"เมื่อโลกสองใบเชื่อมโยงผ่านมิติที่ไม่อาจคาดเดา กลับกลายเป็นผู้ถือพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทุกชีวิตในดินแดนแห่งนี้ เธอคือกุญแจแห่งความหวัง...หรือจะเป็นคำสาปที่นำมาสู่การล่มสลาย?"
ผจญภัย,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ข้ามเวลา,ไทย,ผจญภัย,แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"สะพานมิติ: เส้นทางแห่งความหวังและเงามืด""เมื่อโลกสองใบเชื่อมโยงผ่านมิติที่ไม่อาจคาดเดา กลับกลายเป็นผู้ถือพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทุกชีวิตในดินแดนแห่งนี้ เธอคือกุญแจแห่งความหวัง...หรือจะเป็นคำสาปที่นำมาสู่การล่มสลาย?"
"เซเลีย " หญิงสาวธรรมดาจากโลกปัจจุบันที่มีชีวิตเรียบง่าย ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ประหลาดที่พาเธอข้ามมิติไปยังดินแดนแปลกประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยเวทมนตร์และอันตราย เมื่อมาถึง เธอได้พบว่าตัวเองถูกเลือกให้เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตที่ครอบงำโลกนี้อยู่ ภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังคุกคามความสงบสุขของดินแดน
ในโลกใหม่นี้ เซเลียได้พบกับกลุ่มผู้กล้าห้าคนที่มีพลังเวทมนตร์เฉพาะตัวและได้รับภารกิจให้เดินทางผจญภัยร่วมกัน แต่ละคนมีความฝันและปมที่ซ่อนอยู่ ความขัดแย้งและการเติบโตที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางนี้ได้ก่อให้เกิดมิตรภาพที่แน่นแฟ้น และความรักที่ไม่คาดคิด ระหว่างทาง พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอำนาจมืดที่คอยตามล่าพวกเขาเพื่อหวังใช้พลังของอิรินาในทางชั่วร้าย เซเรียต้องหาวิธีใช้พลังพิเศษที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน พร้อมกับค้นพบว่าพลังที่แท้จริงของเธออาจเป็นทั้งคำสาปและของขวัญที่ใช้ชะตาชีวิตของผู้คนทั้งสองโลก
ในการเดินทางครั้งนี้ เซเลียจะต้องเผชิญกับความกลัวภายในและตัดสินใจเลือกเส้นทางที่จะเปลี่ยนชะตาของดินแดนนี้ไปตลอดกาล เธอจะสามารถปลดปล่อยโลกนี้จากเงามืดและหวนคืนสู่โลกของเธอได้หรือไม่?
“ เอาล่ะ พวกเราเริ่มเดินทางกันได้แล้ว อย่ามัวเสียเวลาเลย ” ลูคัสเอ่ย เพื่อเร่งให้ออกเดินทาง
แต่เดี๋ยวนะ จะไปไหน ? ฉันเพิ่งมายังไม่รู้อะไรเลย แล้วอยู่ดีๆจะให้ออกเดินทาง ไปไหนก่อน ฉันคิดพราง เดินไปหาลูคัส แล้วเงยหน้ามองลูคัส นายคนนี้หน้าคมคายโหนกแก้มสูง ตาคมกริบนัยตาสีน้ำเงินเข้มราวกับผืนน้ำลึก ผมสั้นเหมือนทรงทหาร
“ไปไหน? แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน? พวกคุณต้องอธิบายให้ฉันเข้าใจก่อน ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ” ฉันพูดเสียงดังเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ
เห้อออออ เด็กหนุ่มที่ดูอายุน้อยสุดถอนใจ พร้อมเดินเข้ามาหาฉัน
“จะอะไรหนักหนา เจ้านี่นะ เรื่องมาก ผู้ถูกเลือกอะไรเอาแต่ใจชะมัด”
“ฉันไม่ได้เอาแต่ใจ หรือเรื่องมากอะไร ฉัน….ฉันแค่งงๆ พวกนายก็คิดดูสิ เดินอยู่บนถนนดีๆ โผล่มาอยู่ที่นี่ ที่ไม่รู้จัก พวกนายเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วจะไม่ให้ฉันสงสัยหรือถามความเป็นไปเป็นมาหรือไง”
“เห้ยยยยย นั่น! เขาเรียกว่าเรื่องมาก” เด็กกนุ่มยังคงตอกย้ำฉันเหมือนเดิม
“ก็อธิบายมาสิ ว่านี่มันเรื่องอะไร ? ” ฉันยังคงตะโกนใส่เด็กน้อยอย่างเอาเรื่องเอาเรื่องจริงๆนะ ก็คนอยากรู้
“ พอเถอะ ฟินน์ ” เด็กน้อยเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่โดนดักคอเสียก่อน เลยได้แค่อ้าปากค้าง
เอ่อ..เด็กคนนี้ชื่อ ฟินน์ นี้เอง ไอ่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ชิ!
