ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๓
ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์มนก็ได้ออกจากโรงพยาบาล คิรันก็ทำหน้าคอยไปรับส่งมนจากโรงพยาบาลมาบ้านของน้ำน่าน ส่วนเรื่องข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของมน คิรันได้ให้คนของเขาไปจัดการเรียบร้อยแล้ว
น้ำน่านและคิรันช่วยกันดูแลมนอยู่เกือบหนึ่งเดือนเต็มจนร่างกายของมนหายดี เหลือเพียงก็แต่ความทรงจำที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับคืนมา
ช่วงค่ำวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งรับประทานข้าวเย็นกันอยู่จู่ ๆ มนก็พูดขึ้นมาว่า
“พี่รันครับ...เมื่อไรพ่อแม่มนจะกลับมาเหรอครับนี่ก็จะเดือนนึงแล้วนะครับ”
คิรันที่กำลังตักข้าวเข้าปากอยู่ก็แทบจะสำลักกันเลยทีเดียว
แคร่ก! แคร่ก!
“เอ่อคือ...” คิรันหันไปมองหน้าน้ำน่านอย่างเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้จะตอบคำถามมนอย่างไรดี
สายตาของมนก็ยังคงจดจ้องไปที่ใบหน้าของคิรันอย่างไม่ลดละ ทำเอาคิรันกับน้ำน่านนั้นกดดันสุดชีวิตเลยทีเดียว
“อ๋อ ตอนนี้พวกท่านน่าจะยังเที่ยวกันอยู่แหละมั้ง พี่ก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ไว้ติดต่อได้พี่จะบอกนะ”
“ถึงว่าแหละ...มนก็โทรหาพ่อแม่ไม่ติดเหมือนกัน”
“กินข้าวกันต่อดีกว่าเนอะ...เดี๋ยวจะเย็นหมดก่อน”
มนส่งยิ้มเป็นการตอบรับก่อนจะหันกลับไปตักข้าวเข้าปากต่ออย่างสบายใจ
หลังจากทานข้าวเสร็จคิรันก็ขอตัวกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทต่อ ส่วนมนกับน้ำน่านก็ไปนั่งเล่นอยู่บ้านสวนซึ่งตั้งอยู่หลังบ้านใหญ่ของน้ำน่านนั่นเอง
ระหว่างที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้นมนก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า
“เออน่าน..เราได้งานทำแล้วนะ เริ่มงานพรุ่งนี้”
“ก็ดี...ฮะ อะไรนะ ได้งานทำ! เริ่มงานพรุ่งนี้อีก!....แล้วไปหางานตอนไหน บริษัทอะไร ทำเกี่ยวกับอะไร เริ่มกี่โมงเลิกกี่โมง”
“เดี๋ยวน่าน...ใจเย็น ๆ ก่อน เราตอบไม่ทัน”
“ตอบมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“เราสมัครไว้เมื่อสองสามวันก่อนอะที่บริษัทธาดาจำกัด เขาทำเกี่ยวกับพวกน้ำหอมจากดอกไม้ เริ่มงานแปดโมงเลิกห้าโมงเย็น”
“โอ๊ยตาย ๆ ทำอะไรไม่บอกกันเลย แล้วงี้พี่รันรู้จะเป็นไงเนี่ยไอมนเอ๊ย” น้ำน่านพูดพลางยกมือขึ้นมากุมขมับ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราบอกพี่รันเอง...เราไปนอนก่อนนะพรุ่งนี้เริ่มงานวันแรกไม่อยากไปสายอะ” มนพูดอย่างสบายใจราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่
น้ำน่านได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างจำใจเพราะจะห้ามตอนนี้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว
รุ่งเช้าขณะที่มนกำลังเตรียมตัวจะเดินออกไปรอรถที่หน้าหมู่บ้าน น้ำน่านก็เดินลงมาจากชั้นสองพอดี
“มนเราไปส่งเอง รอแป๊บนะ”
“เฮ้ย! ไม่ต้องน่าน บริษัทน่านกับที่ทำงานเรามันคนละทางกันเลย เดี๋ยวเราไปขึ้นรถที่หน้าหมู่บ้านเอาง่ายดี น่านจะได้ไม่ต้องวนรถด้วย”
“เอางั้นเหรอ...ถ้างั้นถึงแล้วโทรมาบอกด้วยนะ..เข้าใจมั้ย”
“โอเค..เราไปก่อนนะ”
มนหยิบกระเป๋าสะพายใส่บ่าจากนั้นเดินออกไปถนนในหมู่บ้านจนถึงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน
ในเวลาเดียวกันระหว่างที่มนกำลังนั่งรอรถอยู่นั้นก็มีหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักมนด้วยท่าทีที่เหมือนจะรู้จักกับมนเป็นอย่างดี
“อ่าวมนหายหน้าหายตาไปเลย เป็นไงบ้างจ๊ะเนี่ย”
มนเงยหน้ามองตามเสียงพูดจนได้เห็นใบหน้าอันสวยใสของหญิงวัยกลางคน
“รู้จักผมด้วยเหรอ...ครับ”
“พี่เปิ้ลไง จำพี่ไม่ได้เหรอ ที่เราเคยทำงานด้วยกัน”
“พี่เปิ้ล?”
