กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
เป็นเมิ่งหรูที่ฉุดรั้งมิให้หยางเจี๋ยลงโทษองค์หญิงหลิงฉี
“ถอยไป”
“ท่านอาจารย์...เอ่อ...อย่าลงโทษพวกนางด้วยหวายเขี้ยวมังกรเลยนะเจ้าคะ” เมิ่งหรูขอร้องออกมา
“ไม่ได้ พวกนางทำผิดร้ายแรง ย่อมต้องลงโทษตามกฎ หากไม่ลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่าง ไม่นานก็ต้องมีคนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนตอบกลับมา
“เอ่อ...คือ...ศิษย์ขอให้เปลี่ยนวิธีลงโทษได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าคิดลงโทษพวกนางด้วยวิธีใด”
“ให้พวกนางทำความสะอาดหอลมปราณนิรันดร์สัก...เอ่อ...หนึ่งเดือนได้หรือไม่เจ้าคะ” แน่นอนว่าการทำความสะอาดย่อมดีกว่าถูกโบยอยู่แล้ว
แต่ควรทราบว่าหอลมปราณนิรันดร์เป็นหอใหญ่ที่สุดในหุบเขาบูรพานิรันดร์ รองรับการฝึกฝนลมปราณของศิษย์ทั้งหุบเขา ดังนั้น มันจึงสูงที่สุดในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหมด หอลมปราณนิรันดร์มีทั้งหมดสองร้อยชั้น แต่ละชั้นมีห้องฝึกฝนลมปราณสามสิบห้อง จึงสามารถรองรับนักเรียนและอาจารย์ได้ทั้งสิ้นหกพันคนพร้อมกัน
ข้อเสนอนี้ทำให้อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนครุ่นคิด ครู่หนึ่งจึงค่อยเอ่ยปาก
“เห็นแก่ที่พวกเจ้าเพิ่งทำความผิดครั้งแรก แต่ในเมื่อทำผิด ย่อมต้องรับโทษ ข้าอนุญาตตามคำขอของเมิ่งหรู พวกเจ้าทั้งสี่ต้องทำความสะอาดหอลมปราณนิรันดร์ แต่เพราะความผิดที่พวกเจ้าทำคือการใส่ร้ายป้ายสีศิษย์ร่วมสำนัก ถือเป็นความผิดร้ายแรง ดังนั้น พวกเจ้าต้องรับโทษสามเดือนเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนยอมรับข้อเสนอของเมิ่งหรูหากเขาเพิ่มโทษเป็นสามเดือนจากเดิมที่เมิ่งหรูขอไว้หนึ่งเดือน
องค์หญิงทั้งสี่โล่งอก พวกนางไม่ต้องถูกโบยแล้ว
“ขอบคุณอาจารย์ใหญ่” องค์หญิงทั้งสี่รีบขอบคุณทันที
“พวกเจ้าไม่คิดจะขอบคุณเมิ่งหรูเลย?” อาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนถามเสียงเรียบ สายตาทรงอำนาจแห่งอดีตเทียนจวินจ้องมองพวกนางอย่างไม่พอใจ
องค์หญิงทั้งสี่เม้มปาก สีหน้าบ่งบอกความไม่ยินยอมพร้อมใจ ครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวอย่างเสียไม่ได้ “ขอบคุณศิษย์น้อง”
“เมิ่งหรู เจ้าจงตั้งใจฝึกฝนและปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไป ความสำเร็จจะมาพบเจ้าในเวลาไม่นาน”
“ขอบคุณอาจารย์ใหญ่ ศิษย์จะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่งสอนเจ้าค่ะ”
ยามนี้กลางยามซวี (20.00 น.) แล้ว ถึงกำหนดที่นางต้องมาให้เขาชี้แนะในทุกวันที่ไม่มีการแข่งขัน
“ท่านเซียน” เมิ่งหรูเรียกขานทันทีเมื่อพบเห็นเขา
“โอ๊ยยยย” นางร้องออกมาเมื่อจู่ๆ ก็ถูกเขาดีดหน้าผากทันทีที่พบหน้า มือขาวผ่องยกขึ้นคลำป้อยๆ บริเวณที่ถูกเขาดีดนิ้วใส่ ใบหน้างอง้ำอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงถูกลงโทษ
“ท่านเซียนดีดหน้าผากข้าทำไมเจ้าคะ”
“โทษฐานที่เจ้าใจดีไม่เข้าเรื่อง” น้ำเสียงของเขาปนความหงุดหงิดเล็กน้อย
เมิ่งหรูต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยนึกออกว่าเรื่องใด “ก็ข้าไม่อยากให้พวกนางถูกโบย แผลจากหวายเขี้ยวมังกรน่ะรักษาไม่หายนะเจ้าคะ อย่างไรพวกนางก็เป็นสตรีเหมือนกับข้า ถ้าไม่มีแผลเป็นบนร่างได้ก็จะดีที่สุด”
