แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
สแกนดิเนเวีย เป็นภูมิภาคทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ มีศูนย์กลางอยู่ที่คาบสมุทรสแกนดิเนเวียในยุโรปเหนือ มาจากชื่อเดิมว่า มณฑลสกาเนีย ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียได้แก่ สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก อาจรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มนอร์ดิกเช่น ไอซ์แลนด์และ ฟินแลนด์ จากความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
นี่ว่ากันตามวิกิพีเดีย แต่จุดหมายหลัก ๆ ของผมคือที่ประเทศฟินแลนด์ ดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ดังนั้นคณะอาจารย์อย่างพวกผม ก็เลยต้องมาดูงาน ซึ่งจะสามารถนำไปปรับใช้กับการศึกษาเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้ก็ต้องใช้ไหวพริบกันอยู่ดี ก็ในเมื่อเราอยากจะให้การศึกษาของเด็ก ๆ พัฒนาไปให้ดีที่สุด แต่ภาครัฐนั้นทำราวกับอยากให้การพัฒนาทางด้านความคิดโดยเฉพาะของประชาชน ช้าและด้อยที่สุด เรื่องมันเป็นเสียอย่างนี้ ก็อย่างที่เขาว่า คนโง่น่ะปกครองง่าย
และคนโง่ นั้นก็เกิดจากพื้นฐานการศึกษาที่สอนให้เอาแต่ท่องจำ ไม่ได้สอนให้คิด ให้วิเคราะห์ แยกแยะ แต่ผมก็ดีใจที่นักเรียนในสมัยนี้มีความกล้าพูดกล้าถาม มากกว่าในสมัยผม ถึงผมในวัยเด็กจะไม่ค่อยชอบตอบคำถาม แต่ไอ้ตัวน่ารำคาญที่นั่งโต๊ะติดกันตั้งแต่เด็ก ชอบที่จะยกมือเร่า ๆ ตอบคำถาม หรือถามคำถามคุณครู ดูแล้วก็ให้นึกถึง เฮอร์ไมโอนี่ ในแฮรี่ พอทเตอร์ อย่างไรก็อย่างนั้น
เรียกว่าเป็นเฮอร์ไมโอนี่ภาคที่เป็นผู้ชาย ไม่ใช่สิ เป็นเฮอร์ไมโอนี่ภาคตุ๊ด อันนี้ผมไม่ได้บูลลี่รวีมันนะ มันพูดเองปาว ๆ ว่ามันเป็นตุ๊ด ถึงจริตกิริยาของมันจะไม่ได้ตุ้งติ้ง หรือรักสวยรักงามเลยสักนิดเดียวก็เถอะ ตรงกันข้าม ผมว่ารวีมันดิบนิด ๆ เถื่อนหน่อย ๆ ตรงข้ามกับผมที่ติ๋ม ๆ และเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่า
รวีมันมีความเป็นผู้นำสูง ชอบโดดเด่น บางทีไอ้การยกมือตอบคำถามครู มันก็มีผมนี่แหละคอยเป็นลูกกรอกชอบบอกบทมันเป็นประจำ เรียกว่าผมเป็นสายซัพพอร์ตก็ว่าได้
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก กับพฤติกรรมห่าม ๆ ของรวี ผมก็เลยค่อนข้างชินเสียแล้ว แต่มองอีกด้าน ผมก็คิดว่า กับโลกที่แสนน่าเบื่อและซ้ำซาก รวีมันก็เป็นสีสัน ถึงจะสีจัดไปหน่อย
ข้อดีของรวีตั้งแต่เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก จริงสิ ตอนเด็ก ๆ ผมชอบเรียกมันไอ้จิ๋ว เพราะตัวมันเล็กที่สุดในห้อง ในขณะที่ผมนั้นตัวโตที่สุดในห้องมาแต่ไหนแต่ไร ครูชอบให้ฉายาผมกับรวีว่า อ้วนผอมจอมยุ่ง ซึ่งคนยุ่งน่ะมีแต่รวีคนเดียว เพราะผมนั้นอยู่ในกฎระเบียบมากที่สุดอยู่แล้ว ถึงจะตัวอ้วนอุ้ยอ้าย แต่เสื้อนักเรียนของผมนั้น จะอยู่ในขอบกางเกงตั้งแต่เริ่มใส่ จนถึงบ้านหลังเลิกเรียนและอาบน้ำเลยทีเดียว