“เอาแบบนี้ พวกเราเดินทางไปด้วยคุยกันไปด้วยดีไหม” ลูคัสพูดพร้อมเดินนำหน้ากลุ่มไปโดยมี หญิงสาววัยแรกรุ่น ชื่อ เฟย์ ตามไปติดๆ จากนั้นก็เป็น ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมนามว่า อาเธน และเด็กน้อยฟินน์ วิ่งตามไปไม่วาย แลบลิ้นใส่ฉัน ฉันได้แต่เดินตามไป แบบจำยอม แต่ฉันไม่เห็นชายหนุ่มในฝันคนนั้นเลย เอ…เขาชื่ออะไรนะ เหมือนจะชื่อ เรฟ ใช่แล้ว นายคนนั้นชื่อ เรฟ แล้วฉันจะย้ำกับตัวเองทำไม
เมื่อเดินจากลานทุ่งหญ้าตรงเข้ามาเรื่อยๆก็พบกับผืนป่าหนาทึบและมืดมิด มีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจางๆ มีเกลียวและโค้งงอของรากไม้ใหญ่หยั่งดินลึกยึดเกาะผืนดินไว้แน่นราวกับไม่ยอมให้ใครผ่านง่าย เถาวัลย์พันเหรียงทอดยาวคล้ายแขนของสัตว์ที่พร้อมจะจับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เข้ามา สายของรากไม้พาดราวกับม่านแห่งความลับที่ตกการสำรวจป่ามานานหลายสิบปี หมอกสีขาวขุ่นลอยปกคลุมทั้งป่า ได้ยินเสียงลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านราวกับเสียงของผืนดิน แต่ทว่าเยือกเย็นกลิ่นของดินชุ่มชื้นสุดเก่าที่ทับถมใต้ผืนป่าโชยมาเล็กน้อย พวกต้นไม้ใหญ่โอบล้อมเป็นวงกว้างที่ศูนย์กลางของป่าปรากฏขึ้น"แอ่งหิน"ซึ่งเป็นหินโบราณเหมือนสลักลายคล้ายอักษรบางอย่าง อีกทั้งน้ำในแอ่งหินส่องแสงสีต่างๆโดยเฉพาะสีเขียวมรกตที่ดูโดดเด่น และน่ามอง
“ไม่ไหวล่ะ ฉันเดินต่อไม่ไหวแล้ว” ฉันพูดเสร็จนั่งลงข้างแอ่งหินนั้น และเอามือทั้งสองประคองน้ำขึ้นมาดื่ม เพราะความหิวน้ำ และเหนื่อยกับการเดินทาง แต่ยังไม่ทันน้ำเข้าปากก็ถูกปัดทำเอาน้ำตกกระจายลงพื้น น้ำนั้นทำปฏิกิริยากับพื้น
ฟู่! น้ำหยดลงพื้นเป็นวงกว้าง จากน้ำเหมือนเป็นน้ำกรดก็มิปาน โอ้! มายก๊อด เมื่อกี้ยังเป็นน้ำเย็นๆในมือ ไฉนกลายเป็นน้ำกรดไปได้ ฉันมองดูคนช่วยชีวิตฉัน แต่เขาไม่สนใจกลับเดินไปหาลูคัส พร้อมกับกระซิบกระซาบบางอย่าง ด้วยความอยากรู้ จึงพยายามเอียงหูฟังถึงจะอยู่ไกลก็ตาม
“ข้าว่าพักตรงนี้ก็ดีนะ ข้างหน้าหมอกหนามากแทบไม่เห็นทาง อันตรายกว่าที่คิด ซ้ำยังมีไอพิษลอยเต็มไปหมด ข้าว่าเราควรพักที่นี้ แล้วเตรียมรับมือดีกว่านะ”
“เดี๋ยวนะ ! ข้างหน้าที่เราจะไปมีไอพิษเหรอ ” ฉันตะโกนถามเขาสองคน ทำเอาทุกคนหันมามองหน้าฉันเป็นตาเดียว
