ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ระทึกขวัญ,พารานอมอล,ลึกลับ,ดาร์ค,ตะวันตก,สยองขวัญ,ruleofhorror,rule,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์
‘นี่คือเงินมัดจำ อีกครึ่งจะได้เมื่องานเสร็จสิ้น ภารกิจของคุณคือไปในเมืองในแผนที่
มันอยู่ทางเหนือของไวโอมิ่ง เขตรอยต่อติดกับมอนทาน่า ไปถึงที่นั่นแล้วเข้าเช็คอินที่โรงแรม
ที่นั่นจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นตามหาสิ่งของบางอย่างที่คุณจะรู้เมื่อทำตามกฎที่ได้รับ
นำมันกลับออกมาภายใน 7 วัน และอย่าลืมหาอีกครึ่งของตุ๊กตากระต่ายด้วย มันคงทำให้คุณรู้อะไรบางอย่าง
ห้ามบอกใครว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นใคร
ป.ล.ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเมืองนี้ในอินเตอร์เน็ต อย่าเสียเวลาเปล่า’
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง พลางนึกถึงงานแปลก ๆ ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งทำเป็นผีหลอกคนที่แอบมานอนกับเมียลูกค้า (ซึ่งจบลงด้วยการที่เขาวิ่งหนีออกไปโดยไม่ใส่กางเกง) หรือการรับจ้างนั่งกินข้าวคนเดียวในร้านอาหารหรูเพื่อให้ดูเหงาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งานนี้... มันดูจะแปลกเกินไป
กลิ่นหืนของเทียนดำทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วผิดปกติ ความรู้สึกหัวโหวง ๆ หมุน ๆ หวนกลับมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพราะสารบางอย่างในเทียนที่กระตุ้นผม แต่รวมไปถึงเสียงกระซิบกระซาบบทสวดไม่ทราบภาษาที่ชาวบ้านกำลังขมุบขมิบปากร่ายมันออกมา พิธีกรรมเริ่มต้นก่อนเวลาของมัน เริ่มต้นเหมือนเตรียมพร้อมในการโอบรับดิเอคโค่คนใหม่ของพวกเขา
ผมยืนนิ่ง หายใจติดขัด มือกำหน้ากากหมาป่าแน่น บริเวณส่วนจมูกที่ยื่นออกมาทำจากกระดูกจริง มีการแกะสลักลวดลายพิสดาร เย็นเฉียบอย่างกับจะเยือกแข็งเลือดในกายผมได้ ผมมองมันสลับกับวอลเตอร์ที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ตอนผมรับมันมาจากวอลเตอร์ผมรู้ดีว่าถ้าสวมมัน ผมจะไม่มีทางกลับไปเป็นคนเดิมได้อีก
ถ้าผมสวมมัน ผมจะรอด ไม่ต้องคิดอะไรอีก แต่เอลลี่จะถูกสังเวย แต่ถ้าผมไม่สวม... เราจะมีทางหนีรอดยังไงได้อีก
เธอถูกลากไปนั่งที่หัวโต๊ะซึ่งเป็นเสมือนแท่นพิธีแล้ว ตาเธอเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะที่กวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างสิ้นหวัง พวกเขาล้อมเราไว้หมดแล้ว เสียงบทสวดทวีความดังขึ้น เทียนสีดำบนโต๊ะถูกจุดขึ้นทีละเล่ม แต่ละเล่มที่ทอแสงขึ้น มันทาทาบไปบนร่างที่ถูกห่อด้วยผ้าพันแผล - แบบเดียวกับที่น้องสาวผมเป็น แต่ละร่างถูกวางเอาไว้บนเก้าอี้ บางร่างยังมีของเหลวสีคล้ำซึมเปื้อนไม่แห้งกรังแบบศพเก่า
จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นเอลลี่ ผมจะหวาดกลัวแค่ไหน เพราะแม้แต่ผมที่อายุเหยียบย่างจะค่อนชีวิตแล้วยังเห็นว่ามันสะเทือนขวัญที่สุด
"สวมมันซะ" วอลเตอร์พูดเสียงเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ "แล้วทำในสิ่งที่ถูกกำหนดมา"
