"มนไม่มีทาง...รักคนที่ฆ่าพ่อแม่มนได้หรอกนะครับ

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book) - ตอนที่ ๖ ลวงรักเล่ห์แค้น โดย สรัลทม @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า

รายละเอียด

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book) โดย สรัลทม @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"มนไม่มีทาง...รักคนที่ฆ่าพ่อแม่มนได้หรอกนะครับ

ผู้แต่ง

สรัลทม

เรื่องย่อ

เรื่องราวของชายหนุ่มที่ชื่อว่า “มนตรา” เขาทำงานหนักมาโดยตลอดจนลืมสละเวลาให้ครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน

มนตราที่ได้สติกลับมาและรู้ว่าตัวเองทำงานมากเกินไปจนลืมดูแลครอบครัวที่เฝ้ารอคอยให้มนตรากลับบ้านอยู่ตลอดทุกวัน
ในวันเกิดของผู้เป็นแม่ เขาตัดสินใจหยุดงานเพื่อพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนครั้งใหญ่
ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าการไปเที่ยวพักผ่อนในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของพ่อและแม่เขา
แต่แล้วคนที่ทำให้มนตราต้องสูญเสียความสุขไม่ตลอดกาล กลับยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้อย่างไม่ละอายใจ
มนตราจึงคิดทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนคนนั้นได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการสูญเสียคนรักไป...ว่ามันเป็นอย่างไร
ทว่าเขาคนคนนั้นกลับเป็นคนที่มนตราเองก็คาดไม่ถึง....

สารบัญ

ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-อารัมภบท ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๑ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๒ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๓ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๔ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๕ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๖ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๗ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๘ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๙ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๑๐ ลวงรักเล่ห์แค้น,ลวงรัก เล่ห์แค้น (มี E-book)-ตอนที่ ๑๑ ลวงรักเล่ห์แค้น

เนื้อหา

ตอนที่ ๖ ลวงรักเล่ห์แค้น

ตอนที่ ๖
ผ่านไปประมาณสามสิบนาทีก็มาถึงสถานที่นัดหมาย พอเห็นว่าลูกค้าคนนั้นเป็นใครมนก็ต้องตกใจชะงักงัน
มนได้แต่คิดว่าเมื่อสักครู่นี้น่าจะถามภาคให้แน่ชัดเสียก่อนว่าลูกค้าที่ว่านั้นเป็นใคร เพราะถ้ารู้ว่าเป็นคิรันมนก็คงจะยอมโดนไล่ออกเสียยังดีกว่าต้องมาเจอหน้าคิรันแบบนี้
มนค่อย ๆ เปิดประตูลงจากรถถึงแม้ในใจอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ก็เถอะ เพราะตั้งแต่วันที่ความทรงจำกลับมาแล้วมนก็พยายามหลบเลี่ยงการเจอคิรันมาโดยตลอด
ภาคที่เดินนำไปก่อนแล้วหันมาเห็นว่ามนยืนนิ่งอยู่ที่รถไม่ยอมก้าวขาเดินตามมาเสียทีจึงได้หันไปกวักมือเรียก
“คุณมนตราเดินมาสิครับ ลูกค้ารอนานแล้วนะครับ”
“เอ่อ...คุณภาคไปก่อนเลยครับ มนขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
“ครับ รีบมาแล้วกันนะครับ”
พอมนเห็นว่าภาคเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล้ว เขาก็รีบวิ่งหลบไปอีกทางหนึ่งจนมาถึงห้องน้ำ
มนยืนก้มหน้าทำใจอยู่ที่กระจกในห้องน้ำพักใหญ่จนรู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนยืนอยู่ข้าง ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรจนเขาคนนั้นพูดขึ้นมาว่า
“สวัสดีครับคุณมนตรา ไม่ทราบว่าคุณจะหลบหน้าผมอีกนานมั้ยครับ”
มนค่อย ๆ หันศีรษะไปมองที่คนข้าง ๆ จนได้เห็นว่าเป็นคิรันนั่นเอง
“แหะ ๆ สวัสดีครับพี่รัน พี่รันมาทำอะไรครับเนี่ย” มนพยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ครับมน พี่รันเอง จะเลิกหลบหน้าพี่ได้หรือยังครับ พี่รู้เรื่องหมดแล้วนะ”
“รู้?”
“อื้อ” คิรันพูดพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ
มนรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือน้ำน่านอย่างแน่นอนเพราะมีเพียงแค่น้ำน่านเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
“พี่รันอย่าห้ามมนเลยนะครับ พี่รันก็รู้ว่ากฎหมายทำอะไรเขาไม่ได้”
“พี่ไม่ได้จะห้าม แต่พี่จะบอกให้มนระวังตัว พี่ให้คนไปสืบมาพ่อเขาโหดร้ายยิ่งกว่าที่เราคิดอีกนะ เขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกตัวเองรอด ไม่ว่าด้วยเงิน หรือด้วยชีวิต”
“ครับมนจะระวัง ขอบคุณพี่รันมากเลยนะครับที่เข้าใจมน...มนว่าเรารีบกลับไปที่โต๊ะกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวเขาจะสงสัยเอา”
พอมาครบกันแล้วทั้งสามก็เริ่มคุยงานกันทันที แต่ด้วยความที่รายละเอียดของงานนั้นเยอะมากพอสมควรเลยทำให้ใช้เวลาในการพูดการเพิ่มมากขึ้น และกว่าจะแล้วเสร็จฟ้าก็มืดสนิทพอดี
“คุณภาคครับ เดี๋ยวมนกลับพร้อมพี่รันเลยก็ได้ครับ”
“อือ งั้นผมกลับก่อนแล้วกัน”
“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ”
คิรันที่ยืนรออยู่ที่รถก็หลุดหัวเราะออกมาที่เห็นทักษะการแสดงของมนที่เวลาอยู่ต่อหน้าท่านประธานภาค
“ขำไรเนี่ยพี่รัน” มนถามด้วยสีหน้ายับยู่ยี่
“ทักษะการแสดงต้องฝึกจากพี่รันอีกเยอะเลยนะครับคุณมนตรา” คิรันพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ทำเย็นชาเหมือนเกลีดเขา เขาก็รู้ตัวพอดีน่ะสิ”
“อะ ๆ ไปกลับบ้านกัน”
ระหว่างที่อยู่บนรถมนเกิดติดใจสงสัยขึ้นมาเรื่องที่คิรันบอกว่ารู้แล้วว่าความทรงจำของเขากลับ จึงได้หันไปถามความจริงกับคิรัน
“อื้อ...ว่าแต่พี่รันรู้เรื่องมนตั้งแต่เมื่อไรเหรอครับ”
“ก็ตั้งวันแรกเลย”
“วันแรก? น้ำน่านบอกเหรอครับ”
“เปล่า พี่เห็นท่าทางเราเปลี่ยนไปอยู่ ๆ ก็เย็นชาถามคำตอบคำ แล้วที่สำคัญนะเราหลบหน้าพี่ไม่ยอมเจอ เลี่ยงตลอด แค่นี้พี่ก็รู้แล้ว”
“สงสัยคงต้องฝึกการแสดงจากคุณคิรันแล้วมั้งเนี่ย”
“ฮ่า ๆ แต่เมื่อกี้ตอนมนคุยกับไอคุณภาคนั่นอะ เหมือนคนละคนเลยนะ แบบคนนั้นร่าเริงแจ่มใสเหมือนไม่มีเรื่องอะไรในหัว แต่พอเป็นมนคนนี้ที่นั่งอยู่ข้างพี่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนหนักใจคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา”
มนไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ได้หันไปยกยิ้มให้คิรันเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองที่ถนนต่อพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายในหัว
ทำไมเขาถึงยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่
แล้วเขาจะจำเราเมื่อไร
หรือเขาจำเรื่องเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้แล้ว
หรือจริง ๆ แล้วเขาจำได้ทุกอย่าง
ทำไมบางครั้งเขายังทำเหมือนรู้จักเรามาก่อน
มนสะบัดความคิดในหัวทิ้งและหลับตาลงเพื่อพักสายตาสักหน่อยก่อนจะถึงบ้าน
ไม่นานก็มาถึงบ้าน เจอน้ำน่านนั่งทานข้าวอยู่ที่หน้าทีวี มนเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะเอ่ยพูดทั้งที่ตายังคงหลับอยู่
“ทำไมตอนที่ความทรงจำยังไม่กลับไม่เห็นเหนื่อยแบบนี้เลยนะ”
“ก็แน่สิ...ตอนความจำเสื่อมมนไม่ต้องคิดอะไรไง..มีหน้าที่แค่ไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน ส่วนตอนนี้มนก็มีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำ”
“นั่นสิเนอะ...” พูดจบมนก็ดีดตัวลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปในครัว
น้ำน่านที่เห็นแบบนั้นก็ได้ตะโกนตามหลังไปว่า
“ถ้าจะกินข้าวอยู่ในตู้เย็นนะอุ่นเอา”
“เปล่าแค่จะกินน้ำเฉย ๆ”
มีเสร็จเรียบร้อยมนก็กำลังจะเดินขึ้นชั้นสองเพื่อไปอาบน้ำแล้วนอนพักสักหน่อยก่อนลุกขึ้นมาทำงานต่อ
“มน...เดี๋ยวสิมาคุยกันก่อน”
มนหอบร่างอันเหนื่อยล้าเดินกลับไปนั่งข้าง ๆ น้ำน่านเช่นเดิม
“มีไรเหรอ?”
“มนจะให้เขารับผิดชอบยังไงเหรอ”
มนนิ่งเงียบไปชั่วขณะสายตามองไปทางอื่นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว เพราะจริง ๆ แล้วมนเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เพราะมนแค่ต้องการให้เขาคนนั้นเจ็บปวดเหมือนที่มนเจ็บปวดก็เท่านั้น
“ไม่รู้เหมือนกันอะน่าน เราแค่อยากให้เขาเจอความรู้สึกที่เราเคยเจอตอนเสียพ่อแม่ไป”
“...”
“งั้นเราไปอาบน้ำนอนก่อนนะ”
“อือ ๆ”
สิ้นสุดบทสนทนามนก็เดินหนีขึ้นชั้นสองไป น้ำน่านก็ทำได้เพียงแค่มองตามแผ่นหลังของเพื่อนสนิทไปด้วยสายตาที่มีแต่ความเป็นห่วงกลัวจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
รุ่งเช้ามนก็ตื่นขึ้นมาแต่งตัวตามปกติเหมือนทุกวัน ซึ่งวันนี้น้ำน่านและคิรันต่างก็ติดงานด่วนทำให้มนต้องเดินทางไปทำงานเอง
มนเลือกที่จะขึ้นรถเมล์ไปเพราะจากเหตุการณ์ที่ทำให้มนต้องความจำเสื่อมทำเอามนกลัวการขับรถไปเลย
มนออกมารอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน แต่ทว่านั่งรอได้ไม่ถึงห้านาทีก็มีรถบีเอ็มดับเบิลยูสีม่วงที่คุ้นตาขับมาจอดตรงหน้า พร้อมกับเสียงจากคนในรถ
“ไปด้วยกันมั้ยครับคุณมนตรา”
มนมองไปยังภาคที่ใส่แว่นกันแดดสีดำนั่งอยู่ในรถก็ได้แต่นึกคิดในใจถ้าเจอภาคในสภาพแบบนี้บ่อย ๆ แผนที่วางคงจะล่มไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน จึงได้รีบปฏิเสธไป
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวรถเมล์ก็มาแล้วครับ” มนเอ่ยปฏิเสธด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ภายในใจก็รู้ดีว่ายังไงสุดท้ายแล้วภาคก็หาข้ออ้างชักแม่น้ำทั้งห้ามาเพื่อให้มนขึ้นรถไปด้วยอยู่ดี
“ได้ครับ แต่พอดีผมมีงานด่วนด้วยสิ แล้วถ้าผู้ช่วยอย่างคุณไปช้า...ผมว่า...ผมคงต้องหาผู้ช่วยใหม่แล้วล่ะ”
มนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะลุกจากเก้าอี้และเดินไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย
หลังจากรถขับออกมาจากป้ายรถเมล์มนก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา จนภาครู้สึกผิดแปลก เพราะปกติแล้วมนจะเป็นคนร่าเริงยิ้มแย้มเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคนในบริษัท
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมเงียบผิดปกติ”
มนละสายตาจากถนนและหันไปมองภาคแวบหนึ่งก่อนจะหันสายตากลับไปที่ถนนเช่นเดิม
“แค่คิดถึงพ่อแม่น่ะครับ” ที่มนพูดออกไปแบบนั้นก็เพื่อจะสังเกตอาการของภาคว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่มนคิดเอาไว้ เพราะภาคดูเหมือนจะไม่ตกใจราวกับไม่รู้ว่าพ่อแม่มนเสียชีวิตไปแล้ว
“แล้วพวกท่านไปไหนล่ะครับ”
มนได้แต่จ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของภาคอย่างติดใจสงสัยว่าสิ่งที่ภาคพูดออกมาเขาเสแสร้งทำเป็นไม่รู้หรือว่าเขาไม่รู้จริง ๆ เลยตัดสินใจพูดความจริงออกไป
“เสียไปนานแล้วครับ โดนชนแล้วหนี ทุกวันนี้ก็ยังจับคนชนไม่ได้เลยครับ”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ความเคียดแค้นภายในใจของมนพรั่งพรูเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของภาค จากที่เกลียดอยู่แล้วก็ยิ่งมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า เพราะมนเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าภาคจะตีหน้าซื่อไร้เดียงสาได้ขนาดนี้
นั่งรถมาได้เกือบยี่สิบนาทีก็มาถึงบริษัท มนเปิดประตูลงจากเดินเข้าบริษัทไปเลยโดยที่ไม่รอภาค
ภาคเองก็ได้งงว่ามนเป็นอะไร ทำไมถึงมีท่าทีเหมือนโกรธเขาเสียอย่างนั้น
จู่ ๆ ภาคก็คิดขึ้นมาได้ว่ามนอาจจะจำเรื่องที่เขาขับรถปาดหน้ารถของมนจนเกิดอุบัติในครั้งนั้นได้แล้ว
“คงจำได้แค่เรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้สินะ อีกเรื่องหนึ่งคงยังจำไม่ได้” ภาคนั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียวในรถจนเลขาเดินมาเคาะกระจก
ก๊อก ก๊อก
“คุณภาคครับ”
“อือว่าไง”
“คุณท่านบอกว่าเย็นนี้ให้เข้าไปทานข้าวเย็นที่บ้านใหญ่ครับ...แล้วคุณท่านยังบอกว่าอีกว่าจะคุยเรื่องแต่งงานระหว่างคุณภาคกับคุณหนูอันยาด้วยครับ”
“บอกไปว่าฉันไม่ว่างและฉันจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้นนอกจากมนตรา”
“แต่คุณภาคครับ...”
“เอาตามที่ฉันบอกนั่นแหละ”
ภาคเดินเข้าบริษัทอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินเข้ามาเจอมนนั่งก้มหน้าก้มตาตรวจสอบเอกสารอยู่ จากอารมณ์ไม่ดีก็แปรเปลี่ยนรอยยิ้มที่เกิดจากความสบายใจบางอย่างภายในใจ
ภาคเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของมน แต่ดูเหมือนว่ามนจะยังไม่รู้ตัว ภาคเลยส่งเสียงกระแอมเบา
“อะแฮ่ม เย็นนี้คุณพอจะมีเวลาว่างมั้ย”
“ครับ?” มนเงยหน้ามองภาคด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“คือผมมีเรื่องจะคุยด้วย คุณว่างมั้ยเย็นนี้”
“ว่างครับ”
“โอเคครับ”
หลังเลิกงานภาคขับรถมาพามนมายังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่มนชอบมากก็คือร้านอาหารที่ประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด
สายตาที่เปล่งประกายระยิบระยับของมนมองสำรวจไปรอบ ๆ ชื่นชมดอกไม้ที่มีสีสันสวยงาม
ชายหนุ่มอย่างภาคก็ได้แต่ยืนมองมนด้วยสายตาที่เอ็นดูและโหยหาคนหน้าตรงหน้ามาก ๆ ราวกับว่ารอเขาคนนี้มาเนิ่นนาน
มนที่เพิ่งรู้สึกตัวเองสนใจอย่างอื่นมากเกินไปจนลืมคนที่มาด้วย เลยหันกลับไปมองที่ภาคก็เห็นว่าเขานั้นยืนยิ้มอยู่คนเดียว
“คุณภาคครับ...”
“....”
“คุณภาคครับ!”
“ฮะ..ว่าไงนะ โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันได้ฟัง”
“เปล่าครับ พอดีมนเห็นคุณยืนยิ้มอยู่คนเดียว”
“อ๋อ เขาไปข้างในกันเถอะ”
ภาคเดินนำมายังโต๊ะที่จองเอาไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ทำการสั่งอาหารมา
นั่งรอได้ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟมนเองก็ทานตามปกติ แต่ทว่าภาคกลับไม่ทานเลยแม้แต่คำเดียว แถมยังเอาแต่นั่งมองมนที่กำลังทานอย่างเอร็ดอร่อย จนมนเริ่มอึดอัดเลยวางช้อนลงและยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแทน
“อิ่มแล้วเหรอ”
“เพิ่งทานไปนิดเดียว...ถ้าบอกว่าอิ่มจะเชื่อมั้ยล่ะครับ”
“...”
“ก็คุณภาคเล่นเอาแต่นั่งจ้องมองมนแบบนี้ มนจะทานลงยังไงล่ะครับ”
“อ๋อ..เอ่อขอโทษทีนะ”
“แล้วที่บอกว่ามีอะไรจะคุยกับมน...อะไรเหรอครับ?”
“คือว่าเรื่องอุบัติเหตุในวันนั้น...ผมเป็นคน...”
“คุณ...”
“ใช่ครับ ผมเป็นคนขับรถพุ่งออกมาจากซอยในวันนั้น คือผมขอโทษจริง ๆ นะครับ ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจ ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ”
ภาคพูดระบายออกมาด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามนนั่งนิ่งเงียบสายตามองตรงมายังตัวเอง
มนเองที่นิ่งเงียบเช่นนั้นเพราะคิดว่าภาคจะพูดถึงอุบัติเหตุของพ่อแม่ แต่เปล่าเลยภาคพูดถึงอุบัติเหตุครั้งล่าสุดที่ทำให้มนความจำเสื่อม
มนจึงได้เอ่ยปลอบใจออกไปเพราะเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักคล้ายจะร้องไห้ออกมาในไม่ช้านี้
“คุณภาคไม่ต้องคิดมากนะครับ ตอนนี้มนไม่เป็นไรแล้วครับ”
“แน่ใจนะครับ...ถ้าคุณอยากได้อะไรหรือรู้สึกเจ็บป่วยที่ร่างกายบอกผมได้เลยนะ ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่างเลย”
มนที่เห็นภาคอยากจะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ในครั้งก็ทำให้นึกย้อนกลับไปตอนอุบัติเหตุของพ่อแม่ซึ่งมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ยินดีรับผิดชอบทุกอย่างแน่นะครับ?”
“ครับ ยินดี..ขอแค่คุณบอกมา”
หลังจากที่ภาคได้บอกความจริงและขอรับผิดชอบมนแล้วเหมือนว่าเขาจะสบายใจและปลดล็อกอะไรบางอย่างในใจ ทำให้แสดงมุมขี้อ้อนและอ่อนโยนออกมาให้มนได้เห็น
มนเองที่ไม่เคยมุมอ่อนโยนของภาคก็ได้แต่ใจสั่นหวั่นไหวกับการกระทำของภาคในวันนี้เอามาก ๆ จนเผลอคิดอยากจะล้มเลิกแผนการแก้แค้นทั้งหมดไปและเริ่มต้นใหม่กับภาคเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ทว่าพอมนนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ ภาพเหล่านั้นกลับทำให้มนไม่สามารถมองภาคเป็นคนรักได้เลย
ถึงเวลากลับบ้านมนกลัวว่าถ้าหากจะกลับพร้อมภาคก็กลัวจะเกิดเหตุการณ์เกินเลยขึ้น เพราะตอนนี้ภาคเองก็ดูเหมือนจะมีอาการมึนเมาอยู่พอสมควร
มนเลยโทรศัพท์บอกเลขาให้มารับคุณภาคกลับบ้าน ส่วนตัวมนเองก็จะรอคิรันมารับที่หน้าร้าน
นั่งรอไม่นานเลขาของภาคก็มาถึงและได้พาตัวภาคกลับไป หลังจากที่เลขาพาตัวภาคกลับไปแล้ว มนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
รถของภาคออกไปได้ไม่นาน คิรันก็มาถึงพอดีเช่นกัน
พอขึ้นรถมาได้มนก็หลับตลอดทางจนถึงบ้านก็เจอน้ำน่านรอรับอยู่พอดี
เวลาล่วงผ่านไปเกือบสามเดือน หลังจากวันนั้นก็ทำให้ทั้งสองเริ่มสนิทกันมากขึ้น อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
และความสัมพันธ์ของทั้งสองที่ดูเหมือนจะเป็นมากกว่าผู้ช่วยกับท่านประธาน ทำให้พนักงานในบริษัทเริ่มซุบซิบนินทาถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น ๆ ทุกวัน
ภาคที่กลัวว่ามนถูกมองไม่ดีเลยได้นัดมนออกมาข้างนอกตอนพักเที่ยงที่ร้านอาหารใกล้บริษัท เนื่องจากถ้าคุยกันที่บริษัทก็คงต้องเป็นจับจ้องอีกเช่นเคย
มนที่เพิ่งมาถึงก็เจอภาคนั่งรออยู่ก่อนแล้ว มนเลยเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณภาคนัดมนมาข้างนอกแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ...คุณได้ยินที่พนักงานในบริษัทคุยกันแล้วใช่มั้ย...เรื่องของเราน่ะ”
“ครับ..คุณภาคไม่โอเคใช่มั้ยที่มีคนพูดแบบนั้น...มนจะได้เว้นระยะห่างจากคุณ”
ภาคส่ายหน้าปฏิเสธอย่างทันควัน
“เปล่า..ผมแค่กลัวว่าคนจะมองคุณไม่ดี..”
“คุณชอบมนมั้ย” มนเอ่ยถามพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับภาคจนแทบจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
“ชะ..ชอบ...สิ”
มนเผยรอยยิ้มดีใจออกมาก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“ก็แค่นั่นแหละครับ มนไม่ได้สนใจคนอื่นสะหน่อย มนสนใจแค่คุณภาค...แล้วคุณภาคก็ชอบมน...มันก็แค่นั้นไงครับ”
ใบหน้าของทั้งสองเริ่มขยับเข้าหากันเรื่อย ๆ ทว่าจู่ ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาเสียก่อน