“เจ้าอยู่ไกล ขนาดนั้นได้ยินพวกเขาสองคนคุยกันได้ยังไงซ้ำ พวกเขากระซิบกระซาบ ข้าอยู่ตรงนี้ยังไม่ได้ยินอะไรเลย ว่าแต่เจ้าทำได้อย่างไร” ฟินน์ยืนอยู่ใกล้ฉันถาม แต่ไม่ถามเปล่ายังทำหน้าสงสัยอีก ฉันส่ายหัวเป็นคำตอบ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง มันได้ยินเองนี่
“ ก็คงไม่แปลก นางเองก็เอามือตักน้ำกรดมือนางยังไม่เป็นไร แค่ได้ยินก็คงไม่แปลก” อาเธนกล่าวก่อนเดินเข้าไปสมทบกับ ลูคัส และ เรฟ
“ก็สมอ่ะนะ ที่เป็นผู้ถูกเลือก” หญิงสาวนามว่าเฟย์ กล่าวสนับสนุน ทำเอาฟินน์พยักหน้ายอมรับ ตอนนี้มีฉันที่นั่งพิงแอ่งหิน ส่วนฟินน์นั่งลงด้านขวามือฉัน และ เฟย์ นั่งลงด้านซ้ายมือของฉัน ทั้งสองคนนั่งห่างแอ่งหินเล็กน้อย
“พิงเข้าไปได้ไง ร้อนจะตาย” เฟย์ บ่นเบาๆ ที่เห็นฉันนั่งพิงแอ่งหิน ถึงฉันได้ยินแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ เหนื่อยจะตายใครจะไปสน แต่ฉันหิวน้ำ หิวข้าว ยังไม่ได้กินอะไรเลยนับตั้งแต่ โผล่มาที่ประหลาดนี่
จ๊อกกก เสียงท้องร้อง ไอ่ท้องนี่ไม่รักษาหน้าฉันเลย ฉันก้มหน้าลงกับพื้นอย่างอายๆ
“ผู้ถูกเลือกหิวข้าวแล้ว 555” เด็กน้อยฟินน์ หัวเราะชอบใจฉัน ไอ่เด็กบ้านี่
จ๊อกกก เสียงท้องร้องอีกคราวนี้ดังกว่าเดิม ทรยศฉันซะแล้วไอ่ท้องบ้า อายเขา
“เห็นม่ะ ผู้ถูกเลือกหิวข้าวจริงๆด้วย 5555555” ไอ่เด็กน้อยฟินน์หัวเราะจนน้ำตาไหล ฉันยืนขึ้นด้วยความโมโหปนความอาย
“เอ่อ! ใช่ฉันหิว แล้วไง น่าหัวเราะตรงไหน หรือว่าโลกของพวกนายไม่ต้องกิน อิ่มทิพย์กันหรือไง ” ฉันวิ่งผ่านสามคนที่ืยืนคุยกันอยู่ วิ่งเพราะโมโห เพราะความอาย เพราะอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องหนีไปจากที่ตรงนั้น วิ่งไปไกลแค่ไหนไม่รู้ พอรู้ตัวอีกทีก็สะดุดบางอย่างล้มกลิ้งไปกับพื้น ตั้งตัวได้นั่งปัดฝุ่นเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีแผลถลอกที่เข่าและแขน รู้สึกแสบนิดๆ เลือดออกมายิ้มสวัสดีเลยทีเดียว
“เจ้าเป็นไงบ้าง” ลูคัสถามและก้มลงมาดูที่แขนและเข่าฉัน ฉันพลักลูคัสออกและยืนขึ้น
“ไม่เป็นไร ” ฉันบอกลูคัสแม้ในใจจะบอกว่าแสบชะมัดก็ตาม ลูคัสเรียกให้ อาเธนมาดูแผลฉัน ตอนนี้ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันหันไปมองฟินน์ตัวแสบ และค้อนใส่ หนึ่งยก