แต่รวีนั้น เนื่องจากตัวของมันเล็กจิ๋ว แม้ว่าเสื้อจะตัวเล็กที่สุด แต่รวีใส่แล้วก็ยังหลวม หลวมจนผมแอบนินทาว่ารวีนั้นควรจะเอาเสื้อผ้าตุ๊กตามาใส่เสียเถอะ เนื่องจากขนาดตัวที่เล็กเสื้อหลวม ๆ ของรวีจึงมักหลุดลุ่ยอยู่เสมอ ๆ แถมเจ้าตัวก็ชอบวิ่งเล่น ชอบซน เสื้อของรวีจึงมอม ๆ และมีแต่รอยเปื้อน
"ทำไมเสื้อเปื้อนจัง?" ผมตั้งคำถาม ในวันหนึ่งที่นั่งอ่านหนังสือและรวีวิ่งเล่นจนเหนื่อยจึงมานั่งพักข้าง ๆ ผม
"แต่แม่ซักให้ทุกวันเลยนะ" รวีตอบไม่ตรงคำถาม หรือผมกันแน่นะ ที่ถามไม่ตรงคำตอบกันแน่
"แต่งตัวมอม ๆ น่ะ รู้ไหมเหมือนใคร เหมือนเจ้าหญิงขี้เถ้าไงล่ะ"
"คุ้น ๆ แฮะ เรื่องซินเดอเรลล่าน่ะเหรอ?" รวีขยับมานั่งพิงกำแพงให้สบายแล้วก็ถามผมอย่างคึกคัก เกริ่นมาอย่างนี้ก็เป็นอันรู้ได้แน่ ๆ ว่าเดี๋ยวผมน่ะต้องเล่าเรื่องซินเดอเรลล่าให้รวีฟัง แต่เป็นในเวอร์ชั่นของผมเอง โดยรวีผู้ฟังที่ไม่ค่อยดีเพราะชอบขัด ชอบถามคำถามแปลก ๆ เช่น
"มึงคิดว่า คนที่อยากจะเที่ยวกลางคืนจนตัวสั่นนี่มันนิสัยดีหรอ กูว่าอีนังซินนี่ ถ้ามายุคนี้ คงเป็นสก๊อยไปแล้วว่ะ แบบว่าใส่กางเกงสั้น ๆ รัด ๆ กับเสื้อตัวจิ๋ว ทาปากแดง ๆ แล้วก็เกาะท้ายรถมอเตอร์ไซค์พวกเด็กแว้นซ์อ่ะ" รวีมันคิดไปถึงไหน แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเห็นขำ ส่วนผมพอนึกภาพตามมันก็ขำจริง ๆ นั่นแหละ
แต่ผมก็พยายามที่จะให้เรื่องที่ผมอ่านมาและนำมาเล่าอย่างน้อยก็มีสาระบ้างสักนิด
"จริง ๆ เรื่องนี้นางเอกน่ะชื่อ เอลลา แต่แม่เลี้ยงและพี่สาวใจร้าย พากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า อันแปลว่า เอลลาผู้มอมแมม อ้อ แล้วก็นิทานประเภทคล้าย ๆ กับซินเดอเรลล่านี่น่ะ จริง ๆ ก็มีอยู่ในหลาย ๆ วัฒนธรรมทั่วโลกเลยนะ อย่างที่จีน ก็มีเรื่องเล่าของหญิงสาวผู้สวยงามและทำงานหนัก เธอเป็นเพื่อนกับปลา ซึ่งต่อมา ถูกแม่เลี้ยงของนางฆ่า นางเอกเก็บกระดูกปลาและมันก็ช่วยสร้างชุดที่สวยงามทำให้เธอนำชุดนั้นไปสวมใส่ในเทศกาล ต่อมานางทำรองเท้าหลุดขณะที่เร่งรีบกลับ กษัตริย์จึงได้พบและตกหลุมรัก" ผมเล่าไปตามประสาเด็กเนิร์ด ผู้ชอบค้นคว้า
"คนบ้าอะไรเป็นเพื่อนกับปลา กูว่าอีนี่มีปัญหาทางสมอง แล้วถ้าวิ่งจนรองเท้าหลุดนี่ แสดงว่าอีนี่ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ แน่นอน สติไม่แน่ ๆ" รวีมันพูดอย่างแก่แดด แต่ผมที่มองสภาพคนพูด ซึ่งเสื้อผ้ามอม ๆ ของมัน เสื้อหลุดออกมาจากกางเกงครึ่งหนึ่ง และรองเท้าของมันที่ถอดออกข้างหนึ่งและกระดิกเท้าอย่างสบายใจ ...สภาพ
