กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น

บุปผาแห่งมังกร - บทที่ 10 ผูกมัดใจนาง โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค,นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุปผาแห่งมังกร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,รัก,ชาย-หญิง,จีน,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรักจีนโบราณ,นิยายรักชายหญิง,เทพเซียน,แฟนตาซี

รายละเอียด

บุปผาแห่งมังกร โดย สวรรยสร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

กิเลนน้อยที่รักเขาด้วยหัวใจแท้จริงของนาง รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เขาจึงรักเพียงนางเท่านั้น

ผู้แต่ง

สวรรยสร

เรื่องย่อ

เรื่องบุปผาแห่งมังกร เป็นภาคสองของตามรักจิ้งจอกน้อยนะคะ แต่เรียกว่าเป็นภาคของลูกจะดีกว่า เพราะจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างองค์ชายหยางเทียน บุตรชายของมหาเทพหยางหลงและเสวี่ยหลิน กับองค์หญิงน้อยเมิ่งหรู แห่งเผ่ากิเลน

เรื่องนี้ตั้งใจเขียนให้อ่านแบบอ่านได้เรื่อยๆ โทนเรื่องจะผสมกันแบบฟีลกู๊ดปนกับแนวๆ นางเอกตกยากแบบซินเดอเรลล่า เรียกว่าผสมๆ กันไป อ่านได้สบายๆ ไม่เครียด มีลุ้นระหว่างทางบ้าง

 

 

เขาพบเจอนางโดยบังเอิญ​ ยามนั้นนางเป็นเพียงกิเลนน้อยที่น่าเวทนาเท่านั้น​ เมื่อสืบหาเรื่องราวของนาง​ เขาจึงทราบว่าแม้นางเป็นองค์หญิงน้อยแห่งเผ่ากิเลน​ แต่เพราะถือกำเนิดจากนางสนมตำแหน่งเล็กๆ​ สถานะของนางในเผ่ากิเลนจึงมิได้ดีเท่าใด​ นางเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากพี่น้องฝ่ายสตรี​

เขาจึงยื่นมือช่วยเหลือนาง​ด้วยใจเมตตาสงสาร​ หวังเพียงช่วยให้นางไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเกินไป​ แต่เมื่อนางถึงวัยปักปิ่น​ เขากลับต้องรีบผูกมัดหัวใจนาง เพราะเกรงว่าความน่ารักราวตุ๊กตาของนางจะดึงดูดบุรุษอื่นให้เข้าใกล้

กิเลนน้อยอย่างนางเผลอตัวรักเขาไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกเขากอดและจุมพิตแล้วก็บอกรักนางเรียบร้อย นางได้แต่คิดว่าท่านเซียนผู้มีพระคุณของนางไยช่างมือไวใจเร็วนัก ไม่เปิดโอกาสให้นางได้คิดและพูดอะไรบ้างเลย ช่างเอาแต่ใจเสียจริง

สารบัญ

บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 1 หยางเทียน บุตรแห่งมหาเทพหยางหลง,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 2 กิเลนน้อยหลี่เมิ่งหรู,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 3 นัดแนะ,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 4 เลื่อนระดับโดยไม่คาดหมาย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 5 กิเลนน้อยที่เปลี่ยนไป,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 6 ความสามารถเป็นที่ประจักษ์,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 7 กิเลนน้อยผู้ครองหัวใจมังกร,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 8 แขกพิเศษของกิเลนน้อย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 9 คนละดิวิชั่น,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 10 ผูกมัดใจนาง,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 11 พยายามขัดขวาง,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 12 ลี่หยาน ลี่อิน,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 13 รักที่ไร้เงื่อนไข,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 14 บททดสอบสุดท้าย,บุปผาแห่งมังกร-บทที่ 15 ซินเดอเรลล่าเมิ่งหรู

เนื้อหา

บทที่ 10 ผูกมัดใจนาง

“เสด็จพ่อ มีอะไรด่วนเพคะ ติดต่อลูกมาเช้ามากเลย” เสวี่ยหลินทักถามอย่างแปลกใจปนความกังวลใจ หลังจากตอบรับหยกปราณสื่อสารของมหาเทพหยางหลงที่ส่องสว่างอยู่ที่โต๊ะเล็กข้างเตียงบรรทม นางเพิ่งตื่นได้ครู่เดียวเท่านั้น และตั้งแต่นางแต่งให้มหาเทพ บิดามารดาไม่เคยติดต่อผ่านหยกปราณสื่อสารมาในเวลาเช้าตรู่ชนิดที่นางเพิ่งลืมตาตื่นได้ไม่กี่อึดใจเช่นนี้มาก่อน

อ๋องเสวี่ยหมิงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาให้นางฟังโดยละเอียด พร้อมทั้งข้อสันนิษฐานของพระชายาเหม่ยเมิ่ง เสวี่ยหลินรับฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง นัยน์ตาทอแววครุ่นคิด

