ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ระทึกขวัญ,พารานอมอล,ลึกลับ,ดาร์ค,ตะวันตก,สยองขวัญ,ruleofhorror,rule,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์ผมได้รับคำสั่งให้ไปที่เกรย์ไพน์เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งออกไปจากพื้นที่ โดยมีเวลาเพียง 7 วันในการทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ไม่รู้ว่าผมต้องเอาอะไรออกไปจากที่นี่ แต่จดหมายบอกว่าผมจะรู้เอง…ถ้าผม “ทำตามกฎ”
ผมมีเวลา 7 วันในการเอาบางอย่างออกมาจากเกรย์ไพน์
‘นี่คือเงินมัดจำ อีกครึ่งจะได้เมื่องานเสร็จสิ้น ภารกิจของคุณคือไปในเมืองในแผนที่
มันอยู่ทางเหนือของไวโอมิ่ง เขตรอยต่อติดกับมอนทาน่า ไปถึงที่นั่นแล้วเข้าเช็คอินที่โรงแรม
ที่นั่นจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นตามหาสิ่งของบางอย่างที่คุณจะรู้เมื่อทำตามกฎที่ได้รับ
นำมันกลับออกมาภายใน 7 วัน และอย่าลืมหาอีกครึ่งของตุ๊กตากระต่ายด้วย มันคงทำให้คุณรู้อะไรบางอย่าง
ห้ามบอกใครว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นใคร
ป.ล.ไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลเมืองนี้ในอินเตอร์เน็ต อย่าเสียเวลาเปล่า’
ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้ง พลางนึกถึงงานแปลก ๆ ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งทำเป็นผีหลอกคนที่แอบมานอนกับเมียลูกค้า (ซึ่งจบลงด้วยการที่เขาวิ่งหนีออกไปโดยไม่ใส่กางเกง) หรือการรับจ้างนั่งกินข้าวคนเดียวในร้านอาหารหรูเพื่อให้ดูเหงาที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่งานนี้... มันดูจะแปลกเกินไป
ผมยังคงฝันถึงมันอยู่ทุกคืน
กลิ่นเทียนดำ เสียงสวด เสียงฝีเท้าที่วิ่งไล่ล่าเรา เงาดำของผู้คนที่ล้อมเข้ามาทุกทิศทุกทาง และเสียงของเอไลจาห์ - แหบพร่า ห่างไกล หากแต่หนักแน่นมากพอที่จะปลุกให้ผมตื่นขึ้นมากลางดึกทุกคืน ลำคอตีบตันเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบกะให้ผมตาย ทุกครั้งที่หอบหายใจยังคงได้กลิ่น...ราวกับว่ายังมีเขม่าเทียนเหล่านั้นหลงเหลืออยู่
หลายครั้งผมก็คิดว่าตัวเองยังไม่ได้ออกจากที่นั่น เหมือนถูกความฝันปลุกขึ้นมาเพื่อทำพิธีกรรมบ้า ๆ นั่นซ้ำไปมา
ทุกอย่างควรจะจบลงแล้ว แต่มันยังคงดำเนินต่อไปในฝันนั้น อาจเป็นเพราะนับตั้งแต่วันที่ผมอุ้มเอลลี่วิ่งฝ่าความมืดออกมา ผมยังไม่ได้รับการเยียวยาใด ๆ
วันนั้นเราสองคนถูกพบโดยคนขับรถบรรทุกที่ผ่านมาทางถนนสายหลัก ห่างออกจากเขตป่าหลายกิโลเมตร ผมจำไม่ได้ว่าเราหลบหนีออกมาได้ยังไง จำไม่ได้ว่าทำไมเราถึงไปอยู่ตรงนั้น ไม่มีภาพในหัวเลยนอกจากเลือดที่เปื้อนมือและเสียงสุดท้ายของเอไลจาห์ที่ยังคงดังก้องอยู่
ตำรวจพาผมไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจร่างกาย ส่วนเอลลี่เธอถูกแยกไปทันทีที่เราเจอตำรวจ แต่ตลอดเวลาก่อนเราจะถูกแยกกัน เธอไม่พูดเลย ไม่ร้องไห้ ไม่กรีดร้อง เพียงแต่กำข้อมือของผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปอีกครั้ง
ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอหลังจากนั้น ตัวผมเองถูกพากลับไปยังเกรย์ไพน์หลังจากนั้นสามสี่วัน แต่ว่าเมื่อไปถึงเมืองเราไม่พบอะไร
ไม่มีร่องรอยของคนเป็น ไม่มีบ้านเรือนที่ยังใช้งานได้ มีเพียงเศษซากอาคารที่ถูกไฟไหม้ พื้นดินที่เหมือนจะถูกขุดขึ้นมาหลายจุด เหมือนมีบางอย่างขุดขึ้นมาและมีบางอย่างถูกฝังกลับลงไปใหม่ ไม่มีอะไรเหมือนภาพความทรงจำของผมสักนิด
“คุณบอกว่าเพิ่งหนีออกมาจากที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อนใช่ไหม” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งชื่อฟลินน์ถามผมระหว่างที่เรายืนอยู่กลางลานโล่ง เสียงของเขาแฝงแววไม่เชื่อ
ผมพยักหน้า แต่ความมั่นใจเริ่มสั่นคลอนเมื่อเห็นสภาพของสถานที่นี้ ทุกอย่างเก่าเกินไป ผุพังเกินไป เหมือนกับว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว
“แต่มันดูไม่เป็นอย่างงั้นเลย ไม่ใช่หรือไง” ฟลินน์เคี้ยวหมากฝรั่งแล้วดึงยืดออกมาก่อนดีดลงพื้น “ไม่ใช่ว่ามีอะไรที่บอกไม่หมดนะ อะไรดีล่ะ พี้จนหลอนหรือตั้งใจจะทำอะไร ไม่ว่าอะไรก็ดูเป็นไปได้กว่าไอ้เรื่องเมืองผีสิงที่คุณแต่งมาเล่าซะอีก”
ผมกำมือแน่น รู้สึกเหมือนเลือดในกายเย็นเฉียบ ผมไม่ได้ทำอะไรแบบที่เขาเกือบจะกล่าวหาผม ไม่ใกล้เคียงสักนิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ผมยังจำความรู้สึกของใบไม้เปียกชื้นใต้ฝ่าเท้าได้ จำได้ถึงความเจ็บปวดเวลาหายใจเข้าไปในปอดที่แสบจากควันไฟ
"หุบปากซะฟลินน์" เจ้าหน้าที่อีกคนชื่อคาร์เตอร์ถอนหายใจ เดินนำไปยังโครงสร้างอาคารที่ผมว่าน่าจะเป็นโรงแรมของเอไลจาห์ “แฟ้มคดีปี 1990 - 2000 ต้น ๆ มีรายงานเด็กหายหลายรายแถวรอยต่อมอนทาน่า ไม่แน่ว่าเรื่องที่หมอนี่พูดอาจเกี่ยวโยงกับเรื่องที่มันเหมือนสิวไม่มีหัวของรัฐนี้ก็ได้”
คนฟังหัวเราะพรืด “โธ่ นายกลายเป็นเจ้าของรัฐนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร คิดจะรื้อคดีพวกนั้นขึ้นมาทำต่อหรือไง หาคนหนุนหลังได้หรือยัง ฉันไม่ได้ลืมข่าวการหายตัวที่มีมาไม่เว้นปีหรอกนะ แต่คิดไม่ออกว่ะ ว่าจะสนไปทำไมในเมื่อคนมีอำนาจยังไม่สนใจสักราย อีกอย่างในหมื่น ๆ คดีคนหายก็ถูกแช่แข็งไปมากกว่าครึ่งอยู่แล้ว”
ผมเหลือบมองหน้ายียวนของฟลินน์ ถูกของเขา ไม่มีใครไม่รู้ว่าไวโอมิ่งมีเด็กหายตลอด แต่อย่างที่บอกว่าไม่มีการสืบสวนอย่างจริงจัง ทุกคดีปล่อยให้ถูกแช่แข็งและค่อย ๆ เลือนหายไปทีละคดี ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นเพราะขนาดผมเองยังเกือบลืมเรื่องของน้องสาว
คิดดูแล้วก็เหมือนเป็นความตั้งใจของใครสักคน (หรือสักกลุ่ม) ที่อยากให้เรามองเรื่องเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้ ไม่อาจทำอะไรกับมันได้ ผลักให้กลายเป็นเรื่องลึกลับ และจากที่ผมได้เผชิญหน้ากับเมืองบ้านี่ พิธีกรรม กฎห่าเหว และผู้นำลัทธิ ผมก็เริ่มสงสัยแล้วว่าอะไรกันแน่ที่เป็นคำตอบที่แท้จริงของเรื่องนี้
เพราะทีแรกผมคิดไว้ว่าคงเป็นเมืองนี้ที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง แต่ดูแล้วนี่อาจจะมีเบื้องหลังอีกทีก็ได้
แต่จะว่าไปผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการเอาชื่อและบทสนทนาที่เจ้าหน้าที่สองนายนี้ มาเล่าอย่างเปิดเผยในกระทู้จะผิดหลักผิดกฎอะไรไหม เอาเป็นว่าถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็คิดว่าเป็นชื่อสมมุติก็แล้วกัน
“แต่คดีเด็กหายในช่วงวัยไล่เลี่ยกัน บริเวณใกล้ ๆ กันมันแปลกยังไงนายก็รู้ อีกอย่างไม่ต้องเป็นเจ้าของรัฐ เราก็สามารถทวงถามถึงความยุติธรรมที่ผู้สาบสูญควรได้รับได้” คาร์เตอร์เหลือบมองฟลินน์อีกหนก่อนจะมองมาที่ผม
“คุณบอกมีห้องใต้ดิน?”
“ใช่ แต่...” ผมชะงักเมื่อภาพตรงหน้าไม่ตรงกับความทรงจำ “ไม่แน่ใจว่าจะหามันเจอไหม”
“เลิกฟังมันเพ้อเหอะว่ะ” เจ้าหน้าที่ตัวโย่งขัด “เห็นชัดว่าไม่มีใครสนใจที่มันพูด ดูจากที่ส่งเรามากับมันสองคนก็ชัดแล้วว่าอยากให้รีบทำอะไรสักอย่าง แล้วปิดเรื่องนี้ซะ”
คาร์เตอร์ไม่สนใจ “ลองดู พาผมไปหาห้องใต้ดิน”
การค้นหาพิกัดที่น่าจะมีหลักฐานเริ่มต้นขึ้น ที่ที่เรายืนอยู่ไม่ใช่โรงแรมอย่างที่ผมคิดเอาไว้ เราเดินไปตามทางของเมือง เปิดประตูบ้านเกือบทุกหลัง บางหลังว่างเปล่าเหมือนบ้านตุ๊กตาที่ไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ บางหลังเต็มไปด้วยข้าวของที่ถูกทิ้งเอาไว้ สภาพเหมือนเจ้าของบ้านรีบออกไปโดยปล่อยให้สิ่งของอยู่ในตำแหน่งสุดท้ายของมัน
แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีร่องรอยมนุษย์ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีรอยเท้า ไม่มีอะไรเลย
ผมพยายามมองหาสิ่งที่น่าจะเหมือนโบสถ์หรืออะไรก็ตามที่ใกล้เคียง ทว่าไม่มีสิ่งใดที่ใกล้เคียง ผมเดินวนเวียนในบริเวณที่คิดว่าใช่ที่ที่พวกมันเคยบังคับให้ผมหนี แต่...
“แต่มันไม่มีอะไรเลย” ผมพึมพำเบา ๆ ขณะกวาดตามองไปรอบตัว หยุดเดิน ยืนนิ่ง ลมหายใจขาดช่วงไปชั่วขณะ เหมือนถูกกระชากออกจากความมั่นใจสุดท้ายของตัวเอง
“คุณแน่ใจนะว่ามันมีอยู่จริง” คาร์เตอร์ถาม เขาไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเหมือนฟลินน์แต่ก็เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง
“มันต้องอยู่ตรงนี้” ผมตอบกลับ ลมหายใจของผมเริ่มหนักขึ้น ความคิดในหัวปั่นป่วน
มันควรมีบันไดทอดลงไปใต้ดิน มันต้องมีบันไดสักที่ในซากปรักหักพังของเมืองนี้ เพราะใต้เท้าเรามีห้องลับที่เชื่อมต่อกันไปหมด ผมต้องหามันให้เจอเพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นผมไม่รู้เลยว่าเมื่อกลับออกจากที่นี่ไป ผมจะโดนอะไรต่อไปบ้าง
ผมยืนนิ่งอยู่นาน สายลมปลายฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านซากปรักหักพังของเกรย์ไพน์ เสียงใบไม้แห้งกรอบปลิวไปตามพื้นดังก้องในหูราวกับเป็นเสียงจากอดีตที่ไม่ยอมให้ผมหนี คาร์เตอร์มองผมด้วยสายตาที่เริ่มหมดความอดทน ขณะที่ฟลินน์แค่นยิ้มเยาะแล้วเดินไปนั่งพิงรถตำรวจ หยิบหมากฝรั่งก้อนใหม่มาเคี้ยวต่อ ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบให้ยอมรับว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงภาพหลอนในหัวผม แต่ฝุ่นควันที่ยังติดอยู่ในปอดและรอยขีดข่วนบนแขนก็ยังคงตะโกนบอกผมว่ามันไม่ใช่แค่ฝันร้าย
“ถ้าไม่มีอะไรให้ดูจริง ๆ ฉันว่าเรากลับกันเถอะ” ฟลินน์ตะโกนมา “เสียเวลาฉิบหาย ไอ้เรื่องผี ๆ นี่มันไม่ใช่งานของตำรวจอยู่แล้ว”
คาร์เตอร์หันมองผมสีหน้าเรียบเฉย “ห้องลับอะไรที่คุณว่ามันดูยิ่งใหญ่เกินกว่าจะถูกกลบหายไปง่าย ๆ แบบนี้ ต่อให้เมืองทั้งเมืองจะพังแต่มันก็ควรมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่ ไม่ใช่ว่า...คุณกำลังปั่นประสาทพวกเราหรอกนะ”
ผมอยากเถียง อยากตะโกนใส่หน้าว่ามันมีจริง ผมไม่ได้โกหกหรือเพ้อเจ้อ แต่คำพูดมันติดอยู่ในลำคอเหมือนก้อนหินที่กลืนไม่ลง คาร์เตอร์พูดถูก ผมไม่มีหลักฐานอะไรเลย สิ่งที่ผมให้การ สิ่งที่ผมพยายามตามหาล้วนว่างเปล่า ทุกอย่างดูเหมือนถูกกลบฝังไปนานแล้ว เหมือนบางทีมันอาจไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่แรก
“บางทีผมอาจจะ...” ผมพูดไม่จบประโยค ความสงสัยในตัวเองเริ่มกัดกิน ผมจำได้ถึงกลิ่นเทียนดำที่ติดจมูก จำได้ถึงน้ำหนักของเอลลี่ที่ผมอุ้มไว้ แต่ถ้าทั้งหมดนั้นเป็นแค่ภาพหลอนล่ะ ความรู้สึกผิดที่น้องสาวผมหายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนอาจบิดเบือนทุกอย่างในหัวผมจนกลายเป็นเรื่องราวที่ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง
“เห็นไหมล่ะคาร์เตอร์ หมอนี่เสียสติไปแล้ว เอาไปโรงบาลบ้าดีกว่าเสียเวลาตามหาผี” เขาลุกขึ้นยืดตัวเปิดประตูรถเตรียมจะเข้าไปนั่ง
ขณะที่ฟลินน์กำลังจะปิดประตูรถ เสียงดัง กึก ดังขึ้นใต้พื้นไม้ที่ผุพัง ผมสะดุ้งเฮือก เสียงนั้นเหมือนดังมาจากโพรงว่างเปล่าที่ซ่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้า คาร์เตอร์ชะงักหันมามองผมก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ สายตาของเขาเปลี่ยนไปจากความเคลือบแคลงกลายเป็นความสงสัยจริงจัง
"เมื่อกี้เสียงอะไร" เขาถาม ขณะที่ผมลดตัวลงคุกเข่าบนพื้น ใช้มือเปล่าคุ้ยตะกุยดินชื้นที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้เน่าและก้อนกรวดผสมกัน “นั่นคุณจะทำอะไร”
"ต้องมีบางอย่างอยู่ข้างใต้" ผมพึมพำ ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าขุดลงไปแล้วเจอบางอย่างเหมือนแผ่นหินเรียบ
ฟลินน์ถอนหายใจเสียงดัง "ให้ตายสิ" แต่ก็ยอมเดินมาดูด้วย เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผมกับคาร์เตอร์ที่ใช้บูทกระทืบลงบนแผ่นหินนั้น
“ดูเหมือนพื้นจะกลวง”
ฟลินน์กรอกตา “พระเจ้า อย่าบอกนะว่าฉันต้องเปื้อนฝุ่นกับเรื่องบ้านี่”
"ก็ไม่แน่" คาร์เตอร์ตอบเสียงเรียบ ขณะที่เขาก้มลงใช้มือปัดฝุ่นออกจากแผ่นหิน
ผมช่วยเขาขุดออกต่อ ไม่นานก็เห็นเส้นขอบของแผ่นหินชัดขึ้น พื้นไม้รอบ ๆ ผุพังและแตกร้าวเหมือนผ่านกาลเวลามาหลายทศวรรษ
“มันเหมือนประตูหรืออะไรสักอย่าง” ผมกระซิบด้วยหัวใจเต้นแรง
ฟลินน์ถอนหายใจสุดแรง “ถ้ามีหนูตายอยู่ข้างใต้ ฉันไม่ช่วยนะ”
คาร์เตอร์เม้มปากแล้วลองขยับแผ่นหินแต่ดูเหมือนว่ามันจะหนักเกินไป ผมช่วยอีกแรง และหลังจากออกแรงอยู่ครู่หนึ่งฝาหินก็ขยับเผยอออก
ไอเย็นจากด้านล่างพุ่งขึ้นมาปะทะผิวราวกับเพิ่งเปิดหลุมศพ
ฟลินน์ยกมือขึ้นปิดจมูก “ให้ตาย เหม็นชะมัด”
ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดของตัวเอง
มันอยู่ตรงนี้
ผมรู้ดีว่ามีอะไรรออยู่ในความมืดเบื้องล่างนั้น ทั้งกลิ่นเน่าเหม็น ทั้งกลิ่นของบางสิ่งที่ไม่ควรถูกพบ ทั้งกลิ่นของความตายที่ฝังอยู่ใต้พื้นดิน ผมรู้แล้วว่าเรากำลังจะเจออะไร
“ห้องใต้ดิน” ผมพึมพำ แต่ไม่ใช่ทางเดียวกับที่ผมโดนบังคับให้เดินลงไปตอนแรก ไม่ใช่ทางเดียวกับที่ผมพาเอลลี่หนีออกมา
คาร์เตอร์ยกไฟฉายขึ้นส่องแสงลงไป บันไดไม้ง่อนแง่นทอดยาวลงสู่ความมืด เขาเดินนำลงไปก่อนพร้อมแสงไฟที่ทอให้เห็นความมืดกว่าสองเมตรด้านล่าง พื้นดินเต็มไปด้วยฝุ่นหนาและก่อนที่จะได้สำรวจมากกว่านั้น เจ้าของไฟฉายก็หยุดยืนนิ่งใบหน้าถอดสี
“พระเจ้า” เสียงของเขาสั่น “นี่มัน...”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าต่อให้จะเคยเห็นมาแล้วก็ไม่ได้ดูเลวร้ายน้อยลงเลย
ร่างเล็ก ๆ หลายสิบร่างถูกแขวนห้อยลงมาจากเพดาน เส้นเชือกเปื่อยยุ่ยพันรอบคอของพวกเขา หัวเอียงห้อยต่องแต่ง บางร่างถูกมัดมือไพล่หลังเหมือนสัตว์ที่เตรียมเชือด ผ้าที่พันตัวพวกเขากรอบและเปื่อยไปตามกาลเวลา แต่ใต้รอยแตกของมัน ผิวหนังแห้งกรังตึงรัดกระดูกเผยให้เห็นโครงร่างที่เคยเป็นเด็กน้อย ผมเส้นเล็กบางยังติดอยู่เป็นหย่อม ๆ กับกะโหลกบางใบที่โผล่พ้นเศษผ้า
ที่พื้นห้องมีศพเด็กที่ไม่ได้ถูกแขวนถูกกองสุมกันเป็นชั้น ๆ อย่างไร้ค่า แขนเล็กจิ๋วผอมแห้งโผล่ออกมาจากกองศพ บางร่างดูมีองค์ประกอบสมบูรณ์ แต่หลายร่างไม่มีศีรษะ หลายร่างแขนขาดวิ่นเหมือนถูกสัตว์เล็กแทะกิน และบางร่างเหลือเพียงซากเนื้อแห้งติดโครงกระดูก
กลิ่นเหม็นสาบของเนื้อเน่าเกาะกินปอด ผมอ้าปากจะพูดแต่ความขยะแขยงพุ่งขึ้นมาจนแทบอาเจียน เสียงเสียดสีของเชือกที่โยกเบา ๆ ตามแรงลมหวิวเหมือนเสียงกระซิบแผ่วของเด็กที่ไม่มีวันโต คาร์เตอร์ถอยหลังไปชนฟลินน์ ผู้ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเผือดราวกับศพอีกศพหนึ่งในห้องนี้
เราหาพวกเขาเจอแล้ว เหล่าเด็กน้อยที่ไม่มีวันได้หวนกลับ
หลังจากวันนั้นคาร์เตอร์พยายามทำคดีเกรย์ไพน์ต่อ เขาสืบคัดคดีที่เกี่ยวข้องขึ้นมารวมถึงคดีของน้องสาวผมที่เกือบจะหมดอายุความด้วย คุณอาจเคยเห็นกรอบเล็กบนหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสักเล่มผ่านตาเมื่อปีสองปีก่อน เรื่องเกี่ยวกับการทำคดีเด็กหายกว่า 200 ราย ทว่าไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองนั้น ไม่มีอะไรรายงานมากไปกว่าเนื้อหาซ้ำ ๆ เกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างแปลกประหลาด ไม่บอกกระทั่งเรื่องที่เราพบศพมากมายถูกซ่อนเอาไว้ และเพียงไม่นานมันก็ถูกกลบฝังด้วยข่าวใหม่ ๆ จนแทบไม่มีใครพูดถึงมันอีก
ผมเองหลังจากสิ้นสุดขั้นตอนทางกฎหมายก็ได้แต่กลับมาใช้ชีวิตในบ้านหลังเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน ยังคงอยู่ที่ไวโอมิ่งพร้อมทรัพย์สินของน้องสาวที่เก็บได้จากที่นั่น มันกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนต่อความผิดบาปที่ผมได้ทำต่อเธอ เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าผมได้ปล่อยให้เด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบขวบเผชิญหน้ากับลัทธิวิปลาสนั่นแต่เพียงผู้เดียว และย้ำเตือนกับผมว่าที่แห่งนั้นมีอยู่จริง หากแต่ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยอำนาจที่ยังไม่มีใครไล่เจอ
