ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
อารัมภบท
เช้าตรู่ ณ บ้านทาวน์โฮมสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรรชานเมือง ร่างเล็กของ ‘มน’ กำลังจะยกกระเป๋าลากขนาดใหญ่ลงมาจากชั้นสองพร้อมกับรอยยิ้มสดใสแข่งกับพระอาทิตย์
ผู้เป็นพ่อที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านก็ได้แต่มองตามร่างเล็กของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินยกกระเป๋าไปเก็บที่รถอย่างมีความสุข จนได้ยินเสียงของลูกชายตะโกนกลับมา
“ไปกันครับพ่อ”
ผู้เป็นพ่อเดินไปที่รถและเอ่ยพูดกับลูกชายว่า
“พ่อไปรอที่รถนะ...มนเข้าไปตามแม่ด้วยล่ะ”
มนพยักหน้าส่งยิ้มแทนคำตอบก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเรียกผู้เป็นแม่ให้ไปขึ้นรถ
มน หรือ มนตรา นาราธิป ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีที่เริ่มทำงานตั้งแต่เรียนจบมัธยม พอขึ้นมหาวิทยาลัยเขาก็ได้ทำงานส่งตัวเองเรียนแถมยังส่งเงินให้พ่อแม่ใช้อีกด้วย
หลังเรียบจบมหาวิทยาลัยมนก็ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไม่มีวันหยุดพัก จนเขาลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไปจนเสียสนิทนั่นก็คือเวลาที่เขาทุ่มเทไปให้กับงานจนหมด จนไม่เหลือแบ่งให้พ่อและแม่เลย
ในวันนี้มนเลยถือโอกาสในวันเกิดของแม่ พาท่านทั้งสองคนไปเที่ยวพักผ่อนที่ต่างจังหวัด
พอแม่เดินมาขึ้นรถมนก็ขับรถออกจากบ้านอย่างมีความสุข
ระหว่างทางที่รถกำลังแล่นไปตามถนนอย่างช้า ๆ มนก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“พ่อครับ..แม่ครับ...มนขอโทษนะครับที่ไม่ค่อยมีเวลาให้พ่อกับแม่เลย”
ผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับเอื้อมมือไปลูบหัวของลูกชายอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยนและสายตาที่มองมนด้วยความรักที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ส่วนแม่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ไม่เป็นไรเลยลูก...แม่กับพ่อเข้าใจเราเสมอนะ”
มนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจเพราะรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกท่านก็คงต้องการเวลาจากมนอยู่ไม่น้อย
“ครับ...ต่อไปนี้มนจะมีเวลาให้พ่อแม่เยอะ ๆ เลย มนรักพ่อกับแม่นะครับ”
สามคนพ่อแม่ลูกคุยกันไปตลอดทางอย่างมีความสุข หัวเราะ สนุกสนานเฮฮาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กว่าจะมาถึงที่พักก็ดึกมาพอสมควร เนื่องจากมนพาท่านทั้งสองคนแวะเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ หลายที่เลยทำให้ใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ
มนเลยให้พ่อกับแม่ไปพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้จึงค่อยพาท่านทั้งสองคนไปเที่ยวสถานที่อื่น ๆ ต่อ
หลังจากที่พ่อและแม่เข้านอนเรียบร้อยแล้ว มนเองก็กำลังจะเข้านอนเช่นกัน แต่ก็ดันมีเสียงสายเข้าเสียก่อน
Rrrr!