ผมไม่ขยับตามคำสั่ง แต่ความรู้สึกเย็นเยียบจากมือเขาที่แตะลงบนไหล่ผม ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่มีทางเลือก
"พี่!" เอลลี่ร้องเรียก น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม เสียงของเธอขาดหายเป็นห้วง ๆ ร่างเล็กจิ๋วนั่นสั่นสะท้าน เธอพยายามดิ้นจากมือของผู้ชายในชุดคลุมที่ตรึงเธอไว้แต่เธอตัวเล็กเกินไป
ผมอยากวิ่งเข้าไปคว้าเธอไว้ กอดเธอเอาไว้ให้แน่นที่สุด บอกเธอว่าเราจะรอดไปด้วยกัน แต่นั่นไม่ใช่ตัวเลือกเพราะถ้าผมขัดขืนตอนนี้ พวกมันอาจฆ่าเธอทันที และต่อให้พูดแบบนั้นผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเราจะรอดไปจริง ๆ ได้อย่างไร
ผมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจทำสิ่งเดียวที่พอจะซื้อเวลาได้ ผมยกหน้ากากขึ้นแล้วแนบมันกับใบหน้า
“พี่ชายอย่าทิ้งหนูซี่” เอลลี่โยเยเมื่อเห็นภาพนั้น
ทันทีที่มันสัมผัสผิวหนัง ร่างกายผมชาไปทั้งตัว สมองเหมือนถูกกระชากดึงให้จิตวิญญาณผมหลุดออกจากโลกนี้ เสียงรอบตัวเปลี่ยนไป ทุกอย่างบิดเบี้ยวเหมือนภาพสะท้อนในคลื่นน้ำกระเพื่อม
ผมเห็นเด็กชายเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่ใช่ภาพทับซ้อนกับเอลลี่แต่เป็นการยืนอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ตัวนั้น พวกเขากำลังจะให้ผมสังเวยเด็กที่นั่งหัวโต๊ะ - น้องสาวคนเดียวของผม - ผมเห็นสายตาขลาดกลัวของตัวเอง เห็นความลนลานของน้องสาว
ภาพนั้นแจ่มชัดราวกับผมถูกโยนกลับไปในช่วงเวลานั้นจริง ๆ เด็กชายในชุดคลุมดำมือสั่นกำมีดพิธีกรรมไว้แน่น หยาดเหงื่อไหลซึมลงมาตามไรผม เขาไม่ได้อยากทำ แต่ไม่มีทางเลือก เสียงร้องไห้สะอื้นของเด็กหญิงที่ถูกมัดอยู่ตรงหน้าแทงเข้าไปในหัวใจของผมราวกับมีดคมจิ้มแทงซ้ำ ๆ เธอร้องขอให้ผมช่วย ขอให้ผมไม่ปล่อยให้เธอตาย ผมเห็นตัวเองลังเล ร่างเล็ก ๆ นั้นสะอื้นจนตัวโยน
ทันใดนั้นผมร่างจิ๋วก็เลือกกระชากผ้าปูโต๊ะสีขาว ทิ้งมีดแล้วหันหลังวิ่งสุดชีวิต ตัวผมในปัจจุบันขณะแทบกระโจนเข้าไปจับตัวเด็กนั่นไว้ อยากกระชากตัวเขากลับมาแล้วบอกว่ายังมีน้องสาวที่ต้องพาออกไป แต่ภาพที่ผมเห็นไม่อนุญาตให้ทำแบบนั้น เขาวิ่งออกไปโดยมีเสียงกรีดร้องในลำคอของชาวบ้านดังไล่หลัง ดวงตานับร้อยถลึงมองไปในความมืดขณะที่เด็กตัวเล็กวิ่งมุดหนีออกไป – น่าสยดสยองที่ผมพอจะเดาได้ว่าพวกเขาไม่ปริปากเพราะมีกฎห้ามใช้เสียงยามวิกาล
เสียงเดียวที่ดังแทรกเสียงกรีดร้องในความเงียบนั้นคือ ชื่อของผม ที่น้องสาวกู่ตะโกนออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ชาวบ้านจะวิ่งไล่หาผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนชื่อของผมเป็นคำสั่งปลดล็อกระบบไล่ล่า
ผมหอบฮัก กระชากหน้ากากหมาป่าออกจากหน้าอย่างแรง ความเป็นจริงกระแทกเข้ามาราวกับกระแสลมพายุโหมซัด ผมอยู่ในโบสถ์ แสงเทียนดำยังคงสั่นไหว บทสวดของพวกเขาดังกระหึ่มจนผมนึกสงสัยว่าบทสวดเป็นข้อยกเว้นในกฎหรือไม่อย่างไร
วอลเตอร์ยังคงยิ้มแบบเดิม ยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
