ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๑
สามปีต่อมามนได้ข่าวจากคิรันว่าจับตัวชายคนดังกล่าวได้แล้ว
มนรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอคิรันและน้ำน่านมารับไปดูหน้าชายที่โดนจับได้ ว่าจะใช่คนเดียวกันกับที่มนเจอในวันเกิดเหตุหรือไม่
ตั้งวันที่เกิดเหตุจนเวลาผ่านมาสามปี มนยังคงจดจำใบหน้าขอชายคนนั้นไม่เคยลืม มนจดจำไว้เป็นอย่างดีและจะไม่มีวันลืมหน้าของชายคนนั้นเด็ดขาด
หลังแต่งตัวเสร็จนั่งรอไม่นานคิรันกับน้ำน่านก็มาถึงพอดี จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าตรงสู่สถานีตำรวจทันที
แต่พอมาถึงมนกลับนั่งนิ่งไปยอมลงจากรถ น้ำน่านที่กำลังจะเปิดประตูลงไปก็สังเกตเห็นว่ามนดูนิ่งแปลก ๆ จึงได้ถามออกไป
“เป็นไรหรือเปล่ามน”
“เปล่าอะ...เราแค่กลัวว่าจะไม่ใช่คนนั้น...เรากลัวว่าคนนี้ที่จับได้จะเป็นแพะมากกว่า”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“น่านลองคิดดูนะ...สามปีที่ผ่านมาตำรวจจับมากี่คน ก็ไม่ใช่เลยสักคน...ครั้งนี้มนแทบไม่คาดหวังเลยว่าใช่คนขับตัวจริง”
น้ำน่านกับคิรันถึงกับต้องหันมองหน้าและคิดตามคำพูดของมน
“เอาหน่า ลองลงไปดูก่อนก็ได้” คิรันพูดจบก็เปิดประตูลงไปรอทั้งสองที่หน้ารถ
พอทั้งสองลงมาจากรถแล้ว คิรันก็เดินนำเข้าไปในสถานีตำรวจ
มนที่เดินตามหลังคิรันติด ๆ ไม่ทันได้ระวังเลยทำให้ชนเข้ากับคิรันที่หยุดยืนคุยกับเพื่อนตำรวจอยู่
โอ๊ย!!
“เฮ้ย! เป็นไรหรือเปล่ามน”
“ขอโทษครับพี่รัน มนไม่ทันมอง”
“นี่น้องมนตราใช่มั้ยครับเนี่ย...น่ารักกว่าที่คิดเยอะเลย พี่ชื่อไม้นะครับ” ไม้เอ่ยทักทายพร้อมกับส่งยิ้มหวานละมุนให้มน
“ใช่ครับ สวัสดีครับพี่ไม้” มนกล่าวทักทายพร้อมกับส่งยิ้มหวานกลับไปให้ไม้เช่นกัน
สองคนต่างส่งยิ้มหวานให้กันจนไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนยืนตาแข็งมองทั้งคู่อยู่ตลอด
“พอแล้วมั้ง มดขึ้นหมดแล้ว ยิ้มหวานเกินอะ”
“มึงนี่นะ...เออไป ๆ” ไม้ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินนำไปที่ห้องสอบสวน
ทันทีที่มนเห็นชายคนนั้นผ่านกระจกใส มนก็มั่นใจได้ทันทีว่าไม่ใช่คนเดียวกันกับที่มนเคยเห็น เพราะชายที่นั่งอยู่ในห้องสอบสวนดูจะมีอายุหน่อยซึ่งคาดว่าน่าจะราว ๆ ห้าสิบถึงหกสิบปีได้
ส่วนชายที่มนเห็นในวันเกิดเหตุอายุน่าจะราว ๆ สามสิบถึงสี่สิบปี
“พี่ไม้ครับ...” มนที่กำลังจะบอกกับไม้ว่าไม่ใช่คนนี้ แต่ไม้ก็ดันพูดสวนกลับมาเสียก่อนว่า
“ครับ...พี่รู้ว่ามนจะบอกว่าไม่ใช่คนนี้ใช่มั้ยครับ”
มนพยักหน้าตอบรับเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองที่ชายในห้องตรงหน้าอีกครั้ง
คิรันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หมดหวัง
“พวกคนรวยนี่ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ เลยว่ะ...แล้วแบบนี้ทำไรได้บ้างว่ะไม้ นอกปล่อยตัวคนนี้แล้วก็ไปจับคนใหม่มาอีกวนไปเรื่อย ๆ”
ไม้หันมองมนกับคิรันสลับกันก่อนจะตอบ
“จริง ๆ กูก็รู้ตัวคนขับแล้วนะ แต่พอกูบอกหัวหน้าไปก็กูโดนปลดออกจากคดีนี้เลยว่ะ แถมพวกนั้นแม่งขู่ว่าถ้ากูเข้าไปยุ่งกูโดนเด้งแน่ ทำไรต่อไม่ได้เลย ” พูดจบก็หันหน้าไปหามนและขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
“พี่ขอโทษด้วยนะครับน้องมนตรา”
