจ้าเลื่อนระดับได้มาก เจ้าก็ตอบได้เช่นกันว่าเจ้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันเลื่อนขึ้นมากได้อย่างไร”
“การเลื่อนระดับลมปราณเป็นเรื่องที่เทพเซียนทั้งหลายต่างทราบดีอยู่แล้วว่าไม่มีความแน่นอนว่าจะเลื่อนระดับได้มากหรือน้อย บางคนต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะเลื่อนได้ บางคนก็ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็เลื่อนได้ แล้วจะเอาสิ่งใดมาชี้วัดว่าการเลื่อนระดับได้มากต้องเป็นเพราะมีผู้อื่นช่วยเหลือ ต้องเลื่อนระดับได้น้อยเท่านั้นหรืออย่างไรจึงจะยอมรับว่าเลื่อนระดับเป็นปกติ”
“จริงเจ้าค่ะ” นางพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยอีกครั้ง สีหน้าหม่นหมองเปลี่ยนเป็นร่าเริงในพริบตา
หยางเทียนต้องยิ้มออกมา กิเลนน้อยของเขายังไร้เดียงสานัก เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยเช่นนี้นางยังไม่รู้จัก แต่ไม่เป็นไร เขายังมีเวลาอีกมากที่จะสอนนาง
“วันนี้ไม่ต้องฝึกซ้อมก็แล้วกัน เจ้าซ้อมมือกับพวกนางไปแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยพบกัน หลับฝันดีล่ะ”
“ข้าต้องฝันดีแน่ๆ เจ้าค่ะ ตั้งแต่ได้รู้จักท่านเซียน ข้าได้รับแต่สิ่งดีๆ มากมาย ข้าจะฝันถึงท่านเซียนนะเจ้าคะ ข้าจะได้เจอสิ่งดีๆ ในฝันด้วย”
เขาต้องยิ้มกับคำพูดตรงไปตรงมาของนาง กิเลนน้อยของเขาน่ารักยิ่ง
“เจ้านี่โลภมาก กระทั่งฝันก็ต้องให้ฝันดีเลิศ” เขาแสร้งว่า
“แหม ข้าก็ต้องอยากฝันดีสิเจ้าคะ หากข้าฝันร้าย เช่น ข้าถูกผีหลอกในฝัน ข้าคงนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ถ้าข้าฝันเช่นนั้น ข้ายิ่งต้องนึกถึงท่านเซียน เอาท่านเป็นยันต์กันผีของข้า”
นี่ข้าเป็นกระทั่งยันต์กันผีให้เจ้าเลย? เขาคิดอย่างขบขัน
ยามสายของวันรุ่งขึ้น
“หลี่เมิ่งหรูชนะ” เสียงของอาจารย์ผู้ควบคุมการแข่งขันดังขึ้น
“อาจารย์ใหญ่ ทางนี้เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่” เสียงของเซียนสตรีนางหนึ่งดังแทรกขึ้นมา เมิ่งหรูที่กำลังจะเดินลงจากลานประลองต้องหันไปมองก่อนจะนิ่งอึ้ง
อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยน อดีตเทียนจวิน กำลังเดินตรงมาที่ลานประลอง ด้านหลังติดตามมาด้วยองค์หญิงหลิงฉี องค์หญิงไห่อิ่ง องค์หญิงซินเหมย และองค์หญิงหัวอิง หากสภาพของพวกนางทั้งสี่นั้น เมิ่งหรูเห็นแล้วแทบหลุดหัวเราะออกมา เพราะใบหน้าขององค์หญิงทั้งสี่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากเข็มน้ำแข็งที่นางโหมใส่ไม่ยั้ง
“นั่นพวกนางสี่คนไปทำอะไรมา ใบหน้าจึงปรุเสียอย่างกับหมอนปักเข็ม”