“พวกเจ้าและเมิ่งหรูทำตัวตามปกติ อย่าให้ผู้ใดผิดสังเกต ให้เหม่ยเมิ่งไปนอนเป็นเพื่อนเมิ่งหรูในหลายวันนี้ รอข้าและหลินเอ๋อร์หาทางแก้ไขก่อน” มหาเทพเอ่ยบอกแผนแก้ไขเฉพาะหน้า เขาตื่นขึ้นหลังเสวี่ยหลินไม่นานเพราะได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ

“พ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่รบกวนแล้ว ทูลลา”

แสงจากหยกปราณสื่อสารวูบดับ

“ข้าพาเจ้าไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน” กล่าวจบแล้ว มหาเทพก็ช้อนอุ้มร่างงามพาไปอาบน้ำ นี่เป็นเช้าแรกในรอบหลายแสนปีที่เขาและนางอาบน้ำด้วยกันเงียบๆ พร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย

 

 

ระหว่างรับประทานอาหารเช้า เสวี่ยหลินเล่าเรื่องราวจากอ๋องเสวี่ยหมิงให้หยางเทียนฟัง สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด

“เรื่องราวที่เกิดขึ้นชัดเจนว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่เสด็จตา เสด็จยาย ท่านยายเสวี่ยปิงของเจ้า คนร้ายลงมือเช่นนี้เพราะมันไม่กล้าลองดีกับพวกเขาและพ่อ”

“เสวี่ยหมิงเล่าว่าจิวเจี๋ยยวี๋พักที่เรือนพักเดียวกับเมิ่งหรูอยู่สามวัน วันที่สี่จึงเดินทางกลับเผ่ากิเลน คืนวันที่ห้าก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดังนั้น พ่อแน่ใจว่าต้องเป็นเผ่ากิเลนที่ลอบมาดูลาดเลา หรือหากสบโอกาสก็คงจะรีดเค้นเรื่องราวต่างๆ จากเมิ่งหรู เจ้าคิดทำอย่างไรต่อไป” มหาเทพหยางหลงเอ่ยถามบุตรชาย

“คนที่ทำเรื่องนี้ ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือองค์หญิงทั้งสี่หรือหนึ่งในพวกนาง เพราะพวกนางเคยวางแผนทำร้ายหรูเอ๋อร์มาก่อน” หยางเทียนเอ่ยออกมาช้าๆ

“เจ้ากล่าวถูกต้องส่วนหนึ่ง แต่พ่อคิดว่าอีกกลุ่มหนึ่งที่เจ้าไม่ควรมองข้ามคือราชินีกิเลนและเฟยทั้งสี่ อย่าลืมสิว่าพวกนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผู้ที่ลงมือจึงต้องเป็นคนสองกลุ่มนี้ เมิ่งหรูไปฝึกฝนที่ร้านชา แม้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ความริษยาของสตรี อย่างไรก็ต้องมี ดังนั้น หากคิดสืบหาเรื่องราวและระมัดระวังป้องกัน เจ้าต้องระวังพวกนางทั้งสองกลุ่ม”

หยางเทียนต้องพยักหน้าเห็นด้วย

“เจ้าคิดแก้ไขอย่างไร” เสวี่ยหลินถามบุตรชายก่อนจะรับประทานอาหารเช้าต่อ

เขาไม่ตอบคำถามของมารดา เพียงรับประทานอาหารช้าๆ อย่างต้องการใช้ความคิด มหาเทพและเสวี่ยหลินนั่งรับประทานอาหารเช้าไปเรื่อยๆ ไม่ออกปากเร่งรัดเขา ปล่อยให้เขาใช้ความคิดต่อไป

“ลูกจะสร้างของวิเศษสองชิ้น ชิ้นหนึ่งจะปกป้องเรือนพักที่นางอยู่ แต่หากพวกมันทำลายของวิเศษนี้และเอาตัวนางไปได้ ของวิเศษอีกชิ้นจะทำให้ลูกรู้เสมอว่านางอยู่ที่ใด มีเพียงของวิเศษเช่นนี้เท่านั้นที่จะปกป้องนางได้ยามนางไม่อยู่ในสายตาลูก” เขาเอ่ยปากช้าๆ

“เจ้าแก้ไขได้ดี” มหาเทพเอ่ยชม

“ส่วนคนร้าย พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่าเป็นพวกนาง ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น”

“ถูกต้อง”

 

 

ผ่านไปอีกสามวัน

“องค์หญิงน้อย มีเซียนท่านหนึ่งต้องการพูดคุยกับท่านเพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งในร้านชาลี่ถังลี่มี่เอ่ยบอก

“ข้าไม่ได้มีหน้าให้บริการนี่นา เขาจะรู้จักข้าได้อย่างไร ทั้งตอนนี้ท่านยายเสวี่ยปิงให้ข้าฝึกชงชาอยู่” เมิ่งหรูเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

“ท่านไปพบเขาก่อนเถิดเพคะ เขานั่งจิบชาที่ที่นั่งริมสุด เขาเลือกที่นั่งตรงนั้น ดูเหมือนว่าเขาต้องการความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง”