“ฟินน์ เจ้าขอโทษผู้ถูกเลือกเดี๋ยวนี้” อาเธนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย โทนต่ำ และการพูดของเขาช้า แต่ชัดถ้อย ชัดคำ ฉันฟังยังกลัวเลย น่าเกรงขามเสียจริงนายคนนี้ ปกติก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว พูดทีน่ากลัวนะเนี้ย
เด็กน้อยฟินน์เดินเข้ามาหาฉัน ฉันทำเป็นเดินหนี ไม่ยอมง่ายๆ
“เฮ้ยๆๆ หยุดเดินก่อนได้ไหม ข้าจะได้ขอโทษเจ้า” เสียงฟินน์ไล่หลังฉัน ฉันยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ ใช่อยากให้ฉันเดินทางก็เดินแบบนี้แหละ เดินไปเรื่อยๆ ไม่สนใจเสียงลูกนกลูกกา หมาเห่า ชิ! หมดความคิด ฉันต้องหยุดเดิน เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันเป็นเด็กน้อยฟินน์ ยืนทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องใส่
“ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดที่หัวเราะเจ้า” ฟินน์พูด แต่ฉันฟังจากน้ำเสียงเหมือนขอไปที ซึ่งฉันไม่สนใจ ฉันเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินผ่านไป อย่างไม่ใส่ใจ
“อะไรว่ะ ข้าขอโทษเจ้าอยู่นะผู้ถูกเลือก ” ฟินน์ตะโกน แต่ฉันไม่รับหรอก เรื่องอะไร ถ้ารับก็แพ้สิ ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึก เด็กบ้า
“เจ้าควรยกโทษให้ ฟินน์ได้แล้ว” ฉันได้ยินเสียงนุ่มลึก ฟังแล้วอบอุ่นลอยมากับกระแสลม ทำให้ฉันเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว แต่เท้าก็ยังก้าวไปข้างหน้า
“แล้วทำไมต้องยกโทษให้ล่ะ เขาหัวเราะฉันก่อน” ฉันตอบโต้เสียงนั้น
“เจ้าหิว ทำไมไม่บอก” เสียงนั้นตอบโต้ฉัน
“มีเวลาบอกหรือไงล่ะ อยู่ดีๆให้เดินทาง เดินทางอยู่นั้น เอาเวลาไหนไปบอก”ฉันเถียงกับเจ้าของเสียงนั้น
“งั้นยกโทษให้ฟินน์ เดี๋ยวข้าจะหาของให้เจ้ากิน” เสียงนั้นแสดงความจริงใจ
“ไม่! ” ฉันตอบแล้วอมยิ้มกับคำตอบที่ให้ไป ที่จริงฉันไม่ได้ถือสาหรอก แค่อยากยั่วโมโหเท่านั้น
“เจ้านี่นะ” เสียงเหมือนรำคาญฉันเล็กน้อย
“55 อย่าลืมหาอะไรให้ฉันกินด้วยล่ะ” ฉันขำในลำคอและอดที่จะยิ้มไม่ได้
เมื่อเดินไปเรื่อยเหมือนจะเข้าไปในกลุ่มหมอกควันสีหม่นๆมีกลิ่นฉุนเหมือนสารเคมีอะไรบางอย่างที่เหม็นมากจนทำให้ฉันรู้สึกแสบตา แสบจมูก จนต้องเอามือปิดจมูกปิดปาก อาการต่อมาคือเวียนหัวเหมือนโลกหมุน ยิ่งเดินยิ่งไม่เห็นหนทาง หมอกนี้หนาขึ้นเรื่องๆ กลิ่นฉุนมากขึ้น จนทำให้ฉันหยุดเดิน เพราะกลัวว่าจะอันตราย นี่เหรอที่เรฟบอกไว้ก่อนหน้านี้ ฉันน่าจะรอให้พวกเขาหาวิธีก่อน ไม่น่าทำตามอารมณ์เลย
