กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาแห่งมังกรกิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น
เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน
เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง
เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี
เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนางด้วยใจเมตตาสงสาร หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้
กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง
“หรูเอ๋อร์? เดี๋ยวนี้เรียก ‘หรูเอ๋อร์’ เมื่อก่อนหน้าเจ้าเรียกนางว่า ‘เมิ่งหรู’ ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ารุดหน้าอย่างยิ่ง” วาจานี้ฟังไม่ออกว่ามารดาของเขาพอใจหรือไม่พอใจเมิ่งหรูกันแน่
“ลูกเพิ่งเรียกเมื่อคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ” เขารับคำเสียงอ่อย
เสวี่ยหลินต้องแย้มยิ้มขบขัน
“เสด็จแม่ยังไม่ตอบลูกเลยว่านางถูกพระทัยเสด็จแม่หรือไม่”
“หากแม่ตอบว่าแม่กับพ่อไม่ถูกใจล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร” หยางเทียนนิ่งอึ้งไปกับคำถามนี้ทันที
“ลูก...เอ่อ...ลูกก็จะหาทางทำให้เสด็จแม่และเสด็จพ่อพอพระทัยในตัวนาง แต่ลูกก็ต้องทราบก่อนว่าพวกท่านไม่โปรดนางเพราะเหตุใด ลูกจะได้แก้ไขได้ถูกต้อง”
“ตอบได้ดี” เสวี่ยหลินเอ่ยชมบุตรชาย
“ตลอดยี่สิบปีที่แม่กับพ่อรับรู้เรื่องราวของนาง ถือว่านางไม่มีอะไรเสียหาย ความประพฤติเพียบพร้อม แม้นางจะมิได้เก่งกาจเลิศเลอ แต่นางมีจิตใจอ่อนโยน หากนางจะมีข้อด้อยก็เพียงเรื่องเดียว...”
“เรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ” หยางเทียนถามแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นางเป็นเพียงบุตรีของหนึ่งในยี่สิบเจ็ดพระสนมชั้นสูง มิใช่บุตรของราชินีหรือเฟยทั้งสี่หรือเก้าพระสนมเอก”
“เสด็จแม่รังเกียจนางเพราะเรื่องนี้?” เขาถามด้วยใจที่วูบโหวง หัวใจคล้ายร่วงหล่นจากที่สูง
“โอ๊ยยยย” หยางเทียนร้องออกมาเมื่อจู่ๆ มารดาก็ยื่นมือมาดีดหน้าผากเขาแรงๆ
“ถ้าแม่กับพ่อรังเกียจนางเพราะเรื่องนี้ เจ้าจะไม่ได้พบนางตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา” เสวี่ยหลินกล่าวอย่างหมั่นไส้บุตรชาย
“แล้วเสด็จแม่ดีดหน้าผากลูกทำไมพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้านี่นะ ฟังแม่พูดมาตั้งนานกลับจับใจความไม่ได้เสียนี่” เขาต้องทำหน้าเหลอหลา เขาจับใจความไม่ได้ตรงไหน ก็ฟังเสด็จแม่ของเขากล่าวมาตลอดนี่นา
“แม่เพียงกล่าวว่าเมิ่งหรูมี ‘ข้อด้อย’ ที่นางเป็นเพียงบุตรีของหนึ่งในยี่สิบเจ็ดพระสนมชั้นสูง มิได้กล่าวว่าเป็น ‘ข้อเสีย’ ข้อด้อยหมายถึงว่าแย่แต่ยังยอมรับได้ ส่วนข้อเสียคือทั้งแย่และยอมรับไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขารับคำเสียงอ่อย
“เมิ่งหรูแม้จะมีข้อด้อยในชาติกำเนิด แต่นั่นเพราะนางเลือกเกิดไม่ได้ หากเลือกได้ ก็ไม่มีใครอยากมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยดอก และแม้นางจะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยแต่นางก็มิได้ทำให้ตนเองต่ำต้อยตามชาติกำเนิดของนาง มีแต่จะยิ่งประพฤติให้ดีขึ้น นี่จึงเป็นข้อดีที่ทดแทนข้อด้อยของนาง แม่กับพ่อมิได้ตัดสินเมิ่งหรูที่ชาติกำเนิดหรือสิ่งภายนอกอื่นใด หากตัดสินจากกาย วาจา และจิตใจอันดีงาม นั่นจึงทำให้นางคู่ควรกับเจ้า”
“ดังนั้น หากเจ้าคิดสานสัมพันธ์กับนางต่อไป แม่กับพ่อก็ไม่ว่าอะไร และเมื่อใดที่เจ้าคิดว่าตนเองพร้อมจะครองคู่กับนาง ก็มาบอกก็แล้วกัน แม่กับพ่อจะไปสู่ขอนางให้เจ้า”
คำตอบนี้ทำให้เขายิ้มกว้างทันที เสด็จแม่ของเขาน่ารักที่สุด
“แล้วเสด็จแม่จะไปร่วมพิธีปักปิ่นของนางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไปสิ ว่าที่ลูกสะใภ้เชิญทั้งที ว่าที่แม่สามีเช่นข้าจะไม่ไปได้อย่างไร หากไม่ไป เจ้าคงเคืองแม่เสียมากมายกระมัง?”
“ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่กล้าโกรธเคืองบิดามารดาแน่นอน พวกท่านรักเขามากมายเหลือเกิน
เขาพลันเห็นมารดาหันไปค้อนมหาเทพหยางหลงที่บัดนี้ตื่นบรรทมแล้วและกำลังนอนตะแคงส่งยิ้มตาใสให้มารดาอยู่ ไม่ทราบว่าบิดาของเขาตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
“ฟูจวิน ดูเหมือนท่านจะกินแรงข้าไม่น้อย ตื่นแล้วก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาช่วยพูดจากับลูกเสียเลย” มารดาของเขาเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอน
“ก็ข้าเห็นว่ามหาเทวีสั่งสอนองค์ชายหยางเทียนได้ดีแล้ว ข้าจึงไม่อยากสอดแทรก” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ
“เฮอะ ท่านเอาเปรียบข้าชัดๆ ปล่อยให้ข้าพูดกับลูกเสียตั้งนาน เช่นนั้น เย็นนี้ท่านก็อดอาหารเย็นไปก็แล้วกัน” กล่าวจบแล้ว มารดาของเขาก็ลุกขึ้นเดินหนีออกไปจากห้องทันที ทำให้บิดาของเขาที่นอนเล่นอย่างสบายใจต้องรีบลุกขึ้นมา ท่าทางร้อนรน สีหน้าวิตกกังวล
“เจ้าอยู่เล่นกับลี่หยาน ลี่อิน ไปนะ พ่อไปง้อแม่เจ้าก่อน” มหาเทพบอกกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ง้อทำไมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ไม่ได้โกรธเสด็จพ่อเสียหน่อย”
“นี่แหละโกรธล่ะ แต่โกรธไม่มาก แค่งอน พ่อไปง้อก่อน” กล่าวจบแล้วมหาเทพก็รีบเดินไปทันที เขาต้องมองตามอย่างงุนงง
หากก่อนจะก้าวเท้าออกไปพ้นห้อง มหาเทพพลันหันมากล่าวกับเขา
“จำไว้นะ เทียนเอ๋อร์ ยามสตรีงอน เจ้าต้องรีบง้อ หากปล่อยไว้นาน เจ้าจะง้อยากและเป็นเรื่องใหญ่ พ่อไปล่ะ” มหาเทพบอกเคล็ดลับที่ไม่เคยบอกผู้ใดมาก่อน
“เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ” หยางเทียนรับคำอย่างงุนงงแต่ก็พอเข้าใจได้ว่าหากสตรีงอน ต้องรีบง้อ ดังนั้น หากหรูเอ๋อร์งอนเขา เขาก็ต้องรีบง้อเช่นกัน
“เสด็จแม่ ลูกมีเรื่องอยากทูลขอพ่ะย่ะค่ะ” หยางเทียนเอ่ยปากระหว่างรับประทานอาหารเช้ากับบิดามารดา
“หมู่นี้ขอบ่อยจริง เมื่อสามวันก่อนก็ขอให้แม่ไปร่วมพิธีปักปิ่นของนาง วันนี้เจ้าจะขออะไรให้กิเลนน้อยของเจ้าอีกล่ะ” มารดาของเขาดักคอบุตรชายคนโปรดอย่างหมั่นไส้
หยางเทียนต้องยิ้มแห้ง เขายังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด หากมารดากลับทราบเสียแล้ว
“เจ้าควรชินเข้าไว้...” มหาเทพหยางหลงเอ่ยออกมาเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีของบุตรชาย
“...ต่อไปเมื่อเมิ่งหรูแต่งให้เจ้า เจ้าต้องปฏิบัติตัวให้ดี ดูอย่างพ่อ พ่อต้องหมั่นเอาใจแม่ของเจ้าไว้ มิฉะนั้นล่ะก็...” มหาเทพหยางหลงพลันมีสีหน้าท่าทีหวาดกลัวฟูเหรินของตนอย่างยิ่ง ทั้งยังใช้นิ้วชี้ทำท่าปาดคอตนเอง เป็นสัญญาณให้รู้ว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ
เผียะ—
เสวี่ยหลินตีแขนของมหาเทพจนเขานิ่วหน้า “อูยยยย เจ้าตีข้าทำไม หลินเอ๋อร์”
“ตีสิ ท่านนี่สอนอะไรลูกก็ไม่รู้”
“ข้าสอนเคล็ดลับการครองคู่ให้เขาอย่างไรล่ะ ฟูจวินที่ดีต้องเอาใจฟูเหรินให้มาก ชีวิตจึงจะอยู่รอดปลอดภัย” เขากล่าวกลั้วหัวเราะที่ได้เย้าแหย่นาง เสวี่ยหลินได้แต่ค้อนอย่างหมั่นไส้ หากหยางเทียนต้องยิ้มออกมา บิดามารดาของเขาหยอกล้อกันเช่นนี้เสมอ พวกท่านเป็นทั้งคู่สามีภรรยาและสหายผู้รู้ใจ
“ว่ามา เจ้าจะขออะไรให้นาง” มหาเทวีเสวี่ยหลินหันมาเข้าเรื่องเสียที
“หรูเอ๋อร์เคยบอกลูกว่านางอยากไปร่ำเรียนและฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่ของเสด็จแม่ นางอยากฝึกฝนทุกอย่าง ลูกจึงมาขอให้เสด็จแม่รับนางพ่ะย่ะค่ะ”
เสวี่ยหลินมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจได้ เมิ่งหรูเป็นแฟนคลับตัวยงของร้านชาลี่ถังลี่มี่ หากนางได้ไปฝึกฝนที่นั่น ก็เรียกได้ว่า ‘ชีวิตติ่ง complete’ กันเลยทีเดียว
“ได้สิ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เอาเถิด วันนั้นที่ไปร่วมพิธีปักปิ่นของนาง แม่จะบอกนางเอง แต่เรื่องนี้ต้องให้บิดาเจ้าออกหน้าด้วย มิฉะนั้น ราชาหลี่เหอไม่ยอมให้นางไปฝึกฝนที่นั่นแน่”
“ฟูจวิน ท่านก็ให้ท่านอาหย่งเสียนถือจดหมายของท่านไปให้ราชาหลี่เหอ บอกกล่าวว่าท่านและมหาเทวีเสวี่ยหลินอนุญาตให้เมิ่งหรูไปฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่นะเจ้าคะ ที่เหลือข้าจัดการเอง” เสวี่ยหลินหันมาบอกมหาเทพหยางหลงที่นั่งฟังด้วยรอยยิ้มชอบใจ
“รับบัญชามหาเทวี” มหาเทพกล่าวล้อเลียน เขาจึงได้ค้อนวงใหญ่ด้วยความหมั่นไส้จากฟูเหรินสุดที่รักไปเต็มๆ
วันนี้ถึงกำหนดพิธีปักปิ่นของเมิ่งหรูแล้ว ยามนี้นางแต่งตัวเรียบร้อย รอเพียงราชาหลี่เหอเสด็จมาก็สามารถเริ่มพิธีได้ทันที
“พระสนมเพคะ มีเซียนชายหญิงคู่หนึ่งมารอที่หน้าตำหนัก พวกเขาบอกว่าเป็นแขกขององค์หญิงน้อยเมิ่งหรูเพคะ” นางกำนัลประจำตำหนักเข้ามาบอกจิวเจี๋ยยวี๋ จิวอิง
จิวเจี๋ยยวี๋ต้องแปลกใจ แขกของบุตรสาวนาง หากครู่เดียวก็นึกออก บุตรสาวของนางบอกไว้หลายวันแล้วว่าจะมีคนรู้จักสองคนมาร่วมพิธี
“คงจะเป็นสหายร่วมสำนักของนาง ไปเชิญพวกเขาเข้ามาเถิด พิธีปักปิ่นวันนี้ไม่มีอะไรมาก มีแขกเพิ่มมาถึงสอง งานเลี้ยงหลังพิธีจะได้ครึกครื้นมากขึ้น”
“เอ่อ...พวกเขาคงไม่ใช่สหายขององค์หญิงน้อยกระมังเพคะ พวกเขาดู...เอ่อ...สูงศักดิ์...”
“เป็นธรรมดา บุตรหลานของเทพเซียนส่วนใหญ่ย่อมสูงศักดิ์อยู่แล้ว เจ้าอย่าชักช้า รีบเชิญพวกเขาเข้ามาเถิด ใกล้ถึงเวลาที่องค์ราชาจะเสด็จแล้ว” จิวเจี๋ยยวี๋ตัดบท
“เพคะ”
ไม่นานนักนางกำนัลก็นำแขกทั้งสองที่กล่าวถึงเข้ามา จิวเจี๋ยยวี๋ จิวอิง ต้องชะงักไป เพราะพวกเขาทั้งสองสวมใส่หน้ากากสีขาวเรียบปิดบังใบหน้าครึ่งบนไว้
เซียนบุรุษสตรีตรงหน้า สวมใส่อาภรณ์แบบเรียบง่ายหากชัดเจนว่าตัดเย็บด้วยแพรพรรณชั้นเลิศ จิวเจี๋ยยวี๋สะดุดตากับเซียนบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทีสง่างาม เขาสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อนแก่ไล่ระดับ ทำให้เขาดูสูงส่งยิ่งนัก กวานของเขาเป็นหยกสีเขียวเข้มฉลุลายละเอียดและประดับด้วยหยกน้ำค้างหิมะที่สลักเป็นเศียรมังกร บ่งบอกชัดเจนว่าเซียนบุรุษผู้นี้มาจากเผ่ามังกรและยังสูงศักดิ์ เขายืนเยื้องไปทางด้านหลังของเซียนสตรีที่มาด้วยกัน
เซียนสตรีที่ยืนเยื้องเบื้องหน้าเซียนบุรุษ นางเตี้ยกว่าเขาราวครึ่งฉื่อ (1 ฉื่อ = 25 เซนติเมตร) ท่าทีของนางงดงามอ่อนหวานนุ่มนวลหากสง่าและสูงศักดิ์อย่างยิ่ง นางสวมใส่อาภรณ์สีเขียวอ่อนแซมขาว บนร่างของนางมีเครื่องประดับเพียงสามชิ้น เป็นปิ่น ดอกไม้ปักผม และต่างหู ที่ทำจากหยกสีเขียวเข้มเข้าชุดกัน แม้อาภรณ์และเครื่องประดับจะดูเรียบง่ายแต่ก็ทราบได้ถึงความล้ำค่าและประณีต การแต่งกายของนางไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดูลงตัวอย่างที่สุด
แต่แล้วจิวเจี๋ยยวี๋ก็ต้องสะดุดตากับแหวนหยกสีเขียวเข้มบนนิ้วกลางขวาของเซียนสตรีผู้นี้ เพราะแหวนหยกนี้มีสีเขียวเข้มสดใสต่างจากเครื่องประดับชิ้นอื่นที่นางสวมใส่อย่างชัดเจน ทั้งยังฝังไว้ด้วยเพชรสีแดงอมม่วงขนาดใหญ่บ่งบอกได้ว่าแหวนหยกประดับเพชรนี้ล้ำค่าเพียงใด และเพชรสีแดงเม็ดนี้กำลังส่องประกายงดงาม จิวเจี๋ยยวี๋ขมวดคิ้ว นางคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จักแหวนหยกวงนี้ หากนางกลับนึกไม่ออกเสียอย่างนั้น
เสวี่ยหลินที่เห็นจิวเจี๋ยยวี๋จ้องมองแหวนหยกที่นางสวมใส่ต้องใจหายวาบ แหวนจักรพรรดิแดงเป็นแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานที่นางสวมติดนิ้วมาตลอดสามแสนแปดหมื่นสามพันปีนับแต่หมั้นหมายจนถึงเวลานี้ วันนี้นางจึงจงใจแต่งกายด้วยสีเขียวเพื่อให้แหวนจักรพรรดิแดงกลืนไปกับการแต่งกายของนาง ไม่คาดว่ามันยังคงสะดุดตาคนภายนอกจนได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของจิวเจี๋ยยวี๋แล้ว นางต้องแอบโล่งอก เพราะจิวเจี๋ยยวี๋แม้มีท่าทีคล้ายจะรู้จักแต่นางก็ไม่คุ้นเคยกับแหวนหยกวงนี้ นางจึงจดจำไม่ได้
“พวกท่านเป็น...เอ่อ...สหายของเมิ่งหรู?” จิวเจี๋ยยวี่ถามอย่างไม่แน่ใจ ท่าทีของเซียนคู่นี้ดูส่งส่งเกินกว่าจะเป็นสหายของบุตรสาวนางได้
“เป็นหลานชายข้าที่เป็นสหายขององค์หญิงน้อยเมิ่งหรู นางเชิญหลานชายข้าและตัวข้าให้มาเป็นแขกของนางในวันนี้” เซียนสตรีผู้นี้บอกกล่าว และมือซ้ายของนางก็ค่อยๆ ขยับเลื่อนมาวางทับมือขวาของนางที่สวมแหวนจักรพรรดิแดงอย่างแนบเนียน
จิวเจี๋ยยวี่นิ่งอึ้ง นางไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขาทั้งสองเป็นคนรู้จักของบุตรสาวนาง พวกเขาดูสูงส่งเกินไป
“ข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้า ‘หยางอิง’ เป็นอาหญิงของหลานชายผู้นี้ของข้า นามของเขาคือ หยางไท่ พระสนมคงไม่คุ้นนามของพวกเรากระมัง”
“มะ...ไม่คุ้นเลยเพคะ อุ๊บ ขออภัย ท่านหยางอิง” จิวเจี๋ยยวี๋หลุดคำพูดที่นางรู้สึกว่าสมควรกล่าวเช่นนี้กับบุรุษสตรีตรงหน้า
“ไม่เป็นไร ท่านพูดกับข้าธรรมดาเถิด พวกเราไม่ได้มียศศักดิ์อะไร” คำ ‘ไม่มียศศักดิ์อะไร’ ทำให้จิวเจี๋ยยวี่รู้สึกไม่เห็นด้วยขึ้นมาเสียเฉยๆ
“เชิญท่านหยางอิงและท่านหยางไท่นั่งที่ด้านนี้ก่อน อีกสักครู่องค์ราชาหลี่เหอ ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าก็จะมาถึงแล้ว”
หยางอิงและหยางไท่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างที่จัดไว้ให้แขกเหรื่อได้นั่งร่วมพิธี นางกำนัลรีบนำชาร้อนมาต้อนรับพวกเขา นั่งจิบชาไปได้ครู่หนึ่งจึงปรากฏบุรุษสตรีวัยกลางคนเข้ามาในห้อง ย่อมเป็นขุนพลจิวหูและฮูหยินของเขา ขุนพลจิวหูและฮูหยินสะดุดตากับเซียนบุรุษสตรีในอาภรณ์สีเขียวโดยเฉพาะเซียนสตรีผู้นี้ มันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบเห็นนางมาก่อน หากนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ใดและนางเป็นใคร
“ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ...” ขุนพลจิวหูถามขึ้นอย่างสุภาพ ท่าทีของบุรุษสตรีตรงหน้าทำให้มันกล่าวอย่างนอบน้อมโดยไม่รู้ตัว
“ท่านพ่อ พวกเขาเป็นสหายของหรูเอ๋อร์เจ้าค่ะ หรูเอ๋อร์เชิญพวกเขามาร่วมพิธีของนาง” จิวเจี๋ยยวี๋ตอบแทน หากทำให้ขุนพลจิวหูและฮูหยินต้องประหลาดใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ นั่งก่อนเถิดเจ้าค่ะ องค์ราชาใกล้จะเสด็จถึงแล้ว” ถ้อยคำนี้ทำให้ขุนพลจิวหูและฮูหยินก้าวไปนั่งรออีกด้านหนึ่ง
ไม่กี่อึดใจราชากิเลนหลี่เหอก็เข้ามา หากปราดแรกที่มองเห็นผู้คนในห้องพิธี สายตาของมันต้องหยุดลงที่บุรุษสตรีในอาภรณ์เขียว มันคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเซียนบุรุษผู้นี้มาก่อน หากกลับนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
“ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ...” ราชาหลี่เหอพลันกล่าวอย่างสุภาพโดยไม่รู้ตัว มันสงสัยอย่างยิ่งว่าเหตุใดบุรุษสตรีคู่นี้จึงสวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้า ทว่ามันกลับไม่กล้าถามออกไป
“พวกเขาเป็นสหายของหรูเอ๋อร์เพคะ หรูเอ๋อร์เชิญพวกเขามาร่วมพิธีของนาง” จิวเจี๋ยยวี๋ตอบแทน หากทำให้ราชาหลี่เหอต้องขมวดคิ้ว บุตรสาวของมันมีสหายที่ดูสูงส่งเช่นนี้ด้วย? มันได้แต่แปลกใจหากก็ไม่ติดใจสงสัย
“เจ้าไปพาหรูเอ๋อร์มา ได้ฤกษ์แล้ว” ราชาหลี่เหอหันไปสั่งนางกำนัลผู้หนึ่ง
“เพคะ”
เพียงครู่ทุกคนก็ได้เห็นเมิ่งหรู วันนี้นางอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวยาวเรี่ยพื้น ผมดำสนิทถูกเกล้าไว้ครึ่งศีรษะแล้วจึงทอดตัวยาวจรดบั้นเอว ผิวพรรณขาวผ่องราวหิมะ ดวงหน้างดงามน่ารัก บนใบหน้าขาวเนียนประดับไว้ด้วยคิ้วโค้งเรียวบาง นัยน์ตาดำหวานกลมโตสดใส สองแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยวัยแรกสาว ริมฝีปากอิ่มสีแดงดั่งกุหลาบ นางดูราวกับตุ๊กตาน่ารักตัวน้อยที่สวรรค์บรรจงสร้าง แม้มิได้งามโดดเด่นเช่นองค์หญิงทั้งสี่ แต่ความน่ารักสดใสของนางก็เหนือชั้นกว่าองค์หญิงเหล่านั้นไปไกล
นัยน์ตาคมกริบจับจ้องตุ๊กตาน้อยตรงหน้าด้วยความคิดถึงยิ่ง หวนคิดถึงความนุ่มนิ่มจากร่างบอบบางที่เขามีโอกาสได้โอบกอดในคืนสุดท้ายที่บูรพานิรันดร์แล้ว หยางเทียนยิ่งจับจ้องนางไม่วางตา
เสวี่ยหลินเห็นอาการของบุตรชายแล้วได้แต่อมยิ้ม
ว่าที่ลูกสะใภ้ข้าน่ารักเสียจริง มิน่าเจ้าตัวดีถึงเอาใจใส่นางเหลือเกิน เสวี่ยหลินนิ่งคิดอย่างขบขัน
เมิ่งหรูที่เหลือบตามองจึงได้พบเห็นท่านเซียนหยางไท่และอาหญิงของเขา นางเหลือบตามองเขาและยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะสงบสำรวม
เมิ่งหรูก้าวมายืนเบื้องหน้าราชาหลี่เหอและจิวเจี๋ยยวี๋ นางประสานมือ ย่อกายคารวะ ก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อเริ่มพิธีปักปิ่น จิวเจี๋ยยวี๋ลุกขึ้น ยื่นมือปลดมวยผมคู่ที่เมิ่งหรูทำเป็นประจำออก แล้วหวีผมใหม่เกล้าขึ้นแบบหญิงสาวทั่วไป จิวเจี๋ยยวี๋เอื้อมมือไปหยิบปิ่นหยกขาวที่ทำจากหยกน้ำค้างหิมะอันเป็นปิ่นของมารดาของนางจากถาดที่นางกำนัลนำมารอไว้ก่อนจะปักลงบนมวยผมของเมิ่งหรู
“เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้ว ขอให้เจ้าพบเจอและได้รับแต่สิ่งดีๆ สุขภาพแข็งแรง และมีความสุขตลอดไปนะลูก” นางกล่าวอวยพร
“ขอบคุณท่านแม่”
เมิ่งหรูลุกขึ้นก่อนจะคำนับให้กับบิดามารดา ขุนพลจิวหูและฮูหยิน และหันมาคำนับให้กับท่านเซียนหยางไท่และอาหญิงของเขา เป็นอันว่าพิธีปักปิ่นเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
เมิ่งหรูก้าวไปยืนตรงหน้าเขาและอาหญิง
“คารวะอาหญิง ท่านเซียน” นางเอ่ยคารวะและเรียกขานด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
“ตามสบายเถิด เมิ่งหรู ขอบใจมากที่เจ้ามีใจนึกถึงและเชิญข้ากับหลานชาย วันนี้เจ้าเติบโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำอะไร คิดอะไร ให้รอบคอบนะ” อาหญิงกล่าวอวยพร
“ขอบคุณอาหญิงเจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังและทำตามที่อาหญิงสอนทุกอย่างเจ้าค่ะ”
“เด็กดี เจ้าเป็นเด็กน่ารักจริงๆ”
“จิวเจี๋ยยวี๋ ท่านวาสนาดียิ่งที่มีบุตรสาวน่ารักเช่นนี้” หยางอิงหันมากล่าวกับจิวเจี๋ยยวี๋
“ขอบคุณท่านหยางอิง”
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เมิ่งหรูได้ทราบนามของอาหญิงที่ช่วยเหลือนาง
“จำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าเจ้าชอบร้านชาลี่ถังลี่มี่มาก วันนี้ข้าจึงมีของขวัญอย่างหนึ่งมาให้เจ้าโดยเฉพาะ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่อาหญิงมาร่วมพิธีของข้า ข้าก็ยินดีมากแล้ว ท่านไม่ต้องมอบสิ่งใดให้ข้าเจ้าค่ะ” นางปฏิเสธทันที นางจะกล้ารับของขวัญจากอาหญิงได้อย่างไร
“แล้วถ้าของขวัญชิ้นนั้นเป็นคำอนุญาตจากมหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลินให้เจ้าไปฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่นานเพียงใดก็ได้ เจ้าก็ไม่เอาจริงๆ?” เสวี่ยหลินถามยิ้มๆ
เมื่อทราบว่าเป็นของขวัญใด เมิ่งหรูเบิ่งตากลมกว้างอย่างตกใจก่อนจะกลายเป็นดีใจ
“จริงหรือเจ้าคะ มหาเทพและมหาเทวีทรงอนุญาตให้ข้าไปฝึกฝนที่นั่น”
“จริงสิ แล้วเจ้ายังจะไม่รับของขวัญชิ้นนี้จริงๆ?”
สองมือขาวผ่องรวบจับสองมือของเสวี่ยหลินด้วยความดีใจ เมิ่งหรูละล่ำละลักกล่าวออกมา “รับเจ้าค่ะ ถ้าเป็นของชิ้นนี้ข้ารับเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหลินต้องแย้มยิ้มขบขัน นางเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งหรูเลยเชียวล่ะว่า ‘ชีวิตติ่ง complete’ เป็นอย่างไร
“ท่านหยางอิง ไม่ทราบว่าท่านได้คำอนุญาตจากมหาเทพและมหาเทวีมาได้อย่างไร” ราชากิเลนหลี่เหอถามแทรกขึ้น
“ข้าเป็นสหายสนิทของมหาเทวี เมื่อหลานชายข้าออกปากขอร้องข้าในเรื่องนี้ ข้าก็เพียงพูดคุยเล็กน้อยกับมหาเทวีเท่านั้น นางก็อนุญาตแล้ว”
ราชาหลี่เหอต้องอัศจรรย์ใจ คาดเดาไม่ออกเลยว่าเมิ่งหรูไปรู้จักเทพเซียนชั้นสูงเหล่านี้ได้อย่างไร
“ทูลองค์ราชา หย่งเสียนเซียนกวนและท่านหญิงเสวี่ยปิงจากแดนพายัพขอเข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น
“รีบเชิญ”
ไม่นานนักหย่งเสียนและเสวี่ยปิงก็เข้ามา หย่งเสียนนั้นแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่หากเขาต้องฝืนทำสีหน้าเรียบนิ่ง รักษาท่าทีสุขุมเข้าไว้ ขณะที่เสวี่ยปิงก็มีสีหน้างุนงงเล็กน้อยเมื่อมองเห็นเสวี่ยหลินและหยางเทียน นางได้แต่แปลกใจว่าพวกเขาใส่หน้ากากทำไม แต่ยามนี้นางต้องเงียบไว้ก่อน เสวี่ยหลินกำชับนางมาแล้วว่าห้ามทำสิ่งใดให้คนเผ่ากิเลนสงสัย ตามน้ำไปอย่างเดียวก็พอ และต้องรับตัวองค์หญิงน้อยเมิ่งหรูไปเลย
“ท่านหย่งเสียนมีเรื่องใด?” ราชาหลี่เหอถามอย่างแปลกใจ
หย่งเสียนส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ก่อนจะเอ่ย “มหาเทพและมหาเทวีให้ข้านำจดหมายฉบับนี้มามอบให้องค์ราชาพ่ะย่ะค่ะ”
ราชาหลี่เหอรีบเปิดจดหมายออกอ่าน เพียงครู่เดียวมันก็ตวัดสายตาเหลือบมองเมิ่งหรู
“มหาเทพและมหาเทวีส่งจดหมายมาบอกข้าว่าท่านอนุญาตให้เมิ่งหรูไปฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่ได้นานเท่าที่ต้องการ”
เมิ่งหรูยิ้มกว้างอย่างดีใจมากมาย นี่เป็นของขวัญที่นางไม่เคยคิดฝันว่าตนเองจะได้รับมัน
“ท่านหญิงเสวี่ยปิงได้รับคำสั่งจากมหาเทวีเสวี่ยหลินและพระชายาเหม่ยเมิ่งให้มารับตัวองค์หญิงน้อยเมิ่งหรูไปที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเสียนกล่าวเสริมขึ้น
เมิ่งหรูเบิ่งตากว้าง “เอ่อ...ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ”
“ใช่เพคะ มหาเทวีและพระชายากำชับให้ข้ามารับองค์หญิงน้อยไปเลย เพราะเสร็จพิธีปักปิ่นแล้ว องค์หญิงน้อยก็ไม่ติดธุระใดแล้วนี่เพคะ” เสวี่ยปิงตอบกลับ
เมิ่งหรูละล้าละลัง นางไม่คาดว่าตนเองจะต้องไปร้านชาลี่ถังลี่มี่เร็วเช่นนี้
“เจ้าไปเถิด มหาเทพและมหาเทวีทรงอนุญาตมาเช่นนี้แล้ว อย่าทำให้พวกท่านเคืองพระทัย” ราชาหลี่เหออนุญาตทันที
“เพคะ เสด็จพ่อ”
“เอ่อ...เช่นนั้นข้าขอไปเก็บของสักครู่นะเจ้าคะท่านหญิง” เมิ่งหรูหันมาบอกเสวี่ยปิง