“ได้ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

เมิ่งหรูเดินไปยังที่นั่งที่นางกำนัลผู้นั้นบอก ที่นั่งตรงนั้นเป็นซุ้มต้นไม้เขียวชอุ่มที่ตัดแต่งและแซมด้วยบุปผาอย่างงดงาม ที่นั่งตรงนี้หันหลังให้กับผู้ที่เดินเข้ามาที่จะมองไม่เห็นผู้ที่นั่งอยู่เช่นกัน ผู้ที่นั่งตรงนี้สามารถชื่นชมทิวทัศน์ภายนอกผ่านกระจกใสกว้างที่กรุอยู่

“ขออนุญาตเจ้าค่ะ” เมิ่งหรูส่งเสียงบอกก่อนจะเข้าไปพบ แต่แล้วนางก็ต้องเบิ่งตากว้างเมื่อพบว่าเป็นผู้ใด

“ท่านเซียน...” นางเรียกออกมาด้วยความดีใจหากยังไม่ทันเอ่ยนามของเขา ก็เห็นเขายกนิ้วชี้ขึ้นจุดที่ริมฝีปากเป็นเชิงไม่ให้นางกล่าวนามของเขาออกมา

“นั่งลงเสียก่อน” เขาชี้มาที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้เขาที่สุด นางนั่งลงอย่างรวดเร็ว

“ท่านเซียนมาเยี่ยมข้าหรือเจ้าคะ”

“ใช่ และพอดีข้าสร้างของวิเศษไว้สองชิ้นให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อน วันนี้เสร็จแล้ว จึงตั้งใจเอามาให้”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ต้องให้ข้าหรอกเจ้าค่ะ แค่ท่านช่วยให้ข้าได้มาฝึกฝนที่ร้านชา ข้าก็ไม่ทราบจะตอบแทนท่านอย่างไรแล้ว”

“รับไว้เถิด ข้าตั้งใจเอามาให้เจ้า” บอกแล้วเขาจึงเปิดมิติส่วนตัวแล้วหยิบของสองชิ้นมาวางตรงหน้านาง

ชิ้นแรกเป็นกระถางกำยานที่สร้างด้วยหยกสีม่วง ฝากระถางฉลุโปร่งเป็นลายบุปผาอันงดงามอ่อนช้อย อีกชิ้นหนึ่งเป็นกำไลหยกขาว ชัดเจนว่าสร้างด้วยหยกน้ำค้างหิมะอันหาได้ยาก กำไลวงนี้สลักอย่างละเอียดประณีตเป็นมังกรตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจริง

“ชิ้นแรกคือกระถางบุปผาม่วง เจ้าวางมันไว้ในห้องนอนของเจ้า กำยานในกระถางจะใช้ได้ไม่มีวันหมด และจำไว้ว่าเจ้าต้องจุดกำยานในกระถางนี้ทุกคืนก่อนเจ้าจะเข้านอน กำยานในบุปผาม่วงจะช่วยให้เจ้าหลับสบายและป้องกันคนคิดร้ายเจ้า”

นัยน์ตากลมโตเบิ่งกว้างเมื่อได้ยินคำ ‘คนคิดร้าย’

“ท่านเซียนทราบเรื่องเมื่อสามวันก่อนด้วยหรือเจ้าคะ”

“ทราบสิ อาหญิงข้าเป็นสหายกับมหาเทวีเสวี่ยหลิน บังเอิญท่านไปเข้าเฝ้ามหาเทวีในวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเรื่องพอดี มหาเทวีจึงเล่าให้ท่านฟังว่ามีคนร้ายคิดลอบเข้าเรือนพักของท่านอ๋องเสวี่ยหมิงและพระชายาเหม่ยเมิ่ง บิดามารดาของมหาเทวี มหาเทวีจึงกริ้วยิ่งนัก ตอนแรกท่านจะเสด็จมาที่ร้านชาทันที แต่อาหญิงห้ามไว้ บอกว่าเป้าหมายคนร้ายย่อมมิใช่ท่านอ๋องและพระชายา เพียงแต่เป็นสิ่งใดหรือผู้ใดก็ยากจะบอก มหาเทวีจึงทรงยอมนิ่งเฉย” หยางเทียนปั้นเติมเสริมแต่งเรื่องราวเพิ่มเล็กน้อยเพื่ออธิบายว่าเพราะเหตุใดมหาเทพและมหาเทวีที่ทรงกริ้วอย่างยิ่งกับเรื่องนี้จึงยังไม่จัดการสิ่งใด

“อาหญิงเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ข้าเลยเป็นห่วงเจ้า จึงสร้างของวิเศษมาให้เจ้าโดยเฉพาะ” เขาตบท้ายด้วยการแสดงความเป็นห่วงเป็นใย เพื่อให้นางผูกพันกับเขาและให้ความสำคัญกับเขาเพียงผู้เดียวอย่างแนบเนียน

“ท่านเซียน” นางเรียกเขาอย่างซาบซึ้งใจยิ่งกว่าเดิม

“เจ้าเก็บบุปผาม่วงไปเสียก่อน เดี๋ยวมาดูของวิเศษชิ้นที่สองกัน”