เกรย์ไพน์กลายเป็นความทรงจำที่หลอกหลอนผมไม่หยุด เหมือนไม่มีวันยอมปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ แม้จะพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติแต่ยามใดที่ผมเอ่ยเอื้อนเรื่องราวนี้ขึ้นมา ผู้คนกลับมองมาที่ผมเหมือนผมเป็นคนบ้า หรือไม่ก็เป็นแค่เหยื่อของอาการหลอนหลังความเครียดรุนแรง ผมเริ่มปิดปากเงียบ ปล่อยให้เรื่องราวที่ผมรู้เพียงคนเดียวจมลงไปพร้อมกับเมืองที่ไม่มีอยู่จริง
แต่มีบางสิ่งที่ผมไม่อาจเพิกเฉยได้
ผมลองค้นหาเอลลี่ พยายามหาข้อมูลของเธอจากหลายที่เท่าที่จะทำได้ แต่ไม่มีเรื่องราวของเธออยู่ที่ไหนเลย ไม่มีหลักฐานว่าเธอเคยมีตัวตน ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอหายไปหมดราวกับเธอไม่เคยมีอยู่จริง แม้แต่คาร์เตอร์ก็ไม่อาจให้คำตอบเกี่ยวกับเอลลี่ได้ เขายืนยันว่าตัวเขาได้รับแจ้งเกี่ยวกับผมเพียงผู้เดียว ไม่มีเด็กผู้หญิงคนอื่น
ก็ไม่แปลก เพราะแม้แต่เกรย์ไพน์ที่ผมพาพวกเขาไป มันยังไม่ใช่เมืองลึกลับที่ไม่มีมีชื่อบนแผนที่ แต่เป็นเหมือนเมืองร้างสักเมืองที่พวกเขามีประวัติอยู่แล้ว เกรย์ไพน์เร้นกายหายไปในป่าทึบ ซ่อนตัวจากผู้คน อย่างที่เอไลจาห์เคยบอกกับผมว่าที่แห่งนั้นมีวันที่เข้าได้และออกได้ชัดเจน รวมถึงไม่ใช่ทุกคนจะเข้าออกได้
ทว่าที่สุดแล้วความทรงจำของผมก็เริ่มสั่นคลอน เพราะความลักลั่นของสิ่งที่ผมได้รู้ซึ่งรวมตัวกันเป็นมวลความสับสน วิ่งหยุงเหยิงในหัวอย่างไร้คำตอบ กลายเป็นผมเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงภาพหลอนในหัวของผมเองกันแน่
ผมจึงเล่าเรื่องนี้ที่นี่ หวังแต่เพียงว่าถ้าหากกระทู้นี้ไม่โดนลบทำลาย มันจะเป็นผลการค้นหาหนึ่งเดียวที่จะให้ข้อมูลกับคุณได้ หากบังเอิญได้รับการเชื้อเชิญไปยัง ‘เกรย์ไพน์’
ขอบคุณที่อ่านจนจบ หวังว่ามันคงจะทำให้คุณบันเทิงเริงใจได้บ้างตามประสากระทู้สยองขวัญ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ นั่นไม่ได้สำคัญอะไรกับผมอีกแล้ว หรือต่อให้คุณจะมองว่ามันไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเอาเสียเลย นั่นเองก็เป็นปัญหาที่คุณกับผมพบเจอเช่นเดียวกัน
ส่วนกระทู้นี้จบเพียงเท่านี้ อย่าลืมรักษาตัวให้ได้และหากมีคนชวนไปเที่ยวเกรยไพน์ก็ ‘ไม่ไป’ จะดีที่สุด ส่วนผมถ้าวันไหนครึ้มอกครึ้มใจก็อาจจะมาเล่าเกี่ยวกับงานประหลาด ๆ ที่ผมเคยทำอีก ติดตามได้ใน #งานรับจ้างพิสดารกับคนประหลาดอย่างผม
16.6k views • 261 upvotes • 392 comments
Add Comment
END
หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นพร้อมแจ้งเตือนข้อความใหม่ เมื่อกดเข้าไปดูก็ปรากฏขึ้น ‘คาร์เตอร์’ พร้อมข้อความแสนสั้นที่ทำให้เส้นเลือดในสมองของผู้อ่านเต้นระส่ำเหมือนจะระเบิดออก
‘ผมอยากคุยกับคุณเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกรย์ไพน์’
!?