แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
การมาเที่ยวในครั้งนี้ของพวกเรา คุณย่ากับแม่ดูจะมีความสุขมากเหลือเกิน คุณย่านั้นขี้เหงา แม่เคยบอกกับผมว่า คุณย่านั้นเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมาก ๆ และการที่แกร่งจนสามารถใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ได้ขนาดนี้ ต้องผ่านอะไรมาตั้งมากมาย ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะต้องเผชิญชีวิตเหมือนคุณย่า อย่างที่แม่เคยเล่าคร่าว ๆ ให้ฟัง ผมจะสดใสร่าเริงอย่างนี้ได้หรือไม่กันหนอ
คุณย่านั้นมีลูกชายคนเดียว แถมยึดอาชีพเป็นหมอเหมือนสามีของตัวเองอีก เงินทองนั้นมีมากมายแต่สิ่งที่ขาดหายคือ "เวลา" ครั้นสามีเสียชีวิตไป และลูกเต้าก็เอาแต่บ้างาน อ้อหลานชายสุดที่รักซึ่งโตพ้นอกก็ไม่ค่อยจะมีเวลาให้อีกเหมือนกัน พอครอบครัวของเราทั้งสองคนดองกัน คุณย่าก็ดูจะนับเอาแม่ของผมเป็นลูกสาวอีกคน ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ มารับไปเที่ยวไปกินเป็นประจำ แม่แอบรายงานมาให้ฟัง
ส่วนแม่เอง ผมคิดว่าแม่น่ะก็คงยึดคุณย่าเป็นเหมือนแม่คนที่สอง เพราะตอนสมัยตากับยายสร้างตัว วัน ๆ ก็เอาแต่ทำงาน แม่ก็ทั้งต้องขยันทำงานด้วย ขยันเรียนด้วย จนเมื่อมีฐานะขึ้นมา แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ลำบากขัดสนเหมือนก่อน พอจะสบายสักหน่อย ยายก็กลับมาเสียชีวิตเสีย ส่วนตาของผมก็เสียเมื่อสองปีก่อน
ผมอดคิดเสียไม่ได้ว่า คนเราถ้าจะต้องอยู่คนเดียวมันจะเหงาสักแค่ไหนกันนะ คิดแล้วผมก็อดจะยื่นมือไปจับมือของไอ้สินมาบีบเบา ๆ และเมื่อมองหน้าของมันที่กำลังหลับสบาย ๆ บนเตียงผ้าใบซึ่งตั้งอยู่ริมชายหาด ผมก็เผลอบีบมือของมันแรงขึ้นเพราะอยากจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะอยู่เคียงข้างกับมันเสมอ ๆ และหวังใจว่ามันเองก็จะไม่หนีหายไปจากชีวิตของผมเช่นกัน
"???" มันเปิดตาโพลงมามองผมว่าผมบีบมือมันทำไม
"ไม่มีอะไรจ๊ะ" ผมตอบและทิ้งตัวไปนอนสบาย ๆ เหมือนกัน และดึงมือของนายศศิน มาจูบเบา ๆ อย่างแสนรัก เราด่ากันเก่ง เถียงกันเก่ง ทะเลาะกันเก่ง แต่ก็แอบมีโมเม้นต์หวาน ๆ ใส่กันตลอด ...ถ้าไม่ลืม
คุณย่าเดินตากแดดอ่อน ๆ ยามเช้า จูงมือกับแม่ เดินลุยคลื่นบาง ๆ ที่ชายหาด ส่วนผมกับไอ้สิน ขอนอนพัก เพราะตื่นมาวิ่งจ๊อกกิ้งตั้งแต่เช้ามืดแล้ว เลยขอพักขาสักหน่อย
คุณยายใช้ผ้าบาติกลายดอกสีส้มจัด มัดที่เอว กับเสื้อยืดสีขาว ส่วนแม่ของผมใส่กางเกงกีฬาขาสั้นกับเสื้อกีฬาเข้าชุดกัน เดินคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋ง
"ย่าคงนับแม่เป็นลูกสาวไปอีกคนแล้วล่ะมั้ง คุยกับแม่ของมึงมากกว่าคุยลูกชายแท้ ๆ อีก" ไอ้สินพูดบ่น และหันมามองหน้าผมแล้วก็อมยิ้ม
"แม่กูก็เลยสบายไปเลย" ผมตอบกลับ
"แต่ถ้ากูเป็นย่ากูก็ชอบนะที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับแม่น่ะ แม่มึงตลกดีเหมือนมึง ใครอยู่ด้วยก็สบายใจ เอาจริง ๆ นะ ความเป็นคุณย่าน่ะ บางทีกูก็อึดอัดนิดหน่อยที่ต้องอยู่ด้วยนาน ๆ" ไอ้สินเผลอพูดความในใจ ซึ่งผมก็เข้าใจแหละ คนมันคนละเจนเนอเรชั่น ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่ช่องว่างระหว่างวัยมันมากเกินไป
สินรักคุณย่ามากพอ ๆ กับที่คุณย่ารักไอ้สินนั่นแหละ แต่ความรักของผู้ใหญ่ บางครั้งถ้ามันมากไปมันก็กดดันเหมือนกัน ผมเคยนึกสงสัยว่าตอนที่เราสองคนตอนยังเป็นเพื่อนกัน ไปมาหาสู่กันเพื่อทำการบ้านด้วยกันตอนเย็น ๆ แต่พอวันหยุด ไอ้สินมันกลับชอบมาขลุกอยู่ที่บ้านของผมแฮะ ทั้ง ๆ ที่บ้านของผมมันก็เป็นแค่ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง มีแต่อะไรรก ๆ เต็มไปหมด ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน ผิดกับบ้านของมันที่ใหญ่โตอย่างกะวัง แถมสะอาดสะอ้าน ไร้ฝุ่นราวกับมีคนเช็ดถูตลอดเวลา
"บ้านมึงมีเกมให้เล่นไง คุณย่าไม่ให้กูเล่นเกมเด็ดขาด ยิ่งถ้าเป็นเกมที่ยิงกันเลือดสาดล่ะก็ ตายแน่ ๆ" ไอ้สินมันเคยหลุดปาก แต่เอาเข้าจริง ๆ เกมที่ผมเล่นมันก็เป็นเกมติงต๊องปัญญาอ่อน เช่นเกมขับรถ ซึ่งพ่อกับแม่อนุญาตให้เล่นได้ แต่มีช่วงเวลาเกินนิดเกินหน่อยก็ไม่ว่ากัน แต่อาจโดนบ่นสักหน่อย แต่ถ้ากับคุณย่าล่ะก็ไม่ได้เลยต้องตรงเวลาเป๊ะ
"ย่าเล่าว่าคุณปู่เคยไปผ่าตัดคนไข้ช้าไปครึ่งชั่วโมง เลยทำให้คนไข้พิการไปเลย แต่มันเหตุสุดวิสัยนะ มึงก็รู้ว่าตรงโรงพยาบาลของพ่อน่ะรถติดที่สุดในโลก มันก็เลยทำให้กูฝังใจเลยต้องเป็นคนตรงต่อเวลาให้ได้มากที่สุด" นั่นไงล่ะ ตอนไอ้สินเล่าเรื่องนี้เราเพิ่งอยู่ประถมสามเองนะ ผมยังนอนตื่นสายอยู่เลย ก็ถึงว่ามาโรงเรียนทีไร เห็นไอ้สินนั่งอ่านหนังสือรอตรงหน้าเสาธงทุกที
"พ่อของมึงทำอาหารอร่อยด้วย กูชอบกิน" ไอ้สินกระซิบ แล้วไอ้อาหารอร่อยนี่ ใครรู้จะขำกันแย่ พ่อน่ะสมัยหนุ่ม ๆ ติดจะชอบดื่มสักหน่อย แล้วก็เป็นขวัญใจประจำวงเหล้าด้วยนะ เพราะพ่อน่ะทำกับแกล้มเก่ง ผมจำได้สมัยผมเด็กมาก ๆ ชอบมีเพื่อน ๆ ของพ่อมากินเหล้าที่บ้านเสมอ ๆ แม่ของผมสิ กลับทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น ไข่เจียวยังทำไหม้ ไข่ต้มแข็งโป๊กเพราะกะเวลาไม่ถูก ส่วนไข่ตุ๋น แม่ทำออกมาเละเหมือนแกงจืดไข่น้ำ ส่วนใหญ่เราก็เลยซื้อกับข้าวจากตลาดมากินกัน
