ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ระทึกขวัญ,พารานอมอล,ลึกลับ,ดาร์ค,ตะวันตก,สยองขวัญ,ruleofhorror,rule,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์
‘นี่คือเงินมัดจำ อีกครึ่งจะได้เมื่องานเสร็จสิ้น ภารกิจของคุณคือไปในเมืองในแผนที่
มันอยู่ทางเหนือของไวโอมิ่ง เขตรอยต่อติดกับมอนทาน่า ไปถึงที่นั่นแล้วเข้าเช็คอินที่โรงแรม
ที่นั่นจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นตามหาสิ่งของบางอย่างที่คุณจะรู้เมื่อทำตามกฎที่ได้รับ
นำมันกลับออกมาภายใน 7 วัน และอย่าลืมหาอีกครึ่งของตุ๊กตากระต่ายด้วย มันคงทำให้คุณรู้อะไรบางอย่าง
ห้ามบอกใครว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นใคร
ป.ล.ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเมืองนี้ในอินเตอร์เน็ต อย่าเสียเวลาเปล่า’
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง พลางนึกถึงงานแปลก ๆ ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งทำเป็นผีหลอกคนที่แอบมานอนกับเมียลูกค้า (ซึ่งจบลงด้วยการที่เขาวิ่งหนีออกไปโดยไม่ใส่กางเกง) หรือการรับจ้างนั่งกินข้าวคนเดียวในร้านอาหารหรูเพื่อให้ดูเหงาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งานนี้... มันดูจะแปลกเกินไป
เอลลี่กระชับแขนเล็ก ๆ โอบเข่าตัวเองแน่นขึ้น ดวงตาของเธอฉายแววหวาดกลัวจนผมรู้สึกเหมือนถูกแทงซ้ำ มันเป็นแววตาที่เด็กไม่ควรมี และผมรู้ว่าตัวเองไม่มีคำปลอบโยนใดที่พอจะทำให้เธอเชื่อมั่นได้ในสถานการณ์แบบนี้
ตึก... ตึก...
ทว่าในขณะที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าควรโฟกัสกับอะไรดี เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากเบื้องหลังประตูที่ถูกล็อกเอาไว้ มันดังใกล้เข้ามาเป็นจังหวะแปลก เหมือนเขาพยายามจะเดินแบบไม่ให้เกิดเสียงแต่ทำไม่ได้
“เอลลี่” ผมกระซิบ พยายามขยับเข้าไปใกล้เด็กน้อยที่มีท่าทางตระหนกกว่าเก่า ยิ่งเสียงใกล้เข้ามา เธอยิ่งมุดหน้ากับแขนผม
ภายใต้ความมืดที่ดวงตามองเห็นได้แต่เค้าลางของประตูนั้น เมื่อมันผนวกกับเสียงลากเท้าที่ไม่ทราบว่าเป็นฝีเท้าของใคร มันยิ่งกดดันให้ผมเกือบลืมหายใจ ได้แต่จ้องเขม็งไปที่ประตูไม้ซึ่งปิดสนิท ในหัวคิดไม่ออกเลยว่าผมจะสามารถช่วยเด็กและตัวเองออกไปจากที่นี่ได้ยังไงบ้าง
ตึก... ตึก...
เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าประตูแล้ว
ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ขยับตัวบังเอลลี่ที่ตอนนี้กำชายเสื้อผมแน่น เธอสะดุ้งเบา ๆ ตอนที่ประตูไม้นั่นส่งเสียงเอี๊ยดขณะที่แง้มออก
แสงสลัวจากหน้าต่างบานเล็กทำให้ผมพอจะเพ่งเห็นร่างที่แทรกผ่านประตูเข้ามา ร่างนั้นเดินสะเงาะสะแงะเข้ามา ท่าทางดูไม่มั่นคงอย่างกับคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ไม่ก็ไม่ได้นอนมาหลายวัน
“ผู้จัดการโรงแรม” เสียงผมแทบไม่ออกจากลำคอ “คุณ...”
ผมพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่ถ้อยคำถูกความกลัวกลืนไปหมด ชายคนนั้นยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบ
“อย่าพูดอะไรทั้งนั้น” เขากระซิบเสียงแหบพร่า
“ใครส่งคุณมา” ผมถามสวน ไม่ฟังคำพูดเขา
ผู้จัดการส่ายหน้า “เด็กปลอดภัยใช่ไหม”
“คุณกำลังจะทำอะไรกันแน่”
“ช่วยพวกคุณ” เขาตอบห้วน ๆ ดวงตาใต้แสงสลัวจ้องมาที่ผม “คุณไม่มีเวลามาถามอะไรแล้ว ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“อะไรของคุณ หมายถึงอะไร คุณอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”
ผมดึงเอลลี่ที่ตัวสั่นมากขึ้นมาเข้ามาใกล้ตัวอีก
“ผมไม่จำเป็นต้องอยู่ฝ่ายไหน” ชายชราตอบ “เรื่องแย่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว และถ้าไม่อยากให้มันแย่ไปกว่านี้ คุณต้องเชื่อผม”
“เรื่องอะไร คุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเวรพวกนี้ไม่ใช่เหรอ” ผมกดเสียงต่ำตอนกระชากเสียงตอบเขาอย่างไม่พอใจ
ไม่โทษตัวเองหรอกว่าโลภและโง่จนเรื่องราวมันเป็นแบบนี้
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่” ชายแก่หัวเราะในลำคอพลางกดสายตามองเด็กน้อยที่กำลังมุดหน้ากับแขนผม “ผมเป็นแค่คนที่เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น เกิดซ้ำไปมา และปล่อยให้มันเกิดซ้ำอยู่แบบนั้นมาเนิ่นนาน...ผมไม่ได้เข้าร่วมและไม่ได้ห้าม แต่การไม่ห้ามก็ถือว่าเป็นการเข้าร่วมอย่างหนึ่งใช่ไหมล่ะ”
ผมขมวดคิ้ว จ้องเขม็งไปยังใบหน้าเหี่ยวย่นที่มีร่องรอยของความสับสนเจืออยู่
“เขาอยู่ที่นี่...ตอนหนูถูกจับมา” เสียงของเอลลี่ดังขึ้นแผ่วเบา
คำพูดของเธอเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ปากระแทกกลางอกผม ความหวาดระแวงที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นจนแตะจุดเดือด ผมเกือบจะเดินเข้าไปซัดหน้าไอ้แก่นี้โดยไม่สนว่าเขาจะทำหรือไม่ทำอะไร
“ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นพวกนั้น”
“พูดจาให้มันรู้เรื่องหน่อยสิวะ เป็นไม่เป็นอะไร” ผมฉุนขาดเดินเข้าไปขยุ้มคอเสื้อ “แล้วมันเรื่องเฮงซวยอะไรถึงไม่ช่วยเด็ก”
ผู้จัดการโรงแรมยังคงหัวเราะเสียงต่ำ แล้วยกนิ้วแตะปากตัวเองให้ผมลดเสียง ตั้งแต่เกิดมานี่แม่งเป็นท่าทางที่ยวนประสาทที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