ใครสักคนพูดออกมาให้ได้ยินชัดเจน นั่นเพราะเมื่ออาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนเดินเข้ามา ทุกคนจึงพากันเงียบกริบเพราะไม่ทราบว่าอาจารย์ใหญ่มาทำอะไรที่นี่
คำพูดนี้เรียกรอยยิ้มจากเทพเซียนที่อยู่รอบลานประลองได้ถ้วนหน้า เมิ่งหรูที่หลุดยิ้มออกมาได้เพียงครู่ต้องรีบหุบยิ้มทันที นางไม่อาจยิ้มเยาะองค์หญิงทั้งสี่ได้
หากใบหน้าขององค์หญิงทั้งสี่แทบบิดเบี้ยวทั้งด้วยโทสะและอับอาย พวกนางไม่เคยต้องพบเจอสภาพน่าขายหน้าเช่นนี้มาก่อน ยามที่พวกนางตื่นนอนในตอนเช้าจึงพบว่าร่องรอยของเข็มน้ำแข็งยิ่งชัดเจนกว่าเดิม ใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยรอยปรุ ไม่ว่าเช้าวันนี้พวกนางจะพยายามโปะยารักษาเท่าใด รอยปรุเหล่านี้ก็ไม่เลือนหายทั้งยังดูจะชัดยิ่งกว่าเดิมราวกับต้องการประจานพวกนาง
“เมิ่งหรู” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนเรียกนางเมื่อเดินขึ้นมาบนลานประลอง
“เจ้าคะ”
“หลิงฉี ไห่อิ่ง ซินเหมย และหัวอิง เล่าให้ข้าฟังว่ามีคนนอกที่เป็นเซียนชั่วฝึกฝนให้เจ้า เจ้าจึงเก่งกาจขึ้นจนผิดสังเกต มิหนำซ้ำลมปราณของเจ้าก็เลื่อนระดับถึงครึ่งช่วงชั้นใหญ่และหนึ่งขั้นย่อยจนมาอยู่ที่จักรพรรดิเซียนขั้นหนึ่ง ที่แท้เจ้าอาศัยโอสถนอกรีตอันใดจึงเลื่อนระดับลมปราณได้มากมายเช่นนี้”
คำพูดของอาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยน บอกชัดเจนว่าเรื่องที่องค์หญิงทั้งสี่คิดรีดเค้นความลับจากนางถูกบิดเบือนให้กลายเป็นว่าความสามารถของนางนั้นผิดปกติอย่างร้ายแรงเพราะมีคนนอกที่ชั่วร้ายฝึกฝนให้นาง ทั้งยังกล่าวหาว่านางใช้โอสถนอกรีตเพื่อเลื่อนระดับลมปราณ
แต่คำพูดของอาจารย์ใหญ่ก็ยังให้โอกาสนางได้อธิบาย หากนางบอกเล่าได้กระจ่างชัด นางก็ไม่ต้องรับโทษ
หากคำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบด้านตื่นตะลึง ทุกสายตาพลันจับจ้องเมิ่งหรูเป็นตาเดียว นางต้องสูดลมหายใจลึกเรียกขวัญกำลังใจของตนเองก่อนจะเอ่ยปาก
“ไม่มีคนนอกใดฝึกฝนให้ศิษย์เจ้าค่ะ เป็นศิษย์ฝึกฝนเองเพียงผู้เดียวตลอดมา...”
“ไม่จริงเจ้าค่ะ อาจารย์ใหญ่ ท่านอย่าไปเชื่อนาง” องค์หญิงหลิงฉีอ้าปากทักท้วงทันที
“ข้ายังไม่ได้ให้เจ้าพูด ยามนี้เจ้าจงหุบปากให้สนิท ฟังที่นางอธิบาย” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนกล่าวเสียงเรียบ
“ศิษย์ฝึกฝนอย่างหนักเพราะทราบดีว่าตนเองอ่อนด้อย มิได้เฉลียวฉลาดหรือเก่งกาจอะไร เมื่อศิษย์ทุ่มเทศึกษาและฝึกฝนมากกว่าผู้อื่น ศิษย์จึงเข้าใจกระจ่างถึงวารีธาตุที่ศิษย์ถือครอง ศิษย์จึงสามารถแปรเปลี่ยนวารีธาตุให้เป็นได้ทุกอย่างที่ศิษย์ต้องการ”
“ส่วนการเลื่อนระดับลมปราณของศิษย์นั้น...”