ยังมีเทพนิยายอีกเรื่องของอินโดมลายูในยุคกลาง นางเอกชื่อ แอนน์ ได้เป็นเพื่อนกับปลาพูดได้ชื่อ โกลด์อาย ซึ่งแท้ที่จริง เป็นแม่ของแอนน์กลับชาติมาเกิด ตามเรื่องปลาถูกฆ่าและนำมาทำอาหารเหมือนกัน และแอนน์เก็บก้างปลาไว้เหมือนกัน แต่เจ้าชายก็ตกหลุมรักแอนน์ และพบรองเท้าทองซึ่งมีขนาดเล็กมาก ผมเล่าไปอีกเรื่องแบบคร่าว ๆ และรวีซึ่งดูเหมือนตั้งใจฟังแต่ก็ยังไม่วายจะขัด
"กูว่าไอ้พล็อตเรื่องแบบนี้มันซ้ำ ๆ คล้าย ๆ เอื้อยอ้ายและแม่ปลาบู่....ซ๊งซ๊านแต่แม่ปลาบู่....อาศัยอยู่ในฝั่งคงค๊าาาา" ร้องเสียงหลงอีก ปวดหัวชะมัด
ดูเอาเถอะ จู่ ๆ ผมก็เกิดคิดถึงรวีได้มากขนาดนี้ และถูกเรียกสติโดยเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่กำลังชี้ชวนให้ผมดูโน่นดูนี่สองข้างทาง
ตอนนี้ผมอยู่ที่โคเปนเฮเกน ในประเทศเดนมาร์ก และสิ่งที่ทำเอาผมออกจะทึ่ง ก็คือ เรากำลังนั่งอยู่ในเรือน้ำนั้นใสแจ๋ว และผู้คนก็เล่นน้ำกันอย่างธรรมดาที่สุด ซึ่งเราต้องแสดงให้เห็นว่าเราเดินมาและเก็บขยะ เพื่อจะได้นำมาเป็นส่วนลดในการเล่นเรือครั้งนี้ เป็นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน น่าสนใจ แต่เมืองไทยเห็นจะยาก โดยเฉพาะห้ามนำเหล้าขึ้นมาบนเรือ และปัญหาเรื่องความสะอาด
แต่ที่ผมอดขำไม่ได้คือ ช่วงที่ผมมามันเป็นช่วงที่มีแดด ชาวเมืองสองข้างทางก็จะมานอนอาบแดดราวกับตากปลารวีเห็นคงขำแน่ ๆ ยิ่งเป็นคนปากหมาตาผีอยู่ด้วย
แต่คนที่นี่ก็ว่าไม่ได้ เพราะหุ่นดี ผมเคยถามเพื่อนนักศึกษาแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นคนจีน ว่าทำไมชาวจีนส่วนใหญ่จึงหุ่นดีนัก คำตอบของเขาก็ทำเอาผมจุกไปเหมือนกัน เขาว่าที่เมืองจีนมันไม่ได้มีสถานที่เที่ยวเยอะแยะแบบในเมืองไทย พอไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็เลยเข้ายิมกัน ผิดกับเมืองไทย ที่มีทั้งร้านนั่งร้านกิน และแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีเยอะแยะ เป็นเมืองบาปโดยสมบูรณ์ sin city
สิ่งที่น่าประทับใจคือ ระหว่างที่เรานั่งอยู่บนเรือ คนรู้จักในคณะ ก็ตะโกนและชี้โบ๊ชี้เบ๊ พักเดียวก็มีผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับชาวคณะ ว่ายน้ำตรงมาหาพวกเรา และเชื้อชวนให้พวกเราว่ายน้ำเล่นเสียด้วย เอาสิ
นี่เป็นช่วงท้าย ๆ ของทริปแล้ว ทางคณะอาจารย์จึงค่อนข้างผ่อนคลาย และจุดหมายหลังจากนี้ของเราก็คือจะไปสวีเดน ผมนั้นมากับบรรดาพี่ ๆ และอา ๆ น้า ๆ เนื่องจากในคณะผมนั้นเด็กที่สุด แน่เสียล่ะว่าผมต้องมีอาการคิดถึงบ้านบ้างเป็นบางหน บ้านที่ไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน และคนคนนั้นก็คือ รวีโรจน์ เป็นหลัก
