"มนไม่มีทาง...รักคนที่ฆ่าพ่อแม่มนได้หรอกนะครับ

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book) - ตอนที่ ๕ ลวงรักเล่ห์แค้น โดย สรัลทม @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า

รายละเอียด

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book) โดย สรัลทม @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"มนไม่มีทาง...รักคนที่ฆ่าพ่อแม่มนได้หรอกนะครับ

ผู้แต่ง

สรัลทม

เรื่องย่อ

เรื่องราวของชายหนุ่มที่ชื่อว่า “มนตรา” เขาทำงานหนักมาโดยตลอดจนลืมสละเวลาให้ครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน

มนตราที่ได้สติกลับมาและรู้ว่าตัวเองทำงานมากเกินไปจนลืมดูแลครอบครัวที่เฝ้ารอคอยให้มนตรากลับบ้านอยู่ตลอดทุกวัน
ในวันเกิดของผู้เป็นแม่ เขาตัดสินใจหยุดงานเพื่อพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนครั้งใหญ่
ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าการไปเที่ยวพักผ่อนในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของพ่อและแม่เขา
แต่แล้วคนที่ทำให้มนตราต้องสูญเสียความสุขไม่ตลอดกาล กลับยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้อย่างไม่ละอายใจ
มนตราจึงคิดทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนคนนั้นได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการสูญเสียคนรักไป...ว่ามันเป็นอย่างไร
ทว่าเขาคนคนนั้นกลับเป็นคนที่มนตราเองก็คาดไม่ถึง....

สารบัญ

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-อารัมภบท ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๑ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๒ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๓ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๔ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๕ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๖ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๗ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๘ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๙ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๑๐ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๑๑ ลวงรักเล่ห์แค้น