แต่ถ้าวันไหนพ่ออยู่บ้านนึกครึ้ม ๆ ขึ้นมาพ่อก็จะทำกับข้าวเย็นให้พวกเรากินด้วยกัน ผมเองนั้นเป็นคนกินยาก แต่ถ้าเป็นฝีมือของพ่อ ถึงจะแปลกประหลาดแค่ไหน ผมก็กินได้หมด กบเอย ปลาไหลเอย หมูป่าเอย ยำอะไรแปลก ๆ หรือรสชาติเผ็ดแทบตายกินไปเช็ดขี้มูกไป แต่ถ้าพ่อทำผมก็กินได้เพราะมันแสนอร่อย
ผมที่กินยากยังติดใจฝีมือพ่อขนาดนั้น ไอ้สินเจอเมนูพิสดารเข้าไปทีนึง ติดใจจนฝันถึง เริ่มต้นง่าย ๆ จากกบทอดกระเทียมพริกไทย
"อะไรครับพ่อ?" คุณชายศศินถาม พลางมองชิ้นเนื้อขนาดเท่านิ้วก้อยอวบ ๆ ซึ่งทอดจนเป็นสีเหลืองทองแสนน่ากิน
"กบทอดกระเทียม ลองกินสิลูกอร่อย ไม่คาวหรอก รสคล้าย ๆ ไก่ แต่อร่อยกว่าเยอะ" พ่อแนะนำ
"อร่อยจริง ๆ มึงนี่กูกินให้ดู" ว่าแล้วผมก็หยิบขากบอวบ ๆ จิ้มซอสพริกศรีราชา แล้วก็เคี้ยวหยับ ๆ จนไอ้สินมองผมอย่างทึ่ง ๆ
"อื้มมมมมมมม อร่อยจริง ๆ ด้วย" ไอ้สินพูดและทำสีหน้าปลื้มปริ่ม หลังจากลองคำแรก คนเราพอมีก้าวแรกเสียแล้ว คราวนี้ก็มีก้าวที่สอง และสุดท้าย ก็ดูจะตกหลุมรักอาหารฝีมือของพ่อ ซึ่งอย่าหวังว่าพ่อจะปรานีรู้ว่าเด็ก ๆ กินแต่พ่อก็จะใส่เครื่องอย่างถึงรส เผ็ดก็ต้องเผ็ด จะมาถือว่าเด็กกินด้วยแล้วใส่พริกน้อยลง พ่อว่าไม่ทำเสียดีกว่าแน่ะ ศิลปินจริง ๆ พ่อกู
พ่อออกจะเอ็นดูไอ้เด็กอ้วนที่ชอบซักชอบถาม และชอบถามอะไรแปลก ๆ ปกติ ถ้าวันหยุด นอกจากไอ้สินก็มักจะมีเพื่อนร่วมชั้นอีกคนหรือสองคนมาเล่นที่บ้านผม เพราะบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ไอ้สินเป็นคนโปรดของคนบ้านนี้มากกว่าคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้หวังว่าจะได้มีการมานอนค้างอ้างแรม คุณหญิงย่ากรุณาให้มาเที่ยวเล่นได้ ก็บุญแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า เวลาหกนาฬิกาตรง ต้องกลับโดยน้ามนัสพลขับผู้มุ่งมุ่นจะมาจอดที่หน้าร้านไม่ขาดไม่เกิน
จนประมาณสักประถมสี่ถึงประถมห้า พวกเรารู้สึกว่าไอ้ที่เรียน ๆ อยู่น่ะมันไม่พอเสียแล้ว และโรงเรียนสอนพิเศษโรงเรียนกวดวิชาน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี ซึ่งจะว่าไปมันเป็นทางเลือกที่ดีให้เราได้แอบหนีเที่ยวมากกว่า ผมกับไอ้สินนั้นตัวติดกันอยู่แล้ว เลือดสุพรรณไปไหนไปกัน เราเรียนกันอย่างตั้งใจจริง ๆ และเราก็แอบหนีเที่ยวจริง ๆ เหมือนกัน
เราไม่ได้โกหก แต่บอกไม่หมด แค่นั้นเอง เมื่อเรียนจนจบ ผมก็มักจะชวนไอ้สินให้เสียคน ไปดูหนังบ้าง เดินห้างบ้าง ก็มันแหล่งท่องเที่ยวของวัยรุ่นนี่นะ ตื่นตาตื่นใจและสนุก ยิ่งได้ทำอะไรแอบ ๆ ซ่อน ๆ มันยิ่งมีสีสัน คุณชายศศินก็เลยจะเสียผู้เสียคนก็เพราะกูนี่แหละ