“ฮาโหลครับพี่รัน”
[เงียบเลยนะวันนี้ เป็นไงบ้าง]
“ก็ดีครับ มนไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่จะมีความสุขมากขนาดนี้ที่มนมีเวลาให้...มนนี่นิสัยไม่ดีเลยครับ...ว่ามั้ยพี่รัน” มนพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
[มนอย่าคิดแบบนั้นสิ...มนทำดีที่สุดแล้วนะ]
มนนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะได้สติกลับมาเพราะเสียงเรียกของคิรัน
[มน...ยังอยู่มั้ย]
“ฮะ..อยู่ครับ พอดีมนง่วงแล้วอะ มนขอตัวไปนอนก่อนนะครับ”
“ฝันดีครับ”
มนไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่อย่างใด และได้กดวางสายไป
ส่วนทางด้านของ ‘รัน’ หรือ คิรัน ดลภัทร ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีเจ้าของบริษัทดลภัทรจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ เรียกได้ว่าหน้าตาไม่ดีพอยังรวยมากอีกต่างหาก
และที่สำคัญคือคิรันแอบชอบมนมานานมากแล้วตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย คิรันเคยสารภาพรักกับมนไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่มนขอดูแลพ่อแม่เขาอย่างเต็มที่ก่อน
หลังจากที่กดวางสายจากคิรัน มนก็เดินเข้าไปในห้องและหลับไปจนรุ่งเช้า มนตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารให้พ่อแม่แต่เช้าตรู่
ผู้เป็นพ่อและแม่พอตื่นขึ้นมาก็เจออาหารที่มนทำไว้ให้ ก็พากันยิ้มดีใจก่อนจะนั่งลงทานอาหารในจานจนหมดเกลี้ยง
มนที่อาบน้ำเสร็จเดินออกมาเจอพ่อแม่นั่งคุยกันอยู่ที่ระเบียงหลังห้อง ก็ได้ละสายตาจากท่านทั้งสองหันไปมองจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ
มนแอบยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปโอบกอดท่านทั้งสองที่นั่งอยู่จากด้านหลัง
“มนรักพ่อกับแม่มากเลยนะครับ...มนสัญญานะว่าจะดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด..เหมือนที่พ่อแม่ดูแลและเลี้ยงมนมา...นะครับ”
ผู้เป็นแม่ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาสวมกอดลูกชายด้วยความรัก พร้อมกับเอ่ยว่า
“แค่นี้ก็ดีมากแล้วลูก...พ่อแม่มีความสุขมาก ๆ เลยนะที่มีมนเป็นลูก”
สิ้นเสียงบทสนทนาผู้เป็นพ่อก็ลุกจากเก้าอี้ จากนั้นทั้งสามก็ยืนกอดกันอยู่ที่ระเบียงท่ามกลางสายลมอย่างมีความสุข ก่อนจะแยกย้ายกันไปเก็บของและเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่อไป
และในช่วงเย็นก็จะวนรถกลับบ้านเลย เนื่องจากว่าพ่อและแม่ของมนมีนัดตรวจสุขภาพประจำปีกับหมอที่มนนัดไว้ก่อนหน้านี้
หลังจากที่เอาของไปเก็บที่รถเรียบร้อยแล้ว มนก็ขับรถพาท่านทั้งสองคนไปยังที่ที่ท่านอยากไป
มนขับรถพาพ่อและแม่เที่ยงตลอดทั้งวันจนถึงช่วงเวลาที่จะต้องขับรถตรงกลับบ้าน พ่อได้สังเกตเห็นอาการเหนื่อยล้าของมน เลยอาสาจะขับรถให้เพื่อให้มนได้พักผ่อนบ้าง
ในตอนแรกมนก็ไม่ยอมเพราะเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วกลัวจะเกิดอันตราย แต่ทว่าพอคิดกลับกันถ้าเกิดมนฝืนตัวเองขับต่อไปอาจจะเสี่ยงเกิดอันตรายมากกว่าเดิม มนเลยยอมให้พ่อขับไปก่อน และมนค่อยมาเปลี่ยนขับกลางทางทีหลังเอา
ขับออกมาได้เรื่อย ๆ ทั้งสามก็คุยกันมาตลอดทางโดยที่พ่อเป็นคนขับรถ แม่นั่งข้างคนขับ และมนนั่งอยู่เบาะหลังตรงกลาง
มนไม่รู้เลยว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเสียงหัวเราะและความสุขเหล่านี้กำลังจะหายไปตลอดกาล
หลังสิ้นเสียงพูดคุยกันไม่นานจู่ ๆ พ่อก็พูดอะไรแปลก ๆ ขึ้นมา
“มน...ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว...มนต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก พักผ่อนเยอะ ๆ อย่าโหมงานหนักจนเกินไป มีอะไรไม่สบายก็เล่าให้พี่รันกับน้ำน่านฟังนะลูก อย่างเก็บไว้คนเดียว”
มนงุนงงเล็กน้อยกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ ในตอนนั้นมนเองก็อดคิดไม่ได้ว่าพ่อเหมือนกำลังจะบอกลาเขาเลย