เนื้อหา

ตอนที่ ๕ ลวงรักเล่ห์แค้น

ตอนที่ ๕
วันรุ่งขึ้นมน น้ำน่าน และคิรันต่างก็ช่วยกันยกกระเป๋าไปขึ้นรถอย่างมีความสุข เพราะนานมากแล้วที่พวกเขาทั้งสามคนไม่เคยได้ออกไปเที่ยวด้วยกันเลย
ในการเดินทางครั้งนี้คิรันอาสาเป็นคนขับรถให้เอง ทว่าขับออกมาได้เพียงแต่หน้าหมู่บ้าน จังหวะที่คิรันกำลังจะเลี้ยงขวาเพื่อเข้าถนนใหญ่ ก็มีรถเก๋งสีม่วงคันหนึ่งหลักจนเข้ากับรถกระบะจนพลิกคว่ำหลายตลบ มิหนำซ้ำคนขับรถเก๋งยังกระเด็นออกมาจากรถ และร่างของคนขับก็นอนหายใจรวยรินอยู่ที่หน้ารถของทั้งสามคนอีกด้วย
สามคนที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในรถอ้าปากค้างตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
คิรันที่เหมือนจะมีสติมากกว่าสองคนด้านหลังก็ได้ขยับรถถอยหลังกลับเข้ามาที่ถนนหน้าหมู่บ้านเสียก่อน
“สองคนโอเคใช่มั้ย”
“น่านโอเคครับพี่รัน”
“อือดีแล้ว มนล่ะ...โอเคมั้ย”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับจากมน คิรันจึงได้หันไปมองมนก็ได้เห็นว่ามนก้มหน้ายกมือขึ้นมากุมหัวเอาไว้พร้อมกับร่างกายที่ยังคงสั่นเทาอยู่จากเหตุการณ์เมื่อสักครู่
คิรันเห็นอาการของมนไม่ค่อยสู้ดีนักเลยเปิดประตูรถลงไปดูมนทันที
“มน..มน...มนได้ยินพี่มั้ย...มน”
“มน...มนปวดหัวมากเลยพี่รัน เหมือนมันจะระเบิด...” มนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเครือความเจ็บปวด
คิรันเองก็เริ่มสติแตกทำอะไรไม่ถูก คิดได้อย่างเดียวคือต้องพามนไปโรงพยาบาลไปเร็วที่สุด
“มนตั้งสติก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละ”
มนพยักหน้าตอบรับพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมหัวเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนต่อได้อีกแล้ว
คิรันวิ่งไปที่หน้าถนนตรงจุดที่เกิดเหตุเพื่อดูว่าพอจะมีทางที่รถของจะขับผ่านไปได้หรือไม่ แต่ด้วยความร้อนรนและกลัวว่ามนจะเป็นอะไรไปทำให้คิรันเองเริ่มสติแตก ดวงตาพร่ามัว มองอะไรก็ไม่ชัด
ทางด้านน้ำน่านที่นั่งอยู่ในรถกับมนก็สังเกตเห็นว่าคิรันมีท่าทีแปลก ๆ ทว่าเขากลับรู้ได้ทันทีว่าคิรันสติแตกและในอีกไม่ช้าคิรันจะตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด
น้ำน่านกลัวว่าหากคิรันสติมากกว่าอาจจะส่งผลให้มนเกิดอันตรายไปก็ได้ เขาจึงตัดสินใจเดินลงไปหาคิรัน
“พี่รัน! พี่ต้องมีสติให้มากกว่านี้ พี่ดูมนสิ มนจะไม่ไหวแล้วนะพี่”
คิรันหยุดนิ่งอยู่กับที่หลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา และแล้วเขาก็พบกลับช่องวางบนถนนที่เขาสามารถขับรถผ่านไปได้
แต่ในระหว่างที่คิรันกำลังขับรถฝ่าอุบัติเหตุไป มนที่ทนไม่ไหวแล้วก็ได้ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำเอาคิรันเกือบจะสติแตกอีกครั้ง แต่ยังโชคดีที่มีน้ำน่านคอยเรียกเตือนสติเอาไว้ตลอดทาง
พอมาถึงโรงพยาบาลมนก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินไปเลยในทันที สองคนทำได้เพียงแค่นั่งรออยู่ที่หน้าอย่างใจจดใจจ่อด้วยความเป็นห่วงกลัวมนจะเป็นอะไร
นั่งรอไม่นานหมอก็เดินออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนักก่อนจะพูดถึงอาการของมน