“ผมช่วยแล้วเท่าที่ทำได้ เหมือนกับที่พยายามช่วยคุณเท่าที่ทำได้” ฝ่ามือที่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาพยายามแกะมือผมออก “จะให้ทำมากกว่านี้คงเกินกำลังผมไปหน่อย เพราะในเมืองนี้แค่ผมตัวคนเดียว...ก็ทำได้แค่ชะลอการเพิ่มศพที่จะถูกนำมาซ่อนในโรงแรมตัวเองเท่านั้น”
คำพูดของชายชราเหมือนหนามแหลมที่แทงเข้าไปตรงใจกลางพายุโทสะทำให้ผมหยุดชะงัก แต่ยังคงจ้องเขาอย่างไม่วางใจ ในขณะที่เอลลี่มุดหน้ากับแขนผมแน่นขึ้นราวกับต้องการหลบหนีจากความจริงที่ชายคนนี้กำลังพยายามจะบอก
“กำลังจะบอกว่าคุณปล่อยให้โรงแรมนี้เป็นซ่อนศพมาโดยตลอดงั้นสิ บอกทีว่านี่ไม่ใช่คอนเทนต์ขยะของครีเอเตอร์หน้าโง่สักคน”
“ความจริงคือไม่ใช่แค่โรงแรมนี้ แต่แทบทั้งเมือง...” ชายแก่ถอนหายใจ ทอดตามองไปยังเงาขวักไขว่ของผู้คนนอกหน้าต่าง “เกย์ไพน์มันดูเหมือนเมืองที่น่าจะมีอยู่จริงหรือไง คุณไม่สงสัยเหรอ”
“นี่มันปี 2024 ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเซตฉากขนาดใหญ่ขนาดนี้” ผมตอบไปแบบโง่ ๆ “คุณจะบอกว่าที่นี่มีคนตายจริง มีฆาตกรจริง และสมรู้ร่วมคิดกันทั้งเมืองหรือไง”
“ใช่” ผู้จัดการโรงแรมตอบเรียบ ๆ แต่กลับทรงพลังราวกับโยนระเบิดลงกลางห้อง “และไม่ได้สมรู้ร่วมคิดเพราะอยากทำ แต่เพราะต้องทำ”
สมองของผมหมุนคว้าง ไม่สั่งการอะไร จนผมได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง
“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร” เขาเกริ่นเสียงต่ำและเดินเปะปะเข้ามาใกล้ “แต่เกรย์ไพน์ไม่ใช่เมืองธรรมดา ไม่ต้องคิดเรื่องตำรวจอะไรนั่น ไม่มีใครเข้ามาได้ถ้าไม่ถูกพาเข้ามา”
ผมกลืนน้ำลายมองเขา คิดอะไรตามไม่ทัน
“ที่นี่ถูกพวกมันควบคุมมาหลายชั่วอายุคน ทั้งความเชื่อ กฎ และพิธีกรรมบ้า ๆ นั่น ทุกอย่างมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเอื้อให้คนบางกลุ่มได้ทำในสิ่งที่คนปกติไม่มีวันยอมรับ” ดวงตาของเขาเคลื่อนไปจับจ้องที่เอลลี่ “และเด็กพวกนี้...ก็เป็นแค่เศษซากที่ต้องเสียสละเพื่อค้ำจุนบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก”
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยายามรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายให้เข้าที่ “แล้วพวกมันต้องการอะไร ทำไมถึงยังต้องทำแบบนี้อยู่”
ผู้จัดการโรงแรมหัวเราะเบา ๆ “คุณคิดว่ามันเกี่ยวกับอำนาจ เงินทอง หรือความสนุกของพวกวิปริตใช่ไหม แต่ไม่ใช่หรอก” เขาชี้ไปที่หน้าต่าง “พวกนั้นเชื่อว่ามันคือการ ‘รักษา’ เกรย์ไพน์ให้คงอยู่ ทุกปีเด็ก ๆ จะถูกเลือกให้เสียสละ พวกเขาเชื่อว่าถ้าหยุดทุกคนที่นี่จะพินาศ...”
