ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ระทึกขวัญ,พารานอมอล,ลึกลับ,ดาร์ค,ตะวันตก,สยองขวัญ,ruleofhorror,rule,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์
‘นี่คือเงินมัดจำ อีกครึ่งจะได้เมื่องานเสร็จสิ้น ภารกิจของคุณคือไปในเมืองในแผนที่
มันอยู่ทางเหนือของไวโอมิ่ง เขตรอยต่อติดกับมอนทาน่า ไปถึงที่นั่นแล้วเข้าเช็คอินที่โรงแรม
ที่นั่นจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นตามหาสิ่งของบางอย่างที่คุณจะรู้เมื่อทำตามกฎที่ได้รับ
นำมันกลับออกมาภายใน 7 วัน และอย่าลืมหาอีกครึ่งของตุ๊กตากระต่ายด้วย มันคงทำให้คุณรู้อะไรบางอย่าง
ห้ามบอกใครว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นใคร
ป.ล.ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเมืองนี้ในอินเตอร์เน็ต อย่าเสียเวลาเปล่า’
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง พลางนึกถึงงานแปลก ๆ ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งทำเป็นผีหลอกคนที่แอบมานอนกับเมียลูกค้า (ซึ่งจบลงด้วยการที่เขาวิ่งหนีออกไปโดยไม่ใส่กางเกง) หรือการรับจ้างนั่งกินข้าวคนเดียวในร้านอาหารหรูเพื่อให้ดูเหงาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งานนี้... มันดูจะแปลกเกินไป
เส้นทางที่เอไลจาห์ชี้ให้เรามาเป็นโพรงลึกลับ แคบ และแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงจาง ๆ ที่ฉายอยู่ลิบตาเสมือนเป็นหมุดหมายว่านั่นคือปลายทาง ผมกับเอลลี่ต้องพยายามทำตัวให้เล็กที่สุดขณะที่ค่อย ๆ คลานไป แขนขาผมถูไถไปกับผนังหยาบจนรู้สึกเจ็บ พื้นก็ชื้นแฉะจนเคลื่อนไหวได้ยาก
ผมนึกสงสารเอลลี่ที่เอามือปิดปากปิดจมูกแน่น เด็กตัวแค่นี้ไม่ควรจะต้องเจอกับกลิ่นเหม็นสาบและฝูงแมลงที่ตั้งท่าจะวิ่งเข้าใส่ตลอดเวลาเช่นนี้ ผมมองเธอด้วยหัวใจหนักอึ้ง แม้เอไลจาห์บอกว่านี่คือทางออกแต่ผมกลับไม่รู้สึกเบาหัวเลยแม้แต่น้อย มันมีความคิดหวาดระแวงมากมายวิ่งวนอยู่ภายใน ก็ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ผมโดนหลอกไม่รู้อีกรอบต่อกี่รอบ และทั้งหมดนั้นผมก็เป็นคนเชื่อด้วยตัวเองทั้งหมดนี่
“ระวังหัวหน่อย” ผมวางมือบนเส้นผมสีอ่อนของเอลลี่
“พี่คะ...” เสียงเล็กของเอลลี่เรียกผมเบา ๆ เธอดูเหนื่อยและกลัวไปพร้อมกัน
“ว่ายังไง โอเคไหม” ผมถามพลางหยุดมองเธอ
“ทำไมเขาถึงปล่อยเราออกมา”
คำถามของเอลลี่ดังขึ้นพร้อมกับความเงียบแสนกดดัน มันเป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่อยากตอบ เพราะความคิดในหัวผมตอนนี้ไม่ได้แตกต่างจากเธอเลย
“บางทีเขาอาจจะ...” ผมหยุดพูดไปครู่หนึ่ง พยายามกลั่นคำตอบที่สมเหตุสมผล แต่ไม่มี “เขาอาจจะแค่ต้องการช่วยเรา”
“แต่เขาอยู่ที่นี่มาตลอด ทำไมเพิ่งช่วยตอนนี้ล่ะ” เธอพูดเหมือนเด็กที่ตั้งคำถามซื่อ ๆ แต่ความหมายของมันกรีดลึก “หนูเห็นเขา เขาไม่เคยทำอะไร นอกจากเอาน้ำหรือขนมปังมาให้หนูกับคนอื่น ๆ”
เอลลี่พูดถูก เอไลจาห์เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่มานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ พฤติกรรมของเขาที่ผมได้เห็นและเดาจากคำพูดของเอลลี่ก็ไม่อาจบ่งบอกเจตนาที่แท้จริงของเขาได้ ผมอาจจะต้องเตรียมตั้งรับสำหรับอะไรก็ตามที่รออยู่ปลายอุโมงค์
