แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 2 เจ้าชายน้อย โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย

เนื้อหา

2 เจ้าชายน้อย

 โดย  Chavaroj




 "ครืดดดดดดด" เสียงดังจากรางม่านที่ถูกเลื่อนออก มาพร้อมกับแสงแดดที่ส่องเข้ามาแยงตาอย่างพอดิบพอดี


"โว๊ย....." ผมร้องโวยวาย 


"ตื่นได้แล้ว...เดี๋ยวย่ามึงก็รอนานหรอกตื่น ๆๆๆ" ไอ้ตัววอแวเซ้าซี้ ปกติ ไอ้หน้าที่ปลุกมันในตอนเช้าน่ะมันคือหน้าที่ของผม แต่วันนี้มันวันหยุด และเมื่อคืนกว่าผมจะเคลียร์งานเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ ตีสอง หันไปมองนาฬิกาที่ข้างฝาก็แค่เจ็ดโมงกว่า ๆ เอง


"จะรีบไปไหน บ้านย่าอยู่ใกล้แค่นี้เอง" ผมยังงอแง


"ไม่ได้ไปหาย่ามึงตั้งสองอาทิตย์แล้ว เดี๋ยวแกเหงา...รีบตื่น" ไอ้รวีเร่งเร้า


"อย่าเลย กูว่ามึงตะกละอยากจะไปหาย่ากูจะได้กินอะไรดี ๆ มากกว่า" ผมหลับตาพูด


"เอ๊าก็รู้หนิ งั้นกูไปอาบน้ำก่อนนะ" มันว่า และเดินสะบัดตูดไป ผมสูดหายใจลึก ๆ จะว่าไปก็คิดถึงย่าเหมือนกัน และการขับรถออกจากคอนโดแต่เช้าวันหยุดอย่างนี้รถก็ไม่ติดจะได้ขับไปอย่างชิว ๆ ด้วย ผมก็เลยบิดขี้เกียจ และร้องเฮ่อดัง ๆ เพื่อปลุกใจตัวเอง ไม่ลืมที่เมื่อลุกขึ้นมาแล้วจะจัดการพับผ้าห่มให้เรียบร้อย จัดหมอนสองใบให้เข้าที่ แล้วรีบแก้ผ้า เข้าไปอาบน้ำกับไอ้ตัวดี


ผมชอบอาบน้ำกับมัน ไม่รู้สิ มันตัวเล็ก ๆ เหมือนเราอาบน้ำให้หมา แต่เป็นหมาที่ไม่มีขน ถึงตัวของมันจะผอม แต่เนื้อของมันก็นิ่มดี ...โดยเฉพาะที่ตูด...แสนเด้งดึ๋ง


"มึงลองยาสีฟันตัวใหม่ของเฮียตี๋แล้วเป็นยังไงบ้าง?"


"ก็ดีนะ ไม่เย็นไม่เผ็ดปาก ได้กลิ่นหอม ๆ ของสมุนไพร อ้อแล้วก็ใช้แค่นิดเดียว...ใช่มั๊ย?" ผมถามมันและอย่ากระนั้นเลย ผมจัดแจงหยิบแปรงสีฟันที่มียาสีฟันขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวบีบรอไว้ให้แล้ว ...ไอ้รวีถึงมันจะปากหมา บ้าบอ ขี้โวยวาย แต่มันก็มุมที่น่ารักแบบนี้แหละ


ผมจัดการแปรงฟัน และฟังการบรีฟถึงการใช้ยาสีฟันผีบอกนี่ให้ใช้แปรงแห้ง ๆ ไม่ต้องบ้วนน้ำแต่ประการใด เพื่อที่จะให้ฟลูโอไรด์ และสมุนไพรผีบอกร้อยแปด อันมีสรรพคุณมหัศจรรย์จะเคลือบฟันให้ได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ มึงนี่มันแสนรู้....เหมือนหมา


แปรงฟันจนคิดว่าสะอาดดีแล้ว ผมก็รวบแขนไปโอบเอวของมัน ผมรู้มันอ่อยผมแหละ ไม่อย่างนั้นคนสกปรกอย่างมันน่ะ ปกติแค่วิ่งผ่านน้ำมันก็ถือว่าสะอาดแล้ว เคยทะเลาะกัน มันก็ว่าเมื่อคืนมันนอนเฉย ๆ ไม่ได้ไปซนที่ไหนตัวไม่ได้เปื้อนเปรอะอะไรสักนิด แต่นี่ทำเป็นรั้ง ๆ รอ ๆ ทำเป็นสระผมอยู่นั่น คงรอให้ผมฟอกสบู่ให้ แต่ไอ้อาการแบบนี้สงสัยคงอยากจะได้สักดอกในตอนเช้า เพราะเมื่อคืนกว่าผมจะปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ มันก็หลับไปแล้ว 