“คนไข้ไปเจออะไรมาหรือเปล่าคะ”
“พอดีเมื่อกี้มีอุบัติเหตุรถคว่ำน่ะครับ แล้วมันเกิดตรงหน้าพวกเราพอดี และคนขับรถคันนั้นก็กระเด็นออกมาอยู่ที่หน้ารถเราด้วยครับ”
“ก่อนที่คนไข้จะความจำเสื่อม...คนไข้เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนใช่มั้ยคะ”
คิรันและน้ำน่านหันมองหน้ากันทันที ก่อนจะที่จะหันกลับไปมองที่หมอและเล่าเรื่องอุบัติเหตุของพ่อแม่มนให้หมอฟัง
หลังจากที่หมอเดินจากไปแล้ว น้ำน่านที่กลัวว่ามนจะกลับมาจำทุกอย่างได้รวมถึงเรื่องที่จะตามแก้แค้นชายคนนั้นด้วย
“พี่รัน น่านมีอะไรจะบอก”
“อะไรเหรอ?”
“คือ...ก่อนที่มนจะเกิดอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม...มนเคยบอกน่านว่า..มนจะตามหาคนที่ขับรถชนพ่อแม่และจะทำให้คนคนนั้นรับผิดชอบ”
“มนคิดจะแก้แค้นงั้นเหรอ...แล้วทำไมเราเพิ่งมาบอกพี่ล่ะ”
“ก็น่านเห็นว่ามนความจำเสื่อม..จำเรื่องนี้ไม่ได้ น่านเลยไม่อยากพูดถึงอีก แต่ตอนนี้น่านกลัวมนจะจำได้”
“ไว้รอมนตื่นก่อนแล้วกัน...น่านอย่าเพิ่งคิดมากนะ”
หลังจบบทสนทนาทั้งสองก็เดินไปหามนที่ห้องพักฟื้น จึงได้เห็นมนนั่งอยู่บนเตียงสายตามองทอดออกไปยังนอกหน้าต่าง
มนที่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยละสายตาจากสิ่งกำลังมองอยู่และหันมามองคิรันกับน้ำน่านด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เป็นไงบ้างมน โอเคแล้วใช่มั้ย” คิรันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ครับ มนไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แล้วมนอยากไปเที่ยวอยู่มั้ย”
“ไม่แล้วครับ มนอยากพักมากกว่า ถ้าไปในสภาพแบบนี้กลัวจะไม่สนุก”
“ดีแล้ว เดี๋ยวน่านไปเอายาแล้วเรากลับบ้านกันนะ”
“ครับ” มนตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองที่หน้าต่างเช่นเดิม
คิรันได้แต่หันมองน้ำน่านด้วยความอึดอัดใจเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้มนจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้วหรือยัง
พอน่านเดินออกไปแล้วคิรันจึงรวบรวมความกล้าถามออกไปตรง ๆ
“มน...จำได้แล้วใช่มั้ย”
“จำอะไรได้เหรอครับ?” มนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก
“เปล่าน่ะ เรากลับบ้านกันเถอะ น่านน่าจะรออยู่ที่รถแล้ว”
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านมนก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่ร่าเริงสดใสกลายเป็นนิ่งเงียบ
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่น้ำน่านอยู่ดูแลมนตลอดเวลา ทำให้น้ำน่านมั่นใจว่าความทรงจำของมนต้องกลับมาแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่มนไม่ยอมบอก
หนึ่งวันก่อนที่มนจะไปทำงาน น้ำน่านตัดสินใจจะถามกับมนตรง ๆ
ก่อนจะเข้านอนน้ำน่านเดินไปนั่งข้าง ๆ มนที่เตียงและเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“มน...ความทรงจำของมนกลับมาหมดแล้วใช่มั้ย”
“ความทรงจำอะไรเหรอ?” มันยังตีหน้าซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร แต่น้ำน่านเองก็ไม่ยอมเช่นกัน