“พี่ก็บอกไม่ได้ แต่ในเมื่อเรามีทางเลือกแค่อยู่ในห้องขังนั่นกับออกมา เราก็ต้องเลือกออกมาใช่ไหม” ผมลูบหัวเด็กน้อยที่มองหน้าอย่างฉงน “เอลลี่ลองคิดดูนะ ถ้าเราอยู่ในนั้น เราก็รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรายังไม่รู้สักหน่อยว่าถ้าออกมาแบบนี้จะมีอะไรรออยู่ที่ปลายทางนั่น ถ้ามันดีก็แปลว่าเราโชคดี เรารอดแล้ว แต่ถ้ามันออกมาไม่ค่อยดีเราก็แค่ต้องสู้ ถึงแม้มันจะจบที่ต้องสู้เหมือนกัน แต่พี่คิดว่าแบบนี้มันดีกว่า อย่างน้อยเราก็ได้พยายามทำอะไรบางอย่าง ไม่ปล่อยให้ตัวเองติดอยู่กับความสิ้นหวังไปตลอด”
เอลลี่พยักหน้าแม้จะดูไม่มั่นใจนัก ผมสัมผัสได้ถึงแรงบีบเบา ๆ ที่ชายเสื้อ เธอกำลังส่งสัญญาณว่าพยายามเชื่อในสิ่งที่ผมพูด แม้เธอเองก็ยังกลัวอยู่
“ไปกันเถอะ” ผมบอกก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง “พี่สัญญา เราจะรอดไปด้วยกัน”
คำสัญญานั้นไม่ใช่เพียงเพื่อเธอ แต่เพื่อผมเองด้วย
เราคลานต่อไปในโพรงที่ผมเริ่มสังเกตว่าบนผนังมีอร่องรอยอักษรเขียนเอาไว้ มันถูกคราบโคลนบดบังจนอ่านไม่ออกแต่ก็พอจะทำให้ผมรู้สึกขนลุกได้ ความฟุ้งซ่านทำให้ผมกลัวว่ามันจะเป็นอักขระสะกดวิญญาณที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ทั่วทั้งเมือง ตามคำบอกเล่าของเอไลจาห์ ผมจึงต้องหาทางหยุดความคิดไร้สาระพวกนี้
“เอลลี่” ผมพูดขึ้นแทรกเสียงน้ำหยดจากเพดานโพรงที่ดังสม่ำเสมอราวกับนับถอยหลังไปสู่อะไรบางอย่าง “หนูถูกจับมาเมื่อไหร่ จำได้ไหม”
“หนูไม่แน่ใจ... แต่อาจจะไม่นานมากมั้ง”
“แล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกนั้นพาหนูมายังไง”
“พวกเขาใส่หน้ากาก” เด็กน้อยตอบเสียงสั่น “ใส่ชุดสีดำ เดินเข้ามาหาหนูตอนกำลังบอกลาคุณสโนว์แมนที่กำลังละลายอยู่ข้างบ้าน เขาน่ากลัว พยายามบอกให้หนูตามไปอยู่หลายครั้ง แต่พอหนูไม่ไปเขาก็เลยจับหนูมา หนูพยายามจะวิ่งหนี แต่พวกเขาเร็วมาก”
ผมฟังสิ่งที่เอลลี่เล่าด้วยใจหวิว ภาพเด็กเล็ก ๆ ถูกลักพาตัวกลางวันแสก ๆ ในบ้านตัวเองทำให้ผมรู้สึกแย่เหลือเกิน “แล้วหลังจากนั้นล่ะ พวกเขาพาหนูไปไหน”
“พวกเขาเอาผ้าปิดตา ปิดปากหนูไว้ แล้วก็พาไปนั่งรถที่เหมือนรถโรงเรียน” เอลลี่พูดด้วยเสียงที่สั่นน้อย ๆ “หนูจำไม่ได้ว่ามันนานแค่ไหน แต่ตอนที่พวกเขาเอาผ้าปิดตาออก หนูก็อยู่ในห้องใหญ่ที่มีแสงเทียนดำเต็มไปหมด”
คำพูดของเอลลี่ทำให้ผมกลืนน้ำลายฝืด ๆ โลกของผมเหมือนบีบแน่นขึ้น มันมีภาพปะติดปะต่อจาง ๆ ในหัว เสมือนการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อนด้วยภาพแบบเดจาวู
เสียงบทสวดแปลกหูจากผู้ชายในชุดสีดำสวมหน้ากากหมาป่า สายตาของผู้คนที่มองเข้ามาเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเทียนดำฉุนจมูก เด็ก ๆ ที่ถูกทำให้หลับใหลทีละคน
หัวใจผมบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก ความเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบันซ้อนทับกันอย่างน่ากลัว และกระจ่างชัดในความทรงจำจนคลื่นไส้
“ไม่เป็นไรนะ พี่จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายหนูอีก”