“ไม่เป็นไรเลยครับพี่ไม้...แต่นี้ก็ดีมากแล้วครับ...ว่าแต่มนขอข้อมูลของคนที่ชนตัวจริงได้มั้ยครับ”
ไม้ คิรัน และน้ำน่านต่างก็หันมองหน้ากันอย่างงุนงงสงสัยว่ามนจะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปทำอะไร เพราะลำพังไม้ที่เป็นตำรวจยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วนี่มนเป็นเพียงคนธรรมดาจะทำอะไรมากกว่าได้
“น้องมนตราจะเอาไปทำอะไรครับ” ไม้เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อ๋อ...มนแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร หน้าตาเป็นแบบไหน ทำไมถึงได้ใจร้ายกับมนขนาดนี้”
“อ๋อ...ถ้ายังไงไว้พี่ส่งไปให้นะครับ”
หลังจากคุยกันเสร็จคิรันก็ขับรถไปส่งมนที่บ้านจากนั้นก็ขับไปส่งน้ำน่านต่อแล้วเขาเองก็กลับไปทำงานต่อที่บริษัท
ทางด้านของมนที่กลับมาถึงบ้านแล้วเขาก็เดินตรงไปยังหิ้งที่มีรูปพ่อแม่ตั้งอยู่พร้อมกับโกศใส่กระดูกวางอยู่ด้านหน้า
“พ่อแม่รอมนหน่อยนะครับ มนจะทำให้เขาคนนั้นต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำ มนจะไม่ปล่อยให้คนคนนั้นได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแน่นอนครับ”
หลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตไป มนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปเจอใคร ใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน จนเวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็ม ๆ มนที่เริ่มได้สติกลับมาก็เริ่มตามเรื่องคดีชนแล้วหนีของพ่อแม่ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะตำรวจยังระบุตัวตนคนชนไม่ได้
จนหนึ่งปีต่อมามนได้ข่าวจากคิรันอีกครั้งว่าจับตัวคนชนได้แล้ว แต่ทว่าคนคนนั้นกลับไม่ใช่คนเดียวกันกับที่มนเห็นในวันเกิดเหตุ
เพราะคำปฏิเสธของมนเลยทำให้ชายคนนั้นพ้นจากข้อกล่าวหา และจากวันนั้นตำรวจที่ทำคดีนี้ก็เริ่มเพิกเฉยไม่สนใจที่จะตามหาตัวคนชนมาลงโทษ เพราะกลัวว่าจับมาจะโดนมนปฏิเสธอีก
หกเดือนให้หลังตำรวจโทรศัพท์มาแจ้งกับมนว่าจับตัวคนร้ายได้อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ใช่ชายคนที่มนเห็นในวันเกิดเหตุ
ปัจจุบันมนก็ยังคงพบกลับความผิดหวังอีกเช่นเคย แถมครั้งนี้พวกตำรวจไม่สนใจคำพูดของมนอีกแล้ว มิหนำซ้ำยังปลดตำรวจที่ซื่อตรงออกจากคดีอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นคือตำรวจจับชายแก่คนนั้นเข้าคุก และได้แถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่ จนตำรวจที่ทำคดีได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งกันยกใหญ่
มนที่ยืนมองรูปพ่อและแม่อยู่จู่ ๆ ก็มีเสียงข้อความเข้า มนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูพบว่าเป็นไฟล์ข้อมูลที่มนได้ขอไม้ไป
มนทำการเปิดดูข้อมูลเหล่านั้น ก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่มนคิดเอาไว้ เพราะครอบครัวของคนที่ชนรวยมาก เปิดบริษัทหลายแห่งและได้กระจายไปทั่วประเทศ
“ฮึ ไม่แปลกเลยทำไมถึงรอดจากความผิดได้ เพราะมีเงินนี่เอง” มนพูดพึมพำคนเดียวแต่นิ้วก็ยังเลื่อนหน้าจออ่านข้อมูลของชายคนนั้นไปด้วย
แต่ทว่าจู่ ๆ ระหว่างที่มนกำลังเลื่อนอ่านข้อมูลอยู่นั้นก็สายเรียกเข้าจากน้ำน่าน
Rrrr!