เมิ่งหรูเปิดมิติส่วนตัวนางออกให้อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนได้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อยืนยันว่านางมิได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ในนั้นมีเพียงเสื้อผ้าไว้ผลัดเปลี่ยนสองชุด ขวดหยกที่บรรจุโอสถจำนวนสองขวดใหญ่ และตำลึงทองเพียงสองร้อยตำลึงทองเท่านั้น ตำลึงทองเพียงเท่านี้สำหรับองค์หญิงทั่วไปแล้วนับว่าน้อยนัก เพราะระดับองค์หญิงของแต่ละเผ่าล้วนพกพาตำลึงทองกันคนละไม่ต่ำกว่าแปดร้อยถึงหนึ่งพันตำลึงทอง
เมิ่งหรูหยิบขวดหยกสองขวดออกมายื่นส่งให้หยางเจี้ยน
“นี่เป็นโอสถเพิ่มพูนลมปราณและโอสถเสริมสร้างวารีธาตุที่ศิษย์ปรุงขึ้นเอง ท่านอาจารย์ใหญ่เชิญตรวจสอบเจ้าค่ะ”
อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนรับขวดหยกมาเปิดก่อนจะดมกลิ่นของมัน เพียงครู่เขาต้องขมวดคิ้วทันที
“นี่เป็นโอสถระดับอนันตกาล ความบริสุทธิ์แปดในสิบส่วน เจ้าปรุงมันขึ้นเอง?”
“เจ้าค่ะ ศิษย์ปรุงเอง”
“ไม่จริงเจ้าค่ะ อาจารย์ใหญ่ ท่านอย่าไปเชื่อนาง” องค์หญิงซินเหมยอ้าปากทักท้วง
“หุบปากเสีย ยังไม่ถึงรอบที่เจ้าต้องพูด” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนหันมาดุ สีหน้าของเขาเรียบสนิท
“เมิ่งหรู เจ้าบอกว่าเจ้าปรุงโอสถนี้เอง?”
“เจ้าค่ะ”
“โอสถระดับอนันตกาล ความบริสุทธิ์แปดในสิบส่วน นับว่าหาได้ยาก ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าเจ้าเป็นผู้ปรุงมันขึ้นมา ดังนั้น เจ้าต้องปรุงโอสถนี้ต่อหน้าข้าและทุกคนเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้อาศัยคนนอกปรุงมันให้เจ้า”
“เจ้าค่ะ แต่ศิษย์ไม่มีสมุนไพรเก็บไว้เลย ศิษย์ขอไปเก็บสมุนไพรที่แปลงปลูกสมุนไพรของศิษย์ก่อนนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง”
“เกิงเฉิน เจ้าไปขอสมุนไพรจากหอโอสถนิรันดร์มา บอกว่าสมุนไพรสำหรับปรุงโอสถยิงตะวันและโอสถเจ็ดธารา” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนหันไปสั่งอาจารย์ที่ควบคุมการแข่งขัน
“ขอรับ อาจารย์ใหญ่รอสักครู่”
ไม่นานนักอาจารย์เกิงเฉินก็กลับมาพร้อมหยางเจี๋ย เจ้าหอโอสถนิรันดร์
โต๊ะปรุงโอสถและสมุนไพรสำหรับปรุงโอสถยิงตะวันและโอสถเจ็ดธาราถูกจัดวางไว้ตรงหน้าเมิ่งหรู
“เรียบร้อยแล้ว เจ้าปรุงโอสถให้ข้าและทุกคนดู” หยางเจี๋ยกล่าวเรียบๆ