“นั่นก็ถูกของเจ้า แต่พวกนางจะซาบซึ้งใจกับสิ่งที่เจ้ากระทำเพื่อพวกนางหรือไม่ล่ะ เจ้ารู้จักพวกนางมานาน สมควรทราบดีว่านิสัยสันดานพวกนางเป็นอย่างไร”
เมิ่งหรูนิ่งอึ้ง หวนคิดถึงท่าทีที่ผ่านมาขององค์หญิงทั้งสี่แล้ว ก็จริงอย่างที่เขากล่าวทุกอย่าง
“แต่พวกนางก็เป็นพี่น้องร่วมบิดา...” นางแย้งเสียงอ่อน
“พี่น้องร่วมบิดา? หึ...” หยางเทียนแค่นเสียงเยาะหยัน
“...แล้วยามที่พวกนางลงมือกับเจ้า พวกนางคิดหรือไม่ว่าเจ้าเป็นพี่น้องร่วมบิดา” คำถามของเขาทำให้นางนิ่งอึ้ง ใบหน้าน่ารักก้มต่ำ สีหน้าหม่นหมอง
เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็อดรนทนไม่ได้เสียเอง มือใหญ่จับไหล่ข้างหนึ่งของนางอย่างปลอบโยนก่อนจะเอ่ยปาก
“ข้าไม่ได้ตำหนิว่าสิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่เรื่องดี ความช่วยเหลือของเจ้าเป็นเรื่องดีแต่เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ...”
“...การมอบความช่วยเหลือให้ผู้ใด เจ้าต้องมอบให้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน สามถูกนี้ไม่อาจผิดพลาดได้ เจ้าช่วยเหลือให้พวกนางรับโทษน้อยลงนั้น ถูกที่ ถูกเวลา แต่ไม่ถูกคน เพราะพวกนางจิตใจมืดบอด ไม่รับรู้ว่าเจ้ามีน้ำใจพี่น้องต้องการช่วยเหลือพวกนาง”
เขาพลันนึกได้ถึงคำสอนของมารดา จึงรีบเอ่ยปากสั่งสอนนาง
“ถ้าเราให้อะไรกับใครแล้ว มันไม่มีค่า สู้เราเก็บเอาไว้ดีกว่า เวลาเราให้คำแนะนำกับคนที่เขาไม่อยากได้ เขาเรียกว่า ‘จุ้นจ้าน’ ให้ทรัพย์กับคนที่เขาไม่อยากได้ทรัพย์จากเรา เขาเรียกว่า ‘ดูถูก’ ให้ความรักกับคนที่ไม่มีใจกับเรา เขาเรียกว่า ‘รำคาญ’ *** เหล่านี้เจ้าต้องจดจำให้ดี”
เมิ่งหรูเงยหน้ามามองเขาอย่างรู้สึกผิดเมื่อได้ยินคำสอนนี้ นางใจเร็วด่วนได้และยังคิดน้อยไปจริงๆ ทั้งๆ ที่นางก็ทราบดีว่าองค์หญิงทั้งสี่นั้นเป็นอย่างไร
“ข้า...ขออภัย...” นางเอ่ยเสียงแผ่วอย่างสำนึกผิด
“เจ้าไม่ต้องขอโทษ เจ้าไม่ได้ทำผิด เจ้าแค่ ‘พลาด’ พลาดที่ช่วยเหลือไม่ถูกคน ต่อไปเจ้าก็จำไว้ให้ดี นี่เป็นความผิดพลาดแรกและเป็นบทเรียนแรกของเจ้า”
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำไว้ ต่อไปจะทำอะไร ข้าจะคิดให้รอบคอบเสียก่อน” นางสูดลมหายใจลึกอย่างปลอบใจตนเอง ทว่านางพลันนึกได้ถึงบางเรื่อง
“แล้วท่านเซียนทราบเรื่องที่ข้าช่วยพวกนางได้อย่างไรเจ้าคะ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และท่านก็ไม่ได้มาที่นี่ ข้าก็ยังไม่ได้เล่าให้ท่านฟังสักหน่อย”
“เมื่อวานนี้ ข้าก็เพียงลอบเข้าบูรพานิรันดร์ มาแอบดูเจ้าเท่านั้น...” เขาตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน หากเมิ่งหรูเบิ่งตากว้างอย่างตกใจ
“ข้าคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าพวกนางไม่ปล่อยเจ้าให้อยู่สบายหรอก เลยต้องมาดูเสียหน่อยว่าพวกนางจะลงมือกับเจ้าอย่างไร แต่พวกนางคงคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะพิสูจน์ตนเองได้ดีจนทุกอย่างย้อนกลับมาทำร้ายพวกนาง”
“นี่ท่านเซียนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเลย?”