“ถ้ามนไม่ยอมพูด เราจะบอกพี่รันว่ามนจำได้แล้ว”
“อย่าบอกนะ...ใช่! เราจำเรื่องทั้งหมดได้แล้ว...แล้วเราก็เจอคนคนนั้นแล้วด้วย”
“...”
“เราจะบอกน่านทุกอย่าง ขอแค่น่านอย่าบอกพี่รันก็พอ ไม่งั้นเราจะไม่บอกอะไรน่านเลย”
เมื่อน้ำน่านได้ยินแบบนั้นแล้วก็ต้องจำใจยอมตกลง เพราะถ้ามนไม่บอกอะไรเลยน้ำน่านเองก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะไม่รู้คนคนนั้นที่มนว่าเป็นใครมาจากไหน จะอันตรายกับมนหรือไม่
มนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับเดินลงไปชั้นล่าง มองดูรถคันสีขาวเหมือนทุกวัน และที่สำคัญคือมนรู้แล้วว่าคนในรถเป็นใครและใครเป็นคนส่งมา
“ส่งมาดูสินะ ไว้เจอกัน”
วันรุ่งขึ้นมนแต่งตัวไปทำงานตามปกติ และวันนี้มนตื่นเช้ากว่าปกติเพราะกลัวว่าจะเจอคิรันมารอรับที่หน้าบ้าน ตลอดหลายวันที่ผ่านมามนพยายามหลบหน้าคิรันอยู่ตลอด เพราะกลัวจะหลุดพูดอะไรออกไปจนคิรันรู้ว่าความทรงจำเขานั้นกลับมาหมดแล้ว
แค่ช่วงเวลานี้ที่มีเพียงแค่น้ำน่านที่รู้ มนก็ใช้ชีวิตยากมากพออยู่แล้ว เพราะไม่ว่าย่างกรายไปทางไหน น้ำน่านก็จะถามไถ่อยู่ตลอดเวลา
ตอนอยู่ที่บริษัทมนก็ทำตัวร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนที่ผ่าน เพราะถ้าจะให้เปลี่ยนไปเลยก็อาจต้องเป็นเป้าสายตาและภาคอาจจะรู้ก็เป็นได้
“สวัสดีครับทุกคน”
“อ่าวน้องมนมาแล้วเหรอ วันหยุดที่ผ่านมาไปเที่ยวไหนมาล่ะ”
“เปล่าครับ พอดีมนไม่สบายนิดหน่อยน่ะครับเลยไม่ได้ไปไหนเลย นอนพักอยู่ที่บ้านอย่างเดียว เสียดายมากเลยครับ”
“เสียดายแย่เลยอุตส่าห์ได้หยุดตั้งหลายวันแหนะ”
มนกำลังจะอ้าปากตอบแต่ภาคกับเลขาส่วนตัวของเขาดันเดินเข้ามาเสียก่อน จึงไม่ได้พูดอะไรออกมาจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับไปนั่ง
“คุณมนตราพบผมที่ห้องด้วยครับ”
“ครับ” มนลุกขึ้นเดินตามภาคไปอย่างเงียบ ๆ ทว่าแววตาที่มองตามแผ่นหลังของภาคกลับเป็นแววตาที่มีแต่ความคุมแค้น เกลียดชัง
ในใจมนแทบไม่อยากจะเข้าใกล้เขาเลยแต่นิดเดียว แต่อย่างนั้นแล้วมนก็ทำได้เพียงแค่ตามน้ำไปก่อน
มาถึงห้องทำงานภาคก็เดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน ส่วนเลขาและมนทั้งสองคนเดินมาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของภาคหรือตรงหน้าภาคนั่นเอง
“ต่อไปนี้คุณมาเป็นผู้ช่วยผมแล้วกันนะ” ภาคเอ่ยพูดทั้งที่สายตายังคงมองที่เอกสารบนโต๊ะ
“มนเหรอครับ?” ภาคละสายตาจากเอกสารค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้ยกมือขึ้นชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอยู่
“ครับ คุณนั่นแหละ”
“แล้วคุณเลขาล่ะครับ ”
“ก็นั่นเลขา ส่วนคุณเป็นผู้ช่วย อย่าถามเยอะหน่า กลับไปเก็บของแล้วมานั่งทำงานที่โต๊ะหน้าห้องผมได้เลย”
มนเอ่ยตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “ได้ครับ” ด้วยสีหน้าที่จำใจตอบเพราะโดนบังคับจากภาค แต่ทว่าพอหันหลังให้ภาคแล้วมนบนใบหน้าของมนกลับได้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
