ดราม่า,ชาย-ชาย,ไทย,เรื่องสั้น,รัก,รักสมัยเด็ก,ชาย-ชาย,รักเก่า,แก้แค้น,หลอกให้รัก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๑๑
หลังจากที่คินออกไปได้ไม่นานจู่ ๆ มนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อสักครู่คินบอกกับเขาว่าภาคเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน
“น่าน..เมื่อกี้พี่คินเขาบอกว่าคุณภาคอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าชื่ออะไรนะ ใช่ที่เดียวกันกับเรามั้ย”
“บ้านมีรักไง เราสองคนก็เคยอยู่ที่นั่น ทำไมเหรอ”
“อ๋อเปล่าน่ะ”
มนได้แต่นั่งเงียบหวนคิดถึงเรื่องราวสมัยเด็ก เพราะเขาเองก็เป็นเด็กกำพร้าจากบ้านมีรักเหมือนกัน ทำให้มนนึกถึงพี่ชายคนหนึ่งที่คอยดูแลมนตลอดตอนอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า
มนนึกย้อนกลับไปถึงการกระทำแต่ละอย่างของภาค ภาคทำเหมือนว่ารู้จักมนเป็นอย่างดี แถมตอนที่เจอกันตรงป้ายรถเมล์มนได้ยินภาคพูดว่า “เจอจนได้นะมนตรา”
“หรือคุณภาคจะคือพี่ชายคนนั้น”
“ฮะใครนะ” น้ำน่านที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่งุนงงเพราะมนพูดโพล่งขึ้นมา
“น่าน...เรากลับไปที่บ้านมีรักกันเถอะ เผื่อจะเจอคุณภาคที่นั่น เราอยากขอโทษเขา”
มนและน้ำน่านรีบขับรถตรงไปที่บ้านเด็กกำพร้ามีรักทันที ประมาณเกือบสองชั่วโมงทั้งสองคนก็มาถึงบ้านเด็กกำพร้าที่เคยอยู่
มนและน้ำน่านช่วยตามหาภาคอยู่พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะภาคไม่ได้อยู่ที่นี่
มนต้องจำใจกลับบ้านไปอย่างผิดหวัง แต่มนก็ไม่คิดที่ย่อท้อหรือล้มเลิกในการตามหาภาคอย่างแน่นอน
มนได้ขับรถมาที่บ้านมีรักทุกวันก็เพื่อหวังว่าจะเจอภาคเข้าสักวัน แต่เวลาก็ล่วงเลยไปจนครบหนึ่งปีก็ยังคงไร้วี่แววการมีอยู่ของภาค
มนตัดสินใจว่าจะเลิกตามหาภาคและกลับไปทำงานอย่างจริงจัง และเลิกคิดเรื่องของภาคหันกลับไปตั้งใจทำงาน
แต่ทว่าพอทำงานไปได้ไม่เท่าไร มนกลับทนต่อสภาพแวดล้อมที่เคยมีภาคอยู่ด้วยไม่ได้ เลยเลือกที่จะย้ายไปอยู่สาขาต่างจังหวัด
มนย้ายไปทำงานที่ภาคเหนือได้เกือบสองปี ก็ได้ข่าวดีจากคิรันและน้ำน่านซึ่งทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน
ด้วยความที่สาขาที่มนอยู่ไม่ค่อยมีสัญญาเลยทำให้ติดต่อกันยากมาก กว่าที่น้ำน่าจะบอกเรื่องงานแต่งตัวเองกับมนได้ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มงานเท่านั้น
คิรันและน้ำน่านต่างก็ขอร้องให้มนกลับมาร่วมงาน เพราะมนคือคนสำคัญของทั้งสองคน ซึ่งมนเองก็ตกลงที่จะมาร่วมงาน
ในการเดินทางครั้งนี้มนเลือกที่จะขับรถยนต์ไปเอง เพราะอยากจะแวะไปที่บ้านเด็กกำพร้ามีรักด้วย
หลังจากที่ตอบตกลงทั้งสองคนไป มนก็ทำการเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าและออกเดินทางทันที เพราะอาจต้องใช้หลายชั่วโมงมากกว่าจะถึง
แต่ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตารถของมนก็มาจอดที่อยู่บ้านเด็กกำพร้ามีรักเสียแล้ว
