แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
ฮาคูนา มาทาท่าไม่เห็นต้องกังวล ทิ้งมันไปน่ะดีแล้ว
เรื่องร้ายไม่เคยมี ท่องไว้ดีดี ฮาคูนามาทาท่าโอ้ว ฮาคูน่ามาทาท่า เย้ ฮาคูน่ามาทาท่า โอ โอ้วอา ไม่เห็นต้องกังวล ทิ้งมันไปน่ะดีแล้ว เรื่องร้ายไม่เคยมี ท่องไว้ดีดี ฮาคูน่า มาทาท่า
"เชี่ยปิดดิ๊" ผมโวยวายพร้อมกับเอาหมอนใบใหญ่ที่หนุนหัวอยู่ขยับมาปิดหน้าปิดหูของตัวเอง เพราะไอ้เสียงเพลงที่ไอ้เปรตตัวข้าง ๆ มันตั้งไว้เป็นนาฬิกาปลุกนี่ ซึ่งไอ้เชี่ยเอ๊ยมันร้องวนมาสามรอบแล้วแต่ไอ้เวรที่นอนงัวเงียไม่ต่างกับผมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนกาย ...ผมเลยถีบแม่ง
พลัก!!!!
"โอ๊ย ไอ้เหี้ย" เสียงด่าผรุสวาสพร้อมกับเสียงเพลงแสบแก้วหูหยุดลง ร่างของผมขยับเล็กน้อยกะเป้าหมายตรงช่วงสะโพกวัตถุลึกลับดันเบา ๆ ผมถีบมันสุดแรงทั้ง ๆ ที่ตอนแรกกะว่าจะมันก็ทำเบา ๆ แหละ แต่มันก็ไม่กล้าหือ ขืนโวยวายขึ้นมา คืนนี้มึงได้นอนนอกห้องแน่ ๆ
"กูไปอุ่นกับข้าวเช้าก่อนนะ" เสียงของมันพูดอย่างงัวเงีย ...แต่แสนน่ารัก ผมขยับหมอนออก และเงามืดจากร่างใหญ่หนาของมันก็ขยับมาโอบรัดผม พรมจูบที่หน้าผาก แก้ม ปลายจมูก และริมฝีปากที่ยังเหม็นขี้ฟัน ซ้ำ ๆ
"งื้อ........" ผมงัวเงีย แต่ก็ขยับหัวไปจูบมันกลับ พอหรี่ตามองก็เห็นมันมองผมแล้วก็อมยิ้ม มันจูบผมอีกครั้งที่หน้าผาก แล้วก็ลุกไปทำอะไรเสียงดังขลุกขลักอยู่ในครัว จนไอ้กลิ่นหอม ๆ ของอาหารเช้าฝีมือมันฟุ้งเข้ามานั่นแหละ ท้องผมร้องทันที แต่กูยังง่วงค่ะ ไอ้กลิ่นบ้านี่ก็กวนประสาท หิวกับง่วงกูจะเลือกให้คะแนนอะไรก่อนดีน๊า
แต่ไม่ทันได้คิดละ เสียงผ้าม่านทึบ ๆ หนา ๆ สีเทาเข้มที่มันกันรังสียูวีถูกคลี่ออก ทันใดนั้นแสดงแดดแผดกล้าก็สาดเข้ามาจนเต็มที่นอนและเต็มดวงตาของผม
"แอร๊ยยยยยยยยยสลายยยยยร่างงงงงงงงง" พลันร่างของผมก็ค่อย ๆ เหือดแห้ง และแตกสลายเหลือแค่เพียงกองเถ้ากระดูก
ไม่ใช่ละนั่นมันใช่เสียที่ไหนเล่า กูไม่ใช่แวมไพร์เด้อ พอแสงแดดแรง ๆ กระทบหน้า ผมก็ต้องจำใจตื่น ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้วิวตรงนี้มันดี เปิดหน้าต่างจากตรงนี้แล้วเห็นวิวสวย ๆ ล่ะก็ กูย้ายห้องแล้ว ตอนมาตัดสินใจซื้อ ก็ไม่ได้ดูเหนือดูใต้ ไม่ได้ดูว่าศัตรูของผมคือแสงแดดมันจะส่องมาปลุกกูตอนเช้าอย่างนี้ทุกวี่ทุกวัน ...เชี่ยจริง ๆ
"ไปรีบลุกไปอาบน้ำไป จะได้กินข้าวกัน วันนี้มีของโปรดมึงด้วยนะ" ไอ้คนตัวโตพูดเหมือนอ่อนใจ พลางดึงผ้าห่มออกจากตัวของผม ผมขยับตัวงอเป็นกุ้ง ปล่อยให้แม่งพับผ้าห่มไปคนเดียวจนมันขยับตัวมาลากผมแล้วก็อุ้ม
