กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น

บุปผาแห่งมังกร - บทที่ 9 คนละดิวิชั่น โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุปผาแห่งมังกร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี

รายละเอียด

บุปผาแห่งมังกร โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน

เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง

 

 

เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ​ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น​ เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง​ เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน​ แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ​ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด​ นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี​

เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนาง​ด้วยใจเมตตาสงสาร​ หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป​ แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น​ เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้

กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง

สารบัญ

บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 1 หยางเทียน บุตรแห่งมหาเทพหยางหลง,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 2 กิเลนน้อยหลี่เมิ่งหรู,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 3 นัดแนะ,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 4 เลื่อนระดับโดยไม่คาดหมาย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 5 กิเลนน้อยที่เปลี่ยนไป,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 6 ความสามารถเป็นที่ประจักษ์,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 7 กิเลนน้อยผู้ครองหัวใจมังกร,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 8 แขกพิเศษของกิเลนน้อย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 9 คนละดิวิชั่น,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 10 ผูกมัดใจนาง

เนื้อหา

บทที่ 9 คนละดิวิชั่น

“ฟูจวิน ได้ยินว่าท่านอนุญาตให้เมิ่งหรูไปแดนพายัพและอนุญาตให้จิวเจี๋ยยวี๋ไปเยี่ยมเมิ่งหรูเมื่อใดก็ได้ จริงหรือเพคะ” ราชินีเจียวเหม่ยถามขึ้นเมื่อได้เข้าเฝ้าราชากิเลน

“เจ้ามาพบข้าด้วยเรื่องนี้?”

“เอ่อ...เพคะ”

“ข้าอนุญาตพวกนางเอง มหาเทพและมหาเทวีอนุญาตให้เมิ่งหรูไปฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่ได้นานเท่าที่นางต้องการ ข้าจึงอนุญาตให้จิวเจี๋ยยวี๋ไปเยี่ยมบุตรสาวได้ทุกเมื่อ” คำตอบนี้ทำให้ราชินีเจียวเหม่ยตะลึงลาน คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับมหาเทพหยางหลงและมหาเทวีเสวี่ยหลิน

“แล้วเหตุใดมหาเทพและมหาเทวีจึงอนุญาตเมิ่งหรูเพคะ” นางถามต่อทันที

“เท่าที่ข้าเห็น เมิ่งหรูรู้จักกับหลานชายของสหายของมหาเทวี เมิ่งหรูคงขอร้องเขา เขาจึงขอร้องกับอาหญิงของเขาให้ช่วยพูดกับมหาเทวีให้ทรงอนุญาตให้เมิ่งหรูไปฝึกฝนที่ร้านชา”

“เขาคงเป็นสหายจากบูรพานิรันดร์จึงออกปากเรื่องนี้ได้” ราชินีจิวเหม่ยคาดคะเน

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ท่าทางของพวกเขาดูไม่น่าใช่สหายของเมิ่งหรูได้ แต่เมิ่งหรูก็ดูสนิทกับพวกเขา ท่าทีของสหายของมหาเทวีก็สนิทสนมกับเมิ่งหรูอยู่มาก”

“พวกเขามีนามใดหรือเพคะ”

“หลานชายนาม ‘หยางไท่’ ส่วนอาหญิงที่เป็นสหายของมหาเทวีนาม ‘หยางอิง’ แต่ท่าทางของเซียนหยางอิงผู้นี้ ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบเห็นนางจากที่ใดมาก่อน หากนึกแล้วก็ยังนึกไม่ออก” ราชาหลี่เหอกล่าวอย่างติดใจเรื่องนี้

“เอ่อ...นางมีท่าทางอย่างไรเพคะ”

“นาง...มีท่าทีสูงศักดิ์ ทรงอำนาจ...อืมมม...ข้าบอกไม่ถูก เจ้าต้องได้เห็นนางเอง” ราชินีเจียวเหม่ยนิ่งคิด เซียนสตรีหลายคนล้วนมีท่าทีนี้ หากแต่ท่าทีเช่นใดจึงทำให้ราชาหลี่เหอติดใจสงสัยได้

“เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน” ราชากิเลนตัดบท

“เพคะ ทูลลาเพคะ”

 

 

“นางเด็กเมิ่งหรูมันจะโชคดีอะไรเช่นนี้ ถึงกับรู้จักหลานชายของสหายของมหาเทวีได้” องค์หญิงหลิงฉีกล่าวอย่างไม่พอใจหลังจากราชินีเจียวเหม่ยเล่าให้ฟัง

“ที่บูรพานิรันดร์ เจ้าไม่รู้จักเซียนหยางไท่?”

“ไม่เลยเพคะ ลูกรู้จักเซียนบุรุษเกือบทุกคนในบูรพานิรันดร์ ลูกมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินนาม ‘หยางไท่’ ที่เป็นหลานชายของสหายมหาเทวีมาก่อน”

“เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่านางเด็กเมิ่งหรูนั่นโกหก”

“นั่นสิเพคะ”

“แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงมหาเทพและมหาเทวี ด้วยนิสัยของเมิ่งหรูแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะกล้าหลอกลวงเบื้องสูง นั่นแปลว่าเซียนหยางไท่ต้องเป็นหลานของสหายของมหาเทวีจริงๆ แต่ในเมื่อเขาไม่อยู่ในบูรพานิรันดร์ เมิ่งหรูกับเขารู้จักกันได้อย่างไร”

“นั่นสิเพคะ เมิ่งหรูไม่เคยออกนอกแดนอีสานและบูรพานิรันดร์ มีครั้งเดียวที่นางออกมาคือครั้งที่เทียนจวินจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพ แล้วทรงเชิญเทพเซียนทั้งหมดมาร่วมงาน เป็นไปได้ว่านางรู้จักเซียนหยางไท่ในงานเลี้ยงนั้น” องค์หญิงหลิงฉีคาดเดาได้ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว

“น่าเจ็บใจนัก วันนั้นลูกบังเอิญพบเห็นนางนั่งรับประทานขนมหวานเพียงลำพัง ยังคิดว่านางคงมารอท่าให้เป็นที่ต้องตาของเซียนบุรุษสักคน ไม่นึกว่านางจะทำสำเร็จ ถึงกับได้รู้จักเซียนหยางไท่ และตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าเซียนหยางไท่จะลอบไปพบนางที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่ด้วย”

“จริงของเจ้า แต่ก็ช่างเถิด แค่หลานชายของสหายมหาเทวี ไหนเลยจะเทียบองค์ชายหยางเทียน โอรสของมหาเทพและมหาเทวีได้ แล้วเรื่องระหว่างเจ้ากับองค์ชายคืบหน้าเพียงใดแล้ว”

“ไม่เลยเพคะ เสด็จแม่ องค์ชายหยางเทียนเสด็จไปร่วมฟังข้อราชการที่ท้องพระโรงตลอด เสร็จแล้วก็เสด็จกลับวังมังกรสวรรค์ คนของลูกที่คอยจับตาองค์ชายรายงานว่าเมื่อเสร็จจากภารกิจที่ท้องพระโรง องค์ชายก็เสด็จกลับมาเล่นกับแมวหิมะที่มหาเทพและมหาเทวีทรงเลี้ยงไว้ และทุกครั้งที่เสด็จออกมาเที่ยวเล่นในแดนบูรพาก็ทรงพาพวกมันมาด้วยเสมอ ลูกจะแสร้งเป็นบังเอิญพบท่านก็ไม่ถนัด ลูกไม่ชอบแมว”

“เจ้าไม่ชอบไม่ได้ มหาเทพและมหาเทวีรักใคร่แมวหิมะอย่างยิ่ง องค์ชายหยางเทียนก็โปรดแมวหิมะ หากเจ้าไม่ชอบพวกมัน คิดหรือว่าเจ้าจะได้แต่งเข้าวังมังกรสวรรค์ หรือต่อให้แต่งเข้าไปได้ เจ้าย่อมไม่เป็นที่โปรดปรานของพวกท่านทั้งสาม”

องค์หญิงหลิงฉีได้แต่นิ่วหน้า

 

 

“องค์หญิงน้อย” เสวี่ยปิงเรียกนาง

“ท่านยายเรียกข้าว่า ‘เมิ่งหรู’ เถิดเจ้าค่ะ”

“เจ้าค่ะ เดี๋ยวเข้าไปในร้านแล้ว ข้าจะแนะนำท่านและพระสนมให้รู้จักกับพระชายาเหม่ยเมิ่งและท่านอ๋องเสวี่ยหมิงนะเจ้าคะ” เสวี่ยปิงเอ่ยบอกเมื่อทั้งหมดมาถึงร้านชาลี่ถังลี่มี่

เมิ่งหรูเหลียวมองรอบด้านอย่างตื่นตาตื่นใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่ร้านชาแห่งนี้

ร้านชาลี่ถังลี่มี่แม้มีขนาดใหญ่มาก หากตัวร้านกลับถูกก่อสร้างไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติรอบด้านจนรู้สึกได้ว่าร้านชาแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็เป็นโต๊ะเก้าอี้รูปทรงแปลกตาที่จัดวางอยู่รายรอบ เก้าอี้แต่ละตัวมีเบาะนุ่มหนาน่านั่งสีสวย บ้างจัดวางแยกออกมา บ้างจัดวางอยู่ในซุ้มต้นไม้ดอกไม้ที่จัดแต่งให้เข้ากับสถานที่อย่างงดงาม ทั้งยังมีรูปปั้นแมวหิมะน่ารักหลายตัวในท่วงท่าต่างๆ จัดวางกระจายจนทั่ว บ่งบอกชัดเจนว่ามหาเทวีเสวี่ยหลินชื่นชอบแมวหิมะมากเพียงใด