"เป็นยังไงบ้าง" เขาถามเสียงนุ่มนวล "ความทรงจำของคุณกลับมาแล้วใช่ไหม"
ผมกัดฟันแน่น หัวใจเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกจากอก ความทรงจำที่กลับมามันเลวร้ายเกินไป ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงกันแน่ - ควรจะรู้สึกผิด ควรจะโกรธ หรือควรจะกลัว
ทว่าแท้จริงแล้วผมอาจจะแค่รู้สึกผิด ผมอาจรู้สึกผิดกับมันมาตั้งแต่แรกจนตัดสินใจลบลืมมันจนหมดสิ้น เสียงของน้องสาวดังก้องในหู เธอคงเห็นผมเป็นพี่เลวที่วิ่งหนีเธออีกแล้ว เหมือนที่ชอบหนีไม่ยอมเล่นก่อปราสาทรายเพราะกลัวเพื่อนล้อ หรือไม่เธอคงคาดเดาเอาไว้แล้วว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นพี่ชายอย่างผมคงไม่กระโจนเข้าช่วยเธออยู่แล้ว
ผมเหลือบมองเอลลี่ที่น้ำตาเปรอะหน้า เด็กน้อยคงไม่ใช่หนทางชำระบาปที่ผมเคยก่อเอาไว้ แต่คงไถ่ถอนความรู้สึกผิดที่หนักอึ้งให้เบาลงได้ ผมควรช่วยชีวิตอันบริสุทธิ์ของเธอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมไม่ควรสังเวยชีวิตเด็กคนนี้ให้ความขลาดเขลาของตัวเองอีก
ความคิดนั้นแล่นวาบขึ้นมาราวกับสะเก็ดไฟติดประกายฟืนแห้ง ผมกระชับมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ขณะที่สมองพยายามหาหนทางรอดออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เสียงสวดของชาวบ้านก้องสะท้อนทั่วโบสถ์ เทียนดำยังคงลุกโชน บทสวดดังขึ้นเป็นจังหวะที่ชวนให้รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ผมกวาดตามองไปทั่วห้อง หาทางออก หาจุดอ่อน หาจังหวะที่ผมจะใช้เพื่อหนี
“ผมคงต้องทำตามหน้าที่แล้ว” ผมพูดเสียงเรียบ
ริมฝีปากของวอลเตอร์กระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างพอใจ "ในที่สุดก็เข้าใจสินะ"
พวกเขาคิดว่าผมยอมแพ้แล้ว
พวกเขาคิดว่าผมจะเดินตามรอยเท้าที่ถูกกำหนดไว้
แต่พวกเขาคิดผิด
ผมกระชากหน้ากากหมาป่าขว้างมันลงบนโต๊ะ เทียนดำที่จุดไว้ดับวูบไปในพริบตา พร้อมกับเสียงแตกกระจายของกระดูกที่กระทบพื้น เสียงแตกกระจายของหน้ากากหมาป่าดังก้องสะท้อนทั่วโบสถ์ เศษกระดูกที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของมันกระเด็นกระจัดกระจายไปตามพื้น พวกชาวบ้านในชุดคลุมสีดำชะงักไปชั่วขณะ เหมือนที่การไหลเวียนของพลังงานบางอย่างดับวูบไปพร้อมกับแสงเทียน
นั่นคือจังหวะของผม
ผมกระชากแขนเอลลี่ ดึงเธอออกจากมือของพวกบ้านั่นอย่างแรง เธอกรีดร้องเสียงหลง ไม่ใช่เพราะผมทำเธอเจ็บแต่เพราะเธอตกใจไม่คาดคิดว่าผมจะยังดันทุรัง
“จับพี่ไว้แน่น ๆ” ผมพูดเสียงแข็งแล้วอุ้มเธอขึ้นพาดบ่า ขาของเธอสั่นเทา แต่เธอก็สวมกอดรอบคอผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปอีกครั้ง
วอลเตอร์ไม่ได้ขยับ เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม แววตาของเขายังนิ่งสงบและเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เสียงถอนหายใจของเขาเบาราวกับกระซิบ “เฮ้อ...ยังคิดจะหนีอยู่อีกเหรอ น่าเบื่อจัง”
เขาหมดสนุกกับการไล่ตาม ผมเองก็เบื่อเกมไล่จับห่านี่ฉิบหาย!