เมิ่งหรูเก็บกระถางกำยานใส่ในมิติส่วนตัวของนางทันที

“ชิ้นนี้เป็นกำไลที่สร้างจากหยกน้ำค้างหิมะ กำไลนี้จะทำให้ข้าทราบเสมอว่าเจ้าอยู่ที่ใดไม่ว่าเจ้าจะอยู่ไกลจากข้าเพียงใดก็ตาม ดังนั้น เจ้าต้องสวมมันไว้ตลอดเวลา แม้ยามเจ้าอาบน้ำก็ห้ามถอดมันออกโดยเด็ดขาด เพื่อที่ว่าหากเจ้าประสบภัยใด ข้าจะสามารถหาตัวเจ้าพบได้ทันที”

“เจ้าค่ะ ข้าจะใส่มันไว้ตลอดเวลา” นางรับคำอย่างเต็มใจ รู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันในตัวเขายิ่งกว่าเดิม

มือใหญ่พลันเอื้อมมาจับมือขาวผ่องของนางไว้ หยิบกำไลหยกขาวมาสวมข้อมือให้ก่อนจะก้มลงจุมพิตหลังมือของนางครู่หนึ่ง อากัปกิริยาของเขายามนี้คล้ายกำลังมอบของหมั้นหมายนาง แก้มเนียนใสแดงซ่านขึ้นทันตา

“ระมัดระวังดูแลตนเองให้มาก ข้าไม่อาจอยู่ข้างกายเพื่อปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา เก็บหยกปราณสื่อสารของข้าไว้ให้ดี ไม่ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น ให้เจ้านึกถึงและบอกข้าเป็นคนแรก เจ้าสามารถบอกข้าได้ทุกเรื่องทุกเวลา” เขาบอกเสียงนุ่ม

“เจ้าค่ะ ข้าจะนึกถึงท่านเซียนเป็นคนแรกเสมอ” นางก้มหน้ารับคำแผ่วเบาอย่างเขินอาย แก้มนวลเป็นสีแดงระเรื่อกว่าเดิม

“ก่อนเจ้าจะนอน เจ้าต้องเปิดหยกปราณสื่อสารของข้าเพื่อพูดคุยกับข้าทุกคืน เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจเจ้าค่ะ” นางรับคำเสียงเบายิ่งกว่าเดิม แก้มเริ่มแดงจัด

“ไปส่งข้านะ ข้าจะกลับแล้ว” เขาบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน

“เจ้าค่ะ” นางรีบลุกตาม

นัยน์ตาคมกริบกวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าบริเวณที่เขายืนอยู่นี้ไม่มีผู้ใดมองเห็นการกระทำของเขาได้ อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างงามเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากแดงดั่งกลีบกุหลาบ เขาหมายตาริมฝีปากนี้มาเนิ่นนานแล้ว

เมิ่งหรูเบิ่งตากว้างอย่างตกตะลึง ร่างกายแข็งค้าง ริมฝีปากเผยออ้าออกด้วยความตกใจ ลิ้นร้อนกระหวัดเกี่ยวลิ้นเล็กของนางอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน พาให้นางเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่เพิ่งเคยพบเจอ ยินยอมให้เขาควานหาความหอมหวานในโพรงปากของนางตามอำเภอใจ ครู่ใหญ่จึงรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงของเขา

“ข้ารักเจ้า หรูเอ๋อร์” เขากระซิบข้างหูนาง แก้มเนียนใสยิ่งแดงจัดกว่าเดิม

“เจ้าเป็นของข้าผู้เดียว ห้ามให้บุรุษใดใกล้ชิดเจ้านอกจากข้า” เขากระซิบสั่งก่อนจะฉวยโอกาสจุมพิตพวงแก้มหอมกรุ่นทั้งสองข้างเสียเต็มที่

เมิ่งหรูหน้าแดงก่ำ ใบหูและลำคอแดงจัดอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าวสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น เขาต้องยิ้มอย่างพึงพอใจยิ่งยวดเมื่อเห็นท่าทีของนางที่บอกชัดว่านางเขินอายกับการกระทำของเขาเพียงใด และนางมีเขาเท่านั้นอยู่ในหัวใจ

 

เจ้าไปพบนางครั้งนี้ ต้องผูกใจนางไว้ให้ได้ นางจะได้มีเพียงเจ้าในหัวใจนางตลอดเวลา นั่นเพราะสตรีเมื่อปักใจรักบุรุษใดแล้ว พวกนางจะมองเพียงบุรุษที่นางรักเท่านั้น นางจะไม่เหลือสายตาไว้มองบุรุษอื่น

เมิ่งหรูไม่เคยมีบุรุษใดมาก่อน เจ้าจึงเป็นรักแรกของนาง รักแรกของสตรีเป็นรักที่ตราตรึงและฝังใจพวกนางมากที่สุด

เจ้าสมควรทราบ ***ความรักมักบังเกิดในชั่วพริบตา ชั่วพริบตานั้น เจิดจ้าจำรัสปานใด สวยสดงดงามเพียงไหน ชั่วพริบตานั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์***

 

เสียงของมหาเทพหยางหลงดังขึ้นในใจของเขายามที่บิดาของเขาบอกกล่าวถึงการผูกมัดเซียนสตรีในเบื้องต้น