เราคลานต่อในความมืดที่เหมือนจะยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด เสียงหยดน้ำจากเพดานยังคงดังต่อเนื่องเหมือนนาฬิกาแห่งความหวังที่นับถอยหลังทุกวินาที ผมจดจ่อที่แสงเล็ก ๆ ตรงปลายโพรงเหนือหัว มันเป็นหมุดหมายเดียวที่บอกตัวเองว่าต้องเดินหน้าต่อไป
เมื่อเข้าใกล้ปลายทาง ผมเริ่มมองเห็นช่องเปิดที่นำไปสู่ด้านบน แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านเข้ามาอ่อน ๆ ทำให้ใจผมเบาขึ้นเล็กน้อย
“ใกล้แล้วเอลลี่” ผมกระซิบบอกเธอ เธอพยักหน้าหงึก ๆ จับชายเสื้อผมแน่นไม่ปล่อย
ผมยื่นมือแตะขอบที่น่าจะเป็นปากบ่อน้ำ ก่อนจะใช้แรงดันตัวเองขึ้นไป แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเปิดแผ่นไม้ที่ปิดเอาไว้แล้วปีนออกไปเต็มตัว แสงนั้นกลับถูกบดบัง เงาดำบางอย่างเคลื่อนผ่านอย่างเงียบงัน
หัวใจผมหล่นวูบ ลมหายใจติดขัด เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังใกล้เข้ามาเหนือหัว ผมหยุดนิ่งราวกับตัวเองกลายเป็นหิน สายตาจับจ้องไปยังช่องเกือบจะได้เปิด มันอยู่แค่เอื้อมแต่ตอนนี้กลับดูห่างไกลจนเหมือนเป็นอีกโลก
“พี่คะ...” เอลลี่กระซิบแผ่ว เธอตัวสั่นจับชายเสื้อผมแน่นยิ่งขึ้น
เสียงของเธอดึงสติผมกลับมา ผมขยับตัวลงเบา ๆ แล้วจรดนิ้วแตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เงียบ ใจผมเหมือนจะระเบิดออกมา
ผมโน้มตัวกระซิบใกล้หูเธอ “ฟังพี่นะ หนูหลบเข้าไปในโพรงก่อน เข้าใจไหม อย่าโผล่ออกมาเด็ดขาด”
หลังจากส่งเอลลี่เข้าไปในอุโมงค์นั่นแล้ว ผมได้แต่แหงนมองช่องเหนือหัวนิ่งเหงื่อแตกพลั่ก พยายามตั้งสติให้ฮึดสู้ แม้จะบอกเอลลี่ไปว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องสู้ แต่พอต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงผมก็เกือบหลุดสติแตกอยู่ดี
เสียงลากเท้าช้า ๆ ดังวนพร้อมกับเงาดำพาดบังแสงจันทร์เป็นระยะ เหมือนเจ้าของร่างนั้นกำลังพยายามสำรวจพื้นที่บนหัวเรา ความรู้สึกขนหัวลุกแบบตอนที่ถูกวอลเตอร์จ้องมองหวนกลับมาอีกครั้ง จนผมหายใจถี่
และทันใดนั้น จู่ ๆ เสียงกระแทกก็ดังขึ้นเหมือนมีบางอย่างถูกโยนลงบนแผ่นไม้ที่ปิดปากบ่อ คิดว่าน่าจะเป็นหน้ากากรูปหมาป่าอันใหญ่ ผมกลั้นหายใจ เศษดินร่วงใส่หน้า แสงที่ลอดผ่านร่องไม้ถูกบดบังจนหมด เหลือเพียงความมืดสนิทราวกับดวงจันทร์เองก็เลือกหันหน้าหนี
เสียงหายใจหนักดังลอดลงมา พร้อมเงาตะคุ่มที่โน้มต่ำลงเรื่อย ๆ ราวกับนักล่าที่ก้มมองเหยื่อในกรงขัง เสียงลมหายใจผสานกับขบฟันกรอด ๆ ดังก้องในสมองจนผมเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ตาจับจ้องไปยังร่องไม้เหนือหัว เสี้ยววินาทีต่อมาผมก็เห็นดวงตาที่กลอกไปมา มันจ้องตรงมาที่ผมอย่างกระหาย
“หนีเหรอ?” เสียงของมันแหบพร่า แต่แฝงด้วยความสนุกในที “ออกมาทางนี้ได้ยังไง มีคนเข้ามาสอดเรื่องของเรางั้นสิ”
ผมแข็งค้างแทบไม่กล้าขยับ นั่นคือเสียงวอลเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาจ้องผมผ่านร่องไม้คล้ายกำลังไตร่ตรอง จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ ราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่รู้ว่าชัยชนะใกล้แค่เอื้อม