แต่แล้วมนไม่ได้เอะใจหรือติดใจสงสัยอะไรกับคำพูดของพ่อเลยตอบรับกลับไปและรับปากกับพ่อว่าจะทำตามที่พ่อบอก
พ่อยิ้มกว้างให้มน จากนั้นภายในรถก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง พ่อตั้งใจขับรถ ส่วนแม่ก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย
มนเองก็คอยนั่งมองทางช่วยพ่ออยู่ด้านหลังตลอด
จนได้ยินเสียงรถบีบแตรไล่ต่อกันมาจากไกล ๆ แล้วจู่ ๆ เสียงบีบแตรเหล่านั้นก็เงียบไป แต่กลับกลายเป็นว่ามีรถหรูคันหนึ่งพุ่งมาจากฝั่งตรงข้ามประสานงาเข้ากับรถของมน
ช่วงเวลานั้นเหมือนว่าโลกหยุดนิ่ง ไม่มีเสียงกรีดร้องจากรถของมนหรือเสียงอื่นใด จนเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ถึงได้ยินเสียง
โครม! ตามมาด้วยเสียงรถพลิกคว่ำหลายตลบ
รถของมนพลิกคว่ำและหมุนไปตามถนนหลายตลบจนมนนั้นกระเด็นออกมานอกรถ
มนที่ได้สติกลับมาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดที่กระจายไปทั่วร่างกายจนขยับแทบไม่ได้
มนพยายามกลอกตามองหารถตัวเองและพ่อแม่ จนได้เห็นสภาพรถตัวเองหงายท้องอยู่กลางถนนและที่สำคัญคือพ่อกับแม่ยังคงติดอยู่ในรถ
มนได้แต่ส่งเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองเรียกพ่อและแม่
“พ่อ...แม่..อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ มนกำลังจะไปช่วยแล้ว”
มนเห็นว่าพ่อแม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว จึงพยายามจะลุกขึ้นเพื่อจะไปช่วยพ่อกับแม่ แต่ทว่ายิ่งขยับตัวมากเท่าไหร่ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นมากเป็นสิบเท่า
น้ำตาของมนเริ่มหลั่งไหลออกมาพร้อมกับปากที่ตะโกนเรียกพ่อแม่อยู่ตลอดเวลาจนตัวเขานั้นหมดสติไปอีกรอบ
จังหวะที่มนหลับตาไปอีกครั้งภาพครอบครัวที่มีความสุขก่อนหน้านี้ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวจนมนได้สติกลับมาอีกครั้ง
แต่ทว่าครั้งนี้กลับเห็นชายใส่สูทยืนมองรอยเสียหายที่รถตัวเองอยู่ มนพยายามร้องเรียกชายคนนั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ทว่าชายคนนั้นกลับไม่สนใจมนเลยแม้แต่น้อย แถมยังคงหัวเสียที่รถหรูของเขาเกิดรอยและหน้ารถพังยับ
มนพยายามเรียกร้องขอความช่วยเหลือ แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่สนใจถึงแม้จะหันมามองมนที่พยายามขอความช่วยเหลือและรถของมนแล้วก็ตาม
มนพยายามส่งเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองอีกครั้งเพื่อขอร้องให้ชายคนนั้นช่วยพ่อแม่ของเขาออกมาจากรถก่อนที่รถจะระเบิด
คราวนี้เหมือนว่าชายคนนั้นจะเดินมาช่วยเหลือมน แต่แล้วเขากลับเดินเลยไปหยิบขวดไวน์ที่กระเด็นออกมาก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ทำการกระดกไวน์เข้าปากรัว ๆ
จนมีรถอีกคันขับผ่านมาและได้ลงมาช่วยและโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลให้
ชายคนนั้นเมาจนไม่สนใจว่าจะมีคนมาเห็นหรือเปล่า เขาเดินถือขวดไวน์กลับไปที่รถตัวเอง
มนที่เห็นว่ามีคนมาช่วยแล้วก็ได้หมดสติไปอีกครั้ง แต่ทว่าก่อนจะหมดสติไปในครั้งนี้ มนหันกลับมองที่ชายคนนั้นอีกครั้งก็เห็นว่าได้ขับรถหนีไปแล้ว
พลเมืองดีพยายามจะวิ่งตามไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
มนมองตามรถของชายคนนั้นและสัญญากับตัวเองว่าถ้าพ่อแม่เป็นอะไรไป ชายคนนั้นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำในวันนี้
เวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้มนได้ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมคิรันและน้ำน่านที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียง
“พ่อแม่..มนล่ะครับพี่รัน..น้ำน่าน”
ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะที่คิรันจะตัดสินใจบอกความจริงกับมน
“คือ...หลังจากที่มนกำลังถูกส่งมาโรงพยาบาล...รถของมนก็...”