แต่ถึงอย่างนั้น เราสองคนก็สอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมชายล้วนชื่อดัง ได้และติดอยู่ในกลุ่มท้อปเช่นเคย ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ก็คนมันเก่ง....อ้อสวยด้วย ถึงแม้ไอ้สินจะชอบด่าว่าผมเหมือนมนุษย์ต่างดาวสักหน่อย ก็ผมในตอนนั้นมันตัวนิดเดียวผอม ๆ แกร็น ๆ เดินไหล่ห่อ ๆ แล้วหัวก็โต๊โต ...ก็กูสมองเยอะหนิ ของมึงน่ะสมองไม่อยู่ในหัวมันไปแทรกตามพุงไง ผมด่ามันกลับว่าอะไรประมาณนั้น
ชีวิตนักเรียนมัธยมต้นในตอนนั้น ถ้าผมมองย้อนไปผมก็รู้สึกว่ามันช่างเด็กน้อยเสียเหลือเกิน แต่ถ้าย้อนเอาตัวเองไปอยู่ตรงวินาทีนั้น การได้นั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเอง การที่พ่อกับแม่ไม่ต้องมาเทียวรับเทียวส่ง ก็รู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่เสียเต็มที
เพื่อนใหม่ของผมมีแต่เด็กเรียนเก่ง เผลอ ๆ จะเก่งกว่าผมเสียอีก แต่ในความเป็นเพื่อน เราก็ยังรักกันจนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อและนัดกินข้าวด้วยกันบ้าง ถ้าว่าง กินข้าวกันยังด่ากันอยู่ว่าสุดท้ายผมกับไอ้สินลงเอยเป็นผัวเมียกันได้ยังไง เพราะดูมันไม่มีวี่แววสักนิด เราสองคนเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนที่สนิทมาก ๆ แต่ในทำนองเดียวกันก็ต่างกันเหมือนมาจากคนละจักรวาลเหมือนกัน ตอนนั้นทั้งผมทั้งไอ้สิน ไม่เคยคิดจะชอบหรือจะรักกันในฐานะอื่นนอกจากเพื่อนเลยจริง ๆ
อาจเพราะเราเด็ก และโตมาด้วยกัน และเรื่องเรียนก็เป็นเรื่องที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตวนลูปประจำวันซ้ำ ๆ ซาก ๆ มีแต่เรื่องเรียนเป็นหลัก และไม่ลืมที่จะหนีเที่ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้หัวใจได้ตื่นเต้น แต่พวกเรารวมไปถึงแก๊งเด็กเรียนก็รักดี และไอ้สินแอนเดอะแก๊ง ก็ทำคะแนนได้ดี๊ดีจนอาจารย์รักเป็นพิเศษ แต่โลกมันไม่ให้อะไรสมบูรณ์แบบขนาดนั้น
เมื่อเรียนเก่งเป็นแก๊งเด็กเนิร์ด สิ่งที่ทำไม่ได้ก็น่าจะเป็นอะไรที่มันต้องใช้ร่างกายไม่ได้ใช้สมอง กิจกรรมและกีฬาพวกเราจัดอยู่ในขั้นห่วยมาก รวมไปถึงความหนาของแว่นตาไอ้สินด้วย เพราะนอกจากจะอ่านตำราเรียน หมอก็เริ่มเข้าสู่แวดวงวรรณกรรมจีน ซึ่งแต่ละเล่มย๊าวยาว เล่มหนา ๆ ทั้งนั้น ผมไม่ได้เป็นหนอนหนังสือเหมือนมัน ชอบดูซีรีส์ ชอบดูหนังมากกว่า
นอกจากสกิลการใช้พละกำลังจะเข้าขั้นห่วยอย่างที่ว่า ก็คิดสภาพอ้วนกับผอม ที่ตัวติดกันอย่างกะข้าวต้มมัด ไอ้ผมก็ผอมจนซี่โครงบาน ถ้าใส่แว่นก็คล้าย ๆ มาโนชในเรื่องแฟนฉัน หรือนึกภาพให้มันใกล้เคียงกว่านั้นก็นึกภาพของมนุษย์ต่างดาวอย่างที่ไอ้สินชอบเอามาเปรียบเทียบตัวผมนั่นแหละ คือตัวผอม ๆ หัวโต ๆ ตาโต ๆ ปากเล็ก ๆ ส่วนไอ้สินก็นึกถึงฮิปโปใส่แว่นหนา ๆ นั่นล่ะ เข้ากั๊นเข้ากัน ส่วนแก๊งเด็กเนิร์ดที่เหลือ สภาพก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร
ยามว่างของพวกผมมักจะมานั่งกองรวมกลุ่มกัน คุยเรื่องเรียนบ้าง เรื่องบ้า ๆ บอ ๆ บ้าง เช่นเรื่องการ์ตูน ซึ่งเราจะคุยกันอย่างออกรสสักหน่อยตอนเช้าวันจันทร์ เพราะได้ดูจนฉ่ำปอดในวันเสาร์อาทิตย์ แต่ผมได้แต่ฟังพวกมันคุยกันเพราะตื่นสาย ดูไม่ทัน ส่วนแม่ชอบดูละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ตอนเช้า ขี้เกียจแย่งทีวีกันด้วยแหละ
แต่พอจะขึ้นมัธยมปลาย พวกเราก็กลับมาเนื้อหอม เพราะเพื่อน ๆ ชอบมาให้สอนแต่เดี๋ยวก่อน กูไม่ใช่ครู และขากลับกูต้องกลับบ้านกับคุณชายศศินจ้า ผมนั้นมาโรงเรียนเองเพราะนอนตื่นสาย แต่ขากลับ ตรงเวลาเป๊ะ ไม่ต้องฝ่ารถติด ไม่ต้องเบียดดมขี้เต่าใคร ไม่ต้องยืนจนขาแข็งบนรถเมล์ที่มีแต่อากาศร้อน ๆ ควันเหม็น ๆ และเรียนมาทั้งวันเหนื่อยจะแย่ ไม่คิดนอกลู่นอกทางไปเที่ยวไหน ถ้าวันเสาร์อาทิตย์สิ หนีเที่ยวแน่นอน
"วันนี้คุณย่ากลับดึกนะครับ คุณสินอยากแวะทานอะไรก่อนไหม หรือจะให้ซื้ออะไรกลับไปทานที่บ้านดี?" น้ามนัสพูดกับไอ้สินแบบว่า สุภาพม๊ากมาก
"เอายังไงดีมึง ?" ไอ้สินหันมาถามความเห็นผมเสียอย่างนั้น
"แล้วแต่มึงดิ" ผมตอบกลับ
"ซื้ออะไรแล้วไปกินที่บ้านมึงดีกว่า ดีมั๊ยข้าง ๆ บ้านมึงมีร้านตามสั่งอร่อยหนิกลับบ้านไปก็ไม่มีใครอยู่" ไอ้สินบ่น และมันคือเรื่องจริงครับ บ้านออกใหญ่โต มีที่อยู่แน่ ๆ คือคนใช้กับผีบ้านผีเรือน เจ้าของบ้านโน่นแน่ะ ทำงานกันกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ทิ้งให้คุณชายศศิน เหงาประจำ
ไอ้สินหรือถ้าบางทีมันเปย์เก่ง ๆ ผมก็แอบเรียกมันว่าเสี่ยสิน หรือป๋าสินเนื่องจากตอนนี้ ได้สั่งข้าวกล่องนอกจากให้ผมให้ตัวเอง ให้พ่อกับแม่แล้วก็ยังให้น้ามนัสด้วย
"กินที่บ้านกูเถอะใส่กล่องเอา ที่ร้านมันร้อน" ผมบ่นและช่วยกันหอบหิ้วกล่องข้าวพะรุงพะรังมาบ้านผม
แม่วุ่นวายอยู่หน้าร้านเพราะลูกค้าซื้อของ ยกมือรับไหว้ไอ้สินกับผมอย่างลวก ๆ ส่วนน้ามนัส เห็นแม่ยุ่ง ๆ แกก็มีน้ำใจช่วยหยิบนั่นหยิบนี่เสียอีก ผมกับไอ้สินก็เลยรีบเข้ามาที่ครัวหลังบ้าน เพราะไอ้สินน่ะเห็นน้ามนัสเป็นญาติคนนึง พูดกับน้ามนัสเพราะกว่าพูดกับผมอีก เรียกตัวเองผมอย่างนั้นผมอย่างนี้ แต่กับผมมันเรียกตัวเองว่ากู นี่อยากให้หม่อมย่าได้ยินมึงโดนหยิกพุงเนื้อขาดแน่ ๆ
"เสียดายไข่หมด อยากกินกะเพราไก่ไข่ดาว มันเข้ากันที่สุด" เสี่ยสินบ่น
"ให้กูทอดให้เอามั๊ยล่ะ?" ผมเสนอตัว
"แดกได้แน่นะ" แน่ะถามอย่างนี้มันหยามกูชัด ๆ
"ได้สิวะ แค่ไข่ดาวจะไปยากอะไร๊ ของหมู ๆ"
"เคยทำแล้ว ?"