“ดีแล้ว ดีมากเลย” เขากระซิบเบา ๆ พูดกับตัวเองราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ “ให้ความร่วมมือดีนี่ กระเสือกกระสนดีจัง ผมคิดไม่ผิดจริง ๆ คนกล้าหาญแต่ไม่ค่อยฉลาดอย่างคุณมันทำให้ผมสนุกเหลือเกิน”
เสียงหัวเราะของวอลเตอร์สะท้อนก้องลงมาบั่นทอนสติของผม ก้องกังวานราวกับสะท้อนกระแทกผนังทุกด้านก่อนจะวกกลับเข้าหู ฟังจากเสียงแล้วเขาคงสนุกจริง ๆ สนุกที่ได้เห็นทั้งความกลัวและความกระเสือกกระสน
"คุณรู้ไหม" เขาพูดเสียงเรียบหากแฝงความเย้ยหยัน "ความหวังคือของเล่นชิ้นโปรดของผม รองจากความกลัวเลยนะ"
เสียงกระซิบนั้นแผ่วเบา แต่ทุกคำที่พูดกลับแทรกผ่านมาถึงข้างในเหมือนเข็มแทง สิ่งที่เขาพูดไม่เพียงแต่หยามเหยียบความเป็นคนของผม แต่ยังเหมือนกำลังทดสอบอะไรบางอย่าง ความอดทน ความสิ้นหวัง ความเขลา หรือไม่ก็สัญชาตญาณของผมเอง
“คิดจะหนีทั้งทีดันเลือกใช้ทางนี้เหรอ” เสียงฝีเท้าของเขาขยับช้า ๆ ไปรอบบ่อ ตรึงผมให้นิ่งงันด้วยความกดดันจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
"แต่เอาเถอะ ผมก็อยากเห็นว่าคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน" เขาหยุดพูดเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะกระซิบลงมาด้วยเสียงแหบพร่า “หนีสิ เหมือนที่เคยทำไง”
ผมได้ยินเสียงเขาเดาะลิ้นพลางหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอ ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาขยับวนรอบปากบ่ออย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวเหมือนกับเขากำลังย่ำเหยียบลงบนศักดิ์ศรีและความหวังที่ผมเหลืออยู่
"คุณไม่รู้หรอกว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้คุณกลับมา ดีใจแค่ไหนที่คุณไม่ฉลาดพอจะฉุกคิดว่าทุกอย่างมันแปลกไปหมด" วอลเตอร์หัวเราะในลำคออีกครั้ง “รู้ไหมมันน่าเศร้านะ คุณก็รู้ว่าคุณควรจะเป็นส่วนหนึ่งของเกรย์ไพน์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่คุณดันหนี... หนีจากบทบาทที่ถูกกำหนดไว้ หนีจากโชคชะตา หนีไปจากเรา”
ทันใดนั้นเสียงบางอย่างดังขึ้นเหนือหัว มันเหมือนเสียงอะไรหนัก ๆ ถูกโยนมาปิดปากบ่อเอาไว้ ผมมองขึ้นไปและพบว่าแสงจันทร์ถูกบดบังจนมิด มีเพียงฝุ่นที่ลอยฟุ้งในอากาศและกลิ่นเหม็นสาบรุนแรงอันไร้ที่มา
“ได้กลิ่นไหม อืม...” เสียงวอลเตอร์ดังไกลออกไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบางอย่างถูกโยนซ้ำมาอีก “กลิ่นของพวกที่ต้องถูกสังเวยให้กับการหนีของคุณน่ะ ผมเก็บเอาไว้ให้อย่างดีเชียวนะ ไม่อยากดูหน่อยเหรอ”
ฝุ่นละอองและเศษดินร่วงลงมารอบตัวเราพร้อมกับกลิ่นเหม็นสาบที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณรู้ไหมว่าผมชอบอะไรที่สุด” วอลเตอร์พูดต่อ น้ำเสียงราวกับเล่าเรื่องสนุกในงานเลี้ยง “ผมชอบดูคนที่เคยหนี กลับมาติดกับเดิม และชอบมากกว่าอีกเมื่อมันเป็นเกมที่ผมควบคุมได้”
“อยากหนีอีกไหมล่ะ หนีสิ ผมให้โอกาสคุณ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าที่นี่ไม่มีใครออกไปได้ นอกจาก...จะออกไปในแบบที่ผมอนุญาตเท่านั้น”
พรึ่บ!