สายตาของมนจดจ่ออยู่ที่คิรันเพื่อรอฟังคำตอบ
“ก็อะไรพี่รัน พามนไปหาพ่อกับแม่สิครับ พ่อกับแม่มนอยู่ห้องไหน” มนที่เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยพยายามหลอกตัวเองว่าสิ่งที่คิดไม่ใช่เรื่องจริง
มนพยายามจะลุกเดินออกไปหาพ่อและแม่ แต่ก็ถูกคิรันรันห้ามเอาไว้
“มน..”
“พี่รันปล่อยสิครับ มนจะไปหาพ่อกับแม่ ป่านนี้พ่อกับแม่ต้องมองหามนแล้ว”
รันและน้ำน่านที่เห็นมนเป็นแบบนี้ก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม
“มน...มนใจเย็นก่อนนะ แล้วฟังพี่ให้ดี..”
“...” มนมองหน้ารันและน้ำน่านสลับกัน ก่อนที่หยาดน้ำใส ๆ เริ่มหลั่งรินออกมาจากดวงตากลมโตของมน
“คือ...ระหว่างที่มนถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล...ทุกคนช่วยกันพาตัวพ่อและแม่ของมนออกมา...แต่ว่ามันไม่ทัน...มันเกิดระเบิดขึ้นก่อน...ทำให้พ่อกับแม่....”
“ไม่จริงอะ...พี่รันโกหก พี่รันโกหกมน” มนส่ายหน้าไปมาเพื่อปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
คิรันได้แต่ดึงมนเข้ามากอดเอาไว้ในอ้อมอก
มนยังคงร้องเรียกหาพ่อแม่อยู่ตลอดพร้อมกับน้ำตาที่ยังไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำเอาน้ำน่านและเตียงข้าง ๆ รวมไปถึงเหล่าพยาบาลที่ยืนอยู่ในห้องพักรวมต่างก็พากันร้องไห้ออกมาด้วยความสงสาร
หลังจากนั้นคิรันและน้ำน่านก็ช่วยกันจัดเตรียมงามศพพ่อแม่มน
ส่วนมนตลอดที่งานศพดำเนินไปสามวัน มนเอาแต่นั่งมองรูปของพ่อแม่และร้องไห้ออกมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้รันและน้ำน่านรวมทั้งคนที่มางานต่างก็พากันสงสารและเป็นห่วงมน
งานศพดำเนินไปจนเสร็จเรียบร้อย มนเลือกที่จะเอากระดูกอัฐิของพ่อและแม่ไว้ที่บ้าน เพราะท่านทั้งสองคนรักบ้านหลังนี้มาก ๆ มนจึงไม่อยากพรากท่านทั้งสองออกจากบ้านหลังนี้
หลังจากจบงานศพคิรันและน้ำน่านขับรถมาส่งมนที่บ้าน พอรถจอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้าน มนค่อย ๆ เปิดประตูเดินลงจากรถอย่างเหม่อลอย
มนยืนอยู่ที่หน้าบ้านพร้อมกับมือทั้งสองข้างถือโกศใส่กระดูกของพ่อแม่ สายตาที่เหม่อลอยไร้ประกายแห่งความสุขมองตรงไปยังบ้านสีครีมอ่อนดูสะอาดตา หน้าบ้านมีสนามหญ้าขนาดกะทัดรัดที่พ่อชอบมานั่งดื่มกาแฟทุกเช้าและเป็นบ้านที่เคยมีแต่ความสุข
มนเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้า ๆ โดยที่มีคิรันกับน้ำน่านเดินตามหลังมาด้วย ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่กลางบ้าน สายตามองตรงไปยังห้องครัวที่ผู้เป็นแม่มักยืนทำอาหารทุกเช้าและเย็น
ผ่านไปพักใหญ่มนละสายตาจากห้องครัวหันไปหาคิรันกับน้ำน่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่แววตากลับเศร้าหมองเสียเหลือเกิน
“พี่รันกับน่านกลับเลยก็ได้นะครับ”
“มนแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้” คิรันเอ่ยถามพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ครับ...มนอยู่ได้ พี่รันกับน่านเหนื่อยกันมาหลายวันแล้ว กลับไปพักเถอะครับ...”
“โอเคครับ พี่เป็นห่วงมนเสมอนะ”
มนเพียงส่งยิ้มเป็นการตอบรับ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป
หลังจากนั้นก็ไม่เคยออกมาจากบ้านอีกเลย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ยอมให้ใครเข้าบ้านและไม่ออกไปเจอใครเลยแม้กระทั่งคิรันกับน้ำน่าน