“ใช่จ้ะพี่เอง”
“ขอโทษด้วยนะครับ..ผมจำไม่ได้จริง ๆ พอดีผม....” มนกำลังจะเอ่ยบอกว่าตัวเองประสบอุบัติเหตุมา แต่ทว่าจู่ ๆ ก็ชายคนหนึ่งเดินเข้าและพูดแทรกมนออกไปว่า
“เขาประสบอุบัติเหตุมาน่ะครับ”
หญิงวัยกลางส่งยิ้มให้มนเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
“คุณเป็น...” มนละสายตาจากหญิงสาวที่ชื่อเปิ้ลและหันมาถามกับชายที่ตอบคำถามแทนเขาเมื่อสักครู่
“เจอจนได้นะมนตรา” ชายคนดังกล่าวบ่นพึมพำอยู่คนเดียวพร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปใบหน้าจิ้มลิ้มของมน
“อะไรนะครับ?”
ยังไม่ทันที่มนจะได้รู้คำตอบจากชายคนนั้น รถเมล์ก็มาพอดี ด้วยความที่กลัวจะไม่ทันมนเลยลุกขึ้นเดินไปขึ้นรถทันทีโดยที่ไม่สนใจชายคนดังกล่าว
นั่งรถไม่นานก็มาถึงบริษัท มนเดินเข้าไปในบริษัทตามปกติ แต่ทว่ากลับเจอพนักงานทุกคนออกมายืนรอต้อนรับเขาโดยพร้อมเพรียงกัน
มนยืนงงอยู่พักใหญ่ที่หน้าประตูทางเข้า ได้แต่คิดว่าคงเป็นธรรมเนียมการต้อนรับพนักงานใหม่ของบริษัท
มนได้แต่เดินค้อมหัวผ่านทุกคนไปเพื่อเป็นมารยาท ถึงแม้จะเขินอายเล็กน้อย พอพ้นจากจุดนั้น มนก็รีบวิ่งเข้าลิฟต์ไป จนขึ้นถึงห้องทำงาน มนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
“วันแรกก็เอาเลยเหรอเนี่ย”
ตลอดทั้งวันทุกคนในแผนกการตลาดต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสอนงานให้มนจนมนสามารถเข้าใจงานเกือบจะทั้งหมดได้ภายในวันเดียว
ถึงเวลาเลิกงานมนก็ออกมายืนรอคิรันที่หน้าโรงงาน เนื่องจากว่าเมื่อเช้ามนโทรศัพท์ไปบอกคิรันเรื่องที่มาทำงานทำให้คิรันโกรธมากเลยบอกว่าจะมารับมนเองตอนเลิกงาน
มนยืนรอไม่นานนักคิรันก็ขับรถเข้ามาจอดตรงหน้า คิรันเปิดประตูลงมาและเดินตรงไปหามนทันที
“มนขอโทษค้าบ” มนรีบทำหน้าอ้อนใส่คิรันทันทีเพราะรู้ตัวว่าจะต้องโดนคิรันดุอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนเลยไอตัวแสบ เพิ่งมาบอกพี่ตอนที่มาถึงแล้ว มันน่านักนะ”
“แฮร่ มนขอโทษครับ ถ้าเกิดมนบอกพี่รันก่อน พี่รันก็ไม่ให้มนมาน่ะสิ”
“รู้เยอะนะเรา...” คิรันพูดพร้อมกับยกมือขึ้นยีผมของมนอย่างเอ็นดู
“พี่รัน...ผมมนยุ่งหมดแล้วเนี่ย” มนพูดพลางยกมือขึ้นมาจัดทรงผม
ทั้งสองหยอกล้อกันโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่ตลอดจนมนและคิรันขึ้นรถและขับออกไปคนคนนั้นถึงได้เดินกลับเข้าไปในบริษัท
วันรุ่งขึ้นมนก็มาทำงานตามปกติและวันนี้คิรันเป็นคนมาส่งที่หน้าบริษัท
มนและคิรันนั่งคุยกันอยู่บนรถพักใหญ่เพราะกำลังเถียงกันเรื่องที่
คิรันจะมารับมนในตอนเย็น แต่มนไม่ยอมที่คิรันต้องทิ้งงานเพื่อมารอรับเขา
“พี่รันไม่ต้องมารับนะครับ เดี๋ยวมนกลับเอง”
“แต่มน...”
“พี่รัน!!”