"ทำไมขี้เซาอย่างนี้วะ" มันบ่น
"กูเป็นเจ้าหญิงนิทรา" ผมตอบมันทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่
"กูเป็นเจ้าชายแล้วกัน" มันพูดแล้วก็ก้มหน้าลงมาจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม แต่ไม่นะ เช้า ๆ อย่างนี้ยังไม่ล้างหน้าแปรงฟัน อย่าได้เสือกจูบแบบแลกลิ้นหรือเฟร้นช์คิสทีเดียวได้ด่ากันสามบ้านแปดบ้านเพราะเหม็นขี้ฟัน
"มึงมันเจ้าชายอสูร ไม่ใช่เจ้าชายธรรมดา" ผมด่ามันกลับทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา จนรู้สึกตัวอีกทีร่างของผมก็ลอยลิ่วจนตกไปนอนเค้เก้อยู่บนที่นอนเหมือนเดิม....สัส
"งั้นกูไปอาบน้ำก่อนแหละ" มันตอบ แล้วก็ทำเสียงกุกกัก ๆ ครู่หนึ่งเสียงฝักบัวก็ดังพร้อมกับเสียงเพลงของมันที่ดังลั่นออกมา แต่อนิจจามึงไม่ใช่นักร้องค่ะ ถ้าจะเป็นก็คือนักร้องเสียงเพี้ยน.....ทรมานหูชิบหาย และไอ้เสียงเพลงจากนรกของมันนี่แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจตื่นโดยฉับพลัน เสียงแม่งอย่างกะไจแอ้นในโดเรม่อนเลยทีเดียว
"ขยับไปหน่อยดิ๊" ผมพูดอย่างรำคาญ ๆ พร้อมกับขยับร่างเปล่าเปลือยไปจนโดนสายน้ำอุ่น ๆ มันโคตรดี ที่ลงทุนซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นจนได้อาบน้ำสบาย ๆ อย่างนี้ ถึงแม่งจะเปลืองไฟสักหน่อยและถ้าร้ายไปกว่านั้น เกิดไฟรั่วถูกไฟดูดตายอย่างที่เคยเป็นข่าว แต่ช่างแม่งก่อน ผมรีบพรมน้ำอุ่นจัด ๆ บนตัวจนเปียกทั่วกัน ไอน้ำขาวระเหยลอยขึ้นจนกระจกเป็นฝ้าจาง ๆ จากนั้นก็ขยับตัวไปบีบยาสีฟันแล้วก็แปรงฟันอย่างใจลอย
"เดี๋ยวกูฟอกสบู่ให้" เสียงกระซิบกระเส่าปนหื่นดังที่ข้างหู แล้วมือลื่น ๆ พร้อมกับฟองสบู่หอมกรุ่นก็เลื่อนลูบไปตามเนื้อตัวของผมอย่างแผ่วเบา แต่เชี่ย....ถ้ากะเจี๊ยวของมึงจะไม่ซุกซนอยู่แถว ๆ ตูดของกูก็จะขอบคุณมาก เมื่อคืนมึงจัดไปสองดอกแล้วยังไม่สาแก่ใจอีกหรือไง จะล้างหน้าไก่แต่เช้าอีกเรอะ เสียใจค่ะ ไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ
"ไม่เอา อย่าซน" ผมบอกมันเสียงดุ จนมันยิ้มเก้อ และท่าทีของมันก็เปลี่ยนเป็นอาบน้ำฟอกสบู่ให้ผมอย่างจริงจัง รวมไปถึงสระผมอย่างลวก ๆ ให้ด้วย...สุดยอดผัวแห่งปี ผัวที่ดูแลกูคล้าย ๆ พ่อดูแลลูกเล็ก หรือพยาบาลดูแลคนไข้ติดเตียงกันก็ไม่แน่ใจ
เอาล่ะ อาบน้ำเสร็จอย่างว่องไว จะมาพิรี้พิไรอะไรตอนนี้ไม่ได้ เพราะงานการรออยู่ตรงหน้า ถึงเจ้านายของผมจะไม่ได้เคร่งครัดเรื่องเวลา และจากคอนโดของผมไปที่ทำงานก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่เราก็ไม่ควรจะสายด้วยเหตุผลงี่เง่าคือโดนผัวเยแต่เช้าอย่างนี้
อาหารเช้าง่าย ๆ มีไข่ลวก คนละสี่ฟอง สลัดผักที่ใส่อโวคาโด้มัน ๆ อกไก่ และโรยชีสหอม ๆ ราดด้วยน้ำสลัดญี่ปุ่นหอมกลิ่นงาแสนน่ากิน แต่ทีเด็ดของวันนี้ก็คือขนมจีบลูกโต ซึ่งมีจิ๊กโฉ่กลิ่นหอมเปรี้ยวให้เป็นน้ำจิ้ม นับดูแล้วเราจะได้กินคนละห้าลูก แต่ผัวผู้แสนดีของผมก็ใจดี ยกของมันให้ผมอีกหนึ่งลูก หกต่อสี่ ช่างมีน้ำใจ แต่กูขอหกครึ่งค่ะ ซึ่งผัวผู้แสนใจดีก็ยอมแดกไอ้ครึ่งลูกถึงจะดูเซ็ง ๆ สักหน่อย ผมเป็นคนกินยากแต่ถ้าได้กินของที่ชอบก็จะกินได้มาก ๆ ไม่แดกหมดสิบลูกก็บุญมึงแล้วค่ะ
อาหารเช้าของผมกินกันแบบนี้เพราะคำนึงถึงสุขภาพ ก็คนเคยสุขภาพไม่ดีมาก่อน พอศึกษาหาความรู้ก็ต้องปรับการใช้ชีวิตอย่างนี้แหละ และในเมื่อผัวของผมเป็นคนเตรียมอาหารเช้าให้ คนล้างจานก็ต้องเป็นกูสินะ ซึ่งโอเคเข้าใจได้ อยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยกันสิ ผมเก็บล้างจานอย่างรวดเร็ว ถือกระเป๋าสะพายของตัวเอง และเมื่อปิดประตูห้องดังแกร๊ก เราสองคนก็ลงลิฟต์มาด้วยกัน
"อ้าวพี่โจ พี่ตี๋หวัดดี" ผมกล่าวคำทักทายเมื่อเจอคนสำคัญเมื่อประตูลิฟต์สองฝั่งเปิดออกพร้อมกัน
"หวัดดี ไปกับกูไหมล่ะ?" เสียงพี่ตี๋ทักทาย แต่ผมก็ขอปฏิเสธ เพราะรู้ว่าพี่ตี๋กับพี่โจสองผัวเมียละเหี่ยใจ เข้าออฟฟิศช้าเพราะต้องไปหาอะไรกินที่บ้านแม่ของพี่ตี๋ก่อนแล้วจึงเข้าออฟฟิศ
ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้ยังไง ก็ต้องรู้สิ ก็กูเป็นขี้ข้าเขา เอ่อ...เป็นลูกน้องของบริษัทเขาหนิ ถึงปลายทางจะไปยังที่เดียวกันแต่เราก็แยกกันไป สะดวกใจกว่า ที่สำคัญ รำคาญ แม่งทะเลาะกันเหมือนคู่กูนี่แหละ ทะเลาะเก่ง งอนเก่ง ง้อเก่ง อ้อนเก่ง น่ารำคาญแต่ก็น่ารักดี
เมื่อถึงลานจอดรถ ผมยื่นหมวกกันน๊อคให้ไอ้ตัวโต ซึ่งมีสติ๊กเกอร์รูปหมูป่าพุมบ้า ส่วนหมวกกันน็อกของผมมีสติ๊กเกอร์รูปเจ้าพังพอนทีโมน ผมมีหน้าที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าซึ่งชาร์จจนเต็มเรียบร้อย ไปส่งไอ้ยักษ์นี่ที่สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช แล้วจึงขับซอกซอนเข้าซอยเล็ก ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องยูเทิร์นไกล ๆ เพื่อเข้ามาที่ออฟฟิศ
ก่อนผมจะขับรถออก ผมก็มองร่างสูง ซึ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลกสีเทาเข้ม ดูรวม ๆ ถือว่าสมาร์ทไม่เบา มันหันกลับมามองผม ส่งยิ้มแหย ๆ และขยับกรอบแว่นนิดหน่อย ซึ่งไอ้ท่าทางแบบนี้ผมเห็นจนคุ้นตา เห็นมาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าจะได้เห็นจนถึงวินาทีนี้ มันยกมือโบกส่งผม ขยับปากเบา ๆ โดยไม่มีเสียง ซึ่งอ่านปากได้ว่า "ขับรถดี ๆ นะ" ผมขยักหน้ารับ โบกมือกลับให้มันเหมือนกัน มองจนมันหายลับตา ผมก็ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งออกมาจากตรงนั้น
ผมรู้จักกับมันมานานมาก ๆ นานจนคิดว่าเราสองคนต่างอยู่ในช่วงชีวิตของกันและกันมายาวนานมากจริง ๆ นานตั้งแต่ผมยังเป็นไอ้ผอมกะหร่อง และมันก็ยังเป็นไอ้อ้วนแว่นหนา ผิดกับตอนนี้ที่แม่งหล่ออย่างก๊ะ กงยู ส่วนกู...กงหมาค่ะ
เอ๊าเม้ามาตั้งนาน นี่คุณ ๆ ยังไม่รู้จักชื่อของกูเลยนี่หว่า แล้วก็ชื่อผัวของกูด้วย อะแฮ่ม ๆ ผมน่ะชื่อรวีโรจน์ ฟังแล้วโคตรเพราะเลย ต้องยกความดีให้คนตั้งชื่อให้ ซึ่งก็ยังค่อนข้างสับสนว่าใครเป็นคนตั้งให้ เพราะเจอญาติผู้ใหญ่คนไหนก็แย่งกันบอกว่าตัวเองเป็นคนตั้งชื่อให้ผมทุกคน แต่มาถามเอาจากแม่ แม่ก็เม้าว่า ทุกคนพูดถูกแต่ก็ไม่ได้ถูกหมด
"ก็เล่นออกันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เสิร์ชในกูเกิ้ล บวกลบคูณหาร ดูอักษรมงคล และป้องกันกาลกิณีซึ่งไม่มีใครรู้จริงจังสักคนเลยแหละ เพียงแค่ใส่วันเดือนปีเกิด กับสถานที่เกิด แล้วก็เคาะเอ็นเทอร์ เท่านี้ก็มีชื่อเหมาะ ๆ มาให้เลือกสี่ซ้าห้าชื่อ จนทุกคนลงความเห็นพ้องกันนั่นแหละว่า ชื่อรวีโรจน์นี่เหมาะสมกับตัวที่สุด
รวีโรจน์ อันแปลว่า รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ ฟังดูดี ดูมีความเจริญรุ่งเรือง ดูสว่างไสว แต่...กูไม่ชอบแสงแดดค่ะ กูอยากแต่จะอยู่ในความมืด อยู่บนเตียงนุ่ม ๆ เปิดแอร์เย็น ๆ แล้วก็กอดผัว แต่ในเมื่อมันห้ามไม่ได้ และจะว่าไปรวีโรจน์ หรือรวี หรือวี แล้วแต่ใครจะเรียกก็เลยเป็นชื่อของผม ไปด้วยประการฉะนี้
ส่วนไอ้ตัวดีผัวของผมน่ะ ชื่อของมันก็เสือกชื่อ ศศิน ซึ่งดูคูล ๆ แปลว่าพระจันทร์ หรือจะแปลว่าที่ซึ่งมีกระต่าย (มันเคยคุยอวดให้ฟังตอนผมถามความหมายของชื่อมันน่ะ) ฟังดูมุ้งมิ๊งขัดกับคนตัวสูงหนึ่งร้อยแปดสิบแปดเซนติเมตรชะมัด ผมเรียกมันไอ้สิน และเรียกมันแบบนี้ตั้งแต่เรารู้จักกันครั้งแรก ตั้งแต่ตอนกูยังนอนเยี่ยวรดที่นอนเลยแหละ กล่าวคือเรารู้จักกันตั้งแต่อยู่โรงเรียนอนุบาลเลยเชียว
ด้วยบุญกรรมที่สร้างกันมา อย่างที่เขาเรียกว่า เด็ดดอกไม้ร่วมต้น ตักบาตรร่วมขัน หรือเพราะกรรมเก่า ไม่ใช่ของผมนะ ของไอ้สินตะหาก ทำให้เราต้องอยู่ชิดกันเพราะเลขประจำตัวเสือกติดกัน