“ห้ามเจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านเซียน’ ต่อไปเจ้าต้องเรียกนามของข้า ‘หยางไท่’ จำไว้ให้ดีล่ะ หากเจ้าเรียกผิด ข้าจะจุมพิตเจ้าต่อหน้าทุกคน” เขาคาดโทษนางอย่างรวดเร็ว ผูกมัดใจนางไว้กับเขาให้แน่นหนาที่สุด

“เจ้าค่ะ” นางรับคำเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

“มาส่งข้าที่หน้าร้านก่อน เด็กดีของข้า” เขาบอกกล่าวอย่างนุ่มนวลก่อนจะจุมพิตริมฝีปากของนางอีกครั้ง ใบหน้าของเมิ่งหรูแหงนเงย ริมฝีปากเผยอออกให้เขาจุมพิตนางได้ตามใจ ครู่หนึ่งเขาจึงยอมปล่อยนาง

“ข้าไม่อยากอยู่ห่างเจ้าเลย” เขากระซิบบอกก่อนจะยอมปล่อยนางจากอ้อมกอด และเดินนำออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางรีบเดินตามไปส่งเขาด้วยใบหน้าแดงจัดอย่างยิ่ง

“อย่าลืมที่ข้าบอก” เขากล่าวเสียงเบายิ่งเมื่อออกมาถึงด้านนอกของร้าน

“เจ้าค่ะ”

 

 

“เมิ่งหรู เจ้าไปทำอะไรมาจึงหน้าแดงถึงเพียงนี้” พระชายาเหม่ยเมิ่งทักขึ้นเมื่อนางเดินผ่านจะเข้าไปยังพื้นที่ที่จัดไว้สำหรับการชงชา

“ปละ...เปล่าเจ้าค่ะ ไม่มีอะไร” นางปฏิเสธก่อนจะรีบเดินเข้าไปชงชาต่อ พระชายาเหม่ยเมิ่งได้แต่มองตามอย่างแปลกใจ

วันนี้ทั้งวัน เมิ่งหรูชงชาไปก็ยิ้มไปกับตนเอง นัยน์ตาดำหวานเจิดจรัสราวดาราส่องแสง ทุกคนรอบข้างได้แต่มองนางอย่างสงสัย

 

 

“เสด็จแม่ คนของลูกมารายงานว่าพบเห็นเซียนหยางไท่ออกมาจากวังมังกรสวรรค์เพคะ เขาเดินทางไปแดนพายัพ ไปที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่” องค์หญิงหลิงฉีเอ่ยขึ้น

“เซียนหยางไท่มีลักษณะเช่นใด”

“รูปร่างสูงโปร่ง สง่างาม ลักษณะท่าทีบางอย่างคล้ายองค์ชายหยางเทียนเพคะ แต่คนผู้นี้สวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าไว้ จึงไม่ทราบว่าหน้าตาเป็นเช่นไร และเพราะเขาใส่หน้ากาก คนของลูกจึงทราบว่าเป็นเขา”

“แสดงว่านอกจากหยางอิง อาหญิงของเขาจะเป็นสหายสนิทของมหาเทวีเสวี่ยหลินแล้ว หยางไท่ยังเป็นสหายขององค์ชายหยางเทียนด้วย เรื่องแค่นี้ เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึงกันนะ”

“เมิ่งหรูมันช่างมีวาสนาถึงกับทำให้เซียนหยางไท่หลงเสน่ห์ของมัน จนเขายอมช่วยให้มันไปฝึกฝนที่ร้านชา ไม่แน่ว่าจริงๆ แล้ว เมิ่งหรูหลอกใช้เซียนหยางไท่เพื่อเข้าถึงองค์ชายหยางเทียนก็เป็นได้” องค์หญิงหลิงฉีคาดเดาในแง่ร้ายที่สุด นางไม่มีวันมองเมิ่งหรูในแง่ดี ราชินีเจียวเหม่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยทันที

“แม่ก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า ดังนั้น ขอเพียงพวกเราทำให้หยางไท่เชื่อว่าเมิ่งหรูหลอกลวงเขา เมื่อเขาทราบว่าตนเองถูกหลอกลวง เขาย่อมบอกเรื่องนี้กับหยางอิง อาหญิงของเขา หยางอิงต้องบอกเรื่องนี้กับมหาเทวี มหาเทพและองค์ชายก็จะทราบความจริงด้วย มหาเทวีต้องไล่เมิ่งหรูออกจากร้านชา เสด็จพ่อของเจ้าเมื่อทราบเรื่องก็ต้องทรงพิโรธที่เมิ่งหรูทำให้เผ่ากิเลนเสียชื่อ เขาต้องถอดยศพวกมันและขังพวกมันไว้ในตำหนักเย็นตลอดชีวิต”

“จริงด้วยเพคะ เช่นนี้ลูกจะให้คนคอยเฝ้าดูเซียนหยางไท่ หากเมื่อใดที่พบเห็นเขา ก็ให้คนของลูกเชิญเขามาพบพวกเราที่นี่ บอกความจริงให้เขารู้ เท่านี้ เมิ่งหรูก็ต้องกระเด็นออกจากร้านชา”

ทว่าองค์หญิงหลิงฉีก็ต้องผิดหวัง คนของนางที่เฝ้าดูอยู่รอบวังมังกรสวรรค์ต่างไม่พบเห็นเซียนหยางไท่อีกเลย ผ่านไปอีกหลายวันจนกระทั่ง...