“ผู้ถูกเลือกอยู่ไหน” เสียงเรียกดังขึ้น ฉันจำได้นี่เป็นเสียงของลูคัส เวลาฉันหายไปเขาจะเป็นคนแรกที่หาฉัน ฉันหันไปตามเสียงเรียกแต่ยังไม่ทันเดินไป ฉันถูกกอดมาจากด้านหลัง
“ยืนเฉยๆ แล้วหลับตา ไม่ต้องกลัวข้าอยู่นี่” เสียงนี้ฉันจำได้เป็นเสียงที่คุ้นเคย ได้ยินทีไรรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง ฉันกลับเชื่อในคำพูดนั้น ฉันค่อยๆหลับตาลง และยืนนิ่งๆไม่ขยับเขยื้อน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ทำไมฉันรู้สึกง่วงแบบนี้ แล้วฉันก็ไม่รู้สึกอะไรอีก
หอมจัง ฉันได้กลิ่นเหมือนหมูย่างลอยมาปะทะจมูก ด้วยความหิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น ตอนนี้ฉันนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่มีขาของเรฟเป็นหมอน และมีผ้าสีดำคลุมเป็นผ้าห่ม ส่วนเรฟเอนตัวพิงลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ฉันค่อยๆเก็บรายละเอียดใบหน้าของเรฟ หน้าคมเข้ม คิวหนา จมูกโด่งเป็นสัน ปากได้รูป หน้าตาเหมือนหลุดมาจากโปรแกรม เอไอ ยังไงอย่างนั้น ฉันยังคงจ้องดูใบหน้าของเรฟ อยู่ดีๆ เรฟ ลืมตาขึ้น ทำเอาตาฉันกับเรฟสบกันโดยบังเอิญ ฉันจองดูดวงตาสีดำสนิทของเขา ตาคู่นี้สินะที่พาฉันมาถึงโลกนี้
“ดูพอรึยัง ผู้ถูกเลือก” เสียงนุ่มอันอ่อนโยนของเรฟเอ่ยขึ้นจนฉันได้สติ
“ ดูอะไร เปล่าซักหน่อย” ฉันแก้ตัวอย่างเขินๆ แล้วลุกขึ้นนั่งข้างเรฟ แต่หางตาเหมือนเรฟยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เรฟยื่นมือมาหาฉัน ฉันมองหน้าเรฟอย่าง งงๆ และยื่นมือไปจับมือเรฟ เรฟรีบ ดึงมือหนีจากฉัน ฉันมองหน้าเรฟด้วยความตกใจ อะไรของเขาเนี้ย….เรฟชี้ไปที่ผ้าผืนสีดำที่ฉันจับอยู่ อ๋อ…..นี่เอง ฉันยื่นผ้าสีดำให้ เรฟใส่ผ้าที่ฉันให้ อืม….ที่แท้ก็เป็นชุดของเขานี่เอง เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ มันจะนิยายเกินไปแล้ว พระเอกถอดชุดคลุมให้นางเอกเพื่อให้นางเอกอบอุ่นจากอากาศที่หนาวเหน็บ หุหุ เขินจังวุ้ย! เมื่อเรฟแต่งกายเรียบร้อยแล้ว เดินไปหาพรรคพวกที่นั่งรอบกองไฟอยู่ไม่ไกล โดยไม่สนใจฉันที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
“ผู้ถูกเลือก มากินสิ หิวไม่ใช่เหรอ” ฟินน์ตะโกนเรียก ฉันก็หิวจริงนั้นแหละ จึงลุกขึ้นยืน เดินไปหาพวกเขา นั่งลงข้างๆ เฟย์ ฟินน์ยื่นเนื้อที่ย่างสุกแล้วมาให้
“ ขอบใจ” ฉันรับเนื้อนั้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย คนมันหิวอะไรก็กินได้หมด
“โห้ กินได้จริงด้วย นึกว่าจะไม่กินซะแล้ว” ฟินน์ทำท่าทางตื่นเต้นที่เห็นฉันกินเนื้อนั้น เสียงของฟินน์ทำให้ฉันหยุดกิน
“ทำไมกินไม่ได้เหรอ” ฉันถามด้วยความสงสัย
“กินได้สิ พวกเราก็กินเหมือนกัน แต่…..” ฟินน์เหมือนมีอะไรปิดบัง
“แต่อะไร ?” ฉันถาม
“ มันเป็นเนื้อของซอร์ฟิน” ฟินน์พูดด้วยหน้าเจ้าเล่ห์
“อะไรคือ ซอร์ฟิน” ฉันหันไปถามเฟย์
“ก็นั้นไง” เฟย์ชี้ไปด้านหลังของฟินน์ที่มีลักษณะคล้ายงูยักษ์ที่มีเกล็ดโปร่งใสราวกับคริสตัล ที่เหลือแค่ครึ่งตัว
ฉันมองซากนั้น แล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ ถึงจะขยะแขยงก็ตาม แต่ฉันต้องอิ่มก่อน ต้องมีแรง เพราะไม่รู้ข้างหน้าต้องเจออะไรมากกว่านี้ อีกอย่างถ้าฉันไม่กินอะไรเลย ฉันอาจตายได้ เมื่อตายแล้วฉันจะกลับไปได้ไง ที่ฉันไม่โต้เถียงและไม่แสดงอาการอะไรออกมาทำเอา ฟินน์ถึงกับจ๋อย ไม่พูดอะไรอีก ฉันนั่งกินเนื้องูยักษ์นั้นจนหมด
“ขอน้ำหน่อยได้ไหม กินเนื้อมันติดคอ” ฉันพูดพร้อมลุกขึ้นยืน เฟย์เงยมองหน้าฉัน ยื่นกระบอกใส่น้ำมาให้ ฉันรับน้ำมาดื่ม ดื่มเสร็จก็ยื่นกลับคืนเฟย์
“ขอบใจ ฉันอยากอาบน้ำ ฉันอาบน้ำได้ที่ไหน” ฉันเอ่ยถามลอยๆเผื่อมีคนตอบแต่ฉันก็ไม่ได้คำตอบ ทุกคนเงียบ
“ฉันไม่ได้เรื่องมากนะ คือ ฉันแต่งตัวไม่เหมือนพวกคุณใช่ไหม ถ้าออกจากป่านี้ไปได้ ไปเจอผู้คน แล้วฉันแต่งตัวแบบนี้มันประหลาดไหมล่ะ แล้วใครๆก็จะรู้ว่าฉันคือผู้ถูกเลือกมันจะไม่วุ่นวายเหรอ” ฉันหาเหตุผล ร้อยแปดมาพูดเพื่อหาเรื่องอาบน้ำเพราะตอนนี้อยากเอาเนื้องูนั้นออกจากกระเพาะฉัน สรุปฉันอยากอวก แต่ไม่อยากเสียฟอร์ม โดยเฉพาะต่อหน้าไอ่เด็กฟินน์นั่น
“ไม่มีหรอก เจ้าต้องรอออกจากป่าปฐพีนี้ก่อน ถึงจะเจอหมู่บ้าน เจ้าถึงจะอาบน้ำได้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ” ลูคัสเอ่ย
เห้อออออ ฉันถอนหายใจ ก่อนเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ฉันตื่นขึ้น ฉันนั่งเอนกายพิงลำต้นนั้น กอดอกแล้วค่อยๆหลับตาลง ถึงอากาศจะหนาวเย็นใยเล่าจะเย็นกว่าในใจฉัน เนื้องูจะอวกออกก็คงไม่ได้แล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ราตรีสวัสดิ์