ภาพความทรงจำแรก ของไอ้สินคือไอ้เด็กอ้วน ขาวจั๊วะ ตาแทบปิด ซึ่งขี้คุยพอ ๆ กับกู พอมารู้จักกัน ต่างคนต่างก็แข่งกันพูด ไม่ยอมกันเลย ที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือไอ้สินมันเป็นคนกินง่าย ผิดกับผมที่เป็นคนกินยากกินเย็น เวลานั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกัน ผมตัวเท่าเมี่ยงก็กินได้แค่ครึ่งเดียว ซึ่งสมัยนั้นมันเด็กอนุบาลกินอาหารในถาด กูมองอาหารในถาด เขี่ยไปเขี่ยมา เขี่ยแล้วเขี่ยอีก ก็กูอิ่มแล้วนี่
"อิ่มแล้วเหรอ?" ไอ้สินถามทำหน้าเมื่อย
"อือ ช่วยกินหน่อยดิ" ผมว่า แล้วก็ค่อย ๆ ประจงตักเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วกลิ่นหืน ๆ มันแผลบ ใส่จานของมัน นึกถึงต้นคะน้าที่ผัดไม่สุกส่งกลิ่นเหม็นเขียว แล้วก็เส้นใหญ่เมือก ๆ นั่นกูก็แทบจะอิ่มทิพย์ แต่ไอ้อ้วนนั่นก็แดกเอา ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ที่สำคัญ ครูแน่งน้อยที่ชอบเดินตรวจตราตอนเด็กนักเรียนซน ๆ แดกข้าว ก็ชอบมาจ้ำจี้จ้ำไชกูให้แดกผักเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง ก็ได้ไอ้อ้วนนี่แหละช่วยผมให้รอดจากปากเหยี่ยวปากกาของครูแน่งน้อย ซึ่งรอบเอวกะคร่าว ๆ น่าจะสามสิบแปด ไม่ได้แน่งน้อยอย่างชื่อเลย พูดถึงกงนี้ก็ไม่ใช่จะบูลลี่คนอ้วนนะ ก็ผัวของผมก็เคยอ้วนมาก่อนเหมือนกันนี่หว่า อ้วน ๆ ก็น่ารักดี ยกเว้นตอนมันเอาตัวหนัก ๆ มาทับกูจนแทบแบนแต๋
จนกินอาหารเที่ยงแสนไม่อร่อยหมดจาน คราวนี้ก็วิ่งเล่นสิครับจะรออะไร โรงเรียนของผมค่อนข้างจะเป็นโรงเรียนที่เรียกได้ว่าโรงเรียนคนรวยเลยแหละ ค่าเทอมหลายสตางค์ ผมล่ะเสียดายค่าเทอมแทนพ่อกับแม่ ยิ่งเคยได้ยินเขาพูดกันว่าขายวัวส่งควายเรียน นี่มันกูชัด ๆ ท่านผู้ชม
ครั้นวิ่งเล่นไม่ว่าจะเล่นเครื่องเล่นสารพัดจนอ่อนใจ ส่วนไอ้สินน่ะเรอะ เล่นนิดเล่นหน่อยก็เหนื่อยจนลิ้นห้อย จนเมื่อได้เวลาออดเข้าเรียนดังนั่นแหละ คราวนี้ก็เข้าห้องเรียนกันสักที เข้าเพื่อนอนกลางวัน สมัยเด็ก ๆ ใคร ๆ ก็คงเบื่อแหละเนาะ ไม่อยากจะนอน อยากจะวิ่งเล่นให้มันสนุก แต่พอตอนกูโตมา กูอยากนอนกลางวันค่ะ อยากชดเชยเวลาในวัยเยาว์เสียเหลือเกิน พ่อจะนอนหลับตาตั้งแต่หัวถึงหมอน
ผมนอนยุก ๆ ยิก ๆ เพราะเพื่อน ๆ หลับกันไปหมดแล้วตีนของผมยกขึ้นมาไขว่ห้างกระดิกตีนไปมา สองมือประสานที่ใต้ท้ายทอย มองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งปิดกระจกสนิท เพราะเปิดแอร์เย็นฉ่ำ มองออกไปนอกหน้าต่างคิดโน่นคิดนี่ตามประสาคนฟุ้งซ่าน
"นอนสิ" ไอ้สินกระซิบ เพราะกลัวครูแน่งน้อยเดินมาบ่นอีก แต่ผมชะโงกหัวไปมองที่โต๊ะครู ครูแน่งน้อยหาอยู่ตรงนั้นไม่ คงเดินไปเม้าเพราะเห็นถือถุงมะม่วงดองกับฝรั่งดองไปด้วย
"นอนไม่หลับเล่านิทานให้ฟังหน่อยสิ" ผมหันไปมองหน้าไอ้สิน พูดอ้อน ๆ ไอ้นี่มันดูเนิร์ด ๆ แล้วก็รู้เรื่องนิทานเยอะแยะเต็มพุงกลม ๆ ของมันไปหมด
"เรื่องกระต่ายกับเต่าดีไหม?" ไอ้สินถามและผมก็พยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม
"เรื่องน่ะมันก็มีอยู่ว่า ในป่าแห่งหนึ่งมีเต่าน้อยตัวหนึ่งมันเดินต้วมเตี้ยม ๆ ไปจนไปเจอกระต่ายตัวหนึ่ง"
"บั๊กบันนี่ป่ะมึง ที่ขามันยาว ๆ แล้วก็ชอบกินแครอท" ผมแทรก
"ปัดโธ่โว๊ยอย่าถามแทรกสิ เดี๋ยวลืม" ไอ้สินโวยวายจนผมต้องยกมือมาปิดปาก ฉวยมันหมั่นไส้ไม่เล่าก็อดฟังพอดี
"อีทีนี้เจ้ากระต่ายก็เกิดนึกอะไรก็ไม่รู้ไปว่าเต่ามันเดินต้วมเตี้ยมเดินช้าแสนช้า เมื่อไรจะถึงจุดหมาย เจ้าเต่าก็เลยโมโห ท้ากับเจ้ากระต่ายมาวิ่งแข่งกัน"
"เอ๊าหาเรื่องนี่หว่า เกิดกูเป็นเต่านะ กูจะถามว่าเสือกอะไรด้วย กูเดินอยู่บนทางของกูดี ๆ ไม่ได้เดินบนหัวมึงสักห.น่ อ..." ผมเห็นตาของมันจ้องเขม็งก็รู้ว่าต้องหยุดปาก เลยรีบเอามือสองข้างมาปิดปาก พร้อมกับยิ้มเอาใจไอ้คนช่างเล่า
"ทีนี่ทั้งสองก็วิ่งแข่งกัน เจ้ากระต่ายน่ะวิ่งนำฉิวไปเลย จนเลยไปครึ่งทาง ก็เห็นว่าเจ้าเต่าน่ะยังอยู่อีกไกลแสนไกล มันก็เลยนอนรอ"
"จริงเป็นกูขอนอนดีกว่าวิ่งทำไมเหนื่อย...ขอโทษ ๆ ไม่พูดแทรกและ" ผมอ้อน
"ฝ่ายเจ้าเต่าก็เดินให้ไวที่สุด จนในที่สุดเดินมาจนเห็นเจ้ากระต่ายนอนหลับอยู่เจ้าเต่าก็รีบเดินต่อไปจนในที่สุดมันก็เข้าเส้นชัย ส่วนเจ้ากระต่ายก็พ่ายแพ้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...." ไอ้นี่มันไม่รู้ไปจำใครมาสงสัยจะเป็นแม่ของมันล่ะมั้ง เล่านิทานก็ต้องให้คนฟังคิดว่าฟังแล้วได้อะไรเป็นคติสอนใจ
"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเราไม่ควรไปเสือกเรื่องของชาวบ้าน" ผมตอบอย่างมั่นใจ ส่วนไอ้สิน เหลือกตามองบน แล้วแม่งก็พลิกตัวหันหลังให้ผมเลย อ้าวอะไรวะคุยกันก่อนกูตอบอะไรผิด
หลังจากได้เวลาที่ครูแน่งน้อย อันเป็นครูประจำชั้นอนุบาลหนึ่งทับสาม กลับเข้ามา เธอก็ไปนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่ง ทำโน่นทำนี่ส่วนผมที่พอไม่มีใครคุยด้วยก็หลับไปมาตื่นอีกที ก็เพราะไอ้สินปลุก ตอนนอนล่ะขี้เกียจนอน พอตอนโดนปลุกกูขี้เกียจลุก สันดานเลวหมาอะไรอย่างนี้กูเนี่ย
"ตื่น ๆ" ไอ้สินเซ้าซี้จนสุดท้ายผมก็ต้องตื่น ลุกขึ้นมานั่งหันซ้ายหันขวา เห็นคนอื่น ๆ เขาเก็บฟูกปูที่นอนกับผ้าห่มพับเรียบร้อยแล้ว เหลือกูแค่คนเดียว จนเมื่อค่อย ๆ ขยับตัว ไอ้สินก็หยิบฟูกของผมไปพับให้ ส่วนผมก็พับผ้าห่มของตัวเอง แล้วเราก็ไปล้างหน้าล้างตากัน ล้างหน้าดีแล้ว ครูแน่งน้อยผู้แสนดีก็จะประแป้งเด็กกลิ่นเหม็น ๆ อวน ๆ ให้กับใบหน้าผ่องใสของบรรดาเด็กซน เด็กน้อยที่หลับสนิทตื่นมาอย่างสดใส พอทาแป้งเด็กจน ต่างก็น่ารักเหมือนเทวดาตัวน้อย ๆ แต่กูไม่ใช่ค่ะ กูเหม็นแป้ง ทำโน่นทำนี่อีกนิดหน่อย ก็ได้เวลาเลิกเรียน และแม่จะเป็นคนมารับ
แต่...อย่าคิดว่าแม่มารับแล้วจะได้กลับเลยนะ โน่นจ๊ะ สมาคมคุณแม่จับกลุ่มคุยกันอย่างแสนสนุกสนาน ส่วนผมก็อยากกลับบ้านแทบแย่ เดินวนไปวนมา เอาสีข้างชนแม่เบา ๆ เป็นการบอกใบ้ว่าให้รีบพาผมกลับบ้าน แม่ก็พาลดุ
"ไปเล่นก่อนไป๊ ไม่เห็นเหรอว่าผู้ใหญ่คุยธุระอะไรกันอยู่น่ะ" แม่บ่นจนผมทำปากจู๋ ธุระเรื่องดาราที่เพิ่งเลิกกันเนี่ยนะ ผมเลยเดินไปตรงชิงช้า นั่งเล่นไกวไปมา ท่ามกลางเด็กทั้งนั้น จนแม่กวักมือเรียกนั่นแหละ ผมถึงวิ่งตื๋อ ไปจับมือของแม่อย่างรวดเร็ว
ขามาโรงเรียนน่ะพ่อที่ไปทำงานจะขับรถมาส่ง แต่ขากลับแม่จะขี่มอเตอร์ไซค์มารับ เพราะบ้านของเราไม่ไกลจากโรงเรียน แม่กลัวถนนใหญ่ เลยพาผมเข้าซอกเข้าซอย ชวนผมคุยโน่นคุยนี่
"แม่วันนี้วีฟังนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าด้วยล่ะ" ผมคุยอวด
"น้องสินเล่าให้ฟังอีกล่ะสิ"
"ใช่" ผมตอบแล้วก็เล่าเรื่องของกระต่ายหน้าโง่ กับไอ้เต่าขี้โมโหให้แม่ฟัง
"แม่ว่ามั๊ยคนเราไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น" ผมถามความเห็น
"จริงด้วยลูก ใครเขาจะเดินเร็วเดินช้า จะสวยหรือขี้เหร่ จะอ้วนหรือจะผอม มันก็เรื่องของเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เนอะ" แม่ตอบโดยสายตายังโฟกัสกับเส้นทาง
"เนอะแม่เนอะ" ผมพูดพร้อมกับพยักพเยิด มาคิดถึงตอนนี้ ก็คงไม่ต้องแปลกใจว่ากูเป็นคนอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพราะใคร ก็เพราะหม่อมแม่ของกูนี่เอง
เหตุการณ์ทำนองนี้มันก็เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นและเมื่อพระอาทิตย์ตก พระจันทร์ก็ขึ้นมาแทน เวลาแห่งความสุขในวัยเยาว์มันผ่านเร็วจนเราแทบลืมเลือน
ผมที่วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เล่นกับไอ้สิน จนวันหนึ่งเราเล่นวิ่งแข่งกัน
"กูเป็นเต่ามึงเป็นกระต่าย เราวิ่งแข่งกัน วิ่งจากตรงนี้ไปจนถึงโรงอาหาร" ผมท้าทาย
"ไม่เอาอ่ะ วีวิ่งเร็วกว่าอยู่แล้ว" ไอ้สินตอบอย่างคนยอมแพ้
"อาไรว๊า ไหนว่าชื่อของมึงเป็นที่อยู่ของกระต่ายไม่ใช่เรอะ มาแข่งกัน" ผมพยายามปลุกกำลังใจของมันแต่มันก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยสักนิด
"กูว่านะ กูกับมึงน่ะ เหมือนทีโมนกับพุมบ้ามากกว่า กูอ้วน ๆ เหมือนพุมบ้า ส่วนมึงก็ตัวเล็ก ๆ ตาโต ๆ พอง ๆ แล้วก็ชอบหาเรื่องกวนประสาทคนอื่น เหมือนทีโมน" ไอ้สินตอบจนผมหัวเราะกิ๊ก ก็ที่กระเป๋านักเรียนของเราน่ะมันเป็นลายทีโมนกับพุมบ้าเหมือนกันน่ะสิ คิดแล้วก็จริง
"งั้นกูขี่หลังมึงนะ เพราะปกติ ทีโมนขี่หลังพุมบ้าไม่ใช่เหรอ"
"ไม่เอา วีตัวหนัก" ไอ้อ้วนไม่ให้ความร่วมมือ แต่ผมก็จะขัดเจตนารมณ์ของมันไม่ได้ ยิ่งวันนี้อาหารเที่ยงน่าจะเป็นอะไรที่ผมไม่ชอบด้วย กลิ่นมันฟ้อง ขืนไอ้สินไม่ช่วยแบ่งข้าวไปกิน ครูแน่งน้อยต้องนั่งเฝ้ามองให้ผมกระเดือกข้าวจนหมดอีกแน่ ๆ เคยโดนจนแทบจะร้องไห้
นั่นน่ะมันเรื่องราวในวัยเด็ก ส่วนตอนนี้โตจนทำงานทำการกันแล้ว และจนถึงเวลาเลิกงานแต่ผมก็ยังทำงานของผมไปเรื่อย ๆ เพราะไอ้ต้าวอ้วง มันบอกว่ามันกำลังเดินทางใกล้จะถึงแล้ว และเมื่อข้อความในไลน์ส่งมาบอกว่าอีกสองสถานีก็จะถึงสถานีอ่อนนุชอันเป็นสถานีปลายทาง ผมก็เก็บข้าวเก็บของ บอกลาพี่ตี๋ เพื่อไปรับผัวกลับบ้าน
"เออ ๆ พรุ่งนี้เจอกัน ไอ้วีเอายาสีฟันไปลองใช้ด้วยสิ ตัวใหม่" พี่ตี๋นี่ใจดีอย่างนี้ ชอบให้สินค้าเอาไปทดลอง จะหาเจ้านายสปอร์ตอย่างนี้ได้ที่ไหน แต่ให้มาทดลองทีละโหล อันนี้ก็เกินไป มีกันแค่สองปาก ลำบากกูต้องเอาไปแจกคนโน้นคนนี้ แล้วไม่ใช่แจกแล้วแจกเลยนะ ต้องติดตามผลให้แกด้วย นัยว่าเป็นการ มาเก็ตติ้งรีเสิร์ชไปด้วยในตัว
ผมขับรถไปจอดที่หน้าทางลงของสถานีรถไฟฟ้า เวลาเดียวกับสุดหล่อ เดินลงบันไดมาพอดี ผมยื่นหมวกกันน๊อคให้มันสวมใส่ แล้วเราก็ออกรถไปด้วยกัน
"อยากกินอะไรดี?" ผมถาม
"แล้วแต่มึง" นี่ผัวที่ดีมันต้องอย่างนี้
"กูอยากกินข้าวแกงกะหรี่เนื้อ" ผมตอบและจุดหมายคือตลาดอุดมสุข ซึ่งมีของกินเยอะแยะ แต่ครั้นถึงหน้าร้านจริง ๆ จากไอ้ที่ว่าอยากกินแกงกะหรี่เนื้อ ผมก็เปลี่ยนใจไปกินข้าวซอยเนื้อแทนเสียนี่
ได้อาหารตามที่ต้องการ มองจัดการโซ้ยเนื้อที่เคี่ยวจนนุ่มแทบละลาย กลิ่นเนื้อหอมฟุ้งไปทั้งปาก แล้วยังเครื่องแกงกลิ่นอวล ๆ นั่นอีก หอมชะมัด แต่สายตาของผมก็มองไปที่ข้าวราดแกงกะหรี่ของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
"อ้าปาก" มันพูดอย่างรู้ความในใจ ตักข้าวนิดหน่อย พร้อมกับเนื้อชิ้นโตป้อนให้ผม
"อาหย่อย" ผมตอบ หลับตาปี๋เคี้ยวเพื่อให้รสสัมผัสมันแทรกซึมไปทั่วโพรงปากและโพรงจมูก
"น่ารัก" ผมชมผัวที่แสนใจดี และตักเส้นในชามของตัวเองให้มันแดกเป็นการทดแทน เดี๋ยวจะหาว่ากูเอาเปรียบ