ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๔
ระหว่างที่มนนั่งรอคิรันมารับอยู่นั้นก็ได้มีรถหรูสีม่วงคันหนึ่งขับมาจอดตรงหน้า ไม่นานคนในรถก็ได้ลดกระจกลงพร้อมกับเอ่ยถามมนที่ยืนรออยู่
“ผมไปส่งมั้ยครับคุณมนตรา”
“ไม่เป็นไรครับคุณภาค มนมีคนมารับแล้วครับ ขอบคุณนะครับ”
“โอเคครับ กลับบ้านดี ๆ นะครับ”
พูดจบภาคก็ขับรถออกไป มนก็ได้ยืนงงมองตามรถเขาไป
“อะไรของเขา...แต่รถคันนี้มันคุ้น ๆ แฮะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ในเวลาเดียวกันคิรันก็ขับรถมาจอดตรงหน้ามนเช่นกัน คิรันเห็นมนยังไม่รู้ตัวว่าเขานั้นมาแล้ว จึงได้ลดกระจกลงและส่งเสียงเรียกมนที่กำลังมองอะไรบางอย่างอยู่
“มน...มน...”
มนหันมองตามเสียงเรียกจึงได้รู้เป็นคิรัน
“ครับพี่รัน...มนหยิบของก่อนนะ”
มนเดินกลับไปหยิบของที่วางอยู่บนเก้าอี้ จากนั้นมนก็เดินไปขึ้นรถ
ระหว่างทางคิรันสังเกตเห็นสีหน้าของมนแปลก ๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาเลยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไรหรือเปล่ามน...แล้วเมื่อกี้มองอะไรขนาดนั้นฮึ”
“มนเจอแต่อะไรที่คุ้นตาทั้งวันเลยอะพี่รัน ทั้งประธานบริษัท ไหนจะรถเขาอีก มันดูเหมือนว่ามนเคยเจอเขามาก่อนเลยอะ”
“มนอาจจะเคยเจอผ่าน ๆ หรือเปล่า”
“ตอนแรกมนก็คิดแบบนั้นนะครับพี่รัน..แต่ว่าทุกครั้งที่มนเห็นหน้าเขามนรู้สึกเศร้าในใจแปลก ๆ แถมบางครั้งก็อยากจะร้องไห้ออกมาเลยนะ”
“อาจจะเป็นผลข้างเคียงที่มนความจำเสื่อมก็ได้นะ”
คิรันเอ่ยออกไปแบบนั้นก็เพื่ออยากปลอบใจไม่ให้มนคิดมาก จากนั้นเขาก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อจนมาถึงบ้านน้ำน่าน
แต่ทว่าพอมนลงจากรถแล้วคิรันก็ขับรถออกไปเลยโดยที่ยังไม่ล่ำลากันเลยสักคำ
น้ำน่านที่เพิ่งเดินออกมาถึงเห็นว่าคิรันขับรถออกไปแล้วเลยได้หันไปถามมน
“พี่รันกลับแล้วเหรอ”
“ใช่กลับไปแล้ว ไม่รู้รีบไปไหน”
“นั่นน่ะสิ รีบไปไหน อุตส่าห์ทำอาหารไว้เผื่อ”
มนที่ได้ยินแบบนั้นก็หันขวับไปมองน้ำน่านทันที จึงได้เห็นสีหน้าที่น้อยใจของน้ำน่าน
มนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะพูดโพล่งออกมา
“ชอบพี่รันเหรอ”
น้ำน่านตกใจหยุดชะงักกับคำถามของมนเมื่อสักครู่ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความเขินอายใบหน้าเห่อแดงม้วนไปม้วนมา
“เขินอะไรขนาดนั้น เรารู้ตั้งนานแล้ว”
“จริงเหรอ มันชัด...ขนาดนั้นเลยเหรอ”
มนตอบรับด้วยการพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปนั่งที่โซฟาที่ห้องรับแขกจากนั้นก็เอนหลังนอนราบไปกับโซฟา หลับตาลงเพื่อพักสายตา
ไม่นานนักน้ำน่านที่ปิดประตูเสร็จก็เดินตามเข้าและหย่อนก้นนั่งลงที่พื้นตรงหน้าโซฟาที่มนนอนอยู่
น้ำน่านนั่งเงียบอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาเอามาก ๆ แต่มนที่เพียงแค่พักสายตาเฉย ๆ ก็ได้ยินประโยคที่น้ำน่านพูดว่า
“แต่พี่รันเขาชอบมนน่ะสิ”
“แต่เราคิดกับพี่รันแค่พี่น้องไง ถ้าน่านชอบก็ลุยเลยเราเอาใจช่วย”
น้ำน่านค่อย ๆ เงยหน้ามองมนด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความหวัง
“ขอบคุณนะมน”
มนยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงไปเช่นเดิม
น้ำน่านที่ได้ยินคำยืนยันจากปากมนแล้วก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปยกอาหารออกมาวางไว้ให้มนที่โต๊ะ
แต่ในเวลาเดียวกันน้ำน่านก็สังเกตเห็นรถเก๋งสีขาวคันหนึ่งอยู่หน้าบ้าน
น้ำน่านเลยเดินไปถามมน
“เออมน..มนเคยเห็นรถเก๋งสีขาวคันนั้นมั้ย เราเห็นช่วงนี้เขามาจอดที่หน้าบ้านเราบ่อยมากเลย”
มนลืมตาขึ้นมาจากนั้นก็ยกหัวขึ้นมองรถคันนั้นผ่านกระจกใสออกไป แต่แล้วมนก็ต้องตาเบิกกว้างทันทีเพราะมนเองก็เจอรถคันนี้อยู่บ่อยครั้ง
มนหันกลับมานั่งนิ่งเงียบจนผิดปกติน้ำน่านเลยถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไรหรือเปล่ามน...เคยเห็นรถคันนั้นเหรอ”
“เราเห็นเหมือนกัน เขาชอบมาขับวนผ่านหน้าทุกเช้าเลย แต่ตอนนั้นเราคิดว่าเขาอาจจะอยู่หมู่บ้านนี้ก็ได้ แต่วันนี้เขามาจอดหน้าบ้านเราเลย เราว่ามันแปลก ๆ แล้วอะ”
“แจ้งตำรวจไว้ก่อนดีมั้ย” น้ำน่านเสนอทางออกเพราะเห็นสีหน้ามนไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ก็ดีเหมือนกัน แล้วนี่ล็อกบ้านดีแล้วใช่มั้ย”
“อือ ๆ ดีแล้ว...ไปกินข้าวกันเหอะจะได้ขึ้นบนบ้าน”
ทั้งสองช่วยกันปิดผ้าม่านตรงห้องรับแขกจากนั้นก็เดินไปนั่งทานในครัว พออิ่มก็รีบปิดไฟและขึ้นชั้นบนทันที
หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพร้อมจะเข้านอน มนได้เดินไปที่หน้าต่างและค่อย ๆ แง้มผ้าม่านดูว่ารถคันนั้นอีกครั้งว่ายังอยู่หรือไม่ แต่ก็พบว่าไม่อยู่แล้ว มนจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง
รุ่งเช้ามนไปทำงานตามปกติ แต่ทว่าพอมนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานตัวเองเพื่อนร่วมงานต่างก็มากันกรูเข้ามารุมล้อมอยู่ที่โต๊ะของมน
“มนยังไม่โดนไล่ออกเหรอ”
“นั่นดิ เป็นไปได้ไง ท่านประธานเรียกพบใครคนนั้นก็โดนไล่ออกหมดเลย แต่ทำไมมนถึงได้...”
มนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับว่า
“เปล่าครับ คุณภาคเรียกมนไปคุยเรื่องโปรเจกต์งานใหม่ที่จะส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ เขาให้มนไปติดต่อบริษัทดลภัทร ถ้ามนทำให้บริษัทดลภัทรตกลงร่วมธุรกิจได้ มนจะผ่านโปรเป็นพนักงานเต็มตัวครับ”
“คุณภาค! เหรอ มนเรียกท่านประธานว่าคุณภาคเหรอ”
“ครับ” พร้อมกับพยักตอบรับอย่างไร้เดียงสา
ทุกคนนิ่งเงียบสายตาจ้องมองมาที่มนเป็นตาเดียวกัน จนมนเริ่มทนไม่ไหวต่อสายตาเหล่านั้นเลยเอ่ยออกไปเบา ๆ ว่า
“ทุกคน...อย่ามนด้วยสายตาแบบนั้นสิครับ...มนทำตัวไม่ถูกแล้วนะ”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังยืนรวมกันอยู่ที่โต๊ะทำงานของมน จู่ ๆ ก็มีพนักงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังสุดสังเกตเห็นเลขาส่วนของท่านประธานกำลังเดินเข้ามา
“ทุกคนกลับที่ก่อนเร็วท่านประธานมาแล้ว”
ทุกคนรีบแยกย้ายกลับไปนั่งที่ตัวเองทันที จนท่านประธานกำลังจะเดินผ่านห้องทำงานของพวกเขา
แต่ทว่าจู่ ๆ เขาก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าชั่วขณะก่อนจะหันหน้ามองเข้ามาภายในห้องพร้อมเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“คุณมนตรา...พบผมที่ห้องด้วยครับ”