ที่ยุโรปนี่ไม่เหมือนบ้านเราในเรื่องของสภาพอากาศ วันที่สองที่สวีเดน เพียงสี่โมงเย็น ท้องฟ้าก็มืดราวกับเวลาทุ่มนึงที่เมืองไทย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ร้านรวงจะพากันปิดตัวตอนห้าหกโมง ไม่ได้ตะบี้ตะบันขายกันเหมือนเมืองไทยของเรา โดยเฉพาะร้านอาหาร
อาจารย์น้าที่ผมเคารพรัก ท่านคุ้นชิน จึงพาพวกเราในคณะห้าคน ให้ไปซื้อวัตถุดิบเครื่องปรุง เพื่อจะได้มาทำอาหารเย็นสู่กันกิน สนุกก็อีตรงนี้ เพราะเราไม่ได้เช่าโรงแรม แต่เราเช่าบ้านหนึ่งหลัง ไปเลยเพื่อตัดปัญหา แถมที่ยุโรป สองข้างทางบางที่ มีต้นแอปเปิลขึ้น และมันก็ออกดอกออกผลเสียมากมาย แต่ไม่ยักมีใครเก็บมากิน ปล่อยให้หล่นร่วงอยู่โคนต้นเสียเยอะแยะ
ไอ้คนไทยอย่างเราเห็นแล้วก็เสียดาย เลยช่วยกันเก็บเอามาทำยำ กินแล้วก็อร่อยดี แต่ผมว่าไอ้ทรงนี้รวีกินไม่ได้แน่ ๆ เพราะรวีเป็นคนกินยาก เรื่องมากที่สุด มันไม่ใช่แค่เรื่องของการแพ้อาหาร แต่มันเป็นเรื่องดัดจริต
"รวีมันติดยี่ห้อ แม่เคยซื้อนักเก็ตตลาดนัดไปให้เจ้ารวีมันกิน พอเห็นถุงพลาสติก แบบร้านค้าทั่วไป เจ้านี่ไม่กินเสียอย่างนั้น คราวนี้แม่ดัดหลัง ซื้อจากเจ้าเดิม แต่ใส่ถุงจากร้านแมค รวีกลับกินได้ แม่ล่ะ อ่อนใจ" แม่ของรวีเคยนินทาให้ผมฟัง
แต่เมื่ออยู่ที่บ้าน รวีก็สามารถกินอะไรได้เกือบทุกอย่างที่พ่อของรวีเป็นคนทำ ผมซึ่งได้ลิ้มลองก็เลยเข้าใจเพราะมันอร่อย และสะอาด ถึงรสชาติจะเข้มข้นสักหน่อย แต่นาน ๆ กินทีมันก็อร่อยดี จนพ่อของรวีเกิดเอ็นดูสอนผมทำอาหารแบบง่าย ๆ มาทริปนี้ผมก็เลยช่วยเขาเป็นลูกมือในครัวได้อย่างไม่ขัดเขิน
รวีนั้นกินข้าวยากแต่กินเหล้าเก่ง เก่งอย่างที่ผมนึกโมโห เพราะเมาจนเสียสติ ถ้าไม่หลับไปเลยแบบภาพตัด ซึ่งผมว่าสภาพนั้นยังดีเสียกว่า เพราะถ้ารวีเมา ก็มักจะพูดพล่ามน่ารำคาญ แล้วก็ไม่รู้เป็นอย่างไร เมาทีไร ต้องเรียกผมให้มารับกลับห้องเสียทุกที ผมก็ทำใจแข็งทิ้งรวีไม่ได้เสียด้วย เคยหนหนึ่งที่จะดัดนิสัย ด้วยการไม่สนใจ ไม่รับโทรศัพท์ เพราะไอ้เวลาแปลก ๆ อย่างนั้นใครเล่าจะโทรหานอกจากรวีที่จะให้ผมไปรับกลับเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นห่วง ความรู้สึกผิด ก็ชนะอยู่ดี ผมลากรวีกลับเข้ามาในห้อง ขณะกำลังเช็ดตัว รวีก็พูดพล่ามออกมาเรื่อยเปื่อย
"เดี๋ยวนี้มึงมันหล่อแล้ว รูปก็หล่อพ่อก็รวย ใช่ซี๊ เดี๋ยวมึงก็จะมีเมีย กูจะบอกให้ มีแต่คนอยากได้มึงเป็นผัว เชอะ คนพวกนั้นน่ะ มันไม่ได้รักมึงร๊อก มันรักที่เงินของมึงกับหน้าตาของมึง อีอ้วน" รวีพูดเสียงอ้อแอ้แต่พอจับความได้
"ก็ไม่เคยสนใจใครอยู่แล้วน่า" ผมตอบแบบปัดรำคาญ และรำคาญจริง ๆ เพราะรวีมันเอาแต่บิดตัวหนี นี่แค่ผ้าชุบน้ำ ขยับตัวหนีเหมือนเป็นโรคกลัวน้ำไปได้