ไอ้รวีนี่ หมอเป็นคนนอนแปลก ๆ คือถ้ามีผมนอนด้วย มันก็จะนอนซุกตัวติดกับผม จนผมกระดิกตัวไปไหนแทบไม่ได้ แต่ถ้ามันนอนคนเดียว มันจะนอนกางแขนกางขา หัวหลุดจากหมอน และองศาการนอนจะแปลกพิกล พอจะนอนเข้าจริง ๆ ผมก็ต้องขยับตัวของมันให้หนุนหมอนให้อยู่ในองศาที่ดี ๆ ไม่อย่างนั้นตื่นมาถ้ามันงอแงเพราะนอนตกหมอน ลำบากผมอีก


แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการนอน ตั้งแต่เด็ก ๆ ผมก็นึกขำ คนบ้าอะไรมันนอนได้อย่างแปลกประหลาดอย่างนี้ กล่าวคือ ตอนมันเด็ก ๆ น่ะ บนเตียงของมันจะอุดมไปด้วยตุ๊กตาเป็นสิบ ๆ ตัว ทั้งตัวเล็กขนาดฝ่ามือ ไปจนถึงตัวใหญ่จนกอดไม่มิด ตุ๊กตาพวกนี้จะรายเรียงล้อมรอบตัวมัน 


"มึงนอนยังไง?" ผมถามและมันก็สาธิตการนอนให้ผมดูซะเลย


"นี่ไงตัวนี้เอาไว้หนุนข้างหมอนตรงนี้ เพราะน้องบอบบางเดี๋ยวโดนพี่หมีทับแบนแต๊ดแต๋ ส่วนตัวนี้เอาไว้กอดเวลานอนตะแคงทางด้านซ้าย ส่วนพี่หมีนี่เอาไว้กอดเวลาตะแคงทางด้านขวา ตัวนี้เอาไว้พาดขา ส่วนตัวนั้นเอาไว้รองตีน ส่วนตัวนี้มันท่าทางดุ ๆ เอาวางไว้ตรงนี้ จะได้เป็นทหารคอยคุ้มกันกูตอนกูนอนหลับ" มันตอบแล้วก็เรียงตุ๊กตาไปรอบ ๆ เตียงซึ่งผมว่ามันเรียงมั่ว ๆ ผมแอบเห็นมีตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ตัวนึงหล่นอยู่ใต้เตียงด้วย


นั่นคือครั้งแรกที่ผมไปนอนค้างบ้านมัน น่าจะราว ๆ ตอนประถมสามหรือยังไงนี่แหละ สาเหตุก็เพราะตอนนั้นย่าต้องไปธุระ แล้วแม่ของไอ้รวีก็เลยชวนผมมานอนค้างที่บ้าน เพราะทั้งย่ากับแม่ของมันเกิดไปสนิทกันอีตอนไหนก็ไม่รู้ สันนิษฐานว่าสนิทกันตอนมารับผมกลับจากโรงเรียน พอเห็นว่าผมกับไอ้หนูผีสนิทกัน ทั้งสองคนก็สนิทสนมไปมาหาสู่กันถึงขนาดย่าทำขนมมาฝาก และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของหายนะ เพราะไอ้ตะกละนี่พอถึงตอนปิดเทอม มันก็ขอมานอนค้างที่บ้านผม สาเหตุไม่ใช่เพราะอยากมีเพื่อนหรืออะไร มันอยากกินขนมเพราะย่าของผมไปโม้ไว้ซะเยอะ


ตอนเด็ก ๆ บ้านของผมอยู่แถว ๆ เจริญกรุง บ้านของไอ้รวีก็เหมือนกัน แต่อยู่กันคนละฝั่ง ผมอยู่เลขคี่ มันอยู่เลขคู่ ผมโตมากับย่า เพราะพ่อกับแม่ของผมน่ะมัวแต่ยุ่งกับการทำงาน แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกขาดความรักแต่อย่างใด ก็เพราะผมมีย่าคอยดูแลแล้วไง ที่สำคัญย่าน่ะใจดี ไม่ดุ ชอบทำขนม ทำอาหารอร่อย ๆ คอยเล่านิทานให้ผมฟัง ไม่เหมือนพ่อที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาเจอหน้ากัน ส่วนแม่ก็ทำงานกับพ่อ...พอกันทั้งคู่


พ่อของผมเป็นหมอ และเป็นหมอใหญ่เสียด้วย ส่วนแม่ถึงไม่ได้เป็นหมอ แต่ก็ใหญ่ก็ว่าหมอก็เพราะเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลร่วมกับกับพ่อ จริง ๆ พ่อเคยแต่งงานมีลูกมีเมียมาก่อน แต่ไฉนจึงมาแต่งงานกับแม่ของผม อันนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของเขา ถือเสียว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ผมว่าเรื่องความรักมันไม่มีใครผิดหรือถูกร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก 


เอาเป็นว่าผมโตมากับย่า และไม่ได้มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ แต่ย่าเคยเล่าให้ผมฟังว่าตอนเด็ก ๆ ผมอ้อนกับย่าว่า "ถ้าสินโตมาแล้วสินไม่เป็นหมอได้ไหม?" 