“ครับได้ครับ ไว้เจอกันที่บ้านน้ำน่านก็ได้”
พอมนลงจากรถคิรันก็ขับรถออกไปเลยทันทีเพราะมีประชุมต่อที่บริษัทเขา
“มนตรา”
มนกำลังจะก้าวขาเดินเข้าไปในบริษัทแต่ก็ได้ยินเสียงชื่อตัวเองดังมาจากไกล ๆ จึงได้มองตามเสียงเรียกนั้นไปถึงได้รู้ว่าเป็นชายคนที่เจอตรงป้ายรถเมล์นั่นเอง
มนได้แต่ยืนมองชายคนนั้นอย่างงุนงงว่าทำไมชายคนนั้นถึงได้รู้จักชื่อจริงของเขาด้วย
ชายคนดังกล่าวเดินตรงเข้ามาหามน พอเขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้ามนเขาก็เอ่ยถามกับมนทันที
“สวัสดีครับ...เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ครับ...ว่าแต่คุณรู้ชื่อมนได้ยังไง”
“นั่นไง” ชายคนนั้นพูดพลางชี้นิ้วไปที่ป้ายพนักงานของมน
“อ๋อครับ...งั้นขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
มนไม่รอช้ารีบสาวเท้าเดินเข้าไปในบริษัททันที มนได้ยินเสียงชายคนนั้นพยายามจะเรียกเขาไว้แต่มนก็ไม่ได้หันกลับไปมองหรือสนใจเขาเพราะมนคิดว่าเขานั้นอาจจะเป็นพวกโรคจิต
พอมาถึงห้องทำงานมนก็ลืมเรื่องของชายคนนั้นไปเลย และตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขะมักเขม้น
แต่ระหว่างที่มนทำงานอยู่นั่นก็ถูกเรียกตัวเข้าไปพบท่าประธานของบริษัท
เพื่อน ๆ ในแผนกต่างก็พากันคิดว่ามนต้องโดนไล่ออกอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านไม่ว่าใครจะถูกเรียกตัวเข้าไปต่างก็โดนไล่ออกทุกราย
ก่อนที่มนจะเดินออกไปจากแผนก เพื่อนร่วมงานทุกคนในแผนกต่างก็ส่งกำลังใจให้มน
“สู้ ๆ นะมน ถึงเราจะรู้จักกันแป๊บเดียวแต่มนน่ารักมากเลยนะ”
“ใช่ ๆ มนน่ารักกับพวกเรามาก สู้ ๆ”
มนเพียงแค่ส่งยิ้มเป็นการตอบรับกำลังใจ จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องท่านประธานด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง
มนยืนอยู่ทำใจอยู่นานพอสมควรก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป
ก๊อก! ก๊อก!
“ขออนุญาตเข้าไปนะครับ”
“เชิญครับ”
มนค่อย ๆ เปิดประตูเข้า ก็เห็นว่าท่านประธานนั่งอยู่ที่เก้าอี้และหันหลังให้เขาอยู่ มนเลยเดินเข้าไปยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน
มนมองสำรวจไปทั่วโต๊ะทำงานก็พบว่าเป็นระเบียบดีมาก จนสายตาของมนมาหยุดอยู่ที่ป้ายชื่อ ภาคภูมิ อนันต์ธวัส
ภาค ภาคภูมิ อนันต์ธวัส ทายาทคนสำคัญของบริษัทธาดาจำกัด นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงหน้าตาดีที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารได้เพียงไม่กี่ปี แต่ก็สามารถทำรายได้มากกว่าร้อยล้านต่อปี
และด้วยความที่หน้าตาดีของเขาทำให้มีสาวสวยและหนุ่มหล่อมากมายต่างก็เข้าหาเขาไม่เว้นแต่ละวัน แต่ทว่าทุกคนกลับโดนปฏิเสธอย่างไม่ไยดีเพราะเขานั่นรอใครคนอยู่
แต่พอท่านประธานหันมามนก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เพราะคนที่มนเคยคิดว่าเป็นโรคจิตแท้จริงแล้วเป็นถึงท่านประธานบริษัทใหญ่
“อ่าวคุณ...เอ่อขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรนั่งเถอะ”
จากนั้นภาคก็เริ่มอธิบายเรื่องโปรเจกต์ใหญ่ให้มนฟัง เพราะเขาจะให้มนเป็นคนทำงานนี้ และถ้ามนทำให้งานนี้ผ่านได้มนก็จะผ่านโปรและได้เป็นพนักงานเต็มตัว
แต่ทว่าระหว่างที่ภาคกับเลขาของเขากำลังอธิบายอยู่นั้นมนก็เอาแต่จ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของภาคอยู่ตลอด เพราะมนรู้สึกว่าผู้ชายคนตรงหน้าเขาช่างมีหน้าตาที่คุ้นเคยเสียเหลือเกิน
“จะมองอีกนานมั้ยครับ...คุณมนตรา”
“เอ่อ..ขอโทษครับพอดีมนรู้สึกเหมือนเคยหน้าท่านประธานมาก่อนน่ะครับ”
“เรียกคุณภาคเฉย ๆ ก็ได้ ท่านประธานมันดูทางการเกินไป ผมไม่ค่อยชอบ”
“ได้ครับคุณภาค”
ภาคเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปทำหน้าเคร่งขรึมเหมือนเดิม พร้อมกับเอ่ยพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ มืดแล้วด้วย”
“ครับ...งั้นมนก็ตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
มนเดินกลับไปเก็บของที่โต๊ะทำงานตัวเองและก็เดินออกไปรอคิรันที่หน้าบริษัท