"ถ้าเป็นกูก็ว่าไปอย่างใช่ป่ะ กูน่ะ รักในตัวตนของมึง ไม่ว่ามึงจะอ้วน หรือมึงจะผอม มึงจะรวยหรือยากจน มึงจะปากหมาชอบด่ากู แต่กูนี่สิ รักมึงที่ซู๊ด"
"รักยังไง รักแบบเพื่อนเหรอ?" ผมถามและยิ้มที่มุมปาก จะเอาอะไรกับคนเมากันเล่า
"รักแบบไหนก็ไม่รู้สิ แต่กูรู้ว่ากูไม่ชอบเลยเวลาที่ใครมาวอแวกับมึงน่ะ หล่อตายล่ะ" รวีพูดพร้อมกับตาปรือ ยื่นมือสองมือมาตบแก้มของผมแปะ ๆ
"กูก็รักมึง...รวี" ผมตอบและดึงกางเกงมอม ๆ ของมันออกมา เพื่อจะได้เช็ดตัวต่อ
"เรารักกันไม่ได้หรอก...เรารักได้เท่านี้ เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก ๆ ถ้าเรารักกัน แล้วเกิดวันไหนเราเลิกกันไป หรือกูมองหน้ามึงไม่ติด กูว่ากูตายแน่ ๆ" รวีหลับตาพูด ส่วนผม ก็ชะงักมือ หัวใจของผมเต้นแรง รวีพล่ามจนหมดแรงและหลับไปแล้วแต่คืนนั้น ผมได้แต่คิดถึงคำพูดของรวีซ้ำไปซ้ำมา และผมก็รู้ได้ว่า ความสัมพันธ์ของผมกับรวี มันคล้าย ๆ จะเปลี่ยนไป แต่ในความเปลี่ยนแปลงนั้น มันเหมือนมีม่านบาง ๆ มากั้น
จนในที่สุด เมื่อเรายังคงปล่อยให้สถานะของเราอึมครึมอยู่อย่างนั้น จักรวาลก็คงอยากให้เราเร่งเร้าในความสัมพันธ์ให้มันชัดเจน ช่วงปีสุดท้ายของการเรียน ผมได้ฝึกงานก็คืองานที่โรงเรียนสมัยมัธยมปลาย เป็นครูฝึกสอน ส่วนรวีไปทำงานที่บริษัทโฆษณากับรุ่นพี่สายรหัส
เจ้าตัวบ่นบ่อย ๆ ว่าทำงานเหมือนวัวเหมือนควาย แต่น้ำเสียงของรวีที่โทรศัพท์มาคอยนินทาเพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า ก็ยังสดใสร่าเริงอยู่เสมอ ยิ่งผมคอยส่องในโซเชียลมีเดีย ก็ไม่ได้เห็นแววสลดในดวงตาของรวีเลยสักนิด เจ้าตัวได้ไปเที่ยวที่แปลก ๆ ทำงานที่ตรงกับสายที่ตัวเองเรียนและชอบ แต่ติดตรงสุขภาพที่น่าจะไม่ค่อยไหว เพราะต้องอดหลับอดนอนเป็นประจำ แถมไม่ได้กลับบ้านเลยเกือบสามเดือนแห่งการฝึกงานนั้น
แม้ว่าเราจะโทรศัพท์และวิดีโอคอลคุยกันบ่อย ๆ เท่าที่แต่ละคนจะว่าง แต่มันก็ทำให้ผมตระหนักถึงชีวิตที่ขาดรวีไปจากช่วงชีวิต เราเคยนั่งกินข้าวด้วยกัน นั่งอ่านหนังสือด้วยกัน และทำอะไร ๆ ด้วยกันมาตลอด แต่รวีชักจะสนุกโดยไม่มีผมในชีวิตมากขึ้นทุกทีแล้ว และผมกลัวว่าวันใดวันหนึ่ง ในชีวิตของผมจะต้องขาดเขาไป ขาดไปตลอดกาล ถ้าเขาจะได้มีใครในหัวใจที่ไม่ใช่ผม
ผมไม่ชอบเลยเวลาที่รวีกับเพื่อน ๆ พากันพูดชมถึงผู้ชายคนอื่น ๆ แม้ว่าผมจะรู้ดีว่ารวีมันก็พูดเล่นตามประสาไปแบบนั้น แต่ท่าทางระริกระรี้ แบบนั้นมันน่าหมั่นไส้เกินไป ผมหึง...บ้าไปแล้วแต่ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคงไม่มีอื่น