"ฮึ...ไม่เคย เคยเห็นพ่อทำ แต่มันไม่ยากหรอกมึง แค่เทน้ำมัน รอมันร้อนสักหน่อยก็ค่อย ๆ ตอกไข่ลงไป หรือจะลองกินไข่เจียวไหมล่ะ ไม่ยาก ดูจะง่ายกว่าไข่ดาวซะอีก เอามาตอกใส่ชาม เหยาะน้ำปลานิดนึง ตีให้มันเข้ากัน แล้วก็ทอด" ผมอธิบายเป็นฉาก ๆ อย่างที่คนโบราณเขาค่อนขอดว่าละเลงขนมเบื้องด้วยปาก
"งั้นก็จัดสิรออะไร เอาให้อร่อย ๆ นา" ไอ้สินยุ และอีรวีก็บ้ายุ
เริ่มจากไข่ดาว ผมทอดไฟเบา ๆ ก่อน เพราะกลัวไฟแล้วแล้วน้ำมันกระเด็ด โดนหน้าโดนตาแหกจนเสียโฉม แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าไฟมันเบาไป ยืนรอจนขาแข็ง แม่งยังไม่มีทีท่าว่าจะสุก แต่สุดท้ายเราก็ได้ไข่ดาวที่แก่ไฟสักหน่อย เพราะผมใจร้อนเร่งไฟตอนท้าย
"ไข่ดาวมาแล้ว แหมมันก็ไม่แย่นะมึงเอ่อ ฟองเกรียม ๆ นี่กูกินเอง ฟองนี้ขาวกว่ากูให้มึง" ผมถือคติ ทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบ ทำเองไหม้เอง จะให้ไอ้สินมันกินได้ยังไง
"ลองไข่เจียวมะ?" ไอ้สินซึ่งบ้ายุ อีรวีก็ยุขึ้น แต่ชักจะลังเล ก็กูไม่เคยทำ เคยแต่แดก
"กูเชื่อว่ามึงทำได้" กำลังใจมาแบบนี้ รวีรีบตอกไข่ใส่ชามอย่างว่องไว เหยาะน้ำปลาอีกนิด เติมผงเอลซ่าอีกหน่อย แต่ผมน่ะมันมือหนัก ใส่เยอะก็เท่ากับอร่อยเยอะ ไม่อย่างนั้นมันจะเรียกผงชูรสได้อย่างไร กูชูจนสุดแขนเลยค่ะ
จนแม่โวยวายเดินเท้ากะเอวเข้ามาถึงห้องครัว ถลึงตามองครัวซึ่งมีสภาพคล้าย ๆ กับสนามรบ
"เล่นอะไรกันเนี่ย" แม่บ่นแต่ไม่มาก เพราะเกรงใจป๋าสินที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ข้าง ๆ ผม
"กินทิ้งกินขว้างไม่ได้นะทำแล้วต้องกินให้หมด" แม่บอกพร้อมกับสะบัดตูดไปหน้าร้าน จนน้ามนัสเข้ามาเพื่อจะได้กินข้าวด้วยกัน แกก็ทำหน้าเจื่อน ๆ มองกองขยุม ๆ คล้ายผ้าขี้ริ้วที่นอนเค้เก้มันแผล็บอยู่บนจาน
"ไข่ดาวหน้าตาพอไปวัดไปวาได้นะครับ แต่ไอ้นี่มันอะไรกันครับ" น้ามนัสถาม และมองไข่เจียวที่ผมกับไอ้สินอุตส่าห์ทอดเผื่อแก
"ไข่เจียวโฟรเซ่น น้ามนัสเคยได้ยินไหม?" ผมเฉลย ก็กูใส่ผลเอลซ่าเยอะ เลยตั้งชื่อไข่โฟรเซ่นซะเลย แดกเสร็จซัดน้ำเป็นโอ่งแน่ ๆ หรือไม่ก็ไตวายเพราะเหยาะน้ำปลาเยอะเหลือเกิน
"อ่อ" น้ามนัสตอบและทำหน้าเพลีย
"มาครับน้ามนัส มากินข้าวกันดีกว่า" ไอ้สินเอ่ยปากชวน น้ามนัสก็เลยทิ้งตัวลงนั่งและมองไข่ไก่แปรรูปอย่างหวั่น ๆ
"ไข่ดาวมันต้องราดซอสพริกด้วยถึงจะอร่อย" ผมตอบพร้อมกับ หยิบซอสพริกออกมา
"เดี๋ยวกูเทให้" ในฐานะเจ้าบ้าน ผมต้องบริการแก แต่แหม ผมชอบกินซอส เลยเหลือติดตูดขวดนิดหน่อย แถมแม่ยังเอาแช่ในตู้เย็นเพราะกลัวมันเสีย เลยต้องออกแรงเขย่า แต่มันก็เหนียวจัง