มนหันมองหน้าเพื่อนร่วมทุกคนที่นั่งมองอยู่ก่อนจะตอบรับคำสั่งของท่านประธาน
“ครับ” มนลุกเดินตามภาคไปที่ห้องทำงานทันที
ทันทีที่ภาคนั่งลงที่เก้าอี้ก็เอ่ยถามมนว่า
“แฟนคุณเหรอ”
“ครับ?” มนคิ้วขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย
“ผู้ชายคนที่มารับคุณเมื่อวันก่อนน่ะ...แฟนคุณเหรอ” ภาคเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งจนมนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าภาคคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ถามออกมาแบบนั้น มนจึงเลือกที่ตอบไปตามความจริง
“เปล่าครับ รุ่นพี่ที่สนิทกันเฉย ๆ อีกอย่างเขาก็เป็นเจ้าของบริษัทที่คุณภาคให้มนไปติดต่องานด้วยครับ”
“อ๋อ...ถึงว่าแหละทำไมเมื่อวานถึงดูเฉย ๆ ไม่กังวลอะไรตอนบอกให้ไปติดต่องานที่บริษัทนั้น”
“ครับ คุณภาคมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ พอดีมนต้องออกไปคุยงานกับพี่รันครับ”
“พี่รัน?”
“ขอโทษครับ...ผู้ชายคนที่คุณภาคเห็นน่ะครับ เขาชื่อคิรัน แต่มนเรียกเขาว่าพี่รันครับ”
“อือไปทำงานเถอะ”
หลังจากที่มนเดินออกไปได้ไม่นานเลขาส่วนตัวของภาคก็เดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยถามภาคว่า
“เมื่อไรคุณภาคจะบอกคุณมนตราล่ะครับ..ดูเหมือนคุณมนตราจะจำคุณภาคไม่ได้นะครับ”
“ยังก่อน ฉันอยากให้เขาจำฉันได้เอง” ภาคเอ่ยพร้อมกับสายตาที่มองตามมนที่กำลังเดินออกไปจากบริษัทผ่านกระจกใสจากชั้นเก้า
“แล้วถ้าเขาจำคุณภาคไม่ได้ล่ะครับ”
“ฉันก็จะปล่อยเขาไปและคอยเฝ้ามองเขาเหมือนที่เคยทำ”
ทางด้านของมนก็คุยงานกับคิรันจนฟ้ามืดพอดีเลยทำให้ไม่ได้กลับเข้าบริษัท
รุ่งเช้ามนก็ไปแจ้งข่าวกับทุกคนและท่านประธานว่าบริษัทดลภัทรจำกัดตกลงร่วมธุรกิจกับบริษัทธาดาจำกัดแล้ว
มนที่ได้เป็นพนักงานเต็มตัวภายในไม่กี่วัน เพื่อนร่วมงานต่างก็พากันแสดงความยินดีกับมนกันยกใหญ่ จนท่านประธานเดินเข้ามา
ทุกคนยืนนิ่งเงียบอยู่กับที่ ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยหน้าสบตา จนได้ยินเสียงท่านประธานพูดว่า
“ผมให้พวกคุณหยุดพักงานกันหนึ่งอาทิตย์เพื่อตอบแทนที่คุณมนตราคุยงานได้สำเร็จ”
ทุกคนที่ได้ยินเช่นก็อยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้เสียก่อนเนื่องจากว่าท่านประธานยังคงยืนอยู่ตรงหน้า
“ขอบคุณนะครับ” มนเป็นตัวแทนกล่าวคำขอบคุณ
ภาคยิ้มตอบรับเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป
เพียงเสี้ยววินาทีพนักงานก็กรีดร้องส่งเสียงเฮกันดังลั่นแผนกด้วยความดีใจ จนแผนกข้าง ๆ ต้องออกมามองกันเลยทีเดียว
พอถึงช่วงพักเที่ยงมนก็ได้บอกข่าวดีกับเพื่อนรักอย่างน้ำน่านและพี่ชายคนสนิทอย่างคิรันด้วยน้ำเสียงที่แต่มีความตื่นเต้น
คิรันและน้ำน่านเลยกะว่าจะลางานและไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันที่ต่างจังหวัด
หลังจากคุยกับคิรันและน้ำน่านเสร็จ มนก็คิดว่าจะโทรศัพท์บอกพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าติดต่อพ่อแม่ไม่ได้ เลยกะว่าจะรอเซอร์ไพรส์พวกท่านตอนกลับมาจากต่างประเทศทีเดียวเลย