ส่วนชีวิตการฝึกงานของผมก็ซ้ำซากจำเจ แต่ผมชอบชีวิตแบบนี้ ลูกศิษย์ของผมเป็นเด็กประถม กล้าคิดกล้าทำ กล้าถาม และในเมื่อผมสอนเด็กยุคใหม่ผมก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เท่าทันเด็ก ๆ ลองตัดอคติเรื่องอายุ ทำให้เรากับเด็ก ๆ ไม่รู้สึกห่างกันมาก จนเด็ก ๆ ชอบเรียกผมว่าครูพี่ศศิน และผมก็มักจะเล่านิทานสั้น ๆ ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะจบให้เด็ก ๆ ตั้งใจเรียนจะได้ฟังนิทานตอนท้าย ยังไงเสียเด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ
ทริปกึ่งเที่ยวกึ่งศึกษาดูงานจะจบในอีกสองวันและผมก็จะอยู่ต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ จนถึงวันสุดท้ายผมไปส่งชาวคณะที่แอร์พอท และนั่งแกร่วรออยู่อีกสามชั่วโมง เพราะรวีจะบินมาหาผมที่สวีเดน แต่เวลาสามชั่วโมงกับคนที่มีหนังสืออยู่ในมือ มันไม่ยาวนานขนาดนั้น
ผมได้หนังสือจากร้านหนังสือเล็ก ๆ น่ารัก เป็นหนังสือเล่มโปรดที่ผมไม่คิดว่าจะเจอโดยบังเอิญมันเป็นโชคดีแท้ ๆ หนังสือเจ้าชายน้อยฉบับสวีเดน ผมซื้อมาสองเล่มสำหรับตัวเองและคุณย่า และได้หนังสือภาษาอังกฤษเล่มกะทัดรัดอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งอ่านเพลิน ๆ เป็นหนังสือนิทานเช่นกัน
จนเมื่อไฟล์ทของรวีมาถึง และเมื่อคนร่างกะทัดรัดลากกระเป๋าใบที่ผมคิดว่าเล็กไปหน่อยตามมาติด ๆ พอเห็นว่าผมยืนรออยู่ รวีก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เข้ามากอดผม เรากอดกันอยู่เนิ่นนาน ผมคิดถึงรวีใจแทบขาดแล้ว เรากอดกันไปมา จนคนมองเราแปลก ๆ แต่รวีไม่สนใจหรอก ผมก็ด้วย ผมยื่นริมฝีปากไปจูบที่หน้าผากของรวีเบา ๆ รวีเอาแต่จ้องหน้าผม ยิ้มกว้าง และมีน้ำใส ๆ คลอในลูกตา
"ร้องไห้ทำไม?" ผมกระซิบถาม
"ไม่ได้ร้อง มันตื้นตัน ...คิดถึงน่ะ" รวีกระซิบตอบและผมก็รับกระเป๋าลากจากมือของรวีมาถือ และพารวีกลับไปพักที่โรงแรม
"คิดยังไงถึงหนีเที่ยว พี่โจกับพี่ตี๋ไม่บ่นเหรอ?" ผมไม่วายจะแซว
"ไม่บ่นหรอก กูวางระบบไว้ดีแล้ว เวิร์คฟอร์มโฮมก็ยังได้" รวีคุยอวด
การมาเที่ยวยุโรปในครั้งนี้ รวีได้เที่ยวแค่สวีเดน แต่นี่ก็สนุกมาก ๆ แล้ว แน่นอนว่าเราต้องไปเดิน IKEA เพราะตอนอยู่เมืองไทยเราก็ชอบไปเดินด้วยกันบ่อย ๆ สิ่งของหลาย ๆ ชิ้นก็ได้จากที่นั่น แต่มาเดินในคราวนี้ เราเน้นมากินที่คาเฟ่ของอีเกียมากกว่า แน่นอนว่าต้องสั่งมีทบอลอันเป็นซิกเนเจอร์ รวีเลือกกินอย่างละก้อนสองก้อน ส่วนผมเน้นกินสลัดเป็นส่วนใหญ่ ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งอีเกียนั้น งกแสนงก แต่เฟอร์นิเจอร์ของอีเกียก็มีทั้งแบบเรียบ และหรูหรา