"แว๊กกกกกกกกก" ผมร้องแทบจะปล่อยมือจากขวดซอสพริก เพราะไอ้ซอสบ้ามันกระเด็ดไปเปื้อนแก้มน้ามนัส แล้วก็เปื้อนเสื้อของไอ้สินเป็นวงโต
"อุ๊ย น้าครับขอโทษ มึงกูขอโทษกูไม่ได้ตั้งใจ" ผมรีบยกมือไหว้ ไม่รู้แหละ ไหว้ไว้ก่อน นาทีนี้
"เอ่อไม่เป็นไรครับ" น้ามนัสยิ้มแห้ง และขอตัวไปล้างคราบซอส ส่วนป๋าสิน ผมก็รีบหยิบผ้ามาเช็ดอย่างว่องไว แต่เอ่อ กูรีบ ผ้าขี้ริ้วที่มันเปียกชื้น พอปาดลงไปบนเสื้อนักเรียนสีขาว ก็ปรากฎรอยสีแดงจากซอส และคราบสีดำ ๆ แต่จะจากการเปื้อนอะไรสุดจะเดา
"เชี่ยยยยยยยยยย" ผมกรีดร้อง
"โอ๊ยมึงทำอะไรเนี่ย" ไอ้สินโวยวาย จนสุดท้ายผมต้องขโมยเสื้อพ่อเอามาให้มันเปลี่ยนและแก้ตัวว่าเดี๋ยวผมจะซักเสื้อของมันให้ นี่แม่ด่าน้องรวีผู้เซ่อซ่าแต่น่ารักอีกแหง ๆ
"คุณสินทอดไข่เจียวใช้ไข่กี่ฟองครับ?" น้ามนัสถาม และมองไข่เจียวที่เป็นกองสูงเท่าภูเขา
"เอ่อ ห้าฟองมั้งครับ ใช่ไหมมึง หรือหก?" ไอ้สินหันมาถาม
"ทอดไข่ดาวไปสามฟองที่เหลือ ก็ทอดไข่เจียวหมด กูกลัวไม่พอกิน" ผมแก้ตัว ไข่โหลนึงหมดในครั้งเดียว เดี๋ยวแม่ได้เอาแป๊บตีหัวน้องรวีแน่ ๆ
แต่ในที่สุด ไข่นรกพวกนี้ก็หมด แม่ด่าเสียหูชา ส่วนพ่อหัวเราะไม่ได้ว่าอะไร แต่ผมต้องรับกรรมทำความสะอาดครัว ไม่น่าเลย ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าต่อไปนี้ น้องรวีโรจน์ จะไม่ทำอะไรแดกอีกแล้ว เข็ดค่ะ บอกตรง ๆ
เวลาแห่งความสุขนั้นผ่านไปอย่างว่องไวเสมอ ในที่สุดเราก็ถึงกำหนดกลับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรกันสักที ให้มาเที่ยวอย่างนี้น่ะสบาย แต่ให้อยู่นาน ๆ เป็นเดือน ๆ เห็นจะไม่ไหว มันสงบเกินไป ผมชอบอะไรที่มันครึกครื้นมากกว่า
แต่การได้อยู่เงียบ ๆ กับธรรมชาติ ได้กินอาหารอร่อย ๆ ได้อยู่กับคนที่เรารัก มันเป็นการชาร์จแบตในตัวได้ดีชะมัด
ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ท่าทางพี่หมึกจะได้ลูกค้าประจำอีกหนึ่งครอบครัวคือครอบครัวของผม ที่สำคัญผมได้ทุเรียนลูกเล็ก ๆ ติดมือมาหนึ่งลูก เพื่อเป็นของที่ระลึกเสียด้วย เสร็จอีรวีอีกแล้ว ทุเรียนกับคนไทยมันของคู่กัน
น้ามนัสขับรถมาจอดที่บ้านเพื่อส่งคุณย่า และส่งผมกับไอ้สินและแม่ที่บ้านของแม่ เพราะเราจอดรถไว้ที่นั่น ไอ้สินนั่นคุยกับพ่ออยู่ครู่ใหญ่ ๆ คู่นี้เขาเป็นสาวกการ์ตูนเหมือนกัน ตั้งแต่โดเรม่อน ดราก้อนบอล ไปจนถึงวันพีช ล่าสุดแอนิเมชั่น เรื่องดันดาดันอะไรของมันนี่แหละ ผมเคยได้ยินมันพูดให้ฟังแต่ไม่ได้สนใจ ชื่อบ้าอะไร ดัน ๆ พ่อเหมือนกลับมาเป็นเด็ก ๆ ไอ้สินก็เหมือนกัน ส่วนแม่ อาบน้ำหนีขึ้นไปนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"หิวข้าวอ่ะ" ไอ้สินบ่น ไปเที่ยวแบบนี้ ถือเป็นชีสเดย์ เพราะปกติ ผมกับไอ้สิน จะกินไอเอฟ 8/16 นี่ทุ่มกว่าแล้ว อนุญาตให้กินมื้อดึกได้นาน ๆ ที แต่ดึกมากไม่ไหว เพราะเข็ดกับกรดไหลย้อน ผมล่ะอาการหนักสมัยเรียนมหาลัย เลยต้องงดอาหารมื้อดึก ๆ เด็ดขาด
"หิวข้าวเรอะ มีร้านข้าวแกงกะหรี่เจ้าใหม่มาเปิดแน่ะ อร่อยอยู่นะ แต่พ่อว่าซื้อมากินที่บ้านดีกว่า ที่ร้านคนแน่นเบียด" พ่อพูดถึงแกงกะหรี่ผมนี่น้ำลายสอเลยเชียว
ร้านเขาคนแน่นจริง ๆ ท่าทางจะอร่อยจริง เราสั่งแบบกลับบ้าน แน่ละ ป๋าสินสั่งเผื่อพ่อกับแม่ด้วย ขี้เกียจนั่งรอ และเก้าอี้ก็เต็ม ก็เลยชวนกันแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ไม่ได้จะซื้ออะไรหรอก เดินตากแอร์เฉย ๆ แต่ป๋าก็ได้โน่นได้นี่มาถุงใหญ่ ๆ เรียกว่าซื้อเพราะเพลินมากกว่า
จนเมื่อกลับบ้านพร้อมกับ กล่องข้าวราดแกงกะหรี่แสนน่ากิน เราสามคนพ่อลูก ก็นั่งกินกันแสนเอร็ดอร่อย
"ว่าแต่ซื้อกินกันทุกมื้อเลยเรอะ?" พ่อถามอย่างสงสัย เพราะเห็นผมกับไอ้สินซื้อใส่กล่องเพื่อเอากลับไปกินที่บ้านด้วย
"ใช่พ่อ" ผมตอบอย่างว่องไว และแอบตักเนื้อไก่ในจานของไอ้สินมาชิม....อ๊ะ...อร่อยใช้ได้
"ทำไมไม่ลองทำเองล่ะ หรือจะให้พ่อสอนก็ได้นะ เดี๋ยวเกิดพ่อตายไปไม่มีคนสืบทอดวิชาไอ้แกงกะหรี่นี่มันง่ายจะตายไป" พ่อพูดไปหัวเราะไป นี่เป็นครั้งที่สามร้อยกว่าล่ะมั้งที่จะสอนผมทำกับข้าวให้ได้เนี่ย ถึงจะเอาแกงกะหรี่ของโปรดของผมมาล่อ แต่ผมก็ไม่ตกหลุมพรางของพ่อหรอก อยากให้ผมกินพ่อน่าจะทำให้หม้อโต ๆ ดีกว่า
"พ่อ ถ้าไฟไหม้ครัวไปมันไม่คุ้ม อีกอย่าง ที่คอนโดเขาไม่ได้ให้เลี้ยงหมาหรือแมว เกิดทำแล้วกินไม่ได้จะเอาไปให้หมาที่ไหน เผลอ ๆ เขาว่าวางยาเบื่อหมาโดนจับขับคุกนะ เขามีกฎหมายห้ามทรมานสัตว์แล้วรู้ป่าว" ผมอธิบาย
"แต่วีเวฟอาหารได้อุ่นกำลังดีนะครับพ่อ" ไอ้สินช่วยแก้ แต่อย่าพูดอีกเลย พ่อกูค้อนกูตาคว่ำแล้ว ไม่ได้ทำให้กูดูดีขึ้นสักนิด ก็แหม ลูกไม้มันก็ต้องมีหล่นไกลต้นกันบ้าง
กว่าจะได้กลับบ้านก็ล่อเข้าไปสามทุ่ม ผมรู้ว่าพ่อคิดถึงผม แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้คุยกับผมเท่าไร โน่นคุยไอ้เรื่องดันดาดันอะไรกับลูกเขยอยู่นั่น ส่วนผมก็นั่งมองผู้ชายสองคนคุยกัน และเอาแต่ถามว่าเขาคุยอะไรกั๊น รวีไม่เข้าจาย ตกลงใครเป็นลูกพ่อกันแน่ ก็ใช่สิ ผมน่ะมันลูกไม้หล่นไกลต้นหนิ เชอะ