มนยืนเก็บของที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับว่าไม่อยากย้ายไปทำงานที่หน้าท่านประธานคนเดียว จนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งสังเกตเห็นจึงเดินเข้ามาถามไถ่
“ท่านประธานนี่ก็แปลกเนอะมีเลขาอยู่แล้ว ยังจะอยากได้ผู้ช่วยอีก แล้วมนรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงเลือกมนเป็นผู้ช่วยเขา”
“มนก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่มนไม่อยากไปเลยอะ อยู่กับพวกพี่สนุกกว่าเยอะเลย ไปอยู่ตรงนั้นคนเดียวเหงาแย่เลย”
“ฮ่า ๆ โถ่เด็กน้อย ไว้พักเที่ยงก็มาหาพวกพี่ไง พวกพี่ก็อยู่กันตรงนี้แหละ แล้วอีกอย่างนะแผนกการตลาดยินดีต้อนรับมนตลอดเลย”
“ขอบคุณนะครับ...มนเก็บของเสร็จพอดี มนขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะโดนคนในห้องนั้นว่าเอาอีก ฮ่า ๆ” มนเอียงคอเข้าไปใกล้กับเพื่อนร่วมงานคนดังกล่าวและพูดประโยคสุดท้ายเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“จ้ะไว้เจอกันนะ”
ช่วงพักเที่ยงมนกำลังจะเดินไปหารุ่นพี่ที่แผนกการตลาด แต่ก็ถูกภาคเรียกเอาไว้เสียก่อน มนได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะตอนนี้เลขาของภาคแทบไม่ได้ทำงานอะไรเลย เพราะงานทุกอย่างภาคโยนมาให้มนทำแทนทั้งหมด
“จะไปไหน ออกไปพบลูกค้ากับผมหน่อย พอดีเลขาผมไปทานข้าวเที่ยง”
“อีกแล้วเหรอครับ แต่มนก็ยังไม่ได้ทานข้าวเลยนะครับ”
“จะไปทานข้าวและโดนไล่ออกกับไปพบลูกค้ากับผมและยังได้ทำงานอยู่...คุณจะเลือกอะไรครับ”
“ครับ ได้ครับ ๆ ท่านประธาน มนขอเก็บของก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวมนตามไป”
“ครับ รีบหน่อยก็ดีนะครับ”
เก็บของเสร็จมนก็เดินลงมาที่ลานจอดรถ แต่ทว่าเมื่อสักครู่มนเองก็ลืมไปถามภาคไปเสียได้ว่ารถเขาคันไหน
มนพยายามมองหารถของภาคอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่พบ จะโทรศัพท์หรือส่งข้อความหาก็ไม่ได้เพราะไม่มีช่องทางติดต่อกันเลย
ในเวลาเดียวกันเสียงโทรศัพท์มนก็ดังขึ้น
Rrrr!
“ฮาโหลสวัสดีครับมนตราพูดครับ”
[ผมยืนอยู่ตรงรถบีเอ็มสีม่วง]
“บีเอ็มสีม่วง” มนมองหารถบีเอ็มดับเบิลยูสีม่วงตามที่ภาคบอกจนเห็นว่าจอดอยู่ริมสุดลานจอดรถ
“เห็นแล้วครับ” มนกดวางสายและเดินตรงเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ จนเห็นสีและทะเบียนรถชัดเจน
“สีรถสวยดีครับ คุณภาคชอบสีม่วงเหรอครับ รถคันที่มนเห็นวันนั้นก็เป็นสีม่วง” มนถามพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ ตัวรถ
“ใช่ ผมชอบเพราะคนคนหนึ่งน่ะ” มนไม่ได้สนใจคำตอบของภาคเลยแม้แต่น้อย แถมยังถามคำถามแปลก ๆ ออกไปอีก
“เคยขับชนมาก่อนมั้ยครับ?”
“อะไร?”
“เปล่าน่ะครับ แค่จะถามว่าเคยขับไปไหนไกล ๆ มาก่อนมั้ยครับ”
“ไม่นะ ขับแค่ไปกลับที่ทำงานเนี่ยแหละ อีกอย่างเพิ่งซ่อมเสร็จ”
“อ๋อครับ...ไปกันเถอะครับเดี๋ยวลูกค้าจะรอนาน”
ตอนแรกที่มนเห็นรถคันนี้มนมั่นใจมากว่าต้องเป็นคันนี้อย่างแน่นอนที่มนเห็นในวันเกิดเหตุเมื่อสามปีก่อน ทว่าพอเห็นป้ายทะเบียนแล้วมันกลับไม่ใช่ แต่พวกตัวอักษรและตัวเลขนั้นคล้ายคลึงกันเอามาก ๆ
ตลอดทางที่นั่งอยู่ในรถ สายตาของมนก็กวาดมองสำรวจไปรอบ ๆ ภายในรถ แต่แล้วก็ไม่พบอะไรผิดปกติ