แต่ทำยังไงได้ สถานการณ์แบบนี้คงไม่มีเวลาให้ผมได้นั่งรินเหล้าจับเข่าคุยขอความเมตตาอยู่แล้ว ผมทำได้เพียงพุ่งไปข้างหน้าพยายามวิ่งหาทางออก เสาหินขนาดใหญ่เรียงรายเป็นแนวทางเดินเหมือนเขาวงกต ทุกย่างก้าวของผมสะท้อนก้องไปทั่วโบสถ์ เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าเร่งร้อนของชาวบ้านที่เริ่มเคลื่อนไหวดังไล่หลังมา
“จับพวกเขาไว้” เสียงของวอลเตอร์ไม่ได้ดัง แต่มันเต็มไปด้วยอำนาจ
เสียงฝีเท้าเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ผมหันซ้ายหันขวา พยายามหาทางออก มีบันไดทอดขึ้นไปสู่ด้านบน ผมไม่รู้ว่ามันจะนำไปที่ไหนแต่มันคือหนทางเดียวที่ผมเห็นตอนนี้ ผมออกแรงเร่งฝีเท้าพุ่งขึ้นไปบนขั้นบันไดด้วยแรงทั้งหมดที่มี ขณะที่เสียงของพวกเขาดังขึ้นราวกับคลื่นมนุษย์กำลังกรูกันเข้ามาหา
ผมไม่มีทางหันหลังกลับไปอีกแล้ว
ผมมองไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง บันไดทอดยาวไปสู่ที่ไหนสักแห่ง ด้านบนสุดอาจเป็นทางรอดหรืออาจเป็นเพียงกับดักอีกชั้นของเกรย์ไพน์ ทว่ามันเป็นทางเดียวที่ผมมี
“การเป็นดิเอคโค่ไม่มีอะไรลบล้างได้ คุณจะกลับมา คุณจะวนกลับมา ไม่มีวันหนีพ้น ยอมรับเสียเถอะ” เสียงของวอลเตอร์ยังคงดังแทรกไล่มา “จงตอบรับลิขิตแห่งเทพคุ้มครองภัย จงดำรงอยู่เพื่อเรา”
เสียงกึกก้องของหมอนั่นเหมือนเป็นเชื้อเติมไฟเร่งให้พวกชาวบ้านกรูเข้ามา หวังแผดเผาผมด้วยความเชื่อและอุดมการณ์ประหลาด ผมควรทำอะไรสักอย่างไม่อย่างนั้นเราคงถูกจับกลับไปที่เก่า ถูกจับกลับไปเพื่อบังคับให้เข้าร่วมวงจรเลวทรามที่ปฏิบัติต่อกันมาไม่รู้กี่สิบปี
ความเชื่อบ้า ๆ วงจรห่าเหวนั่น...
อย่างนั้น กฎแห่งเกรย์ไพน์... มีอยู่จริงไหมนะ
พลุไฟความคิดสว่างวาบขึ้นในหัวระหว่างผมกระโจนขึ้นบันไดเพื่อหนี แรงกดดันจากเสียงฝีเท้าที่กระหึ่มไล่หลังมาทำให้หัวใจเต้นโครมคราม สมองของผมปั่นป่วนประมวลเรื่องราวทั้งหมดที่รับรู้มา กฎของเมืองทั้งห้ามพูด ห้ามออกจากที่พัก หรือเทียนสีดำที่ว่า ถ้าหากไม่ทำตามแล้วผลที่ตามมาคืออะไร มันถูกบังคับใช้ได้ยังไง ชาวบ้านทำตามอย่างเคร่งครัดแต่วอลเตอร์ในฐานะดิเอคโค่เขาเหมือนจะไม่ทำตามกฎสักข้อด้วยซ้ำ
อย่างนั้นแปลว่าอะไร หรือผมอาจลองทำอะไรบ้า ๆ โง่ ๆ ที่ผุดขึ้นในความคิดดู
พวกเขาเชื่อในกฎเพราะพวกเขาถูกสอนให้เชื่อ พวกเขากลัวมันเพราะพวกเขาถูกทำให้กลัว ดังนั้นเขาจะทำโดยไม่มีข้อแม้หรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยถูกสอนให้ละเมิดกฎ
"วอลเตอร์!" ผมตะโกนสุดเสียง หวังว่ากฎเรื่องชื่อจะทำให้มันหยุด