“อือว่าไงน่าน”
[เราอยู่หน้าบ้าน ออกมาเปิดประตูให้หน่อยสิ]
“อือรอแป๊บนะ”
มนที่แปลกใจเล็กน้อยว่าน้ำน่านมาหาตนทำไมเพราะเพิ่งจากกันเมื่อสักครู่เอง แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตู
“มนกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่” น้ำน่านเอ่ยถามทันทีหลังจากที่ก้นหย่อนลงถึงโซฟา
“เปล่า” มนปฏิเสธหน้าตาเฉย
“มนอย่าโกหกเราได้มั้ย”
“...”
“มนตรา!”
มนถอดใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ไม่เคยโกหกหรือหลอกอะไรเพื่อนชายคนสนิทอย่างน้ำน่านได้เลย
“ก็ได้ ๆ บอกก็ได้ เราแค่อยากทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกสูญเสียเหมือนเราบ้าง เขาจะรู้ได้ว่าเรารู้สึกยังไง”
“แต่ถ้ามนยิ่งทำแบบนั้นมันจะยิ่งส่งผลเสียกับมนนะ แล้วพ่อแม่จะมีความสุขเหรอที่เห็นมนเปลี่ยนไปเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้”
“เราไม่สนอะไรแล้วน่าน...น่านลองคิดดูนะว่าถ้าวันนั้นเขาเลือกที่จะเรียกรถพยาบาลมาช่วยเรากับพ่อแม่ ตอนนี้เราอาจจะยังมีพ่อแม่อยู่ก็ได้ไงน่าน” มนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวด
น้ำน่านที่ได้ยินเสียงอันสั่นเครือของมนก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดปลอบมนทันที
“งั้นเอางี้ เราจะไม่ห้ามมน แต่เราขอให้มนบอกเราทุกเรื่องได้มั้ย ไม่ว่ามนจะทำอะไร ที่ไหน...เราขอให้มนบอกเราก่อน”
“...”
“นะมน เราขอแค่นี้”
มนจ้องมองไปยังใบหน้าอันเคร่งเครียดของน้ำน่านจึงตัดสินใจตอบตกลงออกไป
หลายวันต่อมาขณะที่มนกำลังเล่นอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านก็มีรถหรูสีดำคันหนึ่งขับมาจอดที่บ้านเขา แต่ไม่นานนักก็ขับออกไป
มนได้แต่มองตามไปอย่างติดใจสงสัยกับรถคันนั้นเพราะพักหลังมานี้รถคันนี้มักจะขับผ่านบ้านของมนอยู่บ่อยครั้ง
ในตอนแรกที่เห็นรถคันนี้มนก็คิดว่ามีคนเข้ามาอยู่บ้านที่ท้ายหมู่บ้าน เนื่องจากมีบ้านว่างอยู่หนึ่งหลังท้ายสุด แต่พอมนขับรถไปดูกลับพบว่าหน้าบ้านยังคงติดป้ายประกาศขายอยู่เลย
พอได้เห็นแบบนั้นแล้วมนเลยคิดไปอีกแง่มุมหนึ่งก็คือญาติของคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้
มนจึงเลิกสนใจรถคันและเดินกลับเข้าไปเพื่อเตรียมเสื้อและของใช้จำเป็นใส่กระเป๋า เพราะมนจะเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายที่มีความทรงจำของพ่อและแม่อยู่ที่นั่น