“ถูกต้อง เรื่องราวสนุกสนานเช่นนี้ มีรึที่ข้าจะพลาด แต่ข้ามีอะไรดีๆ จะบอกเจ้าอย่างหนึ่ง” เขาพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“อะไรเจ้าคะ” นางถามอย่างสงสัยยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขามีท่าทีลับลมคมใน
“เจ้าเห็นใช่หรือไม่ว่าใบหน้าของพวกนางสี่คนมีรอยปรุจากเข็มน้ำแข็งของเจ้าเต็มไปหมด” เมิ่งหรูพยักหน้าอย่างจดจำได้
“รอยปรุที่ชัดเจนเช่นนั้น ฝีมือข้าเอง” เขาบอกกล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะปนความสาแก่ใจ
เมิ่งหรูอ้าปากค้าง “หาา...ฝิ...ฝีมือท่านเซียน?”
“ใช่ ฝีมือข้า ข้าลงมือกับพวกนางในคืนวันนั้นที่พวกนางจัดการเจ้า ยามที่ข้าลงมือ ก็ตั้งใจสั่งสอนพวกนางแทนเจ้าอยู่แล้ว พวกนางถือดีอะไรมารังแกคนของข้า” ประโยคท้ายของเขาเจือความขุ่นเคืองชัดเจน
เมิ่งหรูรู้สึกดีอย่างยิ่งกับคำนี้ของเขา ‘คนของข้า’
ได้ยินเขาเล่าสืบต่อ “ข้าแค่ทำให้รอยปรุบนหน้าของพวกนางชัดเจนกว่าปกติ แต่ประการสำคัญคือรอยปรุที่ชัดเจนนี้ ไม่ว่าจะรักษาอย่างไร พวกมันก็จะไม่เลือนหายจนกว่าจะครบหนึ่งเดือน”
เมิ่งหรูอ้าปากค้างยิ่งกว่าเดิม คาดไม่ถึงว่าท่านเซียนหยางไท่จะโกรธเคืององค์หญิงทั้งสี่มากมายเช่นนี้
“แล้วพอครบหนึ่งเดือน รอยปรุพวกนี้ก็จะหายไปหมดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หมดหรอก เหลืออยู่นิดหน่อยที่หน้าผากและแก้ม แต่พวกนางก็ต้องประทินโฉมดีๆ มิฉะนั้นล่ะก็ พวกมันได้โผล่มาทำให้ขายหน้าแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเราะออกมาในที่สุด
ข้าต้องไม่ทำให้ท่านเซียนโกรธข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากถูกท่านกลั่นแกล้ง เมิ่งหรูคิดได้ทันที
“เอาล่ะ เลิกพูดถึงพวกนางได้แล้ว วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเรื่อง...” เขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
หอลมปราณนิรันดร์มีกำหนดให้เซียนรับใช้ทำความสะอาดทุกสองวัน เมื่อองค์หญิงหลิงฉี องค์หญิงไห่อิ่ง องค์หญิงซินเหมย และองค์หญิงหัวอิงมารับโทษ เซียนรับใช้ทั้งหมดจึงถูกสั่งให้หยุดทำงาน หน้าที่ทำความสะอาดและดูแลหอลมปราณถูกโอนให้พวกนางทำทั้งหมดตลอดสามเดือนเต็ม การทำความสะอาดจะมีอาจารย์ที่ดูแลหอลมปราณมาควบคุมพวกนางให้ทำให้เรียบร้อย องค์หญิงทั้งสี่จึงกำลังทำความสะอาดหอลมปราณนิรันดร์อย่างเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
พวกนางนึกก่นด่าเมิ่งหรูอยู่ในใจตลอดสามเดือนที่ต้องรับโทษ เพราะสามเดือนนี้พวกนางไม่สามารถลงแข่งประลองหนึ่งต่อหนึ่งได้เลย พวกนางเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเกินกว่าจะลงแข่งขันได้ แต่พวกนางกลับลืมไปว่าหากพวกนางถูกโบยด้วยหวายเขี้ยวมังกร พวกนางต้องมีแผลเป็นติดตัวไปชั่วชีวิต และความเจ็บปวดทรมานจากการถูกโบยนั้นกว่าจะรักษาหายก็กินเวลาถึงสามเดือน พวกนางย่อมไปลงแข่งประลองไม่ได้เช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ใหญ่หยางเจี้ยนจึงเพิ่มเวลาลงโทษเป็นสามเดือนแทนที่จะเป็นหนึ่งเดือนตามที่เมิ่งหรูขอให้พวกนาง