เราใช้ชีวิตเงียบ ๆ สงบ ๆ ที่ยุโรปไม่ได้มีร้านอาหารเยอะแยะเหมือนแถวบรรทัดทอง รวีกินได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เจ้าตัวก็สนุก ยิ่งบรรยากาศดี ๆ อากาศสะอาด ๆ ประกอบกับโรงแรมที่เราไปพักเป็นกึ่ง ๆ โฮมสเตย์ ป้าเจ้าของบ้านเป็นคุณป้าน่ารัก และพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง แกยุให้เราไปเก็บเห็ดในป่ากับแก ซึ่งมันก็น่าสนุก
แกเล่าว่า ชีวิตคนที่นี่ ถ้าได้จังหวะดี ๆ มีฝนตก ชาวบ้านก็จะพากันเข้าป่าไปเก็บเห็ด แกสอนให้เราเก็บเห็ดและตามรายทางแกก็จะให้พวกเราได้ลองกินผลไม้ป่า ที่ขึ้นตามข้างทาง มื้อเย็นแกก็ทำอาหารจากพืชผักที่เก็บมาได้นั่นเอง
วันสุดท้ายแห่งการลากจาก เรากอดคุณป้าและแกก็เอาแต่พร่ำบอกให้เรากลับมาเยี่ยมแกกับสามีอีก
"อยากถึงบ้านเร็ว ๆ อยากกินอาหารฝีมือพ่อ อยากกินส้มตำ อยากกินหมูกระทะ อยากกินทุเรียน กับข้าวเหนียวมะม่วง" รวีพูดบ่นเหมือนเป็นคนเห็นแก่กินทั้ง ๆ ที่เป็นคนกินยากที่สุดในโลก ส้มตำของรวีถั่วลิสงคั่วก็ใส่ไม่ได้ กุ้งแห้งนั้นก็ต้องเป็นแบบตัวใหญ่ ๆ และไม่ใส่สีแดงแจ๋ รสเปรี้ยวก็ต้องใช้มะนาวซึ่งบีบจากมะนาวสด ๆ น้ำมะนาวขวดรวีก็ไม่กิน ผักสดต่าง ๆ ก็ต้องล้างจนแน่ใจว่าสะอาด และรวีกินแต่ตำไทยเท่านั้น ปูปลาร้า ตำลาว ตำป่า รวีไม่มีทางกินเป็นเด็ดขาด จะว่ารังเกียจปลาร้าก็ไม่ใช่ เพราะถ้าพ่อทำปลาร้าหลน รวีก็กินได้กินดีนี่นา
แน่นอนว่าร้านไหนลองได้รวีไปสั่งคงต้องมองกันตาเขียว ส้มตำที่ดีจึงต้องตำกันเองเท่านั้น ...เฮ่อ
ส่วนหมูกระทะนั้นกลับแปลก ไปกินตามร้าน รวีกลับกินได้กินดี กินเอา ๆ ย่างแบบเกรียมหน่อย ๆ พร้อมจะรับสารก่อมะเร็ง แต่รวีก็จะจิ้มกับน้ำจิ้ม และกินอย่างสนุกสนาน เอร็ดอร่อย และหัวเหม็นควัน
ทุเรียนนั้นรวีก็กินแต่ทุเรียนหมอนทอง แล้วก็ต้องเป็นหมอนทองพูใหญ่ ๆ ซึ่งต้องแกะต่อหน้าเท่านั้น แบบเละเป็นปลาร้ารวีก็ไม่กิน แม้แต่ข้าวเหนียวทุเรียน รวีก็ไม่กินอีกเหมือนกัน หาว่าเหม็น
ข้าวเหนียวมะม่วงก็ต้องเป็นเจ้าประจำ ซึ่งไม่ได้เป็นร้านใหญ่โตแต่กลับเป็นร้านรถเข็น ซึ่งรวีว่าเขาขายมาเป็นสิบ ๆ ปี คนขายเป็นสองคนพี่น้อง ซึ่งยายพี่น่ะสวยจนลูกสาวลูกชายโตเป็นหนุ่มก็ยังสวยอยู่ ส่วนน้องนั้นเป็นอีเก้งปากจัดที่สุด ชื่อพี่โอ๋ รวีเล่าว่ากินมาตั้งแต่ยังห่อละไม่กี่บาท ข้าวเหนียวสังขยา ข้าวเหนียวสีเหลือง ๆ หน้ากุ้ง หรือจะข้าวเหนียวดำกับหน้ากระฉีก ถ้าเป็นโอกาสพิเศษจะมีข้าวเหนียวกลอยอีกด้วย
"ไปเจอกันยังไงล่ะฮึ?" ผมถามขณะที่ยืนรอ เพราะรวีซื้อข้าวเหนียวมูนเป็นกิโล ไม่นับรวมหน้าต่าง ๆ ไอ้ที่เสียเวลาก็คือเสียเวลาคุยเม้ากันเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ผมฟังแล้วก็หัวเราะไปด้วยตลอดเพราะพี่โอ๋นั้นตลกมาก ๆ
"เจอกันโดยบังเอิญตอนเด็ก ๆ น่ะ แกเข็นรถมาขาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข็นไปเข็นมาละ แกว่าขี้เกียจหนีเทศกิจ เลยปักหลักขายมันอยู่หน้าธนาคารกสิกร ตรงวัดจักรวรรดิ นี่แหละ" รวีอธิบาย