"ทำไมล่ะลูก?" ย่าถามกลับ


"ก็พ่อกับแม่แทบไม่มีเวลากลับบ้านเลย ถ้าสินเป็นหมออีกคน ย่าคงเหงาแย่" คำตอบของผมตอนเด็ก ทำเอาย่าน้ำตาซึม และด้วยคำตอบของผมในวันนั้น มันก็เลยทำให้พ่อกับแม่ ซึ่งอยากให้ผมเรียนหมอ ต้องทะเลาะกันจนบ้านแทบแตก แต่สุดท้าย มันก็อยู่ที่ตัวผมด้วยนั่นแหละ ผมกลัวเลือด เห็นเลือดแล้วหมดแรง หรือถ้านึกถึงแผล ผมก็เสียวไส้จนขนลุก ผมคงเป็นได้แค่หมอดูหรือหมอผี ไอ้รวีมันเคยล้อผม


ตอนเด็ก ๆ ภาพในความทรงจำของผมก็คือ เมื่อถึงบ้าน ย่าก็จะมีอาหารหรือขนมแสนอร่อยเยอะแยะ ผมซึ่งเป็นหลานชายคนเดียว ก็กินได้อย่างที่เรียกว่าไม่อั้น ยิ่งเห็นย่าทำท่าภูมิอกภูมิใจ ที่ผมกินขนมฝีมือย่าได้เยอะ ๆ ผมก็อยากจะเอาอกเอาใจ เลยกินจนตัวอ้วนตาแทบปิด ก็อาหารและขนมของย่าอร่อยทุกอย่างจริง ๆ อีกอย่างผมเป็นคนตะกละ กินอะไรก็อร่อย 


หรือถึงไม่อร่อยผมก็กินของผมได้ อย่างเช่นข้าวเที่ยงที่ผมต้องกินของเหลือจากไอ้รวี ตั้งแต่อนุบาลจนมันโตจนเป็นเมียผมนี่แหละ ถ้าอะไรที่มันไม่ชอบมันก็ยกให้ผม แต่ถ้ามันชอบมันแดกเองเกือบหมด สันดาน...




เช้านี้เราใช้เวลาอาบน้ำค่อนข้างนานกว่าปกติ เพราะเกิดอาการช็อตในห้องน้ำ ขาของผมสั่นไปหมด และไอ้รวีก็ถึงกับแทบยืนไม่อยู่...เสือกยั่วกูเอง...ช่วยไม่ได้


เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ผมหยิบเสื้อที่จะสวมออกมาชูให้ไอ้หน้าหมาดู มันส่ายหน้าดิก ผมก็ต้องเก็บและดึงออกมาให้มันเลือกใหม่ ผ่านไปตัวที่ห้ามันถึงพยักหน้าและยกนิ้วโป้งให้ จริง ๆ ถ้ามึงเลือกให้กูตั้งแต่แรกเสียก็จบ แต่คนอย่างมันไม่ทำหรอก ผมเคยบอกให้มันเลือกมาให้ผมเลยแต่มันว่าอยากให้ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่พอกูเลือกมึงก็ไม่เอาไง ไอ้เปรต


สรุปสุดท้ายผมได้เสื้อเชิ้ตแขนสั้นเนื้อนุ่มใส่สบาย ๆ สีฟ้าอ่อน ใส่กับกางเกงขาสั้นสีกรม ส่วนรวีมันใส่เสื้อเชิ้ตสีกรมกับกางเกงขาสั้นสีขาว เรียกว่าพยายามคุมธีมสีให้แมชกัน 


"ใส่กางเกงขาสั้นจะได้ลุกนั่งสะดวก" ไอ้รวีมันอธิบาย เพราะจริง ๆ ผมอยากใส่กางเกงยีนมากกว่า


"มึงแน่ใจหรอว่าจะใส่กางเกงตัวนี้ เกิดมึงแดกจนอิ่มมันขยายเอวไม่ได้นา ใส่เป็นกางเกงวอล์มดีไหม?" ผมเสนอความเห็นจนมันทำท่าคิด แต่พอมันหยิบกางเกงวอล์มออกมาทาบแล้วมองตัวเองในกระจก มันก็เบ้ปากใส่


กว่าจะลงตัวเรื่องเสื้อผ้าก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง ไร้สาระแท้ ๆ แต่มันก็สนุกดีเป็นสีสันของชีวิตคู่ ดูเหมือนเราทะเลาะกันแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร และทะเลาะเถียงกันได้ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ แค่เรื่องเสื้อผ้าไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ อย่างคอนโดที่พักอาศัยกันอยู่ตอนนี้


"ไหนมาถ่ายรูปกับป๋าหน่อยดิ๊" ไอ้รวีสั่ง มันจับผมไปยืนเก๊กท่า มันเองก็ยืนมองเงาตัวเองในกระจก เห็นว่าจัดท่าทางดีแล้วมันก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป ดูมันยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ ผมก็นึกขำ แต่ก็นะ...กว่าเราจะลงเอยกันมันก็ไม่ง่ายเลยจริง ๆ 


