แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
"อีกไกลไหมวะ?" อีนังตัวดีที่นอนสบาย ๆ บนเบาะข้าง ๆ ซึ่งเอนเก้าอี้จนสุดถามผม ส่วนในมือของมันก็เล่นโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยเปื่อย
"อีกไม่ไกลหรอก ตามแมพก็ไม่เกินสิบนาที" ผมตอบมันหันไปมองมันอย่างระอานิด ๆ แล้วผมก็ขอบ่นมันบ้าง
"ทีวันไปทำงานล่ะไม่กระดี๊กระด๊าอย่างนี้เล๊ย" ผมบ่นและยื่นมือไปขยี้หัวโต ๆ ของมันอีกทีจนมันด่าเอา ฐานทำผมของมันเสียทรง
ตอนนี้รถที่ผมขับกำลังแล่นไปทางเส้นปิ่นเกล้า นครชัยศรี เพราะจุดหมายของเราคือร้านอาหารขึ้นชื่อทั้งเรื่องรสชาติและบรรยากาศแถว ๆ นครชัยศรี เป็นร้านอาหารติดแม่น้ำเสียด้วย
ถ้าถามว่ามาทำหอกอะไรไกลกันขนาดนี้ ก็ต้องตอบว่าเพราะมันเป็นวาระพิเศษน่ะสิ
แล้วถ้าจะถามอีกว่าพิเศษอย่างไรน่ะรึ? ก็ขอตอบว่า เป็นโอกาสพิเศษมาก ๆ เพราะเป็นการนัดกินข้าวของเพื่อนเก่าก๊วนนักเรียนสมัยมัธยมปลายตั้งเจ็ดคน และกว่าจะรวมตัวคนครบเจ็ดคนนี่ ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีกยิ่งกว่าคนประจำเดือนเลื่อน ผ่านการนัดแนะมาแล้วถึงครึ่งปี วันนี้ผมกับไอ้มนุษย์ต่างดาวหัวโตที่นอนเขลงอยู่ข้าง ๆ ก็เลยค่อนข้างตื่นเต้นสักหน่อย
ถึงจุดหมายร้านอาหารที่ว่า บรรยากาศดูดี และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ได้จองโต๊ะกันไว้ ก็คงไม่ได้ที่นั่งแน่ ๆ ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทยกึ่ง ๆ จะไฟน์ไดนิ่ง แต่กับข้าวที่ทำก็เป็นอาหารที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา และอาจจะมีเป็นเทศกาลเช่น หน้าร้อนก็จะมีข้าวแช่ หรือช่วงกินเจก็จะมีอาหารเจแสนอร่อย ที่สำคัญ เป็นร้านญาติห่าง ๆ ของผมเอง แต่ขี้เกียจไปนับญาติกับเขา รู้แค่ว่าพอจะเกี่ยวพันกันมาบ้างแต่มันห่างเต็มทน
ถึงร้านอาหาร เป็นสองคนแรก ผมกับอีรวีก็เลยว่าจะขอเดินเล่นรอบ ๆ ร้านก่อน เนื่องจากด้านหนึ่งเปิดเป็นร้านขายผัดไทยกุ้งสด ดูจากรูปในเพจ ก็แสนจะน่ากิน เพราะใช้กุ้งแม่น้ำตัวโต ๆ ถามพนักงานเขาก็แจ้งว่า สั่งไปกินในร้านอาหารอีกด้านซึ่งดูทันสมัยได้เช่นกัน ด้านข้างเป็นคลองขุดเล็ก ๆ มีต้นไม้ร่มรื่นสวยอย่างกับได้นักจัดสวยฝีมือเอกมาจัดต้นไม้ให้ทีเดียวล่ะ ถ้ามีที่มีทางเพื่อปลูกบ้านก็อยากจะปลูกต้นไม้อย่างนี้บ้าง เว้นแต่ ไม่ขอเป็นคนดูแลนะ เพราะเข็ด
เพื่อนคนแรกของผมมาถึง และคนอื่น ๆ อีกห้าคนก็ทยอยมาถึงในเวลาอันไม่ห่างกันมาก เพราะพวกมันรู้ว่าผมเป็นคนเคร่งครัดเรื่องเวลา อีกทั้งหน้าที่การงานของพวกมันก็ต้องทำงานแข่งกับเวลากันทั้งนั้น
ถ้าใครมาเห็นพวกเราที่กำลังเอาแต่คุย ไม่มีใครฟังใครทั้งนั้น ต่างก็แข่งกันเล่า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของความอึดอัดใจในหน้าที่การงาน และถ้าจะตลกสักหน่อย ก็คือ หกในเจ็ดคน สวมแว่นหนา ๆ เหมือนกันหมด มีไอ้มนุษย์ต่างดาวที่นั่งหัวเราะและแข่งกันพูดข้าง ๆ ผมนี่คนเดียวที่ไม่ใส่แว่น