เมื่อพวกนางรับโทษเสร็จสิ้นและกลับสู่การแข่งขัน จึงรีบมาดูคะแนนของนักเรียนแต่ละคนที่สะสมไว้
“นางเด็กเมิ่งหรูสะสมได้แล้วเจ็ดพันเก้าร้อยเจ็ดสิบหกคะแนน ข้าจำได้ว่าเมื่อสามเดือนก่อนนางยังมีเพียงสี่พันสี่ร้อยเก้าสิบหกคะแนน เท่ากับว่าสามเดือนที่พวกเราถูกลงโทษ นางลงแข่งชนะทุกรอบจึงสะสมได้อีกสามพันสี่ร้อยแปดสิบคะแนน นางเด็กนี่ร้ายนัก” องค์หญิงซินเหมยกล่าวอย่างริษยา
“และหากนางชนะทุกรอบเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การสะสมสามหมื่นคะแนนภายในสองปีนี้ นางก็ต้องทำสำเร็จ ขณะที่พวกเราไม่แน่ว่าจะทำเช่นเดียวกับนางได้ด้วยซ้ำ น่าเจ็บใจนัก” องค์หญิงหัวอิงกล่าวเสริมขึ้น
“พวกเราควรจัดการนางอย่างไรดี” องค์หญิงไห่อิ่งถามเชิงปรึกษา
“พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก ยามนี้ทุกคนล้วนมองพวกเราอย่างรังเกียจ ดีที่สุดคือพวกเราต้องสงบนิ่งไว้ รอให้พวกเราและนางสำเร็จจากบูรพานิรันดร์ก่อน เมื่ออยู่ในแดนอีสาน นางก็เป็นลูกไก่ในกำมือพวกเราแล้ว จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด” องค์หญิงหลิงฉีกล่าวขึ้น ทราบดีว่าพวกนางไม่สามารถจัดการเมิ่งหรูได้ตราบใดที่ยังอยู่ในบูรพานิรันดร์
ดังนั้น เมิ่งหรูจึงร่ำเรียนในบูรพานิรันดร์ได้อย่างสงบสุขจนสอบผ่านวิชาการต่อสู้และสำเร็จการศึกษาจากบูรพานิรันดร์
“ท่านเซียน” นางเรียกขานทันทีที่เห็นเขา
“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ข้าจะอยู่ที่บูรพานิรันดร์นะเจ้าคะ พรุ่งนี้ข้าต้องกลับไปที่แดนอีสานแล้ว”
หยางเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาใจหายอย่างแท้จริง ในอกรู้สึกวูบโหวงอย่างประหลาด กิเลนน้อยของเขาต้องกลับบ้านแล้ว
“เช่นนั้น ข้ากับเจ้าคงไม่ได้พบกันบ่อยๆ”
“ต้องพบสิเจ้าคะ ท่านเซียนไปเยี่ยมข้าบ่อยๆ ก็ได้” นางแย้งอย่างรวดเร็ว
จริงสินะ ข้าไปเยี่ยมนางได้ แต่...ก็ไม่เหมือนเช่นที่นางอยู่ที่บูรพานิรันดร์ เขานึกอย่างหม่นหมอง
“แต่ข้าคงมาพบท่านเซียนบ่อยๆ เช่นเดิมไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับท่านเซียนนี่เจ้าคะ การไปพบท่านบ่อยๆ ผู้อื่นอาจมองท่านไม่ดี ทำให้ชื่อเสียงของท่านมัวหมองได้ ส่วนชื่อเสียงข้านั้นไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่บุตรของสนมเล็กๆ ไม่ได้มีสิ่งใดน่าจดจำอยู่แล้ว”
เมิ่งหรูเจียมตัวอย่างยิ่ง นางคาดเดาได้อยู่แล้วว่าท่านเซียนหยางไท่ของนางต้องเป็นผู้สูงส่งสักคน อย่างน้อยนางก็คาดเดาได้จากเครื่องแต่งกายและกวานที่เขาสวมใส่ ทั้งยังอาหญิงของเขาที่จนบัดนี้นางก็ยังไม่ว่าทราบอาหญิงของเขามีนามว่าอย่างไร
“เจ้าอย่าคิดมาก ข้าไม่ถือสากับเรื่องเหล่านี้ แล้วเจ้าจะถือสาด้วยเหตุใด”
“เอ่อ...เจ้าค่ะ แล้ว...เอ่อ...อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ข้าต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ท่านเซียนมาเป็นแขกของข้านะเจ้าคะ ท่านเซียนสัญญากับข้าตอนนั้นแล้วว่าท่านจะมา” นางทบทวนคำสัญญาที่เขาเคยให้นางไว้