เสียงแจ้งเตือนดังจากโทรศัพท์ ผมเปิดดู ก็เห็นมีแจ้งเตือนจากไอจีว่าผมโดนแท็กรูปมา รวีมันโพสต์รูปและมีคำบรรยายว่าพร้อมไปเยี่ยมคุณย่า ข้าง ๆ มีการ์ตูนรูปหมูป่ากับหมาตัวเล็ก ๆ (พอดีไม่มีการ์ตูนรูปพังพอนมันก็เลยเอารูปหมามาแทน...ซึ่งก็เหมาะกับมันดี)


ฤกษ์ดีเวลาเก้านาฬิกาเก้านาที กว่าจะได้ออกเดินทาง จริง ๆ ผมก็มีรถยนต์แต่ปกติไปทำงาน ผมชอบที่จะขึ้นรถไฟฟ้าไปมากกว่า ถึงคนจะแน่น แต่ก็ยังดีกว่าเสียสุขภาพจิตตอนรถติด ไหนจะวุ่นวายกับการหาที่จอดรถอีก ขึ้นรถไฟฟ้ามันนี่แหละ ใช้เวลาขับรถราว ๆ สี่สิบกว่านาที ก็ถึงบ้านเก่าของผม ไอ้ผมน่ะเฉย ๆ แต่รวีมันดูออกอาการเยอะกว่าหลานในไส้ไปเยอะ


เมื่อจอดรถสนิทดีแล้ว เราก็ลงไปพร้อมกัน มีห่อของขวัญติดมือมาด้วยสามกล่อง ของผมกล่องหนึ่ง ไอ้รวีกล่องหนึ่ง แล้วก็ของแม่ยายผมอีกกล่องหนึ่ง 


"สวัสดีครับย่า/สวัสดีครับย่า" เราสองคนทักทายย่าพร้อมกัน เพราะย่าเดินออกมารับถึงลานจอดรถ


"โอ๊ยมากันแต่เช้าเลยลูก กินอะไรกันหรือยังจ๊ะ?" ย่าทักอย่างใจดี พร้อมกับเดินไปกอดไอ้รวี...อะไรกันเนี่ย


"ย่า...หลานย่าอยู่ตรงนี้ครับ" ผมพูดงอน ๆ 


"โอ๋ ๆ เอ้ามากอดหน่อย หอบหิ้วอะไรมาเยอะแยะ" ย่ายิ้มขำและเดินมาทำท่ากอดผม แต่อนิจจา หัวของย่าอยู่ตรงราวนมของผมเท่านั้นเอง ผมก็เลยขยับของขวัญในมือไปอยู่ในแขนข้างหนึ่ง แล้วใช้อีกมือโอบย่า ก้มหน้าลงมาให้ย่าหอมแก้มเสียสองฟอด 


"รวีหิวไหมลูก?" ย่ากลับไปถามและยิ้มให้ไอ้รวีที่ยิ้มปากกว้าง


"หิวมากเลยครับย่า ผมบอกให้ไอ้สินมันออกมาตั้งแต่เช้า ๆ มันก็ลีลา" อ๊ะ...ไอ้นี่


"ได้ข่าวว่ามึงนั่นแหละช้านะ" ผมเถียงกลับและถ้าย่าไม่ห้ามทัพก็คงมีเถียงกันต่อ 


เข้าไปในบ้าน ย่ากล่าวขอบอกขอบใจและให้แม่บ้านเอาของขวัญที่พวกผมแบกมาเอาไปวางไว้ก่อน กลิ่นกับข้าวหอม ๆ ลอยฟุ้งมาเลยทีเดียว รวีมันอ้อนย่าเดินไปเกี่ยวแขน ถามย่าอย่างโน้นอย่างนี้อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด 


"ย่าทำแกงเผ็ดเป็ดย่างของโปรดรวีไว้ให้ด้วยแน่ะ อ้อ แล้วก็มี ไส้กรอกปลาแนมด้วยนะ แต่ย่าไม่ได้ทำหรอก ซื้อเขาเอา เจ้าเก่าแก่จากตลาดบางลำพูทีเดียวนะ ส่วนใบทองหลางนี่จากต้นที่บ้านเราเอง เพราะคนขายเขามีแต่ใบชะพลูให้เด็กคนงานปีนเก็บไว้ให้" นี่แค่เริ่มต้น ผมก็เห็นลูกกะตาของอีชูชกเป็นมันวาว


"แล้วย่าทำอะไรให้สินบ้างครับ?" ผมถามบ้างชักจะน้อยใจ แบบนี้มันต้องอ้อนทำคะแนนแข่งกับหลานปลอม


"เยอะแยะเลยลูก ยำปลาดุกฟูก็มี แล้วก็แกงจืดฟักต้มมะนาวดองใส่เป็ด" ย่าหันมาตอบพร้อมกับกลั้นยิ้ม