เอลลี่ตัวสั่น “พี่คะ หนูไม่อยากกลับไปที่ห้องใหญ่”
“ไม่มีใครควรกลับไป” เขาพูดเสียงเรียบแล้วมองหน้าผมอีกที “และความจริงก็ไม่ควรมีใครต้องกลับมาด้วย”
ผมขมวดคิ้วมอง “อะไรนะ”
“คุณจำไม่ได้เหรอ”
"จำอะไร”
ดวงตาของเขาแสดงความลังเลแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าคุยตอนนี้ แต่เพื่อให้เรื่องกระจ่าง... คุณจำไม่ได้เหรอว่า คุณควรจะตายไปพร้อมน้องสาวคุณเมื่อ 20 ปีก่อน”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางอก ผมอ้าปากค้าง ความคิดที่วนอยู่ในหัวกระจายเป็นเสี่ยง ๆ “คุณพูดเรื่องอะไร”
“ตอนนั้นคุณสองคนถูกจับมาที่นี่พร้อมกัน” เขาพูดเสียงต่ำ “คุณถูกเลือกเป็น ‘ผู้ตอบรับ’ เหมือนกับเด็กคนนี้ ส่วนน้องสาวของคุณเป็นเพียงองค์ประกอบในพิธี พิธีนั่นดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ในวินาทีสุดท้าย มีบางอย่างผิดพลาด—ผมไม่รู้ว่าคุณทำได้ยังไง รู้แต่ว่าจู่ ๆ เทียนทั้งหมดในห้องก็ดับ ทุกอย่างโกลาหลเพราะคุณไม่ยอมนิ่งเฉย พวกมันพยายามไล่ตามแต่หลังจากคุณหลุดออกจากห้องใหญ่ได้ คุณก็หายไป ไม่มีใครเจอคุณในเกรย์ไพน์อีกเลย”
ผมหายใจไม่ออก ภาพบางอย่างที่รางเลือนในความทรงจำค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น เหมือนเศษกระจกที่ต่อกันเป็นภาพเต็ม “แล้ว...แล้วน้องผมล่ะ”
“เธอหนีไปไม่ได้ พิธีกรรมต้องดำเนินต่อไป ผมคงไม่ต้องบอกว่าเกิดอะไรขึ้น”
คำพูดของเขาทำให้โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุน ผมยืนนิ่ง อากาศในปอดหายวับไป พร้อมกับมวลความผิดมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา
“ผม...”
คำเดียวที่หลุดออกมาจากปากผมเบาหวิวเหมือนลมหายใจสุดท้าย ร่างทั้งร่างหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยหินนับร้อยก้อน ความจริงที่ผู้จัดการโรงแรมพูดมาทำให้ทุกอย่างในหัวผมพังทลายลงในทันที
ผมทรุดลงนั่งกับพื้น ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงตั้งแต่ผมเหยียบย่างเข้ามาในที่แห่งนี้ ผมถูกซัดจนหมอบด้วยความจริงมากมายจนแทบรับไม่ไหว เรื่องที่เจอร่างน้องก็หนักหนา แต่ไม่หนักหนาเท่าความทรงจำที่ผมพยายามบิดเบือนไปแล้ว ถูกผู้จัดการโรงแรมดัดกลับมาจนภาพมันแจ่มชัดอีกครั้ง
“คุณไม่ควรกลับมาที่นี่เลย” เสียงกระซิบของชายแก่กรีดใจผม “แต่ในเมื่อคุณมาแล้ว จงอย่าให้มันพรากอะไรไปจากคุณอีก”
เอลลี่เงยหน้ามองผม ดวงตาเด็กน้อยสั่นระริกเต็มไปด้วยความกลัว “พี่อย่าเป็นอะไรนะ หนูกลัว...”
ผมดึงตัวเธอมากอดไว้แน่น ในขณะที่พยายามประคองสติที่เหมือนจะหลุดลอยไปทุกขณะ “พี่จะพาหนูออกไป” ผมพูดเสียงกร้าวกว่าที่คิดไว้
“คุณเคยหนีได้ ครั้งนี้ก็จะเป็นอีกครั้งที่คุณหนีไปได้ แต่เราต้องรีบแล้ว ผมไม่คิดว่าพิธีนั่นจะถูกเร่งให้เร็วขึ้น คุณต้องหนีออกไปให้ได้ภายในวันนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น...”