เมิ่งหรูยื่นมือไปหยิบสมุนไพรสำหรับโอสถยิงตะวันมาห้าชนิด มือขาวผ่องทอประกายแสงสีครามสว่างบ่งบอกถึงวารีธาตุของเผ่ากิเลน มองเห็นวารีธาตุเข้าห่อหุ้มสมุนไพรแต่ละชนิดไว้ภายในก่อนจะค่อยๆ เห็นสมุนไพรนั้นแตกออกเป็นผงเล็กละเอียดด้วยแรงบีบอัดจากวารีธาตุ สิ่งปลอมปนในสมุนไพรถูกดูดดึงออกจากผงสมุนไพรนั้นก่อนจะรวมตัวแยกออกมาเป็นกลุ่มวารีธาตุที่มีสีคล้ำและแตกสลายหายไป
สมุนไพรที่ได้รับการคัดแยกแล้วถูกดูดดึงเข้าหากันแล้วกลายเป็นมวลน้ำสีครามสว่างเพียงก้อนเดียว มวลน้ำนั้นค่อยๆ บีบอัดให้ผงสมุนไพรหลอมรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน วารีธาตุถูกรีดเร้นออกจนหมดสิ้น แล้วจึงปรากฏโอสถสีแดงส้มเป็นมันวาวจำนวนยี่สิบเม็ด กลิ่นหอมของโอสถแพร่กระจายให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้กลิ่นชัดเจน สีหน้าของอาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนและเจ้าหอโอสถหยางเจี๋ยทอแววชื่นชมออกมาทันที เมิ่งหรูหยิบโอสถทั้งยี่สิบเม็ดใส่ลงในขวดหยกใบหนึ่ง
โอสถเจ็ดธาราก็ถูกปรุงขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน ต่างกันเพียงสมุนไพรที่ใช้มีเจ็ดชนิดตามนาม ‘เจ็ดธารา’
“เชิญท่านเจ้าหอตรวจสอบ” นางยื่นส่งขวดหยกสองใบให้หยางเจี๋ย
โอสถทั้งสองขวดถูกเทออกมา ปราณมังกรถูกแผ่ออกตรวจสอบ เพียงครู่สีหน้าและแววตาของหยางเจี๋ยทอแววชื่นชมยิ่งกว่าเดิม
“โอสถทั้งสองมีความบริสุทธิ์แปดในสิบส่วน” เจ้าหอโอสถประกาศออกมา
คำประกาศนี้ทำให้ทุกคนรอบด้านตื่นตะลึงหากสีหน้าขององค์หญิงทั้งสี่กลับซีดเซียว
“เมิ่งหรูได้พิสูจน์แล้วว่านางมิได้เป็นเช่นที่พวกเจ้าทั้งสี่กล่าวหา โอสถยิงตะวันและโอสถเจ็ดธารานางก็ปรุงขึ้นต่อหน้าทุกคน นางปรุงโอสถนี้ได้ดีกว่าพวกเจ้า แปลว่านางมีฝีมือมากกว่าพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับไส่ร้ายว่านางใช้โอสถนอกรีต” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนกล่าวออกมา
“นางเก่งกาจก็เพราะนางทุ่มเทอย่างหนักยิ่งกว่าผู้ใด นางจึงเพิ่มพูนความสามารถของตนเองได้ การที่พวกเจ้ากล่าวหาว่านางมีเซียนชั่วฝึกฝนให้ ล้วนเป็นการพูดปากเปล่าไร้ซึ่งหลักฐาน นั่นเท่ากับพวกเจ้าทั้งสี่ ‘คิดเอง เออเอง’ และใส่ร้ายป้ายสีว่านางพึ่งพาเซียนชั่วฝึกฝนให้”
คำ ‘คิดเอง เออเอง’ ของอาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนทำให้เมิ่งหรูแทบหลุดยิ้มออกมา ไม่คาดว่าอาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนก็ยังคิดเช่นนี้ ท่านเซียนหยางไท่ของนางช่างคาดเดาได้แม่นยำ
“การเลื่อนระดับลมปราณก็เป็นเรื่องที่เทพเซียนทั้งหลายทราบดีอยู่แล้วว่าไม่มีความแน่นอนว่าจะเลื่อนระดับได้มากหรือน้อย บางคนต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะเลื่อนได้ บางคนก็ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็เลื่อนได้ แล้วเจ้าอาศัยอะไรมาบอกว่าการเลื่อนระดับได้มากต้องเป็นเพราะมีเซียนชั่วช่วยเหลือ ต้องเลื่อนระดับได้น้อยเท่านั้นรึ พวกเจ้าจึงจะยอมรับว่าเลื่อนระดับเป็นปกติ”
ถ้อยคำนี้คล้ายคลึงกับวาจาของท่านเซียนหยางไท่นัก เมิ่งหรูคิดในใจ
“ดังนั้น การที่นางเลื่อนระดับลมปราณได้มาก จึงเป็นวาสนาของนาง นางจะไปทราบได้อย่างไรว่าตนเองจะเลื่อนได้มากมายเช่นนี้ ทั้งการที่ลมปราณของพวกเจ้าไม่เลื่อนระดับ นางจะไปทราบได้อย่างไรว่าทำไมไม่เลื่อน”
“พวกเจ้าทั้งสี่ริษยาศิษย์ร่วมสำนักและยังใส่ร้ายป้ายสีหวังให้นางได้รับโทษหนัก เป็นการทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักอย่างไม่สมควรอภัย ข้าตัดสินให้โบยพวกเจ้าคนละสิบครั้งด้วยหวายเขี้ยวมังกร”
โทษโบยด้วยหวายเขี้ยวมังกรแม้ไม่ใช่โทษสูงสุดที่กำหนดให้ทำลายพลังปราณและขับไล่ออกจากสำนัก แต่การโบยด้วยหวายเขี้ยวมังกรสร้างความเจ็บปวดอย่างมากมายให้ผู้ได้รับโทษ ประการสำคัญคือร่างกายส่วนที่ถูกโบยด้วยหวายเขี้ยวมังกรจะยังหลงเหลือรอยแผลเป็นไว้เตือนใจผู้ที่ถูกลงโทษไปตลอดชีวิต
องค์หญิงหลิงฉี องค์หญิงไห่อิ่ง องค์หญิงซินเหมย และองค์หญิงหัวอิงต่างหน้าซีดเผือด
แผนการที่พวกนางคิดทำลายและรีดเค้นความลับของเมิ่งหรูกลับตาลปัตรหมดสิ้น กลายเป็นพวกนางต้องได้รับโทษ ขณะที่เมิ่งหรูได้รับการยกย่องเชิดชูจากคนทั้งหุบเขาบูรพานิรันดร์
“หยางเจี๋ย โบยพวกนางคนละสิบครั้ง”
“ขอรับ”
หวายเขี้ยวมังกรปรากฏในมือของหยางเจี๋ย เจ้าหอโอสถนิรันดร์ หวายนี้มีสีดำมะเมื่อมเป็นมัน ตลอดตัวหวายมีหนามเล็กๆ อยู่เต็ม หนามเหล่านี้แข็งราวเหล็กกล้ามองดูคล้ายเขี้ยวมังกร มันจึงถูกเรียกตามลักษณะที่ปรากฏ
“เกิงเฉิน จับหลิงฉีนอนลง”
สีหน้าขององค์หญิงหลิงฉีซีดขาวดุจซากศพ นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มือของอาจารย์เกิงเฉินฉุดให้นางนอนคว่ำบนโต๊ะที่ใช้ปรุงโอสถ
“หากเจ้าดิ้นล่ะก็ จะมิใช่เพียงหลังของเจ้าที่จะถูกโบย” หยางเจี๋ยบอกเสียงเรียบ องค์หญิงหลิงฉีไม่กล้ากระดิกแม้แต่น้อย เหงื่อกาฬไหลซึมจากศีรษะลงมาจนชุ่มใบหน้า นางหวาดกลัวอย่างยิ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยถูกบิดามารดาลงโทษมาก่อน
หวายเขี้ยวมังกรถูกยกขึ้นสูงก่อนจะถูกหวดลงมา
“อย่าโบยนางเลยนะเจ้าคะ !”
เสียงห้ามปรามนี้มาพร้อมกับแขนของหยางเจี๋ยที่ถูกฉุดดึงไว้
“นี่เจ้า ! !”