"นี่ไอ้อ้วน วันเกิดคุณย่าทั้งที ต้องให้คุณย่าทำโน่นทำนี่ให้ มึงสิควรจะทำให้ท่านนะ" แน๊ะ ทีมะกี้มึงทำท่าอ้อนขอย่าอย่างโน้นอย่างนี้ น่าถีบให้สักที


การทะเลาะทุ่มเถียงจบลงที่โต๊ะอาหาร ย่าก็กินพลางถามพลาง ส่วนใหญ่ก็ถามเรื่องงาน ไอ้รวีวุ่นวายแต่การกิน กินไปก็ชมไป ไอ้โน่นดี ไอ้นี่อร่อย นั่นทำยากไหม? นี่ซื้อจากไหน?


ถามอย่างนี้ ย่าก็เจียระไนวิธีการทำเสียละเอียดยิบ บอกเคล็ดลับต่าง ๆ นานา ราวกับว่าเป็นแม่ครัวหัวป่าก์ หรือคุณพนักงานห้องเครื่องจากในวังทีเดียว ไอ้รวีก็ยิ้มหน้าบานเป็นจานข้าวหมา ฟังย่าโม้ไป ไอ้รวีมันก็เคี้ยวไป ส่วนผมก็ได้แต่มองคนแก่กับคนขี้ประจบคุยโม้กันอย่างออกรส


"เอ๊ากินซะกูแกะกุ้งให้แล้ว" รวีมันบ่นแล้วก็ใช้ช้อนตักกุ้งตัวโต ๆ ที่แกะเปลือกออกจนหมด วางลงในจานของผม แล้วมันก็หันไปโม้กับย่าใหม่ รวีมันเป็นคนน่ารักอย่างนี้ ถึงจะกวนตีน ตะกละ และบ้า ๆ บอ ๆ แต่มันก็ใส่ใจผมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ถึงมันจะตะกละ และชอบแย่งของกินของผม แต่เวลามีอาหารที่ทำจากกุ้ง มันก็จะแกะเปลือกให้ผมกินได้ง่าย ๆ อย่างนี้มาตั้งแต่เราเริ่มคบเป็นแฟนกัน เพราะมันรู้ว่าผมชอบกิน ผมจะได้กินเนื้อกุ้งอร่อย ๆ ส่วนมันกินหัวกุ้ง...เพราะมันชอบ


กินอาหารเช้ากันจนอ่อนใจ ผมกับรวีก็ชวนย่าไปวัดเพื่อถวายสังฆทาน คนแก่น่ะชอบไปวัดอยู่แล้ว เราเลือกไปวัดเก่า ๆ ที่เงียบสงบ คนไม่ขึ้นมากนักจะได้ไม่วุ่นวาย กลับถึงบ้านเอาก็ช่วงบ่ายแก่ ๆ และแม่ของผมก็เป็นฝ่ายกลับมาถึงเป็นคนถัดมา


แม่ทักทายกับผมและรวี นิดหน่อยจากนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เผลอแป๊บเดียวก็เป็นช่วงเวลาเย็น ย่าเอาแต่ชะเง้อคอมอง จนในที่สุดก็มีรถกระบะขับเข้ามาจอด รวีก็จูงมือย่าไปรับแขกคนล่าสุดถึงลานจอดรถเลยทีเดียว


ย่ากลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับพี่โจและพี่ตี๋ โดยมีรวีถือช่วยกันถือของมาพะรุงพะรัง พี่โจเป็นพี่ชายคนละแม่กับผม เราไม่ค่อยสนิทกันนักหรอก อันที่จริงพี่โจก็ไม่ค่อยสนิทกับย่า เพราะตอนเด็ก ๆ แกโตมากับแม่ของแกที่ว่ากันว่าเป็นผู้หญิงเก่งและแกร่ง จนเริ่มทำงาน ต้องมาเจอพ่อเพื่อคุยเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ พี่โจก็เลยเริ่มกลับสนิทกับย่าและผม ส่วนพ่อนั้น แม้แต่ผมเองก็ยากจะได้เจอแก 


"พ่อใกล้จะถึงบ้านแล้วรออีกแป๊บเดียวนะจ๊ะ" ย่าหันมาบอกพวกเราที่รอคนอยู่แค่คนเดียว และเมื่อพ่อขับรถมาถึง พวกเราก็เริ่มลงมือกินอาหารเย็นมื้อพิเศษร่วมกัน 


กับข้าวก็กับข้าวจากเมื่อเช้านี่แหละ เพิ่มเติมอีกสองสามอย่างที่เคี่ยวไว้แล้ว กลายเป็นว่าในวงสนทนาส่วนใหญ่มีแต่คนคุยคือย่า พี่ตี๋ แล้วก็ไอ้รวี โดยมีย่าเป็นผู้ป้อนคำถามและพี่ตี๋กับรวีแย่งกันตอบ ย่าจะหันมาถามผมบ้าง ถามพ่อกับแม่บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นกระสาย