“ไปสิ ข้าต้องไปร่วมพิธีปักปิ่นของเจ้าแน่นอน” เขาตอบรับหนักแน่น เรียกรอยยิ้มสดใสของนางได้ทันที
“แล้ว...เอ่อ...ข้าเชิญ...อาหญิงของท่านด้วยได้หรือไม่” นางถามอย่างไม่มั่นใจ นางอยากเชิญอาหญิงของเขา เพราะอาหญิงช่วยเหลือนางเลื่อนระดับลมปราณและยังสร้างของวิเศษให้นาง
“แล้วข้าจะถามอาหญิงให้ว่าท่านว่างหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าอยากได้สิ่งใดเป็นของขวัญในวันนั้น” เขาถามเสียงนุ่มโดยไม่รู้ตัว
นางส่ายศีรษะปฏิเสธก่อนจะตอบออกมา “ข้าไม่อยากได้สิ่งใดเลย แค่มีวาสนาได้รู้จักท่านและท่านมาร่วมพิธีของข้าก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตข้าแล้วเจ้าค่ะ”
“หรูเอ๋อร์” เขาทอดเสียงนุ่มนวลเรียกนาง มิได้เรียกขาน ‘เมิ่งหรู’ อีกต่อไป คำเรียกขานนี้เรียกรอยยิ้มตื้นตันใจจากนางได้ทันที
ร่างบอบบางพลันก้าวเข้ามาหาเขา แขนเรียวกางออกโอบกอดเขาไว้เต็มอ้อมแขน ใบหน้าน่ารักราวตุ๊กตาซบลงกับไหล่ของเขา เขาตะลึงลานไปชั่วครู่ก่อนอ้อมแขนแข็งแรงจะโอบกอดนางไว้เช่นกัน ปลายจมูกสูดได้กลิ่นหอมกรุ่นอ่อนจางจากร่างน้อยในอ้อมกอด สีหน้าของเขานุ่มนวลอย่างยิ่ง สายตาอ่อนเชื่อมทอดมองนางอย่างรักใคร่โดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงหวานใสของนางเอ่ยบอกเขา
“ในชีวิตข้า คนที่ดีกับข้าที่สุดเดิมมีเพียงท่านแม่ แต่นับตั้งแต่ที่ข้าได้รู้จักท่านเซียนเมื่อยี่สิบปีก่อนในสวนดอกไม้ของเทียนจวิน ยามนี้ข้าจึงมีท่านเซียนอีกคนที่ดีกับข้าไม่ต่างจากท่านแม่ ขอบคุณนะเจ้าคะที่ท่านดีกับข้าถึงเพียงนี้ ขอบคุณจริงๆ”
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า ระหว่างเราไม่มีอะไรต้องขอบคุณ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
คำ ‘เรา’ ทำให้เมิ่งหรูรู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก ความสุขเอ่อท้นออกมาจนล้นใจ นางเผลอตัวกอดเขาแน่นขึ้น อ้อมแขนแข็งแรงก็โอบนางกระชับแน่นกว่าเดิมไม่ต่างกัน
พลันเมิ่งหรูก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แตะลงที่หน้าผากของนาง เมื่อเหลือบตามองจึงพบว่าท่านเซียนกำลังจุมพิตที่หน้าผากของนาง แก้มเนียนใสต้องแดงก่ำ เป็นครั้งแรกที่มีบุรุษจุมพิตนางเช่นนี้ เขาจุมพิตหน้าผากของนางเนิ่นนานไม่น้อย เมิ่งหรูต้องหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข ครู่ใหญ่กว่าที่เขาจะละจากหน้าผากของนาง
“เจ้ากับมารดาเตรียมข้าวของในพิธีเรียบร้อยแล้ว?” เขาเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม
“พิธีเล็กๆ ไม่มีอะไรที่ต้องเตรียมให้ยุ่งยาก เดี๋ยวข้ากลับถึงบ้าน ก็แก้ชุดของท่านแม่ที่ใช้เมื่อตอนท่านทำพิธีปักปิ่น คงใช้เวลาสักสามสี่วันก็แล้วเสร็จ เท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าได้ยินมาว่าพิธีปักปิ่นจะเป็นชุดที่บิดามอบให้บุตรสาวที่จะเข้าพิธี ส่วนปิ่นก็มักจะเป็นปิ่นของมารดาหรือญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมิใช่รึ” หยางเทียนถามอย่างแปลกใจ
“เจ้าค่ะ ข้าใช้ปิ่นของท่านแม่ที่ท่านยายมอบให้ ส่วนชุดก็ใช้ของท่านแม่ เพราะตามธรรมเนียมของเผ่ากิเลนแล้ว บิดาจะมอบชุดใหม่ให้บุตรสาวหากมารดาของนางเป็นราชินีกิเลนหรือเฟยทั้งสี่เท่านั้นเจ้าค่ะ ทั้งกองออกแบบตัดเย็บและกองงานเสื้อผ้าก็มีงานล้นมือเพราะต้องคอยจัดเตรียมอาภรณ์และเครื่องประดับต่างๆ ให้พร้อมเสมอสำหรับราชากิเลน ราชินีกิเลน ไท่จื่อ และองค์หญิงทั้งสี่เจ้าค่ะ พิธีปักปิ่นเล็กๆ ของข้าจึงมิใช่งานหลักของพวกเขา”
ได้ยินแล้ว หยางเทียนต้องลอบถอนหายใจ
เพราะเขาถือกำเนิดจากมหาเทวีเสวี่ยหลิน หรือก็คือภรรยาเอกและยังเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของมหาเทพหยางหลง ศักดิ์ฐานะของเขาจึงสูงส่งสุดสูงแต่กำเนิด ทุกสิ่งได้รับการคัดสรรอย่างดีที่สุดจากบิดามารดา ชีวิตที่ผ่านมาของเขาล้วนได้รับแต่สิ่งดีเลิศมาโดยตลอด ไม่เคยต้องถูกผู้ใดแก่งแย่งหรือแข่งขันกับผู้ใด
มารดาของเขาจึงอบรมสั่งสอนเขาเป็นอย่างดี นอกจากเพื่อให้เขาเก่งกล้าเช่นบิดาแล้ว ยังสอนให้เขามีเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้ที่ด้อยกว่าเสมอมา เพราะมารดาของเขาเข้าใจหัวอกของบุตรหลานของผู้ที่มิใช่ภรรยาเอกและผู้ที่ลำบาก นั่นจึงทำให้เมื่อเขาพบเห็นการกลั่นแกล้งอย่างไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับหลี่เมิ่งหรู องค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน เขาจึงสงสารเห็นใจและให้ความช่วยเหลือนางโดยมิได้สนใจว่าศักดิ์ฐานะของนางต่ำชั้นกว่าเขามากมายเพียงใด
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เจ้ากลับเถิด ดึกแล้ว ข้าส่งเจ้าที่นี่ แล้วอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พวกเราพบกันที่พิธีปักปิ่นที่ตำหนักของมารดาเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
จุมพิตอบอุ่นแตะสัมผัสที่หน้าผากของนางอีกครั้ง แก้มเนียนใสต้องแดงจัดอีกหน ครู่ใหญ่กว่าที่เขาจะยอมปล่อยนางให้กลับไป
“เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องอยากทูลถามพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อนั่งลงตรงข้ามกับมารดาที่นั่งเล่นกับเจ้าแมวน้อยลี่หยานและลี่อินอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่มหาเทพหยางหลงนั้นงีบหลับอยู่ที่แท่นบรรทมใกล้ๆ
ทันทีที่เห็นเขาเข้ามา แมวน้อยลี่อินก็เข้ามาคลอเคลียเขาอย่างประจบจนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องลูบขนขาวนุ่มฟูของมัน
“เจ้าจะถามอะไร” เสวี่ยหลินถามอย่างแปลกใจ
“พิธีปักปิ่นของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
นางต้องเขม้นมองเขาอย่างสงสัย “วันนี้มาแปลก นึกอย่างไรจึงมาถามแม่เรื่องนี้”
“พอดีสหายของลูกคนหนึ่งจะต้องเข้าพิธีปักปิ่นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“สหายเจ้า? พิธีปักปิ่น?” นางทวนคำพร้อมขมวดคิ้วครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา
“เจ้าหมายถึงเด็กหญิงน้อยเผ่ากิเลนคนนั้นที่เป็นแฟนคลับของแม่กระมัง นางถึงวัยปักปิ่นแล้ว?”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกเลยอยากทราบว่าพิธีปักปิ่นของเผ่าอื่นเหมือนกันหรือไม่”
“จริงๆ แล้วพิธีปักปิ่นของแต่ละเผ่าก็ไม่ต่างกันในแง่พิธีการหลักๆ รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่จะต่างไป”
“ถ้าเป็นเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง เสด็จตาเสวี่ยหมิงของเจ้ามีเสด็จยายเหม่ยเมิ่งเพียงคนเดียว รายละเอียดของพิธีจึงไม่มีอะไรน่าสนใจ เสด็จลุงเสวี่ยซานของเจ้ามีภรรยาสามคน พิธีสวมกวานให้เสวี่ยจงและเสวี่ยไห่ เสด็จลุงของเจ้าก็จัดให้ทัดเทียมกัน ส่วนเสวี่ยเยวี่ยน พี่สาวของเจ้า เสด็จลุงก็จัดให้เช่นเดียวกับที่เสด็จตาและเสด็จยายจัดให้แม่ กล่าวได้ว่าพิธีของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางไม่มีอะไรน่าสนใจ”
“ส่วนเผ่าอื่นที่แตกต่างไปก็เพราะราชาของแต่ละเผ่ามีภรรยามากกว่าหนึ่ง แน่นอนว่าบุตรของภรรยาเอกต้องได้รับความสำคัญมากกว่าบุตรของภรรยาอื่น ดังนั้น ข้าวของที่ใช้และพิธีที่จัดจึงต้องดีที่สุด บุตรของผู้ที่มิใช่ราชินีก็ต้องลดหลั่นกันไปเป็นธรรมดา ไม่มีภรรยาเอกคนใดยอมให้บุตรของผู้อื่นมีหน้ามีตาทัดเทียมกับบุตรของนาง กิเลนน้อยของเจ้าจะมีพิธีด้อยกว่าองค์หญิงหลิงฉี องค์หญิงไห่อิ่ง องค์หญิงซินเหมย และองค์หญิงหัวอิง จึงเป็นเรื่องปกติ” เสวี่ยหลินเอ่ยนามสี่องค์หญิงแห่งเผ่ากิเลนได้อย่างแม่นยำ
หยางเทียนต้องเงียบงันกับคำอธิบายนี้
“แล้วเด็กหญิงน้อยนั่น นางบอกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
“นางบอกว่าพิธีของนางจัดภายในครอบครัว จะจัดที่ตำหนักของจิวเจี๋ยยวี๋ จิวอิง มารดาของนาง ในพิธีมีเพียงราชากิเลนหลี่เหอ มารดา ท่านตา และท่านยายของนางเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นก็ถูกต้องแล้ว นางเป็นบุตรสาวของหนึ่งในยี่สิบเจ็ดพระสนมชั้นสูงสามารถมีพิธีได้เพียงเท่านี้ อย่างดีก็เพียงเชิญแขกเหรื่อได้สักคนสองคนไปร่วมพิธี”
มิน่า หรูเอ๋อร์จึงเชิญแค่ข้าและเสด็จแม่ไปร่วมพิธี คงไม่มีผู้ใดมาร่วมพิธีปักปิ่นของนาง
“นางเชิญลูกไปร่วมพิธีของนาง ลูกรับปากนางแล้วว่าจะไป แล้วนางยังเชิญเสด็จแม่ด้วย แต่ลูกบอกว่าจะมาทูลถามเสด็จแม่ก่อน”
“นางไม่ทราบเลยสิว่าเจ้าและแม่เป็นผู้ใด” เสวี่ยหลินเอ่ยถามยิ้มๆ ในใจเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่าง
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่เคยบอก นางก็ไม่เคยถาม ลูกเชื่อว่านางสงสัยว่าลูกและเสด็จแม่เป็นผู้ใด นางคงคาดเดาว่าลูกและเสด็จแม่เป็นเทพเซียนสูงศักดิ์ แต่ย่อมคาดไม่ถึงว่าจะเป็นองค์ชายหยางเทียนและมหาเทวีเสวี่ยหลิน”
“นางเป็นอย่างไรในสายตาเจ้า”
“นางใจดี เห็นใจผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตนและเจียมตัวเสมอ ทั้งยังขยันขันแข็ง มีวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่ง ตลอดยี่สิบปีที่ลูกชี้แนะ นางพยายามเต็มที่จนประสบความสำเร็จ หลายครั้งที่ลูกเองยังต้องรู้สึกได้ว่าตนเองยังพยายามได้ไม่ดีเท่ากับนาง”
เสวี่ยหลินพยักหน้าก่อนจะถามต่อ “แล้วเจ้าชมชอบนางเพียงใด”
“เสด็จแม่ !”