“เสด็จแม่เพคะ คนของลูกรายงานว่าองค์ชายหยางเทียนเสด็จไปแดนพายัพเพคะ ถ้าองค์ชายเสด็จที่นั่นก็ต้องมีโอกาสพบเมิ่งหรู ลูกจะทำอย่างไรดีเพคะ” องค์หญิงหลิงฉีถามอย่างร้อนรน ยามนี้อกใจของนางร้อนรุ่มไปหมด นางกลัวว่าองค์ชายหยางเทียนที่นางหมายปองจะต้องตาในตัวเมิ่งหรู

“เช่นนั้นก็เหลือทางเดียว ต้องให้เสด็จพ่อของเจ้าไปเฝ้ามหาเทพและมหาเทวีเพื่อทูลขอให้ทรงอนุญาตให้เจ้าไปฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่”

“แล้วเรื่องที่เมิ่งหรูหลอกลวงเซียนหยางไท่ล่ะเพคะ ถ้าพวกเราทูลให้มหาเทพและมหาเทวีทรงทราบ เมิ่งหรูต้องกระเด็นจากร้านชา เช่นนี้ที่ร้านชาก็จะมีลูกเพียงผู้เดียว”

“สิ่งที่พวกเราทำได้คือเกริ่นเรื่องนี้ให้มหาเทพและมหาเทวีทรงทราบ เพราะทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของพวกเราเท่านั้น แต่การเกริ่นของพวกเราจะทำให้พวกท่านไม่ไว้ใจเมิ่งหรูและต้องให้คนที่ร้านชาจับตาดูนาง เมื่อเจ้าอยู่ที่ร้านชาก็หาทางทำให้คำพูดของพวกเราเป็นความจริง เช่นนี้ก็จะมีหลักฐานพร้อม มหาเทพและมหาเทวีย่อมเชื่อถือพวกเรา หลังจากนั้นเมิ่งหรูจะเป็นอย่างไรก็คาดเดาไม่ยากแล้ว”

“จริงของเสด็จแม่ เช่นนั้นรีบไปเฝ้าเสด็จพ่อเถิดเพคะ พวกเราจะได้ไปวังมังกรสวรรค์กัน”

 

 

ณ วังมังกรสวรรค์

“หลี่เหอ เจ้ามาพบข้าอย่างเร่งด่วน มีธุระใด?” มหาเทพหยางหลงเอ่ยถามเรียบๆ บนตักของเขามีแมวน้อยขนขาวฟูฟ่องตัวหนึ่งนอนหลับตาพริ้ม มือของมหาเทพกำลังเกาคางให้มันที่กำลังเคลิ้มอย่างยิ่ง

“เอ่อ...ข้ามีเรื่องมาทูลขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะ เกี่ยวกับร้านชาลี่ถังลี่มี่”

“หืออออ...ร้านชาลี่ถังลี่มี่? เจ้าจะมาขออะไร?” ครั้งนี้มหาเทพต้องถามอย่างงุนงง มือที่กำลังเกาคางให้เจ้าแมวน้อยหยุดชะงักด้วยความสงสัย ทำให้มันลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาสีฟ้าใสจ้องมองมหาเทพ

“เอ่อ...ข้าอยากให้หลิงฉี บุตรสาวของข้าอีกคนได้ไปฝึกฝนที่นั่นเช่นเดียวกับเมิ่งหรูพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ ! นึกว่าเรื่องอะไร แต่...”

เมี้ยววววววววว

มหาเทพกล่าวยังไม่ทันจบ เจ้าแมวน้อยก็ร้องแทรกขึ้นมาคล้ายจะต่อว่าที่เขาไม่เกาคางให้ เสียงร้องของมันเรียกให้มหาเทพนึกขึ้นได้

“ขอโทษที ลี่หยาน พ่อมีแขก นอนไปก่อนนะลูก เดี๋ยวพ่อคุยธุระเสร็จค่อยเกาคางให้เจ้าต่อ”

มหาเทพเอ่ยกับเจ้าแมวน้อยลี่หยานที่นอนอยู่บนตักด้วยน้ำเสียงเอ็นดูอย่างยิ่ง เจ้าแมวน้อยคล้ายจะรู้ความหากแต่ไม่ถูกใจ มันสะบัดหน้าหนีพรืดแต่ก็ยอมซุกศีรษะกับมือของเขาอีกข้างและหลับตานอนต่อ เรียกรอยยิ้มขบขันจากมหาเทพได้ทันที

“ลี่หยานงอนข้าเสียแล้ว เดี๋ยวต้องง้อให้ดี มันยิ่งขี้งอนกว่าลี่อินเสียด้วย ข้าคงต้องเสียขนมให้มันอีกไม่น้อยถึงจะง้อสำเร็จ” มหาเทพกล่าวคล้ายเล่าให้ฟัง

ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้สีหน้าของราชากิเลนหลี่เหอ ราชินีเจียวเหม่ย และองค์หญิงหลิงฉีต้องนิ่งอึ้ง