แน่ล่ะจบงานด้วยการเป่าเค้ก ซึ่งเจ้าของงานได้กินแค่คำเดียว พ่อไม่ให้ย่ากินของหวานเพราะกลัวน้ำตาลจะขึ้น คนที่ได้กินเยอะที่สุดไม่น่าจะเดายาก ไอ้หน้าหมาที่เคี้ยวตุ้ย ๆ ข้าง ๆ ผม ส่วนผมก็กินได้นิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นน้ำใจเพราะต้องควบคุมน้ำหนัก ผมไม่อยากกลับไปเป็นไอ้อ้วนเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกแล้ว


ส่วนที่สนุกที่สุดของย่า ก็เห็นจะเป็นการเปิดกล่องของขวัญนี่ล่ะ พ่อกับแม่ให้เข็มกลัดแบรนด์เนมซึ่งย่าก็รับมากลัดที่อกเสื้อทันที พี่โจกับพี่ตี๋ ซื้อเครื่องฟอกอากาศให้ย่าเพราะ พีเอ็มสองจุดห้ากำลังจะมาถึงอีกแล้วในช่วงปลายปี แม่ของรวีให้ถ้วยเบญจรงค์ลายสวยเพราะรู้ว่าย่าชอบสะสม ไอ้รวีให้ชุดยาวตัวหลวมสีเปรี้ยวเข็ดฟัน ซึ่งย่าชอบอกชอบใจและบอกว่าเดี๋ยวจะใส่ไปเที่ยวทะเลพอดี 


"สุขสันต์วันเกิดนะครับย่า" ถึงตาของผมที่จะมอบของขวัญให้ย่าบ้าง กล่องของขวัญของผมเห็นแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าของขวัญด้านในคืออะไร ย่ากล่าวขอบใจและค่อย ๆ ใช้มีดแกะออกอย่างบรรจง และเมื่อเปิดกล่องย่าก็อมยิ้ม และเหมือนย่าจะมีน้ำตาคลออยู่นิด ๆ 


"ขอบใจนะลูก นี่มันหนังสือเจ้าชายน้อย ว่าแต่เป็นภาษาอะไรจ๊ะ?" ย่าถามและหยิบมันขึ้นมาดู พลิกซ้ายพลิกขวา เปิดหน้าหนังสือจนเห็นอักษรแปลก ๆ แน่ล่ะย่าอ่านไม่ออกหรอก แต่มันเป็นของสะสมของย่า


"ฉบับภาษาเกาหลีครับ" ผมตอบและย่าก็ลูบคลำมันซ้ำ ๆ อย่างพออกพอใจ 


หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยสิบกว่าเล่ม ได้มีสมาชิกใหม่ เล่มที่อยู่ริมทางด้านซ้ายสุด มันเก่าจนปกถลอกหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเล่มโปรดของผมอยู่ดี 


ผมรักการอ่าน เพราะได้มาจากย่านี่เอง เริ่มแรกจากที่ย่าจะอ่านหนังสือนิทานให้ผมฟังก่อนนอน จนผมเริ่มอ่านหนังสือออก ย่าก็ให้ผมอ่านนิทานให้ย่าฟังก่อนนอน คำไหนอ่านผิดย่าก็ช่วยแก้ให้ หรือถ้าผมไม่เข้าใจย่าก็อธิบายให้ฟัง 


ตัวของผมเองก็มีหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยติดห้องอยู่เหมือนกัน แต่ผมจะเลือกอ่านมันเมื่อรู้สึกเครียด ๆ น่าแปลกที่หนังสือเล่มบาง ๆ มีตัวละครแปลก ๆ กับภาษาที่เรียบง่าย แต่การอ่านมันในทุก ๆ ครั้ง ประสบการณ์ของเราจะทำให้เราซาบซึ้งและ รับรู้ความหมายของเนื้อเรื่องผิดแผกกันไป ผมที่อ่านมันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว หรือเมื่อวานนี้ ก็จะรู้สึกถึงมันผิดแปลกไป แต่เจ้าชายน้อยก็ยังเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมรักอยู่เสมอ


"ย่าเคยบอกว่ากูเป็นเจ้าชายน้อยของย่า" ผมในวัยเด็ก เคยคุยอวดมัน ผมมักจะหยิบหนังสือติดมือมาอ่านที่โรงเรียน และแน่นอนไอ้ตัววอแว ที่ชอบสาระแนเรื่องคนอื่น ก็ชอบที่จะมาถามว่าผมทำอะไร 


"เจ้าชายหมูสิไม่ว่า" ดูปากไอ้เตี้ยมันน่าถีบ แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ ผมพาร่างอ้วน ๆ หลบไปอยู่ที่เงียบ ๆ ตรงซอกหนึ่งของตึกแล้วนะ แต่ขนาดตัวและสีผิวมันไม่อำนวย ไอ้รวีที่มันว่ามันบังเอิญเดินผ่านมา เลยอดจะแวะเข้ามาเสือกกับชีวิตผมจนได้