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หัวใจของผมกระตุกวูบ ไม่มีเสียงฟ้าผ่า ไม่มีลมพายุ ไม่มีเงามืดกระโจนมาขย้ำเขา วอลเตอร์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้าเหมือนความพยายามของผมเป็นโชว์ตลกที่น่าหัวเราะที่สุดในชีวิตเขา พวกชาวบ้านก็ไม่หยุด ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีร่างไหนล้มลงกับพื้น ไม่มีการไล่ล่าที่หยุดชะงัก ไม่มีใครสนใจสิ่งที่ผมพูดออกไป ซ้ำยังมุ่งหน้าตรงมาไม่ลดละเหมือนเป็นการยืนยันให้ผมกลาย ๆ ว่า วอลเตอร์คงไม่ใช่ชื่อของเขา หรือไม่ กฎพวกนั้นไม่มีผลอะไรตั้งแต่แรก
คลื่นมนุษย์ซัดสาดเข้ามาถึงบันไดขั้นแรกพร้อมกับความกลัวของผมที่ดันขึ้นมาสุดสมอง เอลลี่ร้องไห้โยเยบนไหล่ ผมอาจจะต้องวนกลับไปและยอมรับชะตากรรมนั้นจริง ๆ ยอมรับว่าหัวโล่งว่างรู้เพียงแต่ต้องดันตัวเองขึ้นไปจนถึงประตู แต่อาจไม่ทันการณ์
สีหน้านิ่งเฉยของชาวบ้านหลอกหลอนผม ท่าทางเหมือนสัตว์ป่าของพวกเขาทำให้ผมอยากตายลงเสียตรงนี้ ทว่าเมื่อมองลงไปข้างล่างผมกลับเห็นบางอย่างที่มองหามาโดยตลอด
เอไลจาห์เป็นหนึ่งในพวกนั้น เขาสวมชุดคลุมสีดำเงยหน้ามองผมจากแถวหลังสุดของมวลคลื่นมนุษย์
“เรียกชื่อผมสิ” เขาร้องบอกผม ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำยืนยันหนักแน่นและแน่วแน่ ราวกับเขาตัดสินใจมาแล้วตั้งแต่แรก
ชาวบ้านชะงักเมื่อได้ยินเสียงแปลกปลอมดังขึ้น ผมกัดฟันแน่น สมองที่กำลังโกลาหลทำงานอย่างบ้าคลั่ง อะไรคือเรื่องจริงกันแน่
"เรียกชื่อผม!" เอไลจาห์ตะโกนซ้ำ คราวนี้ดังกว่าก่อนหน้า
ผมกวาดตามองผู้คนที่มีสีหน้าว่างเปล่า ดวงตาไร้แววเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกเสี้ยมสอนให้ทำตามคำสั่ง พวกนั้นมีแววสับสนในท่าทีเหมือนเวลาที่ผมสั่งให้หมาทำอะไรบางอย่าง แต่ขัดมันด้วยคำสั่งอีกอย่าง พวกเขาเหมือนรอคำสั่งที่แน่นอนอย่างกับสัตว์ไม่มีผิด
นั่นทำให้ผมเริ่มแน่ใจว่าพวกเขาจะทำตามกฎ แม้ไม่รู้ว่ารางวัลของมันคืออะไรแต่แน่ใจแล้วว่ามีเหตุผลให้พวกเขาทำตามแน่ มันคือทฤษฎีเดียวกับการฝึกสัตว์
"เรียกชื่อผม!"
เสียงของเอไลจาห์ดังก้องไปทั่วโบสถ์ ราวกับเขากำลังพยายามจะเจาะทะลุม่านความเงียบงันที่ครอบคลุมพวกชาวบ้านเอาไว้
ผมลังเล
ลมหายใจติดขัดในลำคอ สมองของผมทำงานหนัก ความเชื่อบ้า ๆ พวกนี้จริงแค่ไหนกันแน่ พวกเขาเชื่อในกฎพวกนี้มากแค่ไหน ถ้าผมเรียกชื่อเอไลจาห์แปลพวกเขาจะหันไปหาเขาแทนงั้นหรือ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้จัดการโรงแรมชรา
ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะทำได้ลงงั้นเหรอ
“ผมทำไม่ได้” ผมตอบกลับไปเหมือนคนโง่ สายตาสังเกตเห็นว่าดิเอคโค่กำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาเอไลจาห์ “จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
ชาวบ้านเริ่มสูญเสียสมาธิจากการไล่ตามผม พวกเขามองขึ้นลงสลับกัน
“ผมไม่เหลือเวลาอีกต่อไปแล้ว ผมบอกคุณแล้วไง” ชายชราตะโกนเร่ง “แต่คุณต้องออกไป ตัดสินใจเดี๋ยวนี้!”
เอไลจาห์รู้ดีใช่ไหมว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองถ้าผมทำตาม นี่เป็นแผนของเขาตั้งแต่แรกหรือเปล่า “ทำไมต้องเป็นคุณด้วย”
ผมถาม เสียงของผมสั่นเครือทั้งยังคงวิ่งขึ้นบันไดอย่างไม่ลดละ มือกอดเอลลี่ไว้แน่นราวกับเธอเป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถยึดเหนี่ยวได้
“หยุดทำให้เรื่องมันยุ่งเสียที คนทรยศ” เสียงดิเอคโค่ก้องตามมาพร้อมกับฝีเท้าเร่งรี่ของเขา วินาทีนั้นผมเห็นมีดเล่มใหญ่อยู่ในมือหมอนั่น... เขาหมายชีวิตผู้จัดการ
เอไลจาห์มองขึ้นมาหาผม สีหน้าของเขานิ่งสงบเกินไปสำหรับคนที่รู้ตัวดีว่ากำลังจะเป็นเหยื่อล่อ
“ขอให้ผมได้สังเวยแก่ทุกเรื่องเลวร้ายที่ผ่านสายตาและน้ำมือผม แต่ไม่มีวันใดเลยที่ผมจะพยายามหยุดมัน นี่เป็นโอกาสเดียว เรียกชื่อผมเดี๋ยวนี้! คุณรู้แล้วนี่”
ดิเอคโค่ใกล้เข้ามาแล้ว เขาถือมีดเล่มใหญ่อย่างไม่เร่งรีบ เหมือนมั่นใจว่าผลลัพธ์สุดท้ายไม่มีวันเปลี่ยน
"คุณกำลังรออะไรอยู่!" เอไลจาห์ตะโกนอีกครั้ง แต่ผมยังคงนิ่งงันอยู่กับที่
ผมทำแบบนั้นไม่ได้...
ถ้าผมเอ่ยชื่อเขา นั่นหมายถึงการสละเขาให้คนพวกนี้
แต่ในแววตาอิดโรยของเขาเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อน มันคงเรียกได้ว่า ความเสียสละ ผมจะแลกเขากับความเสียสละ หรือจะแลกเขากับคมมีดของดิเอคโค่ที่เพียงปลิดชีพเท่านั้น นี่เป็นชั่ววินาทีเดียวที่ผมต้องตัดสินใจ
"คุณฟังผมนะ" เอไลจาห์พูด หนักแน่นจนผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ "ผมแก่แล้ว ผมเหนื่อยแล้ว ผมอยู่ที่นี่มานานพอจนรู้ว่าผมไม่มีวันรอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คุณต่างหากที่ต้องไป คุณต่างหากที่มีโอกาสรักษาดวงวิญญาณและลมหายใจบริสุทธิ์ของเด็กคนนั้น"
ผมไม่มีทางเลือก
เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันบิดเบี้ยวแค่ไหน
เขารู้ว่ามันไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
เขาอาจจะพยายามช่วยผมมาโดยตลอด แม้วิธีการจะบิดเบี้ยวจนแทบแยกไม่ออก
และผมไม่อาจให้เขาถูกปลิดชีพไปโดยไม่ได้ทำตามเจตนารมณ์นั้น
“เอไลจาห์!”
ผมเห็นรอยยิ้มจากผู้จัดการโรงแรม และดิเอคโค่หันไปจ้องเขา ชั่วขณะหนึ่งผมเห็นประกายโทสะที่แท้จริงในแววตานั้น เป็นครั้งแรกที่ไร้สิ้นแววตาขบขันหยันเย้ย
"แก -"
สายไปแล้ว
ชาวบ้านเคลื่อนไหว พวกเขาขยับเข้าหาเอไลจาห์เหมือนสัตว์ที่เพิ่งได้รับคำสั่งใหม่
เขาไม่มีทางหนีไปจากพวกมันได้อีกแล้ว