ดูเอาเถอะ ตอนอยู่เมืองนอก สิ่งที่เราคิดถึงที่บ้านมากที่สุดนอกจากเรื่องคนที่รัก ก็คือเรื่องอาหาร ผมน่ะมันคนง่าย อะไรก็กินได้ แต่รวีผู้เรื่องมากนั้น เวลาเจ็ดวันกับอาหารต่างชาติ ก็ออกจะทำให้รวีดูไม่ค่อยเอ็นจอยเท่าที่ควรในวันหลัง ๆ ถึงขนาดเราต้องไปหาอาหารจีนกินกันเพื่อแก้เลี่ยน แต่มีหรือที่รวีจะไม่ติ
"เอาน่าก็ดีกว่ากินมันบดก็แล้วกัน" ผมปลอบใจเพราะรวีเห็นสภาพต้มยำกุ้งที่ใส่ผักอะไรแปลก ๆ มาเต็มไปหมดแต่ที่ทำเอาหน้าเบ้ก็คือ ต้มยำที่ใส่แครอทมาด้วย
จนในที่สุดเราก็ได้ถึงบ้านของเราสักที กระเป๋าเสื้อผ้าใบโตกับใบย่อมถูกวางเอาไว้ก่อน ไหนจะของฝากญาติมิตรอีก รวีชวนผมยิก ๆ ให้รีบอาบน้ำ เพื่อจะได้ไปหาอะไรแซ่บ ๆ กินกันให้หายคิดถึง
รวีนั้นชอบขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพราะเจ้าตัวบอกว่ามันคล่องตัวดี ผมขี่เป็นแต่ไม่ถนัด ผมเลยมักรับหน้าที่เป็นผู้โดยสารที่ดี รวีขับรถไม่เร็ว แต่ผมก็เลือกจะกอดเอวของเขาแน่น ๆ และซุกหน้าไปที่บ่าของเจ้าตัว
จนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าประจำ รวีเดินไปสั่งให้ผม และดูรวีจะสดชื่นกว่าวันที่แล้วมา จนเกาเหลาชามแรกมาเสิร์ฟ รวีก็จัดแจงปรุงและชิมจนได้รส แล้วก็ยื่นมาให้ผมเพราะผมกินโดยไม่ต้องปรุงก็ได้ แต่รวีว่ากินก๋วยเตี๋ยวมันก็ต้องปรุงหน่อยจะได้อร่อย ครู่ต่อมาชามของรวีก็ตามมาติด ๆ รวีปรุงไปชิมไป และยิ้มจนแก้มแทบแตก
"อ๊ะ...ไส้...กูให้" รวีพูดพร้อมกับคีบไส้วัวใส่ชามของผม ส่วนผมก็คีบลูกชิ้นเอ็นเนื้อที่รู้ว่ารวีชอบกินที่สุดป้อนถึงปากของเขา
"งื้อร้อน.....แต่อร่อย...ขอบคุณคร๊าบ" รวีพูดพร้อมกับเคี้ยวตุ้ย ๆ ส่วนผมก็นั่งอมยิ้ม เมื่อเห็นรวีกลับมาเป็นรวีที่มีความสุข
ผมมีความสุขเมื่อเห็นว่าเขายิ้มและมีความสุข มันง่าย ๆ และตรงไปตรงมา แค่เราอยู่ด้วยกัน ทำอะไรธรรมดา ๆ อยู่ข้าง ๆ กัน แต่วันพรุ่งนี้คนรับหน้าที่ซักผ้าจะเป็นผมหรือรวีกันหนอ ผมคงไม่ค่อยไว้ใจรวีเท่าไรเรื่องนี้ ผมต้องแยกผ้าสีและผ้าขาว รวมไปถึงการใช้ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มให้พอดี ส่วนรวีรับหน้าที่ตากผ้า
"อ๊าอิ่มจัง มีความสุขที่สุดในโลกเลย" รวีชอบพูดอะไรประมาณนี้หลังจากได้กินของอร่อยที่เป็นของโปรด
"มีความสุขขนาดนั้นเชียว?" ผมถามขณะที่กำลังสวมหมวกกันน็อกให้รวี
"ที่สุดเลย แล้วมึงล่ะ?" รวีถามกลับ
"มีเหมือนกัน มีตอนอยู่ใกล้ ๆ มึงนี่แหละ" ผมตอบออกไปและพยายามกลั้นยิ้ม ส่วนรวีก็ยิ้มกว้างและยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มของผม อยากจะกลับห้องไว ๆ อยากทำอะไรได้ตามใจที่ยามมีเราแค่สองคน ใจเอ๋ยใจ