จริง ๆ รวีมันก็ใส่แว่นถ้าต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แหละ แต่ถ้าไม่ได้จ้องหน้าคอม มันขี้เกียจใส่เพราะบ่นว่าขาแว่นหนีบหูจนเจ็บ อันว่าโหงวเฮ้งของพวกเรากลุ่มแว่นแก้ว ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเป็นมดเป็นหมอ หรือผู้มีความรู้อันคงแก่เรียน
สาเหตุที่พวกเราโดนเรียกว่า "ไอ้พวกแว่นแก้ว" นี่จริง ๆ ต้องเรียกว่า "ตูดแก้ว" มากกว่า เพราะแต่ละคนใส่แว่นหนา ๆ ราวกับก้นของแก้วน้ำ เนื่องจากเป็นผู้คงแก่เรียน และอ่านตำรับตำรา อ่านหนังสือกันหนัก พวกมันเน้นการอ่านหนังสือวิชาการส่วนผมชอบอ่านนิยาย
แม้จะแปลกแยกนิด ๆ แต่พวกเราก็คุยกันได้เหมือนตอนพวกเรายังเด็ก ๆ ไอ้ห้าคนต่างก็พากันบ่นถึงชีวิตหมอ ซึ่งมีเรื่องเหมือนหรือต่างกันไป หรือบ้างก็ยกเคสคนไข้แปลก ๆ ของตัวเองเอามาเล่าสู่กันฟัง นินทาคนไข้ นินทาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ไล่ตั้งแต่ผอ. พยาบาล เรื่อยไปจนถึงนักการภารโรง
"มึงอยากจิ้มหน้าสักนิดมะ กูฉีดให้ได้นะ ไปที่คลินิกกูสิ คิดยูนิตนึงถูก ๆ กูว่าหน้ามึงเหี้ยเต็มทนแล้วรวี" เพื่อนหมอของผมคนนี้ได้ผันตัวมาเปิดคลินิกศัลยกรรมซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่ารุ่ง
"ของปลอมป่าววะ ไม่ใช่แอบเอาน้ำเกลือเปล่า ๆ ฉีดใส่หน้ากูนะ?" รวีพูดทำหน้าแหยง ๆ
"แหมปากหมาเหมือนเคย คลินิกกูใช้แต่ของดีโว้ย ปากหมาอย่างนี้อย่าฉีดอย่าเฉิดเลย โบท๊อกซ์น่ะ ถ้าฉีดกูจะเอายาทำหมันหมาฉีดให้มึงดีกว่าจะได้ทำหมันหมาในปากไปด้วยเลยในตัว" ดูสิหมออะไรใจร้าย
เพื่อนหมอของผมแต่ละคนก็แตกต่างกันไป คนนึงได้ผันตัวมาเปิดคลินิกเสริมความงามอย่างที่ว่า อีกสองกำลังเรียนต่อเฉพาะทาง อีกคนยังเหนื่อยกับความสัมพันธ์ (กับเมียเมีย) และตัดพ้อว่า ทุกวันนี้เวลาจะนอนยังไม่มี ส่วนเพื่อนคนสุดท้ายดูจะเบากว่าคนอื่นหน่อย เพราะมันเป็นหมอหมา หรือสัตวแพทย์
ถ้าจะถามว่ามาพบมาเจอกันเพราะบุญหรือกรรม ก็เห็นจะตอบได้ง่าย ๆ ว่าเพราะกรรม พวกเราเจ็ดคนเจอกันที่โรงเรียนกวดวิชา ผมน่ะเข้ากับคนที่ไม่รู้จักค่อนข้างยาก ผิดกับรวีที่เที่ยวไปคุยกับเขาหมด ตีสนิทแป๊บเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้พวกเนิร์ด แปลก ๆ พวกนี้ อยู่โรงเรียนไหนชั้นอะไร จนเจอกันบ่อยเข้าก็มากินข้าวด้วยกัน ติวหนังสือด้วยกัน และท้ายที่สุด รวีตัวดีก็พาว่าที่คุณหมอใจแตก แอบหนีไปเที่ยวเล่นหลังจากเรียนกวดวิชา
แต่ถึงจะคบเพื่อนชั่วอย่างรวี แต่พวกเราทุกคนก็ยังได้ดิบได้ดี เพราะมีลิมิตในการตามใจตัวเอง จุดแรกจากการเปลี่ยนผ่านมัธยมต้นไปเป็นมัธยมปลาย พวกเราเจ็ดคนสัญญากันไว้ว่าพวกเราจะย้ายไปเรียนโรงเรียนเตรียม...ให้ได้ ซึ่งก็ได้กันทุกคน แม้จะอยู่กันคนละห้องแต่ยามว่างก็มานั่งคุยกันจนเริ่มสนิทมากยิ่งขึ้นไปอีก