ผมรู้อยู่แล้วว่าเวลาของผมเหลือไม่ถึง 5 วัน 7 วันอย่างที่ตอนแรกเข้าใจ แต่คำพูดของผู้จัดการทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
“ไม่งั้น คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน” ชายแก่มองตาผม “ช่วงเวลาที่จะเข้าออกที่นี่ได้มีแค่ช่วงเฉลิมฉลองวสันตวิษุวัตของทุกปี - หมายถึงสัปดาห์นี้ – วันสุดท้ายของการเฉลิมฉลองคือการส่งตัวผู้ตอบรับให้แก่เทพแห่งการคุ้มครองภัย และน่ากลัวว่าปีนี้วันนั้นดันถูกเร่งเข้ามาเป็นคืนนี้”
“ผมจะเป็นส่วนหนึ่งเหรอ มันหมายความว่าไง”
“เมื่อเฉลิมฉลองวสันตวิษุวัตแล้วประตูของเมืองนี้จะปิด ไม่มีทางให้คุณออกไปจนกว่าจะถึงปีหน้า และถ้าคุณยังรอดปีหน้า คุณอาจไม่ได้เป็นแค่คนดู” ชายแก่ถอนหายใจ “และถ้าเป็นอย่างนั้น คุณจะต้อง ‘อยู่ร่วมพิธี’ ในฐานะคนในเมือง”
“ไม่มีทาง” ผมพูดด้วยเสียงที่มั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของมัน ผมจะพาเธอออกไป ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร”
ผู้จัดการโรงแรมพยักหน้าเบา “คุณมีความกล้า นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยคุณได้ครั้งที่แล้ว หวังว่ามันจะช่วยคุณได้อีก”
เขาเดินไปที่มุมห้อง ค่อย ๆ เคลื่อนแผ่นไม้ที่ปิดบังบางสิ่งออก เผยให้เห็นช่องทางลับที่เล็กพอให้คนตัวเล็กมุดผ่านไปได้
“นี่คือทางออก” เขาบอก “ปลายทางคือบ่อน้ำด้านนอก ผมบอกได้เท่านี้ ที่เหลือคุณต้องใช้สัญชาตญาณเอาตัวรอดให้ได้”
ผมมองช่องทางนั้นแล้วหันกลับไปที่เขา “แล้วคุณล่ะ”
“เวลาของผมหมดไปนานแล้ว” เขาหันไปมองนอกหน้าต่าง ที่ซึ่งผู้คนยังคงขวักไขว่ “แค่ช่วยให้คุณมีโอกาสอีกครั้งก็พอ”
“แต่นี่มันบ้าเกินไป คุณ...”
“ไม่มีเวลาเถียง” เขาสวนด้วยเสียงหนักแน่น “พาเธอออกไป และอย่าหันหลังกลับมาอีก”
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่เกือบลืมไปแล้วขึ้นมาเปิดดู หน้าจอบอกว่าไม่มีสัญญาณ และแบตอ่อนจนเป็นสีแดง มันบอกเวลาประมาณหนึ่งทุ่มและตามกฎแล้วพิธีนั่นเริ่มตอนตี 2 ผมมีเวลามากพอให้หนีออกไปได้ ถ้าหากไม่โดนตาแก่นี่หลอก และไม่บังเอิญดวงซวยโดยจับได้ระหว่างทาง
“ไปกันเถอะ” ผมบอกเด็กน้อยพร้อมกับจับมือเธอไว้แน่น “พี่จะพาเธอออกไปจากนรกนี่”
ขณะที่ผมกำลังจะพาเอลลี่มุดไปตามทางที่ชายชราบอก เสียงแหบแห้งของเขาก็เปล่งไล่หลังมา ฟังได้ความว่า
“บางทีคุณอาจต้องรู้... ผมชื่อเอไลจาห์”