“จะตกใจอะไร เจ้าเอาใจใส่นางในทุกเรื่องและทุกรายละเอียดมาตลอดยี่สิบปี หากแม่ยังมองไม่ออกว่าเจ้าชมชอบนาง ก็เสียทีที่เป็นมหาเทวีแล้ว และอย่าคิดว่าแม่จะไม่ทราบว่าเจ้าทำอะไร”
“เสด็จแม่ให้คนตามลูก?” หยางเทียนชักนึกเคือง
“แม่ก็แค่ส่งท่านอาหย่งเสียนตามไปดูเจ้าเรื่อยๆ และให้ท่านมารายงานแม่ก็แค่นั้น ลูกชายคนเดียวขยันไปชี้แนะใครสักคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าแม่กับพ่อจะไม่สงสัยอะไรบ้างเลย?”
“เอ่อ...แปลว่าเสด็จพ่อก็ทรงทราบ?” หยางเทียนเสียงอ่อย
“พ่อเจ้าน่ะเขาทราบมานานพอๆ กับแม่ บุตรชายคนโปรดหายตัวไปแทบจะทุกค่ำคืน กว่าจะกลับมาถึงก็เกือบต้นยามโฉ่ว (01.00 น.) คิดว่าพ่อเจ้าจะไม่สงสัย? เรื่องของเจ้าก็เลยเป็นภาระของท่านอาหย่งเสียนตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา”
ฟังคำตอบแล้ว หยางเทียนต้องนิ่งอึ้ง เขาลืมไปจริงๆ ว่าบิดามารดาดูแลเขาอย่างดี และถ้อยคำของหย่งเสียนเซียนกวนก็พลันดังขึ้นในใจของเขา
ในบรรดาเซียนสตรีที่วาดหวังจะแต่งเข้าวังมังกรสวรรค์นั้น ย่อมต้องผ่านการพิจารณาเป็นพิเศษจากมหาเทวี เพราะเกณฑ์การคัดเลือกบุตรสะใภ้ของมหาเทวีนั้นเชื่อได้ว่าจะยากลำบากแก่เซียนสตรีทุกนาง
ใช่ เป็นอย่างที่ท่านอาหย่งเสียนกล่าวไว้จริงๆ เสด็จแม่สอดส่องข้า แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย เสด็จแม่ก็นิ่งเฉย ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ปล่อยให้ข้าทำตามใจตนเอง เขานึกได้ในที่สุด
“แล้ว...เอ่อ...เสด็จแม่กับเสด็จพ่อเห็นว่าหรูเอ๋อร์เป็นอย่างไร”
*** ถ้าเราให้อะไรกับใครแล้ว "มันไม่มีค่า" สู้เราเก็บเอาไว้ดีกว่า
เวลาเราให้คำแนะนำกับคนที่เค้า "ไม่อยากได้" เค้าเรียกว่า "เสือก" ครับ
ให้ "เงิน" คนที่เค้ายังไม่อยากได้รับเงินเรา เค้าเรียกว่า "ดูถูก" ครับ
ให้ "ความรัก"กับคนที่เค้าไม่มีใจ" เค้าเรียกว่า "รำคาญ" ครับ
ฉะนั้นเนี่ย "การให้" เป็นสิ่งที่มีค่า แต่ถ้าให้คน "ผิดที่-ผิดเวลา" คุณค่ามันจะ "หมด" ไปทันที
ผู้เขียนหยิบยืมมาจากคำพูดของ อ.จตุพล ชมภูนิช ***