“องค์หญิงน้อยเรียกนางว่า ‘ท่านยายเสวี่ยปิง’ เถิด” หย่งเสียนบอกกับนาง
“เจ้าค่ะ”
ราวครึ่งเค่อเมิ่งหรูก็กลับออกมา
“ท่านแม่ ลูกไปแดนพายัพก่อนนะเจ้าคะ” นางหันมาบอกมารดา
“เจ้าไปเถิด”
“เสด็จพ่อ อนุญาตให้เสด็จแม่ไปหาลูกที่แดนพายัพนะเพคะ” นางหันไปขอร้องราชาหลี่เหอที่นั่งเงียบ
“องค์ราชาอนุญาตตามที่เมิ่งหรูขอเถิด เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ท่านไม่น่าจะขัดข้อง” เสวี่ยหลินออกปากเมื่อเห็นท่าทีของราชาหลี่เหอที่ดูอึกอัก
“ก็ให้เมิ่งหรูกลับมาเยี่ยมมารดา...”
“ท่านนี่ประหลาด การฝึกฝนที่ร้านชาของมหาเทวีต้องการการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จะให้บุตรสาวท่านเสียเวลากลับมาที่แดนอีสานด้วยเหตุใด สมควรที่จิวเจี๋ยยวี๋จะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมบุตรสาวต่างหาก แม่ลูกกันสมควรจะไปเยี่ยมเยียนกันได้ทุกเมื่อที่ต้องการ” เสวี่ยหลินลงเสียงหนัก
เสวี่ยหลินเห็นว่าคำสั่งห้ามของราชินีจิวเหม่ยออกจะเกินไปสักหน่อย ที่ห้ามมิให้พระสนมลำดับชั้นต่ำกว่าจิ่วผินออกนอกแดนอีสาน หากนางก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยวมากกว่านี้ ทำได้เพียงช่วยให้จิวเจี๋ยยวี๋ได้ออกมานอกแดนอีสานเท่านั้น
“ตกลง ข้าอนุญาตให้จิวอิงไปเยี่ยมเมิ่งหรูได้ทุกเมื่อตามต้องการ” ราชาหลี่เหอต้องตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันรู้สึกว่าตนเองครั่นคร้ามเซียนสตรีนาม ‘หยางอิง’ นัก ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนี้
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ” เมิ่งหรูตอบรับด้วยความดีใจ
“ขอบพระทัยองค์ราชา” จิวเจี๋ยยวี๋ตอบรับด้วยน้ำตาปริ่มขอบตา นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้ออกนอกแดนอีสาน
“เช่นนั้น แม่ไปส่งเจ้าที่แดนพายัพนะ จะได้ไปดูร้านชาลี่ถังลี่มี่พร้อมกับเจ้าด้วย”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“พระสนม ท่านก็พักที่แดนพายัพสักหลายวันสิ ท่านจะได้สบายใจว่าบุตรสาวของท่านอยู่ที่ร้านชาอย่างมีความสุข” หยางอิงกล่าวแนะนำอย่างรวดเร็ว
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหยางอิง”
เสวี่ยปิงพาเมิ่งหรูและจิวเจี๋ยยวี๋เดินทางไปแดนพายัพทันที
“ทูลลาองค์ราชาพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเสียนรีบเผ่นแน่บตามแผน
“ไม่มีอะไรแล้ว ข้ากับหลานชายขอตัวกลับก่อน” เสวี่ยหลินพาหยางเทียนชิ่งตามอย่างรวดเร็ว
พวกเขาทั้งสามเดินจากไปตามปกติ หากเพียงออกมาพ้นห้องทำพิธี หย่งเสียน เสวี่ยหลิน และหยางเทียนก็เหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
ราชาหลี่เหอ ขุนพลจิวหูและฮูหยิน มองตามอย่างงุนงง ทุกอย่างดูจะสิ้นสุดเร็วผิดปกติ แต่ไม่ทราบผิดปกติอย่างไร