มหาเทพหยางหลงเรียกเจ้าแมวหิมะตัวน้อยว่า ‘ลูก’ ทั้งถ้อยคำที่กล่าวก็เต็มไปด้วยการเอาอกเอาใจมันอย่างยิ่ง ชัดเจนว่ามหาเทพโปรดพวกมันมากเพียงใด ไม่ต้องถามถึงมหาเทวีเสวี่ยหลินเลยว่านางจะรักใคร่เอ็นดูพวกมันขนาดไหน และก็หมายความว่าองค์ชายหยางเทียนต้องโปรดพวกมันไม่ต่างจากบิดามารดา

“หลิงฉี ต่อให้เจ้าไม่ชอบแมว เจ้าก็ต้องชอบ เข้าใจหรือไม่” ราชินีเจียวเหม่ยกระซิบกับบุตรสาว

“เพคะ” องค์หญิงหลิงฉีต้องรับคำอย่างจำยอม

“มาต่อกันเถิด เมื่อครู่เจ้ากล่าวถึงร้านชาลี่ถังลี่มี่ แล้วอย่างไรต่อนะ” มหาเทพถาม เขาลืมไปแล้วว่าพูดคุยค้างไว้ด้วยเรื่องขององค์หญิงหลิงฉี

“เอ่อ...ข้าอยากให้หลิงฉี บุตรสาวของข้าอีกคนได้ไปฝึกฝนที่นั่นเช่นเดียวกับเมิ่งหรูพ่ะย่ะค่ะ” ราชากิเลนหลี่เหอต้องกล่าวซ้ำอีกรอบ

“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้หรอก ร้านชาเป็นของมหาเทวี ข้าไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถ้าเจ้าอยากให้บุตรสาวไปฝึกฝนที่นั่น เจ้าก็ต้องขอกับนาง”

“หย่งเสียน” มหาเทพเรียกหาเซียนรับใช้คนสนิทที่ยืนรออยู่ไม่ห่าง

“เจ้าไปตามมหาเทวีมาที่นี่ บอกนางว่าราชากิเลนต้องการให้องค์หญิงหลิงฉีไปฝึกฝนที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หย่งเสียนออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมมหาเทวีเสวี่ยหลิน

“หลินเอ๋อร์ เจ้าจะว่าอย่างไร” มหาเทพถามเมื่อนางนั่งลงเคียงข้าง แมวหิมะตัวน้อยอีกตัวที่เดินตามนางมาก็กระโดดขึ้นมาบนตักของนางก่อนจะหมอบลงนั่งมองทุกคนอย่างสงสัยใคร่รู้

“ก็ได้นะเพคะ...”

คำตอบนี้สร้างความดีใจให้ราชากับราชินีกิเลนและองค์หญิงหลิงฉีทันที

“...แล้วเจ้าอยากฝึกฝนด้านใดบ้างล่ะ องค์หญิงหลิงฉี ที่ร้านชาของข้าน่ะมีการชงชาและทำเครื่องดื่มร้อนและเย็น ทำขนมหวาน ทำของว่าง ปลูกพืชผักผลไม้ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงของเหล่านี้ และบรรเลงดนตรี”

องค์หญิงหลิงฉีนิ่งไปครู่ เพราะทั้งหมดนางไม่ชอบสักอย่าง

“เอ่อ...บรรเลงดนตรีเพคะ” นางเลือกในสิ่งที่มือไม่ต้องเปรอะเปื้อน

“อย่างเดียว?”

“เพคะ”

“เช่นนั้นก็สักสองเดือนก็น่าจะทำได้ดีแล้ว” เสวี่ยหลินกล่าวอย่างครุ่นคิด

“ท่านอาหย่งเสียน” เสวี่ยหลินหันไปเรียกเซียนรับใช้คนสนิทของมหาเทพที่นางนับถือเป็นท่านอา

“พ่ะย่ะค่ะ”

“รบกวนท่านอาเขียนจดหมายให้องค์หญิงหลิงฉี นางจะได้ถือจดหมายฉบับนี้ไปมอบให้เสด็จแม่ของข้าที่ร้านชาลี่ถังลี่มี่ ในจดหมายให้บอกว่านางจะมาฝึกฝนด้านดนตรีที่ร้านชาเป็นเวลาสองเดือนเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ดะ...เดี๋ยวเพคะ มหาเทวี” องค์หญิงหลิงฉีร้องห้ามเสียงหลง

“เจ้ามีอะไรรึ”

“ทำไมจึงสองเดือนล่ะเพคะ คราวเมิ่งหรู มหาเทวียังอนุญาตนางว่านานเท่าใดก็ได้”

“เจ้าไม่เหมือนกับนาง หยางอิงบอกข้าว่าเมิ่งหรูต้องการฝึกฝนทุกอย่างให้ดี การฝึกฝนทุกอย่างต้องใช้เวลา ข้าจึงอนุญาตให้นางฝึกฝนนานเพียงใดก็ได้ แต่เจ้าเลือกเพียงดนตรี เพียงสองเดือนก็สมควรจะฝึกฝนได้ดีแล้ว”

“แล้วหากเมิ่งหรูต้องการฝึกฝนที่นั่นหลายปี มหาเทวีก็ทรงอนุญาตหรือเพคะ”