ไกลออกไป มองเห็นหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือทะเลสาบขนาดใหญ่ น้ำสีฟ้าใสในทะเลสาบใสเสียจนมองเห็นพื้นใต้ทะเลสาบได้ลึกไม่น้อย ป่าสนสีเขียวเข้มขึ้นอยู่เต็มฝั่งด้านหนึ่งของทะเลสาบ อีกฝั่งหนึ่งเป็นทุ่งดอกไม้ป่าหลากสีสันอันกว้างใหญ่ บุปผามากมายเอนล้อลู่ลม กลิ่นหอมตามธรรมชาติโชยมากับสายลมเย็นที่พัดอย่างแผ่วเบา

“สวยจัง สวยอย่างกับความฝันเลย” เมิ่งหรูกล่าวออกมาเมื่อมองจนทั่ว

“องค์หญิงเสวี่ยหลินก็เอ่ยคล้ายๆ กันนี้ในยามนั้นที่เริ่มต้นค้นหาสถานที่เพื่อสร้างร้านชา” เสวี่ยปิงบอกให้เมิ่งหรูและมารดาทราบ

คำ ‘องค์หญิงเสวี่ยหลิน’ ย่อมหมายถึงองค์หญิงเสวี่ยหลินผู้วายชนม์มานานถึงสี่แสนหนึ่งหมื่นสามพันปีแล้ว นางผู้เสียสละเพื่อสี่ทะเลแปดดินแดน

“รูปปั้นแมวหิมะน่ารักมากๆ เลยเจ้าค่ะ”

“ท่านชอบแมวหิมะ?” เสวี่ยปิงเอ่ยถาม

“ชอบเจ้าค่ะ ชอบมากด้วย ข้ายังเคยคิดจะเลี้ยงแมวหิมะ แต่ตอนนี้ให้ข้าฝึกฝนที่นี่ให้เสร็จเสียก่อน กลับไปบ้านข้าค่อยเลี้ยง”

เสวี่ยปิงแย้มยิ้มชอบใจก่อนจะพาเดินเข้าไปในร้าน เมื่อเข้ามาด้านใน เมิ่งหรูเบิ่งตากว้างยิ่งกว่าเดิม ภายในร้านบางส่วนตกแต่งคล้ายกับด้านนอก หากก็มีอีกหลายส่วนที่จัดแต่งเป็นซุ้มดอกไม้มากมาย หูแว่วเสียงเพลงบรรเลงไพเราะที่แว่วมา จมูกได้กลิ่นหอมจางๆ ของชา ขนมหวาน และของว่าง มีตู้กระจกขนาดใหญ่ถึงสี่ตู้ สองตู้ใส่ของว่าง อีกสองตู้ใส่ขนมหวาน ทั้งหมดล้วนหน้าตาน่ารับประทานทั้งสิ้น นางกำนัลในร้านใส่เสื้อผ้าแปลกตาที่ดูเรียบร้อยและทะมัดทะแมง

“มากันแล้ว?” เสียงบุรุษหนึ่งดังขึ้น

“เพคะ ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งพาเมิ่งหรูกับพระสนมมาถึง” ที่แท้เป็นอ๋องเสวี่ยหมิง พระบิดาของมหาเทวีเสวี่ยหลิน

“คารวะ...”

“ไม่ต้อง คนกันเองทั้งสิ้น เจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านตา’ เรียกฟูเหรินของข้าว่า ‘ท่านยาย’ เถิด แล้วก็พูดกับข้าธรรมดา” อ๋องเสวี่ยหมิงบอกอย่างใจดี

“เสวี่ยปิง เจ้าพาเมิ่งหรูกับพระสนมไปรู้จักกับเหม่ยเมิ่งเสียก่อน แล้วค่อยพาพวกนางไปพักผ่อน ข้าให้พวกนางพักที่เรือนพักของหลินเอ๋อร์ พรุ่งนี้ค่อยให้เมิ่งหรูเริ่มมาร่ำเรียน”

“เพคะ”

เสวี่ยปิงพาเมิ่งหรูและจิวเจี๋ยยวี๋มารู้จักกับเหม่ยเมิ่งที่ยังคงรับหน้าที่คุมถุงเงินของร้านชาแห่งนี้มาตลอดนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เสวี่ยหลินสร้างร้านชาแห่งนี้ขึ้นมา ก่อนจะพาเมิ่งหรูและมารดามาพักที่เรือนพักที่ถูกสร้างไว้ไม่ห่างจากร้านชา

“นี่เป็นเรือนพักที่สร้างตั้งแต่เริ่มสร้างร้านชาแห่งนี้ เป็นองค์หญิงเสวี่ยหลินออกแบบสร้างไว้เมื่อนานมากแล้ว เรือนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลเป็นเรือนพักของท่านอ๋องและพระชายา ส่วนเรือนพักแห่งนี้เป็นของมหาเทวีแต่ท่านก็ไม่ได้เสด็จมาพักสักเท่าใด พวกท่านพักได้ตามสบายนะเจ้าคะ ข้าขอตัวก่อน”

“พรุ่งนี้ข้าจะมารับท่านต้นยามซื่อ (07.00 น.) เพื่อเริ่มเรียนรู้ ร้านชาจะเปิดให้บริการกลางยามอู่ (10.00 น.) ปิดให้บริการกลางยามเซิน (18.00 น.) นั่นคือจะให้บริการเพียงสี่ชั่วยามต่อวันเท่านั้น วันนี้เชิญพวกท่านพักผ่อนและเดินชมรอบๆ ได้ตามสบายเจ้าค่ะ”

“ท่านแม่ พวกเราไปเดินชมร้านชาและรอบๆ นี้กันนะเจ้าคะ ลูกอยากดู ที่นี่สวยมากจริงๆ มิน่าเทพเซียนทั้งหลายถึงชื่นชอบร้านชาแห่งนี้นัก” เมิ่งหรูชักชวนมารดาเมื่อจัดเก็บข้าวของเรียบร้อย

 

 

“เสด็จแม่ เสด็จพ่อ ลูกไปแดนพายัพก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หยางเทียนบอกกล่าว

“นางเพิ่งไปเมื่อวาน เจ้าก็จะไปวันนี้แล้ว เร็วเกินไป อีกสิบห้าวันเจ้าค่อยไป” เสวี่ยหลินบอกเรียบๆ ขณะนั่งจิบชาร้อนกลิ่นซากุระหอมกรุ่นด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ หรูเอ๋อร์อยู่ที่นั่นแล้ว ลูกไปพบนางได้ตลอดเวลา” เขาท้วงอย่างไม่ยินยอม

“เจ้านี่ !...” เสวี่ยหลินเอ็ดบุตรชาย มือวางถ้วยชาร้อนในมือลงทันที

“...ขืนเจ้าตามนางไปเร็วเช่นนี้ ความก็แตกพอดีน่ะสิ ทิ้งระยะเสียหน่อยย่อมไม่มีผู้ใดสงสัย ป้องกันมิให้ผู้ใดสืบทราบได้ว่าพวกเราเกี่ยวข้องกับเซียนหยางไท่และหยางอิง”

“เจ้าสมควรทราบว่าเรื่องที่พ่อเจ้าอนุญาตให้เมิ่งหรูไปฝึกฝนที่ร้านชานั้น ราชินีกิเลนและองค์หญิงทั้งสี่ต้องทราบเรื่องแล้ว แม้ยามนี้พวกนางจะไม่สงสัยพวกเรา แต่พวกนางต้องสงสัยเมิ่งหรูและจิวเจี๋ยยวี๋ เมื่อจิวเจี๋ยยวี๋กลับถึงแดนอีสาน พวกนางต้องซักถามจิวเจี๋ยยวี๋แน่นอน และเมื่อไม่ได้ความเพิ่มเติม พวกนางก็ต้องไปที่ร้านชาเพื่อรีดเค้นจากเมิ่งหรู ดังนั้น ยามนี้ยิ่งเจ้าทิ้งระยะห่างจากเมิ่งหรูได้มากเท่าใด เมิ่งหรูจะไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับพวกเรา เช่นนี้จะยิ่งเป็นผลดีกับนาง เจ้าก็จะสามารถปกป้องนางได้โดยพวกนั้นคาดไม่ถึง”

ฟังเหตุผลของมารดาแล้ว หยางเทียนต้องเห็นด้วย จำยอมอยู่ที่วังมังกรสวรรค์ต่อไปอีกสิบห้าวัน

มองสีหน้าสลดของบุตรชายแล้ว เสวี่ยหลินก็ค้อนให้เขาไปหนึ่งรอบอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเอ่ยปาก

“ไม่ต้องห่วงนางให้มากนักหรอก ที่ร้านชาน่ะไม่ใช่ว่าราชินีกิเลนและองค์หญิงทั้งสี่จะทำอะไรเมิ่งหรูได้ ต่อให้ราชากิเลนมาด้วยตนเองก็เถิด เจ้าลืมแล้วรึว่าที่นั่นมีเสด็จตา เสด็จยายของเจ้าอยู่ คิดวางอำนาจข่มเมิ่งหรูในร้านชา พวกมันคงทำได้ดอก คนละลีกคนละดิวิชั่นชัดๆ”

“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ ลีก ดิวิชั่น” หยางเทียนถามอย่างงุนงง

“ลีก (League) คือกลุ่มนักกีฬาหรือบางทีก็หมายถึงฤดูกาล ดิวิชั่น (Division) คือการแบ่งในแต่ละลีก ลีกก็จะมีการไล่ระดับจากบนถึงล่าง”

“เสด็จตา เสด็จยายของเจ้าน่ะ อยู่ในระดับสูงสุดคือพรีเมียร์ลีก (Premier League) หรือดิวิชั่นหนึ่ง ราชาหลี่เหอน่ะดิวิชั่นสามหรืออีเอฟแอลลีกวัน ส่วนราชินีกิเลนและองค์หญิงทั้งสี่คือดิวิชั่นสี่หรืออีเอฟแอลลีกทู พวกมันคิดแข็งข้อกับเสด็จตาเสด็จยายเจ้า เร็วไปแสนปี” เสวี่ยหลินอธิบายรวดเดียวจบ หยางเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ฟูจวิน ข้าว่าท่านสั่งสอนบุตรชายคนดีของท่านสักหน่อยเถิด แค่เรื่องจีบสาว เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเสียแล้ว” เสวี่ยหลินหันมาบอกมหาเทพหยางหลงด้วยสีหน้าทั้งเอ็นดู หมั่นไส้ และเอือมระอาบุตรชาย ที่อยู่ดีๆ บุตรชายของนางก็เกิดจะมาคลั่งรักสาวเสียนี่ ไม่เคยมีแฟนก็แบบนี้ล่ะนะ เฮ้ออออ

มหาเทพได้แต่หัวเราะขบขัน

อืมมม ข้าคงต้องสอนเจ้าลูกซื่อบื้อนี่หน่อยแล้ว มหาเทพคิดไปก็ยิ้มไป

 

 

จิวเจี๋ยยวี๋พักอยู่ที่แดนพายัพเพียงสามวันก็แน่ใจได้ว่าบุตรสาวของนางอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายและมีความสุข นางจึงเดินทางกลับแดนอีสานด้วยความสบายใจ

ทว่านั่งจิบชาและพักให้หายเหนื่อยจากการเดินทางได้ไม่กี่อึดใจ นางก็ถูกเรียกให้ไปเฝ้าราชินีเจียวเหม่ยและองค์หญิงหลิงฉี แม้จะคาดไว้อยู่แล้วว่าต้องถูกเรียก แต่นี่บั้นท้ายนางเพิ่งจะแตะเก้าอี้ยังไม่ทันร้อนเลยนะ ก็ต้องลุกขึ้นเสียแล้ว

“มาแล้วรึ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ไปพักที่แดนพายัพมา” ราชินีเจียวเหม่ยถามขึ้น

“คนแดนพายัพให้การต้อนรับดีเพคะ” จิวเจี๋ยยวี๋เลือกตอบให้กลางๆ ที่สุด

“อ้อ ! แล้วเมิ่งหรูร่ำเรียนอะไรบ้าง”

“ท่านหญิงเสวี่ยปิงให้เริ่มต้นที่การเรียนชงชาชนิดต่างๆ ก่อนเพคะ คาดว่านางจะเรียนรู้ชนิดของชาและวิธีการชงได้ทั้งหมดภายในหนึ่งถึงสองเดือนนี้”

“มหาเทพและมหาเทวีเสด็จที่ร้านชาหรือไม่”

“ไม่ได้เสด็จเพคะ”

“แล้วองค์ชายหยางเทียนล่ะ”

“ไม่ได้เสด็จเช่นกันเพคะ

“แล้วเซียนหยางไท่กับเซียนหญิงหยางอิงล่ะ”

“พวกเขาไม่ได้มาที่ร้านชาเพคะ”

“บุตรสาวเจ้าไปรู้จักกับเซียนหยางไท่และหยางอิงได้อย่างไร”

“ไม่ทราบเพคะ นางไม่ได้เล่าให้ข้าฟัง”

“แล้วทำไมเจ้าจึงไม่รู้จักถามบุตรสาวตนเองเสียบ้าง” น้ำเสียงของราชินีเจียวเหม่ยแข็งกร้าวเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

“ขอประทานอภัยเพคะ เป็นข้าเองที่โง่เขลาไม่ถามนาง ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของนางและปกติแล้ว ข้าจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวของนางเพคะ”

จิวเจี๋ยยวี๋ตอบเช่นนี้ แม้แท้จริงแล้วนางจะถามแต่เมิ่งหรูก็ปฏิเสธ และนางก็ไม่ถามต่อ คาดเดาได้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังไม่น้อย เมิ่งหรูจึงไม่ยอมเล่าให้ฟัง เพราะตลอดมาเมิ่งหรูเล่าให้นางฟังทุกเรื่อง แต่นี่เป็นเรื่องเดียวที่นางปกปิด

เมิ่งหรูเองก็คาดเดาได้ว่ามารดาต้องถูกซักถามเมื่อกลับถึงแดนอีสาน นางจึงไม่เล่าออกมา เพราะนางก็ทราบดีว่ามารดาโกหกไม่เก่ง หากนางเล่าออกไป มารดาต้องถูกราชินีเจียวเหม่ยจับโกหกได้ เรื่องราวที่นางได้รับความช่วยเหลือจากท่านเซียนหยางไท่และท่านเซียนหญิงหยางอิงต้องถูกล่วงรู้แน่นอน

ทว่าคำตอบของจิวเจี๋ยยวี๋ก็คล้ายบอกราชินีเจียวเหม่ยและองค์หญิงหลิงฉีว่าพวกนางกำลัง ‘จุ้นจ้าน’ เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ทำให้สายตาของพวกนางจับจ้องจิวเจี๋ยยวี๋อย่างไม่พอใจ

“เช่นนั้น เจ้าก็คงไม่ทราบว่าเซียนหยางไท่กับเซียนหญิงหยางอิงเป็นใคร”

“ไม่ทราบเพคะ ทราบเพียงว่าท่านเซียนหญิงเป็นสหายสนิทของมหาเทวีเสวี่ยหลิน เซียนหยางไท่เป็นหลานชายของนาง และข้าก็เพิ่งทราบและรู้จักพวกเขาในวันทำพิธีปักปิ่นให้เมิ่งหรูเพคะ”

“พวกเขามีรูปร่างหน้าตาเช่นใด”

“ไม่ทราบเพคะ พวกเขาใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าครึ่งบนไว้ แต่ลักษณะท่าทีของพวกเขาสูงศักดิ์สง่างามมากเพคะ”

“อะไร อะไร เจ้าก็ไม่ทราบ มีอะไรที่เจ้าทราบบ้าง เจ้าเป็นมารดาประสาอะไร”

“ขอประทานอภัยเพคะ ข้าไม่ทราบจริงๆ”

“กลับไปได้แล้ว ข้าเสียเวลากับคนโง่เช่นเจ้าจริงๆ” ราชินีเจียวเหม่ยไล่จิวเจี๋ยยวี๋เมื่อเห็นว่าซักถามต่อไปก็ไม่ได้ความอันใด

“เสด็จแม่ แล้วเช่นนี้ลูกจะทำอย่างไรดีเพคะ ยามนี้เมิ่งหรูอยู่ที่ร้านชา นางมีโอกาสใกล้ชิดกับองค์ชายหยางเทียนหากท่านเสด็จไปที่นั่น”

“องค์ชายหยางเทียนน่ะอาวุโสกว่านางมากนะ หลิงฉี ท่านไม่มาสนใจเด็กเมื่อวานซืนอย่างเมิ่งหรูดอก”

“ว่าได้หรือเพคะ ดูอย่างมหาเทพหยางหลง ยามนั้นที่ท่านแต่งมหาเทวี ท่านอายุสี่แสนหกหมื่นปีและมหาเทวีเสวี่ยหลินอายุสามหมื่นปีเองนะเพคะ ยามนี้องค์ชายหยางเทียนอายุสามแสนหกหมื่นปี ลูกอายุสี่หมื่นปี เสด็จแม่ยังจะให้ลูกแต่งให้ท่านเลย”

“ก็จริงของเจ้า” ราชินีเจียวเหม่ยยอมรับ

“แต่ลูกก็ยินดีแต่งกับท่านนะเพคะ...” นางกล่าวอย่างเขินอาย

“...ท่านทั้งรูปงาม ทั้งเก่งกล้าสามารถ เห็นท่านครั้งใด ลูกต้องคิดว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของท่าน และท่านกับลูกกำลังจุมพิตกัน ลูกต้องมีความสุขมากแน่ๆ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านจะมีลูกเป็นชายาเพียงคนเดียวเพราะท่านจะไม่รับสนมเช่นเดียวกับมหาเทพหยางหลง บิดาของท่าน” องค์หญิงหลิงฉีกล่าวอย่างเคลิ้มฝัน

“แม่คิดได้แล้วว่าเราจะรู้เรื่องของเซียนหยางไท่และหยางอิงได้อย่างไร”

“เสด็จแม่จะทำอย่างไรเพคะ”

“พวกเราต้องไปที่ร้านชา เมิ่งหรูพักที่เรือนพักที่นั่น ขอเพียงพวกเราลอบเข้าเรือนพักของนางได้ ย่อมรีดเค้นความจริงจากนางได้แน่นอน”

“จริงด้วยเพคะ”

“คืนพรุ่งนี้ พวกเราจะไปร้านชาลี่ถังลี่มี่”

 

 

“เสด็จแม่ เมิ่งหรูอยู่เรือนใด ด้านหลังร้านชามีเรือนพักสองส่วนที่แยกกันชัดเจน ส่วนหนึ่งคือเรือนพักของเซียนรับใช้และนางกำนัลประมาณสามสิบหลัง อีกส่วนคือเรือนพักสี่หลัง น่าจะเป็นเรือนพักของท่านอ๋องเสวี่ยหมิงกับพระชายาเหม่ยเมิ่ง มหาเทพหยางหลงกับมหาเทวีเสวี่ยหลิน ราชาเสวี่ยซานกับราชินีหนิงเหมย และท่านหญิงเสวี่ยปิง เช่นนี้แล้วเมิ่งหรูอยู่ที่เรือนพักใด” องค์หญิงหลิงฉีกระซิบถามขึ้น ยามนี้นางและราชินีเจียวเหม่ยอยู่ในชุดดำกลมกลืนไปกับความมืดของยามราตรี

“อ๋องเสวี่ยหมิงไม่จัดให้เมิ่งหรูนอนร่วมเรือนกับนางกำนัลแน่ นางจึงน่าจะอยู่ในเรือนพักของมหาเทพหรือราชาจิ้งจอกเก้าหาง เพราะสองเรือนนี้ว่างแน่นอน แต่สองเรือนที่ว่านี้คือเรือนหลังใด”

“หรือว่าพวกเราจะลองเข้าไปดูสักเรือนดีเพคะ”

“นี่เสี่ยงเกินไป หากเข้าไปแล้วเป็นเรือนของอ๋องเสวี่ยหมิงหรือท่านหญิงเสวี่ยปิง พวกเราจะลำบาก พวกเขาล้วนเป็นเทพเซียนมากอาวุโส ปราณเซียนแข็งแกร่ง เผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเรามีแต่เสียเปรียบ”

“แล้วจะทำอย่างไรล่ะเพคะ พวกเราไม่ทราบเลยว่าเรือนใดเป็นของผู้ใด”

ราชินีเจียวเหม่ยจับจ้องเรือนพักสี่หลังอย่างครุ่นคิด เพราะเรือนสี่หลังนี้ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง รั้วเตี้ยรอบเรือนมีแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันแปดดวงที่ถูกจุดและแขวนเว้นระยะห่างไว้ หน้าประตูเรือนมีตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวงที่จุดไฟไว้พอให้มีแสงสว่าง

“แม่นึกได้แล้ว” ราชินีเจียวเหม่ยเพิ่งคิดออก

“เจ้าซุกซ่อนรัศมีพลังปราณกิเลนไว้ให้ดี” นางหันมาบอกองค์หญิงหลิงฉี

ราชินีเจียวเหม่ยก้มลงเก็บก้อนหินขนาดเหมาะมือก้อนหนึ่ง นางขว้างก้อนหินไปที่ประตูเรือนหลังหนึ่งก่อนจะซุกงำรัศมีพลังจนหมดสิ้น

 

ปังงง

 

เสียงก้อนหินกระทบประตูเรือนอย่างแรงดังขึ้น หากพริบตาเดียวก็มีเสียงตวาดออกมาทันที

“ผู้ใด ? !”

เป็นเสียงบุรุษที่ทรงอำนาจยิ่งนักก่อนจะติดตามมาด้วยประตูเรือนหลังหนึ่งที่เปิดออกอย่างรวดเร็ว ปรากฏร่างของอ๋องเสวี่ยหมิงและพระชายาเหม่ยเมิ่ง พวกเขาแผ่ปราณเซียนจิ้งจอกอันแข็งแกร่งออกเป็นวงกว้างจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่เป็นเจ้าของ ปราณเซียนอีกส่วนถูกผนึกที่ดวงตาเพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ

“ข้าไม่พบอะไรเลย” อ๋องเสวี่ยหมิงบอกกล่าวหลังจากค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้าก็ไม่พบ หรือว่าจะหนีไปแล้ว” พระชายาเหม่ยเมิ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

ประตูเรือนอีกสองหลังถูกเปิดขึ้น เป็นเรือนพักของเสวี่ยปิงและเมิ่งหรู พวกนางเร่งเดินมาที่หน้าเรือนพักของอ๋องเสวี่ยหมิงและพระชายาเหม่ยเมิ่ง