จบคำความมืดที่รายรอบตัวผมก็จางไปพลันเพราะแสงสว่างจ้าจากด้านบน มันมาพร้อมไอร้อนและกลิ่นเหม็นไหม้ที่พุ่งปะทะจมูก ผมเงยหน้าขึ้นทันทีและเห็นเปลวเพลิงกำลังลามไปตามเศษไม้ที่ปิดปากบ่อ ขี้เถ้าและประกายไฟร่วงลงมาราวกับคำตัดสินโทษสุดท้าย
ผมนึกหัวเสียที่ตัวเองโง่ทนฟังไอ้โรคจิตนี่พูดเพ้ออยู่นาน - ผมคงไม่ฉลาดอย่างที่มันว่าจริง ๆ
"หนีสิ!" วอลเตอร์ตะโกนลงมาพร้อมเสียงหัวเราะสะท้อนก้อง “เหมือนที่เคยทำไง!”
เปลวไฟเริ่มลามอย่างรวดเร็ว เศษไม้เหนือหัวเร่งแผดเผา ความร้อนแผ่ลงมาจนเหงื่อไหลอาบใบหน้า ผมรีบวิ่งกลับลงไปหาเอลลี่ที่ใช้มืออุดปากตัวเองไม่ให้เสียงร้องไห้ลอดเล็ดออกมา
“เอลลี่ พี่จะอยู่กับหนู เราจะหนีไปพร้อมกัน อดทนเอาไว้ก่อนนะ” ผมบอกเด็กน้อยแล้วรีบดุนหลังให้เธอหมอบคลานกลับไปทางเดิม
กลิ่นควันเริ่มอัดแน่นจนผมแทบหายใจไม่ออก ความมืดในอุโมงค์เบื้องหน้ากลายเป็นสิ่งที่ผมต้องรีบไล่ตาม ยิ่งผมห่างไกลจากแสงสว่างของเปลวไฟได้มากเท่าไร เรายิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น
ผมกับเอลลี่ถูลู่ถูกังกันไปในโพรง เจ็บระบมไปทั้งตัว เพียงเพราะต้องเร่งหนีจากทั้งไฟและควันที่อาจคร่าชีวิตเราได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ขณะที่เสียงหัวเราะของวอลเตอร์ยังดังตามมา ราวกับมันฝังอยู่ในกำแพงทุกด้าน
“ไปเลย! หนีกลับเข้ากรงของคุณไป กลับไปเผชิญหน้ากับความหวังที่ไม่มีอยู่จริง!”
ความร้อนและเสียงเปลวไฟลามไล่หลังมาเหมือนนักล่าที่กำลังขย้ำเหยื่อ "เร็วเข้า!" ผมตะโกนบอกทั้งตัวเองและเอลลี่
เปลวไฟที่ลุกโชนส่งเสียงแตกเปรี๊ยะ เศษขี้เถ้าร่วงกราวลงมาพร้อมกลิ่นไหม้ที่แทรกซึมเข้ามาทุกอณูในโพรงแคบ ๆ ผมกัดฟันพาเอลลี่คลานต่อไป ทว่าไม่กี่อึดใจหัวใจผมก็เหมือนจะหยุดเต้น เมื่อเสียงของวอลเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ชิดใกล้ราวกับเขาอยู่ในโพรงเดียวกันกับเรา
“ผมจะรอคุณอยู่ที่ปลายทาง”