“อนุญาตสิ ผู้ใฝ่รู้ตั้งใจศึกษาและหมั่นฝึกฝน ข้าย่อมส่งเสริม หยางอิงชื่นชมเมิ่งหรูว่านางขยันหมั่นเพียร สิ่งใดไม่รู้ก็ขวนขวายศึกษาจนรู้แจ้ง เทพเซียนที่ปฏิบัติได้ดีเช่นนี้ ข้าจะไม่สนับสนุนได้อย่างไร”

“แล้วเซียนหยางอิงเชื่อถือได้หรือเพคะ” องค์หญิงหลิงฉีถามออกมา หากคำถามนี้ทำให้สีหน้าของราชาและราชินีกิเลนซีดเผือดทันที

“องค์หญิงหลิงฉี เจ้าควรระมัดระวังวาจาของเจ้าให้มาก หยางอิงเป็นเซียนอาวุโส คบหากับข้ามาหลายแสนปี นางนับเป็นสหายไม่กี่คนที่รู้ใจข้ารองจากมหาเทพหยางหลง” เสวี่ยหลินกล่าวเสียงเรียบ

“ขอประทานอภัยแทนบุตรสาวของข้าพ่ะย่ะค่ะ นางยังเยาว์ ไม่รู้ความ ขอมหาเทวีอย่าได้ถือโทษนางเลยพ่ะย่ะค่ะ” ราชาหลี่เหอละล่ำละลักกล่าวออกมา

“หลิงฉี เจ้าขอประทานอภัยมหาเทวีเดี๋ยวนี้” ราชาหลี่เหอหันมาเร่งรัดบุตรสาวที่บัดนี้หน้าซีด นางพลาดที่กล่าววาจาเมื่อครู่ออกไป

องค์หญิงหลิงฉีคุกเข่าลงทันที “ขอประทานอภัยเพคะ เป็นข้าพูดจาไม่ดีเอง ขอมหาเทวีได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยนะเพคะ”

เสวี่ยหลินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “เห็นแก่เจ้าที่ยังเยาว์ ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้”

“ขอบพระทัยมหาเทวี” กล่าวจบ นางจึงค่อยลุกขึ้น

“ส่วนเรื่องฝึกฝนที่ร้านชาของข้า เจ้าไปเริ่มได้พรุ่งนี้ ข้าให้เวลาเจ้าสองเดือน”

“เอ่อ...ข้า...เอ่อ...”

“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?” เสวี่ยหลินถามเสียงเรียบ

“ให้ข้า...เอ่อ...ฝึกฝนได้นานเท่ากับเมิ่งหรูได้หรือไม่เพคะ”

“เมิ่งหรูฝึกฝนทุกอย่าง แล้วเจ้าจะฝึกฝนทุกอย่างเหมือนนาง?”

“เพคะ”

“ถ้าเจ้าคิดว่าตนเองทำได้ก็ลองดู เช่นนั้น เจ้าก็ต้องเหมือนกับเมิ่งหรู นั่นคือจะถือว่าผ่านการฝึกฝนหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเสด็จแม่ของข้า พระชายาเหม่ยเมิ่ง”

“เพคะ”

 

 

“เมื่อครู่เจ้าเล่นละครหลอกเผ่ากิเลนได้ดีนี่” มหาเทพเอ่ยขึ้นหลังจากคนเผ่ากิเลนกลับไปหมดแล้ว

“แหม ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เพียงแต่...นางกล่าววาจาเข้าทางข้าเอง” เสวี่ยหลินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“หึ หึ หากเผ่ากิเลนทราบว่าเซียนหยางอิงคือเจ้า พวกมันจะทำหน้าอย่างไรกันนะ ข้าล่ะอยากเห็นเสียจริงๆ”

“อีกไม่นานกระมัง ตอนนี้หลิงฉีถึงกับไปขัดขวางเมิ่งหรูที่ร้านชา แล้วนางจะได้ทราบว่ายามเสด็จแม่ของข้ากลั่นแกล้งผู้ใด น่ากลัวกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ”

“จริง?”

“จริงสิเจ้าคะ หรือฟูจวินของข้าอยากจะลอง”

“ไม่ดีกว่า ข้าไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนให้ตนเอง อย่างไรนางก็เป็นแม่ยายข้า ยอมนางไว้ก็ไม่เสียหาย” มหาเทพกล่าวอย่างรู้หน้าที่ของบุตรเขย

“ท่านเป็นบุตรเขยที่ดีเจ้าค่ะ” เสวี่ยหลินเอ่ยชม

“เช่นนั้นก็ให้รางวัลที่ข้าเป็นบุตรเขยที่ดีสิ” เขากล่าวอย่างกรุ้มกริ่มก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากนุ่มนิ่มหอมหวาน

 

 

 

***ผู้เขียนหยิบยืมข้อความ ‘ความรักมักบังเกิดในชั่วพริบตา ชั่วพริบตานั้นเจิดจ้าจำรัสปานใด สวยสดงดงามเพียงไหน ชั่วพริบตานั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์’ จากคำคมของโกวเล้ง นักประพันธ์ชาวจีนชื่อดัง