มนเปิดประตูลงไปยืนนิ่งอยู่ที่หน้ารถกวาดสายตามองไปยังเด็ก ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น และถัดมาทางด้านขวามือเป็นเด็กโตที่กำลังฝึกอาชีพกันอยู่
มนได้ยิ้มออกมาก่อนจะก้าวขาเดินตรงเข้าไปในอาคาร มนเดินไปตามทางยาวของอาคารพร้อมมองสำรวจภาพวาดที่ติดอยู่กับผนัง
มนเดินมองไปเรื่อย ๆ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับภาพวัดใบหนึ่ง ซึ่งในภาพวาดนั้นมีเด็กชายสองคนยืนคู่กัน คนหนึ่งตัวสูงมีชื่อเขียนอยู่ด้านบนว่า ภูมิ ส่วนอีกคนเป็นเด็กชายตัวเล็กมีชื่อว่า มนตรา
มนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา เพราะแท้จริงคนที่มนรอมาตลอดคือภาคนั่นเอง แต่สุดท้ายแล้วมนก็ได้ทำร้ายจิตใจของเขาไปในที่สุด
มนยืนมองภาพวาดใบนั้นพร้อมกับคาบน้ำตาที่ยังคงปนเปื้อนอยู่บนแก้มนวลทั้งสองข้าง จนคนดูแลที่มนเคยเรียกเขาว่าแม่เดินมาเจอเข้าพอดี
“มนตราเหรอลูก”
“ชะ ใช่ครับมนเอง แม่สบายดีมั้ยครับ”
“แม่น่ะสบายดี แต่คนที่เพิ่งมาก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่ค่อยสบายนะ”
“ก่อนหน้านี้? ใครเหรอครับ”
“ก็เจ้าของภาพวาดนั่นไง เขาก็เพิ่งมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้เหมือนกับมนเลยนะ”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“เขาเพิ่งออกไปเมื่อพักใหญ่ ๆ นี่เอง เห็นว่าจะกลับมาทำงานน่ะ”
“เหรอครับ งั้นมนขอตัวก่อนนะครับ...ไว้มนจะมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะครับ สวัสดีครับ”
มนรีบเดินไปขึ้นรถและขับออกไปทันที เพียงเพราะหวังว่าใครคนนั้นจะเป็นคนที่เขาตามหาอยู่
มนได้แต่คิดว่าถ้าเขารู้ตัวเร็วกว่านี้อีกนิด ช่วงเวลานี้งานแต่งงานก็คงจะคู่รักถึงสองคู่ด้วยกัน
แต่สุดท้ายแล้วมนก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะไม่เจอแม้แต่เงาของภาคเลย มนพยายามฝืนใจขับรถต่อไปจนถึงสถานที่จัดงานแต่งของน้ำน่านกับคิรัน
พอรถจอดนิ่งสนิทมนได้แก้มหน้าฟุบลงกับพวงมาลัยรถและร้องไห้โฮออกมาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
น้ำน่านที่เห็นมนจอดรถนานแล้วแต่ยังไม่ลงมาเสียที จึงได้เดินไปเคาะกระจกเบา ๆ จนมนเปิดประตูออกมา น้ำน่านจึงได้เห็นว่ามนนั้นร้องไห้
มนเปิดประตูลงไปสวมกอดน้ำน่านทันทีพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง จนคิรันที่กำลังเดินตามน้ำน่านมาเจอเข้า จึงได้รีบวิ่งเข้าไปดูทั้งสองคน
“เป็นไรหรือเปล่าทำไมมนร้องไห้แบบนี้ล่ะ”
มนค่อย ๆ ปล่อยกอดออกจากน้ำน่านและตอบคำถามของคิรัน
“มนตามเขาไม่ทันอีกแล้วอะพี่รัน เขาหายไปอีกแล้ว แต่ถ้ามนมาไวกว่านี้ มนอาจจะเจอเขาแล้วก็ได้ แต่นี่มนช้าเกินไปอะ ฮือ ๆ”
คิรันที่มองอยู่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ถูกน้ำน่านใช่สายตาปรามเอาไว้เสียก่อน จึงไม่ได้พูดออกมา
“พี่ว่าเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ มนจะได้แต่งตัวด้วย”
มนตอบรับโดยการพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินตามคิรันเข้าไปโดยที่มีน้ำน่านประคองร่างเอาไว้ตลอด