“พบหรือไม่เพคะ” เสวี่ยปิงที่เพิ่งมาถึงถามขึ้น นางได้ยินเสียงดังเช่นกันและสัมผัสทราบถึงปราณเซียนจิ้งจอกของพวกเขาทั้งสอง

“ไม่พบ แต่เรื่องนี้ผิดปกติแน่” พระชายาเหม่ยเมิ่งตอบก่อนจะก้มลงหยิบก้อนหินที่หล่นอยู่หน้าประตูเรือน ขมวดคิ้วครุ่นคิดชั่วครู่ก็ยิ้มเย็น

“ก้อนหินใหญ่ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดีๆ มันจะลอยมาเอง ต้องมีคนขว้างมันมา เจตนาก็เพื่อต้องการทดสอบทราบว่าเรือนแต่ละหลังเป็นของผู้ใด และมันก็ทำสำเร็จแล้ว หากยามนี้มันยังซุ่มดูอยู่ มันย่อมทราบแล้วว่าเรือนนี้เป็นของข้ากับท่านอ๋อง เรือนสองหลังนั้นเป็นของพวกเจ้าทั้งสอง และอีกหลังไม่มีผู้ใดอยู่” พระชายาเหม่ยเมิ่งเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ

“แล้วมันต้องการทราบไปเพื่ออะไรเจ้าคะ” เมิ่งหรูถามออกมา นางขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

“เรื่องนี้ยากคาดเดา แต่เช่นนี้เถิด ข้าจะไปนอนเป็นเพื่อนเจ้า เมิ่งหรู ในบรรดาผู้ที่พักที่เรือนสี่หลังนี้ เจ้าถือว่าอ่อนด้อยที่สุด ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเป็นเป้าหมายของคนที่ทำเรื่องนี้” ราชินีเหม่ยเมิ่งคาดเดาอย่างไม่มั่นใจเท่าใด แต่นางก็เห็นว่าเพื่อตัดปัญหาในค่ำคืนนี้ นางไปนอนเป็นเพื่อนเมิ่งหรูจึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน

“เจ้าไปเถิด ข้านอนคนเดียวได้ แค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ตอนอาหารเช้าพวกเราค่อยปรึกษากันอีกครั้ง” อ๋องเสวี่ยหมิงเห็นด้วยกับข้อเสนอของนาง

“ขอบคุณท่านตา ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ” เมิ่งหรูกล่าวอย่างซึ้งใจ พวกเขาดีกับนางยิ่งนัก

ทั้งหมดแยกย้ายกันกลับเข้าเรือนพัก

“หนะ...น่ากลัว...” องค์หญิงหลิงฉีครางออกมาหลังจากประตูเรือนพักทุกหลังปิดสนิท

นั่นเพราะนางสัมผัสได้ถึงปราณเซียนจิ้งจอกที่ทั้งกล้าแข็งและคมกริบอย่างยิ่ง เพียงแรกที่ปราณเซียนจิ้งจอกกวาดผ่าน นางรู้สึกราวกับคมกระบี่เย็นเยียบทาบลงบนร่างของนาง หากนางขยับเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด คมกระบี่นี้จะเชือดเฉือนนางทันที นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบเจอปราณเซียนที่แข็งแกร่งจนน่าตกใจ

ราชินีเจียวเหม่ยเองก็หน้าซีดเผือด ปราณเซียนจิ้งจอกของอดีตราชาและราชินีจิ้งจอกเก้าหางไม่อาจดูแคลนได้ มันดูราวกับกรงเล็บแหลมคมของพญาจิ้งจอกที่พร้อมฉีกกระชากร่างของนาง โชคดีเพียงใดแล้วที่นางไม่เสี่ยงเข้าไปตรวจสอบเรือนพักด้วยตนเอง หากถูกพวกเขาจับได้ คาดเดาไม่ออกเลยว่าเผ่ากิเลนจะต้องพบเจอแรงพิโรธของมหาเทพหยางหลงมากมายเพียงใด เพราะพวกเขาทั้งสองคือพระสสุระ (พ่อตา) และพระสัสสุ (แม่ยาย) ของมหาเทพ

“พวกเรากลับก่อน เรื่องนี้ต้องหาวิธีการให้ดี” ราชินีเจียวเหม่ยล่าถอยทันที

“เพคะ พวกเรารีบกลับ”

พวกนางเร่งเหาะเหินออกจากแดนพายัพด้วยความเร็วสูงสุดเป็นครั้งแรกในชีวิต กลับมาถึงที่พักในแดนอีสานแล้ว พวกนางยังหวาดผวากับปราณจิ้งจอกอันกล้าแข็งไม่หาย