ชีวิตนักเรียนเตรียมมันก็สนุกและสร้างบทเรียนให้พวกเราไปอีกแบบ ส่วนตัวผมเองกลับคิดว่าช่วงเรียนเตรียมนี่เป็นอีกหนึ่งช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดช่วงหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับคนที่รักการเล่นกีฬา เมื่อได้เล่นกีฬาก็สนุกและมีความสุข แต่สำหรับพวกเราเจ็ดคน พวกเราชอบเรียน และอาจารย์ที่สอนในตอนนี้ ก็ทำให้ผมชัดเจนว่าผมรักผมชอบเรียนอะไร และสิ่งที่ผมถนัดก็มาเริ่มเปล่งประกายก็อีตอนนี้แหละ
ในกลุ่มเพื่อน ผมมักจะถูกให้รับหน้าที่เป็นติวเตอร์ เพราะเพื่อน ๆ ลงความเห็นว่าผมนั้นอธิบายแล้วเข้าใจได้ง่าย จริง ๆ บางคนมันรู้ดีกว่าผมเสียอีก แต่มันอธิบายไม่เป็น แต่ผมสามารถอธิบายได้เป็นฉาก ๆ มีการยกตัวอย่าง ซึ่งมันคิดขึ้นมาได้เอง และผมขอยกความดีข้อนี้ให้กับการเป็นคนรักการอ่านของผม ซึ่งมีมาตั้งแต่เด็ก เลยเป็นคนรู้กว้าง ยกเหตุการณ์แปลก ๆ มาประกอบ หรือคุยคั่นเวลาเพื่อไม่ให้น่าเบื่อได้
คุณย่านั้นท่านก็เป็นนักเรียนเตรียมเช่นกัน แต่มาพบรักกับคุณปู่สมัยทำงานแล้ว แต่ท่านก็แอบเล่าว่า สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ท่านก็มีหนุ่ม ๆ หาบขนมจีบมาหาเป็นเข่ง ๆ ผมดูรูปสมัยคุณย่ายังสาว ๆ ก็ไม่ได้คิดแปลกใจสักนิด เพราะคุณย่าตอนสาว ๆ นั้นสวยจัด และค่อนข้างซ่าอีกด้วย แถมได้เป็นตัวแทนนิสิต ในงานประเพณีอีกต่างหาก ซึ่งคนจะได้เป็นตัวแทนนอกจากจะต้องสวยแล้วก็ต้องเก่งและโดดเด่นอีกด้วย
ปกติผู้อัญเชิญตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยมักจะเป็นสาวอักษร เพราะสาวอักษรที่มหาวิทยาลัยกลางเมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อนักทั้งเรื่องรูปสมบัติและคุณสมบัติ แต่คุณย่ากลับเป็นสาวนิเทศ เสียนี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้าสาว ๆ คณะอื่น และผมก็ดูเหมือนจะถูกพูดใส่หูจนคิดว่าตัวผมเองก็น่าจะได้เรียนตามรอยคุณย่าอย่างแน่นอน
การสอบเก็บคะแนนแต่ละครั้งพวกเรามักรั้งตำแหน่งต้น ๆ ของกลุ่มผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ อยู่ที่ใครถนัดวิชาไหน นอกจากเรื่องของการเรียน กิจกรรมก็ค่อนข้างเยอะ แน่ล่ะว่าเด็กเนิร์ดกับกิจกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดูจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไร แต่ในกลุ่มของเรามีอีรวี อีแรดที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และในฐานะเพื่อนกัน พวกเราก็ต้องไปช่วยรวีซึ่งปากเปราะชอบรับปากอาจารย์ ทำกิจกรรมนั่นโน่นนี่อยู่เสมอ ๆ แต่ถึงจะบ่นไป พวกเราก็เต็มใจเพราะตราบใดที่อยู่ด้วยกันมันจะเหนื่อยหรือลำบากแต่ก็สนุกเสียทุกที
ผมแทบจะนึกภาพไม่ออกว่า สมัยนั้นพวกเราซึ่งการเรียนก็เข้มข้นสุด ๆ แล้วยังมีกิจกรรมให้ทำไม่เว้นแต่ละวัน แถมวันหยุดพวกเราก็ต้องไปเรียนพิเศษเสริมอีก แต่พวกเราก็ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้อย่างมหัศจรรย์มาก ๆ
และในวันที่พวกเราได้นั่งอ่านหนังสือเล่น ๆ กัน เพื่อนผู้จริงจังก็หันมาถามผมกับรวีว่าไฉนจึงไม่คิดอยากเรียนหมอ
"สิน บ้านมึงทำโรงพยาบาลแท้ ๆ มึงก็ชีวะได้คะแนนดี ทำไมไม่อยากเรียนหมอเหมือนพวกกู แล้วอีวี มึงก็ได้คะแนนท๊อปแจ๋นจะไปเรียนอย่างอื่นทำไม?"
"ไอ้สินมันกลัวเลือดน่ะ ส่วนกูกลัวผี" รวีชิงตอบ ซึ่งห้าคนที่เหลือก็มองด้วยสายตาเหยียดนิด ๆ เหมือนผมกับรวีอยากจะผันตัวไปเป็นโจร
ผมไม่ได้ให้คำตอบอะไร เพราะรวีมันตอบแทนไปแล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมไม่ได้กลัวเลือดหรอก ยืนมองคนประสบอุบัติเหตุ เห็นเลือดไหลเป็นปี๊บ ๆ ผมยังไปช่วยเขาได้เลย แต่สาเหตุจริง ๆ คือผมกลัวว่าวงจรชีวิตของผมจะซ้ำรอยกับพ่อและคุณปู่
คุณย่าเล่าว่า ถ้าเลือกได้ จะไม่ยอมรับรักคุณปู่เลยให้ดิ้นตาย คุณปู่นั้นหล่อจัดแถมเป็นถึงคุณหมออนาคตไกล ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมว่าทั้งสองคนเป็นคู่สวรรค์สร้าง เป็นกิ่งทองใบหยก คุณหมอมากฝีมือ กับลูกสาวนักธุรกิจใหญ่เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่ครั้นเมื่อแต่งงานกันเข้าจริง ๆ ความรักที่มีให้กันนั้นล้นเหลือ แต่สิ่งที่ขาดหายคือ "เวลา" ที่ทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกัน เวลาที่จะให้กับคนรัก ไม่ใช่แค่จะให้ภรรยา แต่หมายถึงเวลาที่จะให้กับลูกชายด้วย
และพ่อก็ส่งมอบสิ่งเหล่านั้นมาจากปู่ให้ผมอีกที ผมก็ไม่โทษพ่อในเรื่องนี้หรอก แค่เพียงคิดว่าเราไม่ค่อยสนิทกัน และพ่อค่อนข้างเป็นคนเข้มงวดเจอหน้าผมทีไรก็ชอบแต่จะถามผมเรื่องเรียน
วันที่ผมไปบ้านรวี เห็นรวีคุยกับพ่อ เห็นรวีเล่นหัวกับแม่ ผมอิจฉารวีชะมัด แม่ที่ดูสบาย ๆ กับพ่อที่ดูเป็นคนติดพื้นติดดินและรักลูกรักเมียมาก ๆ รวีคุยอวดว่าแม่ของมันทำกับข้าวไม่เป็นสับปะรด แต่คนทำกับข้าวให้กินคือพ่อ
"กูเลยเป็นคนกินยาก ถ้าไม่อร่อยกูไม่กินเด็ดขาดเสียดายปาก มึงก็เคยกินอาหารฝีมือพ่อกูแล้วหนิ คนเราน่ะลองได้กินของดี ๆ ของอร่อย ๆ พอไปกินของแย่ ๆ น้องรวีรับไม่ได๊ รับไม่ด๊าย" รวีมันพูดไปดัดเสียงไป ทำท่าดีดดิ้นดัดจริตจนน่าถีบ
ความใจดีของพ่อรวี เผื่อแผ่มาถึงผมด้วย ครั้งที่ไปบ้านรวีแล้วนังตัวดีก่อเรื่องทำเมนูไข่อนาถา ให้ผมกับน้ามนัสกิน พ่อของรวีรู้เข้าก็บ่นเสียยกใหญ่ แถมมีการจะสอนรวีให้ทำกับข้าวให้เป็นเสียด้วย
แต่รวีมันเป็นคนรู้ว่าส่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร มันต้องการแดก ไม่ได้ต้องการทำ กรรมจึงมาตกที่ผมแทนเสียอย่างนั้นในฐานะที่ไปบ้านรวีมันบ่อย ๆ และพ่อของรวีก็นึกสนุกอยากจะสอนผมให้ลองทำกับข้าวง่าย ๆ ดูบ้าง คงเพื่อชดเชยกับการที่สอนลูกตัวดีของตัวเองไม่ได้
เริ่มจากไข่ตุ๋น จริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ใส่น้ำแล้วก็ต้องตีให้เนื้อไข่มันแหลก แต่ทีเด็ดของพ่อน่ะคือเครื่องเคราต้องแน่น พ่อของรวีคุยโม้ แต่โม้ได้เต็มปากเต็มคำเพราะเกิดมาในชีวิตผมก็เพิ่งจะเคยกินไข่ตุ๋นที่แปลกและอร่อยแบบนี้
ต้องย้อนกลับไปเรื่องบ้านของผมอีกนิด คุณย่าของผมนั้นก็ทำอาหารเก่งแต่ออกจะเป็นพวกอาหารฝรั่ง และว่ากันตามตรงคุณย่าก็ไม่ค่อยจะเข้าครัว แต่เลือกที่จะสรรค์สร้างเมนูและบอกป้าแม่ครัวให้ทำมากกว่า
เอ๊ากลับมาที่เรื่องการสอนทำอาหารสักนิด ไข่ตุ๋นจักรพรรดิ สูตรของพ่อรวีทำเอาผมอยากไปฝึกฝนฝีมือให้เก่งเลยทีเดียว เคยแอบคิดเหมือนกันว่า ถ้าผมไปเรียนการโรงแรม เรียนเกี่ยวกับการทำอาหาร ผมจะถูกใครฆ่าตายก่อนกันระหว่างพ่อกับแม่หรือย่า
ผมถูกใช้ให้ตีไข่ไก่กับไข่เป็ดในอัตราส่วนเท่า ๆ กันคืออย่างละสองฟอง "ตีให้ละเอียดจนขาวเลยนะลูก" พ่อของรวีสั่ง ซึ่งผมก็ตั้งอกตั้งใจตีเป็นอันดี แม้จะไม่เข้าใจว่าไอ้ตีไข่จนขาวนี่มันหน้าตาเป็นยังไง โดยอีรวีคอยเป็นกำลังใจ นั่งเท้าคางทำหน้าเบื่อ ๆ มองผมกับพ่อที่วุ่นวายอยู่ในครัว
ใส่โน่นนิด ใส่นี่หน่อย แล้วไข่ซึ่งถูกตีจนขึ้นฟูได้ตามมาตรฐานหัวใจของพ่อรวีก็ถูกเทใส่หม้อไฟ โรยหน้าด้วยกุ้งสด ปลาหมึกสด หมูสับ และต้นหอมซอยละเอียดเป็นจำนวนมาก และมื้อเย็นนั้นผมก็ออกจะตื่นเต้นกับเมนูพิสดาร โดยมีรวีที่มองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ผมตักกินเข้าไปคำแรกก็ถึงกับตาโต และคิดเข้าใจรวีเลยทีเดียว ถ้าเราได้ลองกินของอร่อยเสียแล้ว ของธรรมดา ๆ มันก็พลอยไม่อยากกินอย่างที่รวีมันชอบบ่นจริง ๆ ซะด้วย
การสอนทำอาหารนั้นมักจะนาน ๆ ที เนื่องจากการเรียนที่มันค่อนข้างรัดตัว แต่ผมก็สามารถทำอาหารง่าย ๆ อย่างพวกแกงจืด หรือผัดอะไรง่าย ๆ ซึ่งพ่อของรวีก็สอนเคล็ดลับความอร่อย แบบที่ไม่ต้องประเดผลเอลซ่า ให้กินแล้วหิวน้ำแทบตายอย่างไข่เจียวอนาถาของรวีมันคราวนั้น
จนถึงช่วงเวลาของการสอบปลายภาค เวลาสามปีของชั้นมัธยมปลายมันช่างผ่านไปว่องไวราวกับลัดนิ้วมือ เผลอแป๊บเดียว เราก็เรียนจบกันแล้ว ผลคะแนนตั้งแต่ O Net คะแนน GAT และคะแนน Pat ของพวกเราก็ทำให้พวกเรารู้ได้ว่าจุดหมายที่เราเลือกคือคณะที่ตั้งใจนั้นได้ตาฝันทุกคน ว่าที่คุณหมอสองในสามอยู่ที่เดียวกันคือมหาวิทยาลัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา คนหนึ่งอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม ส่วนอีกคนไปอยู่ศาลายาโน่น
ผมนั้นติดอักษร ส่วนรวีมันติดนิเทศ ผมเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ก็คือมันคงน่าสนุก และได้เป็นตัวของตัวเองมากกว่าตอนนั้นซึ่งถูกควบคุมชีวิตมีคนรับมีคนส่งเหมือนเด็ก ๆ ไม่มีผิด
โชคดีที่บ้านผมกับรวีน่ะ สามารถนั่งรถเมล์หรือจะเอาสะดวกก็นั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่หน้ามหาวิทยาลัยได้เลยทีเดียว คุณย่าดูจะเข้าอกเข้าใจ และท่านก็พูดเปรย ๆ ว่าพอมีชีวิตเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว คราวนี้ท่านก็จะปล่อยให้ผมได้ทำอะไรตามใจตัวเองสักที ส่วนพ่อกับแม่นั้นเจอหน้าผมทีไรก็บ่นผมทีนั้น ที่ผมไม่ยอมเรียนหมอ แต่ผมก็คร้านที่จะอธิบาย ให้ความเงียบและรอยยิ้มแห้ง ๆ เป็นคำตอบดีกว่า ขืนอธิบายหรือเถียงอะไรไป ก็ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญ ผมก็ได้เรียนคณะที่ผมชอบและสนใจจริง ๆ เรียนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจบมาแล้วจะทำอะไรนี่แหละ แต่แค่รู้ว่าถ้าได้เรียนแล้วคงมีความสุขและสนุก
ส่วนรวีเอง มันก็เที่ยวคุยฟัง และวาดหวังถึงคณะที่ตัวมันได้เรียนซึ่งผมก็คิดว่ามันต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ผมมั่นใจในตัวมัน เหมือนที่มันมั่นใจในตัวของผมนี่แหละ
ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคณะอักษร ผมเรียกรวีมาคุยกันแค่สองคน เพราะผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่รวีมันก็ฟังอยู่เงียบ ๆ และถามถึงเหตุผลจนผมอธิบายในทุกแง่ทุกมุมแบบที่ผมไม่กล้าไปอธิบายอะไรอย่างนี้ให้พ่อกับแม่ฟังแน่ ๆ
"สิน ถ้ามึงอธิบายได้ขนาดนี้ กูว่ามึงก็เรียนอักษรอย่างที่มึงตั้งใจเถอะ เรียนโดยไม่ต้องไปคิดถึงอนาคตหรอก ทำตอนนี้ ทำตามหัวใจของเรา ทำอย่างที่เราคิดว่าเราจะมีความสุขนี่แหละ" รวีมันพูดอะไรอีกยืดยาว คุยแบบติดเล่นสลับกับคุยจริงจัง จนผมชักอยากจะด่า
และช่วงเวลาก่อนที่จะเปิดเทอม ไม่มีหนังสือให้ต้องอ่านและท่องจำ ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาท่องตำรา ไม่ต้องไปนั่งเรียนให้หลังขดหลังแข็ง มันก็มีอาการโหวง ๆ แปลก ๆ เพราะชีวิตของผมตั้งแต่เด็ก แทบไม่มีเวลาให้อยู่ว่าง ๆ อย่างนี้ หนังสือต่าง ๆ ก็อ่านจนนึกคร้านแม้แต่หนังสือนิยายที่เคยชอบ ก็ขอหยุดไว้ก่อน ผมอยากลองทิ้งร่างของตัวเองให้มันเบื่อ ทิ้งร่างตัวเองให้ไม่ต้องกระเสือกกระสนต่อสู้ แต่พอทำได้แค่สองสามวัน มารคอหอยก็ตามมาราวี
ไม่ต้องเดาก็เห็นจะทราบ รวีโรจน์ ผู้ซึ่งผีเจาะปากมาพูดนั่นเอง และคราวนี้ มารของผมก็มาพร้อมข้อเสนอที่แสนจะยั่วยวน
"คุณย่าครับ ขอผมกับสินไปเที่ยวต่างจังหวัดกันได้ไหมครับ ไปไม่ไกลหรอกครับ มีพ่อกับแม่ของผมไปด้วย" รวีมันถึงขนาดไปอ้อนขอคุณย่า เพื่อจะพาผมไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่น ซึ่งคุณย่าที่เคยบอกกับผมอยู่หยก ๆ ว่าถ้าผมเข้ามหาวิทยาลัย ท่านก็จะปล่อยให้ผมทำตัวตามอำเภอใจ แต่นี่ยังไม่ใส่ชุดนิสิตสินะ คุณย่าก็ทำหน้าบอกบุญไม่ค่อยจะรับ ขนาดรวีมันขี้อ้อนขนาดนี้ แต่ท้ายที่สุด ไอ้เรื่องตอหลดตอแหลล่ะก็ขอให้ไว้ใจรวีโรจน์ผู้นี้ คุณย่าย้ำเสียนักหนา และรวีมันก็ย้ำเรื่องความปลอดภัยของคุณหนูอย่างผมอย่างเต็มที่
รีสอร์ตเล็ก ๆ แถว ๆ นครนายก ใกล้แค่เอื้อม แต่ในความคิดของเด็กเนิร์ดผู้แทบจะไม่เคยไปไหนไกลโดยไม่มีสายตาของคุณย่าคอยดูแล พ่อของรวีเช่ารถบ้าน ซึ่งดูแล้วน่าสนุก เราจอดรถตรงจุดให้จอด ก่อไฟ ตั้งแคมป์ ไม่ถึงกับลำบากแต่ก็ไม่ได้สบายเหมือนอยู่บ้าน แต่ความลำบากนิด ๆ มันก็ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตของผมมันสุขสบายเสียเหลือแสน และนึกถึงถึงคนที่ลำบากกว่านี้ จนอดจะนึกอัศจรรย์คนที่ต้องนอนห้องเช่าเล็ก ๆ ที่มีแต่พัดลมเก่า ๆ เขาอยู่กันได้อย่างไรหนอ
พ่อกับแม่นั้นนอนในรถ ส่วนผมกับรวี นอนในเต็นท์ ซึ่งไม่ต้องตอกหมุดตอกเหมิด เหมือนตอนเรียนวิชาลูกเสือ พูดไปก็นึกขำ ตอนเรียนลูกเสือแล้วต้องเข้าค่าย แต่ท้ายที่สุดก็นอนในห้องพัก ซึ่งจัดไว้อย่างสะดวกสบายไม่ได้สัมผัสกับความลำบากอะไรสักเท่าไร
ตอนหัวค่ำ พวกเรานั่งดูผิงไฟดูดาวกันเพราะที่นี่แทบจะไม่มีแสงสว่างอะไรเลย ควันไฟจากกองไฟช่วยไล่ยุง และลมพัดเอื่อย ๆ กับเรื่องที่พ่อกับแม่ของรวีคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋ง ก็ทำให้ผมได้แต่ฟังเพลิน
โกโก้ร้อน ๆ รสขมนิด ๆ ที่พ่อของรวีให้เราจิบ และกำชับว่าอย่ากินเยอะเดี๋ยวคืนนี้จะตาแข็งไม่ได้นอนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราสี่คนที่หอบเอาเสื่อมาปูแล้วก็ดูท้องฟ้ากับดวงดาว ก็แยกย้ายกันเข้านอนตอนตีหนึ่งกว่า ๆ ทีเดียว
อากาศเย็นนิด ๆ แต่แน่ล่ะ ชุดวอล์มขายยาว กับถุงเท้าก็ทำให้ผมไม่ต้องกลัวหนาว ยิ่งในตอนนั้น น้ำหนักของไขมันที่พอกตามตัวก็ช่วยกันลมหนาวได้เป็นอย่างดี
รวีเองก็ดูเหมือนตั้งแต่เย็นมันจะไม่อาบน้ำด้วยซ้ำ หน้าตาดี ๆ แต่โคตรสกปรกซกมกที่สุด ไม่โตมาด้วยกันก็คงไม่รู้ว่าแต่ก่อนเป็นคนมีสันดานแบบนั้น
ตกดึกน้ำค้างชักจะลงหนาจนอากาศชื้น กองไฟที่จุดไว้มอดจนเหลือแต่ควันน้อย ๆ ลอยอ้อยอิ่ง ยังดีที่พื้นของเต็นท์ปูที่นอนปิกนิก ทำให้ที่นอนไม่แข็งเกินไป ผมกับรวียังนอนไม่ค่อยหลับ ถามโน่นถามนี่กันไปมา จนท้ายที่สุด รวีที่เป็นคนที่ขี้เซาที่สุดในโลก ก็หลับไปเสียก่อน ผมมองมันที่หลับไปแล้วก็พยายามข่มตาของตัวเองให้หลับตามมันไปติด ๆ
จนราว ๆ สักตีสามรวีมันก็โวยวาย ยื่นกำปั้นเล็ก ๆ ของมันทุบมาที่แขนผมรัว ๆ พร้อมกับโวยวาย
"เป็นบ้าอะไรของมึงอีผี" ผมบ่น
"ไอ้อ้วน มึงนอนกรน กรนจนกูสะดุ้งตื่นเลยอีเหี้ย" รวีมันบ่น
"ขอโทษได้มั๊ยล่ะ ก็คนมันหลับจะไปรู้เรื่องมั๊ยเล่า" ผมแก้ตัว
"โอ๊ยต่อไปใครเป็นเมียมึงนี่ต้องซวยขนาดหนักไม่ได้หลับไม่ได้นอน ว่าแต่ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมา กูปวดเยี่ยวไปเป็นเพื่อนกูหน่อย" รวีมันบ่นแล้วก็ทุบผมต่อจนผมต้องตามมันไปเยี่ยวที่ห้องน้ำ
"ไอ้อ้วนรอกูด้วยนา" รวีมันโวยวายจนผมต้องร้องเพลงคลอให้มันรู้ว่าผมอยู่ไม่ไกล แถมมันได้ยินเพลงของผมเสือกเยี่ยวไปหัวเราะไปซะด้วย
"มาละโหวย มาละวา มาละโหวย มาละวา
ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งแข่งสับสน ปากร้องตตะโกนว่าสุรพลเขามา...
สาวหนุ่มเกี่ยวข้าววัยรุ่น หยิบวิทยุาหมุนเมื่อตอนได้เวลา
ทิ้งข้าววางเคียวหยุดเกี่ยวกันทุกคน คอยฟังชื่อขงอตนที่สุรพลเขาโฆษณาาาาา" ผมร้องเพลงไปพยายามให้มีลูกเอื้อน ให้เหมือนต้นฉบับ
"มาทำหอกอะไรตอนนี้ ไป๊กลับไปนอน" อีรวีโวยวายเมื่อตัวเองทำธุระเสร็จ
"อย่าเพิ่งไป กูก็ปวดเยี่ยวเหมือนกัน" ผมว่าและเดินเข้าส้วม ส่วนรวีมันกลัวผี ยืนรอหน้าส้วม ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ มันก็เลยตะโกนขอให้ผมเยี่ยวไปร้องเพลงต่อไป
"อาหมวยอาเฮีย อาเตี่ยอากู๋ พอเพลงแว่วเข้าหู
ก็หยุดเจี๊ยะน้ำชา อ้ายหมอนี่ร้องลี ถ้าอั๊วะมีลูกสาวจะยกให้เปล่า ๆ โดยไม่เอาราคาาาาาา"
"เชี่ย ยุคไหนแล้วยังเสือกร้องสุรพล" เสียงอีรวีบ่น กระปอดกระแปด จนเมื่อผมเปิดประตูห้องน้ำออกมารวีมันก็รีบดึงแขนให้กลับไปนอน
"มาละโหวยมาละวา รวีโรจน์มาแล้ว ขอเชิญภูติผีให้มา" ผมร้องแกล้งมันจน รวีมันโวยวาย ใช้มือและตีนไล่ทุบไล่เตะ ผมจนต้องวิ่งหนีมันรอบเต็นท์ อย่าดูถูกอีผีนี่ที่ตัวเล็กเท่าเวตาล แต่แรงแม่งอย่างกะควาย ผมหัวเราะไปหนีมันไปจนกว่าจะได้นอน มันก็ทำเสียงฟึดฟัด ๆ แต่ก็เสือกขยับตัวมานอนจนหลังของผมเบียดกัน เพราะมันกลัวผี แกล้งแม่ง อยู่ดีไม่ว่าดี พากูมานอนกลางดินกินกลางทราย แต่ผมก็เสือกอยากตามมันมาเองนี่นะ ไอ้คุณชายศศินเอ๊ย มีเพื่อนเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ แถมขี้โวยวายก็ต้องทำใจ มันคงไม่เลิกสันดานนี้ได้ง่าย ๆ เพราะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อนุบาล และคงเป็นอย่างนี้ไปจนแก่ตาย แต่จะตายโดยธรรมชาติหรือ โดนกระทืบตายก็อยู่ที่บุญกรรมแล้วล่ะ