มนปาดน้ำตาและเข้าไปล้างหน้าจากนั้นก็ออกมาแต่งตัวเพราะงานจะเริ่มขึ้นในอีกสามชั่วโมงข้างหน้าแล้ว
สามชั่วโมงต่อมาพี่ชายที่รักกับเพื่อนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างก็เข้าไปในงานเพื่อทำพิธีต่อในงาน ส่วนตัวมนเองที่ไม่ค่อยชอบสถานที่ที่มนคนเยอะเลยปลีกตัวเดินแยกไปทางอื่น
มนกวาดสายตามองสำรวจไปรอบ ๆ บรรยากาศภายในงาน จนน้ำตาเริ่มจะหลั่งไหลออกมาอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องรีบกลืนน้ำตานั้นกลับไปเพราะไม่อยากให้เพื่อนและพี่ชายเป็นห่วงไปมากกว่านี้
มนเดินไปถึงโซนรูปภาพความทรงจำของทั้งคู่ ไล่มองไปทีละรูปจนไม่ทันสังเกตว่ามีคนเดินสวนออกมา จึงได้ชนกันจนเกือบจะล้ม แต่โชคดีที่คนตรงหน้าช่วยจับเอาไว้ได้ทัน
มนที่ยังไม่ทันได้มองหน้าของคนคนนั้นก็ได้รีบกล่าวขอโทษก่อนเป็นอันดับแรก แต่ทว่าพอคนนั้นตอบกลับมาว่า
“ไม่เป็นไรครับ”
เสียงนี้มันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน มนที่ก้มหน้าอยู่ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองว่า
“คงคิดถึงมากจนหลอนหมดแล้วมั้งเรา”
“ไม่ลองเงยหน้ามองก่อนเหรอ อาจจะไม่ได้หลอนก็ได้นะ”
มนหยุดชะงักอีกครั้ง คิดทบทวนว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะมนคิดไปเองหรือเจ้าของเสียงนั้นเป็นภาคจริง ๆ
มนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติก่อนจะเงยมองคนตรงหน้าอย่างช้า ๆ จนเห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของเขา ห้วงเวลานั้นเหมือนว่าทุกอย่างบนโลกหยุดนิ่ง มนที่หมดหวังแล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่ภูมิของตัวเองอีกครั้ง
“มน...ตราได้ยินพี่มั้ยครับ”
“พี่...ภูมิ”
ครับพี่...” ภาคยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคมนก็โผลเขาจูบปากภาคทันที
ภาคที่ปรับตัวได้ก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นมือมาประคองใบหน้าของมนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะโน้นลงมาจูบตอบอย่างนุ่มนวล
ไม่นานนักทั้งสองคนก็ถอนจูบออกจากกัน
“ทำไมพี่ไม่บอกมนว่าพี่คือพี่ภูมิล่ะ”
“พี่แค่อยากมนจำพี่ได้เอง พี่ไม่อยากเอาเรื่องราวสมัยเด็กมาบังคับความรู้สึกของมนไง”
“มนขอโทษนะครับที่ทำแบบนั้นกับพี่ มนไม่รู้จริง ๆ มนเข้าใจผิดทุกอย่าง”
พี่ภูมิไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่อ เพียงแต่ก้มมองหน้าคนรักที่เขาเองก็โหยหาไม่ต่างจากมนเสียเท่าไร
พี่ภูมิยืมมองหน้ามนอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยคำคำนี้ออกมา
“มนครับ...พี่รักมนนะ”
“มนก็รักพี่ภูมินะครับ”
ทั้งสองยืนกอดกัน มองหน้ากันด้วยรอยยิ้มที่มีแต่ความรักและความสุขที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งใบหน้า ก่อนที่ริมฝีปากจะแนบชิดในจูบอันหวานชื่นอีกครั้งท่ามกลางเสียงบรรเลงเพลงรัก....
ไม่มีคำว่า ‘บังเอิญ’ ในเรื่องของความรัก
เพราะในเรื่องของความรักมีแต่คำว่า ‘ตั้งใจ’
จบบริบูรณ์
สรัลทม