"เรื่องมันเป็นฉันใด?" แน่ะจะถามก็ทำสำนวน ครั้นพอผมทำท่าจะไม่สนใจ มันก็ทิ้งตัวลงนั่งทำท่าอ้อน และจะขอให้ผมเล่าเรื่องให้มันฟัง 


"มันก็เป็นเรื่องของเจ้าชายที่มาจากดาวดวงอื่น" ผมเริ่มเกริ่น


"มายังไง นั่งจานบินมาเหรอ หรือหายตัวมา?" ไอ้คนขี้สงสัยถาม


"ไม่รู้อ่านเองสิ" ผมว่าและยื่นหนังสือให้มัน จริง ๆ ผมรู้ว่ามันไม่อ่านหรอก มันขี้เกียจจะตายไป หนังสือเรียนถ้าไอ้รวีไม่จำเป็นจริง ๆ มันก็แทบจะไม่แตะด้วยซ้ำ แต่มันเสือกสอบได้ที่หนึ่งของห้องทุกที ผลัดกันกับผม มันน่าสงสัย


"เล่าให้ฟังหน่อยสิ เฮียศศิน" ถึงขนาดเรียกชื่อจริง อย่างนี้แสดงว่ามันยอมอ่อนข้อให้ เพราะปกติมันจะเรียกผมว่าไอ้สินหรือไอ้อ้วนเป็นปกติ


"เอ้าเดี๋ยวอ่านให้ฟังก็ได้" ผมว่าและเริ่มอ่านตั้งแต่บทแรกให้มันฟัง มันก็นั่งฟังตาแป๋ว และอมยิ้มกับเรื่องของงูกินช้าง และมีแต่คนเข้าใจว่าเป็นหมวก


แต่บุญเก่าของผมยังมี อ่านได้ไม่เท่าไร ก่อนที่จะประสาทเสียกับการซักและไม่เห็นด้วยกับตัวละคร กริ่งเข้าเรียนก็ดังเสียก่อน เมื่อกลับมานั่งในห้อง รวีที่มันแสนมือบอนก็วาดรูปอะไรแปลก ๆ ที่ริมสมุด


"???" ผมเหลือกตาถาม มองรูปคล้ายซาลาเปาที่มีกระดาษใหญ่กว่าลูกของมันแปะด้านล่าง


"งูที่แดกมึงเข้าไปไง" มันตอบแล้วก็อมยิ้ม 


หมดจากอาหารมื้อเย็น พ่อกับแม่ก็ขอตัวไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เช้ามืด ทั้งสองคนต้องบินไปฟิลิปปินส์ ส่วนพี่โจที่ดูจะอึดอัดนิดหน่อยก็จากลาไปเป็นลำดับถัดมา


เหลือผมกับรวีและย่าที่นั่งดูเน็ตฟลิกซ์ ด้วยกัน สารภาพตรง ๆ ว่าดูไม่รู้เรื่อง เพราะผมหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนย่ากับรวี ก็คุยกันกระจุ๋งกระจิ๋ง ฟังดูแว่ว ๆ เหมือนเป็นการนัดแนะไปเที่ยวกันหรืออะไรนี่แหละ


"โอ๊ย ย่านัดเขาไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะชวนทั้งสองคนไปด้วย" ย่าพูดบ่นด้วยน้ำเสียงเสียดายเต็มที พร้อมกับยื่นมือไปเขย่ามือของรวีแรง ๆ 


"ไว้ไปด้วยกันก็ได้ครับ เดือนหน้าก็ได้ เดี๋ยวผมหาสถานที่ให้ เอาที่ทะเลสวย ๆ อาหารอร่อย ๆ บรรยากาศดี ๆ ดีไหมครับ อ้อชวนแม่ไปด้วยดีกว่า แกบ่นคิดถึงคุณย่าชะมัด แล้วก็บ่นอยากไปสูดลมทะเลด้วยพอดี" รวีมันอ้อนเก่งอย่างนี้ ผมเห็นย่ายิ้มตาเป็นประกาย


อย่าคิดว่าย่าของผมจะเหงา เอาเข้าจริง ๆ ย่าก็ไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้านเหมือนกันนั่นแหละ ย่าของผมชื่อเล่นชื่อยุ้ย และจะให้เต็มที่ก็ต้องเรียก ยุ้ยญาติเยอะ ย่ามีญาติเยอะและเพื่อนเยอะจริง ๆ ดังนั้น ย่าจึงเที่ยวบ่อยมาก ๆ ไปเยี่ยมคนโน้น ไปหาคนนี้ เดือน ๆ หนึ่ง ย่าอยู่บ้านแค่ไม่กี่วัน และวันนี้วันเกิดย่า ทีแรกย่าน่ะมีโปรแกรมจะไปเที่ยวอิตาลีด้วยซ้ำ แรก ๆ น่ะก็ไม่เท่าไร แต่พอผมโตจนออกจากบ้าน คราวนี้ล่ะ ย่าก็เที่ยวยับไปเลยเพราะหมดห่วงแล้ว แถมย่ายังแข็งแรง ปีนเขาหรือเดินไกล ๆ ก็ทำได้ไม่มีบ่นสักนิด


งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา กว่าจะขึ้นรถมาได้ ก็ลากันแล้วลากันอีก ย่ากอดผมแน่น ๆ และพูดย้ำให้ผมมาหาท่านบ่อย ๆ ผมก็อยากจะสนอง แต่ติดที่ย่าไม่ค่อยอยู่บ้านนี่ล่ะ ส่วนรวีมันอ้อน หอมแก้มย่าซ้ายขวา กูเป็นหลานแท้ ๆ ยังไม่กล้าหอมแก้มย่าเลย มึงนี่มัน...ตอแหลเก่ง


ขากลับ ผมนั่งที่ด้านข้าง รวีขอเป็นฝ่ายขับรถให้เอง มันอารมณ์ดีขั้นสุด แน่นอนว่าคงเป็นเพราะอาหารที่ย่าใส่กล่องให้พวกผมเอามากินกันตายที่คอนโดเจ็ดกล่องโต ๆ โดยเฉพาะเนื้ออบ กับสตูเนื้อที่เป็นของโปรดของไอ้หมอนี่ อย่างนี่ไงเล่ามันถึงได้ขอเป็นพลขับเสียเอง


"มึง..." มันพูดแล้วก็หันมามองผม


"อะไร?" ผมเอนเบาะให้เป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน 


"เล่าเรื่องเจ้าชายน้อยให้กูฟังหน่อยสิ" รวีมันอ้อน ผมรู้มันจำได้ขึ้นใจ เพราะผมเล่าให้มันฟังไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง


"เอาตอนไหนล่ะ?" ผมถาม


"เอาตอนที่มีหมาจิ้งจอก กูชอบหมา" มันตอบและอมยิ้ม เอหลอกด่าผมเป็นหมาหรือเปล่านะ ผมก็เล่าไปเท่าที่นึกออก


"วันรุ่งขึ้นเจ้าชายน้อยก็กลับมาอีก และสุนัขจิ้งจอกก็บอกว่า ถ้ามาในเวลาเดิมได้ก็จะดีกว่า ตัวอย่างเช่น หากเจ้ามาในตอนบ่ายสี่โมงเย็น พอบ่ายสามโมงฉันก็จะเริ่มมีความสุขแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร ฉันก็จะรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น พอจวนจะถึงสี่โมงเย็น ฉันก็จะตื่นเต้นกระวนกระวายใจ แล้วฉันก็จะค้นพบคุณค่าของความสุข  แต่หากเจ้ามาไม่เป็นเวล่ำเวลา ฉันก็จะไม่มีวันรู้เลยว่า ควรจะเตรียมแต่งใจไว้ตั้งแต่เมื่อไร" 


ผมเล่าตอนนี้ได้คล่องเพราะจำได้อย่างขึ้นใจ เพราะผมรู้ว่าเป็นช่วงนี้ของเรื่องที่ไอ้รวีมันชอบ


"ส่วนกูขอเวลาไหนก็ได้ ขอแค่ให้มีมึงกับกู มีคุณย่าด้วยก็ดี เดือนหน้าเราไปทะเลกันเนาะ เดี๋ยวกูหารีสอร์ตสวย ๆ เห็นพี่ตี๋ว่ามีที่แนะนำที่ระยอง ไม่ไกลมาก รีสอร์ตสวย อาหารอร่อยด้วยแหละ" รวีพูดไปยิ้มไป นี่ใจมันคงไปถึงทะเลแล้วล่ะมั้ง


"อืม ดีเหมือนกัน" ผมตอบและทิ้งตัวนอน ผมอิ่มตื้อจนตาแทบปิด ปล่อยรวีให้มันขับรถไป รวีมันเป็นคนขับรถช้า ผมนอนได้อย่างทิ้งตัว แต่ก่อนจะหลับผมรู้สึกได้ถึงมือของมันที่ลูบมาที่หัวของผมเบา ๆ ผมลืมตาก็เห็นว่าด้านหน้ามันติดไฟแดง รวีมองผมแล้วก็อมยิ้ม พร้อมกับยื่นหน้ามาหอมแก้มของผมเบา ๆ แล้วมันก็กลับไปตั้งใจขับรถต่อ


เจ้าชายน้อยของผมในชีวิตจริง มันนั่งขับรถให้ผมอยู่ข้าง ๆ นี้ ถึงแม้บางทีมันจะแปลงร่างเป็นหมาจิ้งจอกบ้าง เป็นพระราชาบ้าง เป็นคนบ้าคนบออะไรก็ตามแต่เถอะ 


"รวี...." 


"หืม??" มันรับคำและหันมามองหน้าผม


"เปล่า...ไม่มีอะไร" ผมตอบและหลับตาลง ส่วนมันก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อ ส่วนผมขอหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม