ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ระทึกขวัญ,พารานอมอล,ลึกลับ,ดาร์ค,ตะวันตก,สยองขวัญ,ruleofhorror,rule,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์
‘นี่คือเงินมัดจำ อีกครึ่งจะได้เมื่องานเสร็จสิ้น ภารกิจของคุณคือไปในเมืองในแผนที่
มันอยู่ทางเหนือของไวโอมิ่ง เขตรอยต่อติดกับมอนทาน่า ไปถึงที่นั่นแล้วเข้าเช็คอินที่โรงแรม
ที่นั่นจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นตามหาสิ่งของบางอย่างที่คุณจะรู้เมื่อทำตามกฎที่ได้รับ
นำมันกลับออกมาภายใน 7 วัน และอย่าลืมหาอีกครึ่งของตุ๊กตากระต่ายด้วย มันคงทำให้คุณรู้อะไรบางอย่าง
ห้ามบอกใครว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นใคร
ป.ล.ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเมืองนี้ในอินเตอร์เน็ต อย่าเสียเวลาเปล่า’
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง พลางนึกถึงงานแปลก ๆ ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งทำเป็นผีหลอกคนที่แอบมานอนกับเมียลูกค้า (ซึ่งจบลงด้วยการที่เขาวิ่งหนีออกไปโดยไม่ใส่กางเกง) หรือการรับจ้างนั่งกินข้าวคนเดียวในร้านอาหารหรูเพื่อให้ดูเหงาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งานนี้... มันดูจะแปลกเกินไป
สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับความหนาวเหน็บที่จางไปเร็วกว่าทุกปี ผมเดินทางไปขึ้นรถบัสที่สถานีเล็ก ๆ ในเมือง รถบัสคันนี้ดูเก่าเสียจนรู้สึกแปลกใจที่ยังวิ่งได้อยู่ ผ้าหุ้มเบาะขาดรุ่งริ่งมีรอยเปื้อนที่เป็นคราบเก่า จนดูคล้ายรอยเลือดหรือไม่ก็คราบสนิมที่ฝังแน่น ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีกลิ่นเหม็นอับบางอย่างลอยวนอยู่ในรถ ความรู้สึกแปลก ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่วินาทีนั้น
คนขับเป็นชายแก่เงียบขรึม สวมแว่นกันแดดทั้งที่บรรยากาศข้างนอกอึมครึม ดวงตาหลังแว่นนั้นไม่สะท้อนลักษณะแบบคนที่มีชีวิต ดูเหม่อราวกับกำลังจับจ้องไปยังอะไรบางอย่างที่ไกลออกไป เสียงเครื่องยนต์สั่นดังกระหึ่มขณะที่มันเริ่มออกตัว ในรถมีคนอยู่ไม่กี่คน และระหว่างทางไม่มีใครพูดกันสักคำ ผมเองก็ได้มองนอกหน้าต่างตลอดทางที่แสงสว่างจากตัวเมืองค่อย ๆ ห่างไกลออกไป ห่างออกเรื่อย ๆ จนราวกับถูกกลืนหายไปในความมืด
ระหว่างทาง รถบัสแล่นผ่านป่าทึบที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่ผมคิดว่าคงจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็น่าจะถึงเมืองตามแผนที่ เพราะเป็นการนั่งข้ามเมืองภายในรัฐเดียว ทว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นบ้านเรือนหรือถนนอื่น ๆ เลย ผมพยายามไม่คิดเล็กคิดน้อยแต่เพราะเริ่มว่างจนเกินไป สายตาก็เริ่มอยู่ไม่สุข ผมเห็นรอยฝ่ามือเล็ก ๆ เหมือนฝ่ามือเด็กเปื้อนอยู่ตามเบาะรถ แม้จะดูเก่ามากแต่ก็ไม่จางจนมองไม่เห็น มันกระจายอยู่หลายที่จนผมอดเหลือบมองคนขับรถอย่างระแวงไม่ได้ คราวนี้เขาสบตาผมผ่านกระจกมองหลังและยิ้มออกมาบาง ๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
ผมพยายามทำเป็นหลับตลอดทางหลังจากนั้นจนกระทั่งรถบัสจอดลงที่จุดหมาย ทั้งที่รู้ว่าควรมองทางตลอดเวลาแต่ก็กลัวเกินกว่าจะทำแบบนั้น
เขาจอดรถให้ผมลงในสถานที่รกร้าง มีเพียงลมหนาวพัดผ่านและป้าย ‘ระวังไบซัน ‘เก่า ๆ ที่ซีดจางไปตามกาลเวลา บรรยากาศรอบตัวทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้ามาในดินแดนที่ถูกลืมเลือน ไม่มีรถ ไม่มีผู้คน ไม่มีแม้แต่เสียงนก มันเงียบสงัดจนน่าขนลุก
“ถึงแล้วเหรอครับ” ผมเอ่ยถามอึกอัก
ชายแก่คนนั้นหันมามองช้า ๆ ผ่านแว่นดำ “เดินตามทางไป สุดทางจะเจอทางเข้าเมือง”
ผมขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเรามาถึงที่หมายสักนิด ผมลองหยิบกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถ แม้จะมีความรู้สึกแปลกในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปตามถนนลูกรังที่ทอดยาวไปข้างหน้า เสียงล้อรถบัสหมุนแล้ววิ่งจากไปทิ้งผมไว้ท่ามกลางความเงียบสงบอันลึกลับ ผมได้แต่ภาวนาให้ตัวเองรอดกลับไปใช้เงินค่าจ้าง
เดินมาได้สักพัก ผมก็มองเห็นแสงไฟสลัวอยู่ไกลออกไป ภายใต้แสงสีส้มจางนั้นมีป้ายไม้เก่าที่สลักข้อความว่า “ยินดีต้อนรับสู่เกรย์ไพน์” ผมเหลือบมองแผนที่ที่ได้รับมาพร้อมจดหมาย และแน่ใจว่าครั้งนี้ผมมาถึงที่หมายแล้วจริง ๆ
เมืองนี้เงียบกริบ มีอาคารบ้านเรือนเล็ก ๆ ไม่กี่หลังเรียงราย มันเงียบจนเหมือนกับเสียงฝีเท้าของผมเป็นเพียงเสียงเดียวในพื้นที่เวิ้งว้างนี้ ยิ่งเดินลึกเข้ามาภายในเมืองก็ยิ่งเห็นว่าสภาพบ้านเรือนดูเก่าและทรุดโทรมแค่ไหน ถึงแม้จะไม่แปลกสำหรับเมืองชนบทที่แทบจะไม่มีอะไรใหม่อยู่แล้ว แต่มันก็ยังให้ความรู้สึกประหลาดอยู่ดี เพราะตลอดเวลาเกือบ 30 ปีที่ผมใช้ชีวิตในไวโอมิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความบ้านนอกของมันเริ่มเหนือจินตนาการเหมือนไม่มีอยู่จริง
ผมสูดหายใจลึกพยายามสะกดความกังวลที่กำลังก่อตัวขึ้น สองเท้าพาผมเดินไปตามตรอกแคบที่มีต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ยามเย็น ทำให้พื้นที่โดยรอบดูมืดครึ้มก่อนเวลา สองข้างทางมีบ้านที่ดูเหมือนถูกสร้างในยุคหลังสงครามโลก แม้ม่านจะถูกปิดสนิทแต่ผมกลับรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองผ่านช่องแคบ ๆ นั้น ราวกับผมเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ควรปรากฏตัวในดินแดนแห่งนี้
ในที่สุดผมก็เจอโรงแรมที่ระบุในใบจองที่แนบมาด้วย โรงแรมแห่งนี้เป็นอาคารไม้หลังเก่า โครงสร้างเอียงเล็กน้อยเหมือนจะพังอยู่รอมร่อ หน้าต่างส่วนใหญ่ปิดม่านทึบ แสงไฟจากล็อบบี้ภายในโรงแรมให้ความรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ ทว่ากลับแฝงด้วยความน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ผมเปิดประตูเข้าไปในล็อบบี้ มีเสียงกระดิ่งเก่า ๆ ดังแว่วตามการเคลื่อนไหวของประตู ชายแก่คนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นผู้จัดการโรงแรมยืนรอผมอยู่แล้ว แววตาของเขาจับจ้องมาที่ผม ไม่ยิ้ม ไม่ทักทาย มีเพียงรอยขมวดคิ้วจาง ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยเสียงแหบที่ฟังดูแห้งผากตามอายุขัยของเขา
“ยินดีต้อนรับ คุณมาถูกที่แล้วล่ะ”
ผมยื่นใบจองให้เขาและรับกุญแจที่เขายื่นมาให้ แม้มือจะรู้สึกหนักราวกับมีก้อนหินถ่วงไว้ก็ยังพยักหน้าขอบคุณอย่างเงียบ ๆ รู้สึกแปลกที่เขาทักว่าผมมาถูกก่อนที่ผมจะทันได้แจ้งความประสงค์อะไรเสียอีก
"คุณเป็นคนนอกคนแรกในรอบหลายปี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงนัยบางอย่าง แววตาของเขาดูลึกลับจนชวนให้รู้สึกอึดอัด "มีธุระอะไรถึงได้มาไกลถึงเกรย์ไพน์? "
“มีงานให้ผมทำนิดหน่อยน่ะครับ” ผมตอบสั้น ๆ รู้สึกไม่อยากเปิดเผยรายละเอียดมากนัก นัยหนึ่งผมรู้สึกว่าเขาคงรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นใคร มาทำอะไร และรู้ด้วยว่านายจ้างผมน่าจะเป็นใคร
ชายแก่พยักหน้าแล้วก้มลงไปควานหาอะไรบางอย่างใต้เคาน์เตอร์ พลางพึมพำชื่อผมเหมือนเป็นการทวนชื่อและไม่กี่อึดใจเขาก็หยิบซองสีน้ำตาลมาวางตรงหน้า
“นี่คือเอกสารสำคัญ” เขาบอกพลางเหลือบมองไปรอบล็อบบี้ “เปิดอ่านทันทีที่ถึงห้องพัก”
“มันคืออะไรครับ” เดาว่าคงเป็นข้อมูลของที่ต้องหาอย่างที่นายจ้างผมเขียนไว้ในจดหมาย
"กฎของเมืองนี้…สำหรับคนนอกอย่างคุณ ไม่อยากให้เรื่องร้ายเกิดขึ้น...หากคุณยังอยากกลับออกไปจากเกรย์ไพน์ในสภาพที่สมบูรณ์”
คำตอบของเขาผิดไปจากที่คาดไว้ มันเป็นคำตอบที่ทำให้งานนี้ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก ความคิดที่จะถอนตัวแล่นเข้ามาในหัว นี่มันไม่ปกติเหมือนผมอาจถูกฆ่าตายได้ตลอดเวลา แต่ในตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ตัดสินใจคืนเงินไว้ที่โรงแรมแล้วกลับบ้านไป หรืออาจเป็นเพราะ...
“วันที่ 7 มาเจอผมก่อนรุ่งสาง รถบัสจะรออยู่ข้างนอก...คุณต้องรีบไปขึ้นรถกลับก่อนตะวันขึ้น”
ผมขมวดคิ้วมองเขา ความหมายของประโยคนั้นชัดเจน – ผมจะติดอยู่ที่นี่จนกว่ารถจะกลับมาในอีกเจ็ดวัน
"และอีกอย่าง…" ชายแก่เอ่ยเสียงเย็น "หากคุณได้ยินเสียงอะไรก็ตามหลังพระอาทิตย์ตก… อย่าตอบกลับ ไม่ว่าจะฟังดูน่าเชื่อถือแค่ไหน อย่าหันไปมองทางนั้น อย่าสนใจเสียงกระซิบอะไรทั้งสิ้น"
ผมพยักหน้าโดยที่ยังไม่แน่ใจนักว่าตัวเองควรจะกังวลแค่ไหน แต่ก็รับคำแนะนำอย่างเงียบ ๆ จากนั้นชายแก่ก็ผายมือไปทางบันไดที่ดูเก่าและเหมือนจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ย่างเหยียบ
“ขอให้โชคดี” เขาพูดเสียงเบาราวกับเป็นคำเตือนสุดท้าย