แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 10 วันธรรมดา โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

10 วันธรรมดา

โดย  Chavaroj




วันนี้เป็นวันหยุดธรรมดา ๆ วันหนึ่ง และโดยปกติชีวิต เราสองก็มักจะไม่ได้ออกไปไหนไกล ๆ อย่างไปต่างจังหวัดด้วยกันเพราะเหนื่อย


คุยกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าวันนี้ผมจะขอตื่นให้สาย ๆ สักหน่อย ส่วนพ่อมหาจำเริญจะไปออกกำลังกาย จะไปว่ายน้ำก็เชิญตามสะดวก ส่วนผม ถ้ามีอารมณ์ ก็จะบอกเองว่าให้ปลุกผมด้วย เพราะผมก็ชอบว่ายน้ำอยู่เหมือนกัน ถึงส่วนใหญ่จะเกาะขอบสระว่ายน้ำป๋อมแป๋มก็เถอะ ไม่เหมือนคุณชายที่ว่ายน้ำราวกับจะฝึกซ้อมไปโอลิมปิก


แต่ในช่วงนี้มันใกล้หน้าหนาวแล้ว เอ่อ หนาวแบบที่กรมอุตุเขาบอกน่ะ แต่จะรู้สึกหนาวกี่โมงค่อยว่ากันอีกที แต่ถึงอย่างนั้น น้ำในสระก็เย็นเจี๊ยบ เพราะคนดีของผม ชอบไปว่ายน้ำตอนเช้ามืด ส่วนรวีขอนอนค่ะ


จริง ๆ จะว่ายน้ำตอนกลางวัน ผมก็รำคาญเสียงเด็ก ๆ หรือฝรั่งแก่ ๆ ที่ชอบนอนผึ่งพุง คนไทยเรากลัวแดด แต่ฝรั่งเห็นแดดแล้วขอนอนตากให้ตัวแดง ซึ่งผลจากการไปยุโรปเหนือเพื่อไปรับผัวกลับบ้าน ก็เลยพอจะทำให้เข้าใจได้ว่าถ้าต้องอยู่ในบ้านเมืองที่มันมืด ๆ มัว ๆ อย่างนั้น เป็นกูก็ขอตากแดดให้ตัวแดงเหมือนกัน


ผมมาสะดุ้งตื่นก็ราว ๆ เจ็ดโมงเช้า เพราะคุณชายศศินทำเสียงดังก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ในครัว แต่ผมนึกอยากกินอะไรแปลก ๆ ก็เลยตะโกนบอกเจ้าตัวให้หยุดมือเสียก่อน


"สิน ไม่ต้องทำอะไรกินหรอกไปหาอะไรหม่ำข้างนอกกันดีกว่า" ผมว่าและคุณชายก็เดินมานั่งที่ข้างเตียง มองหน้าผมเหมือนจะถามว่าจะเอายังไง?


"ไปตลาดนัดตรงข้าง ๆ พาราไดซ์กันเนอะ" ผมเสนอและเจ้าตัวก็พยักหน้าเห็นด้วย มีผัวว่าง่ายมันก็ดีอย่างนี้ ผมแค่ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพอเดินตลาดได้คือกางเกงขาวอล์มผ้าสำลีขาสั้น กับเสื้อยืดเก่า ๆ สีเทา ส่วนคุณชาย ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสแลคสีกรม คนอะไรใส่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ แต่มันก็ยังดูดี ...ผัวใครกันหนอ


ผมรับหน้าที่สารถีตามเคย ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจ ตรงดิ่งมาตามซอยอ่อนนุช จนมาถึงตลาดนัดข้าง ๆ ห้างที่ว่า แต่ก่อน ตลาดนัดพวกนี้อยู่ตรงใกล้ ๆ สวนหลวงร. 9 จนเกิดเรื่องฟ้องร้องที่มีคุณป้าไปทุบรถ กทม. ก็เลยต้องถูกอัปเปหิ เพราะพื้นที่ตรงนั้นมันได้ระบุว่าเป็นพื้นที่สำหรับการพักอาศัย 


แต่ผมว่าก็ดีนะ ทำให้มันเป็นสัดเป็นส่วน อยู่ติดถนนใหญ่ ที่จอดรถอะไรก็สะดวกดีด้วย ของกินของใช้มีขายเยอะแยะ ผมเดินโดยมีคุณชายศศินเดินตามต้อย ๆ ซื้อของกันจนเต็มทั้งสองมือ นอกจากของกินสารพัด ผมก็ได้เสื้อยืดราคาถูก ๆ ตรงข้าง ๆ ห้างพาราไดซ์ ซึ่งเป็นโซนขายพวกเสื้อผ้าและชุดออกกำลังกาย กับของใช้จุกจิก 


ก็คนเขาชอบไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนหลวง ร. 9 กัน ร้านขายพวกชุดกีฬาก็เลยมาเปิดบริการ แดดชักจะร้อนผมกับสินก็เลยรีบกลับ จัดแจงแกะกับข้าวที่ซื้อมาออกมากิน จะนั่งกินที่ร้านผมว่าคนมันเยอะเบียดเสียด และการมานั่งกินสงบ ๆ ที่บ้านของเรา เปิดเพลงเบา ๆ มันก็ค่อนข้างสบายใจ


กินข้าวเสร็จ คราวนี้ก็ถึงคราวที่เราสองคนต้องช่วยกันทำความสะอาดห้องเสียแล้ว เดชะบุญที่เราเลือกมาพักอยู่ในคอนโด พื้นที่ไม่มากเหมือนอยู่บ้านเป็นหลัง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเวลาทำความสะอาดก็ใช้เวลาอยู่อักโข ผมเลือกเปลี่ยนเป็นเปิดฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากยูทูป เพื่ออัปเดตข่าวคราว ก็ผมมันใช้ชีวิตอยู่ในสายการตลาดก็ต้องฟังข่าวคราวกว้าง ๆ ไว้ส่วนคุณชายต่อเพลงกับหูฟัง ฟังเสียงฮึม ๆ ฮัม ๆ ก็รู้ว่าพ่อฟังเพลงลูกทุ่งสุรพล สมบัติเจริญอีกแล้ว 


ทำงานด้วยกันเดี๋ยวตีกันตาย ผมก็เลยรับหน้าที่ทำความสะอาดห้องนอน ส่วนสินรับหน้าที่ทำความสะอาดด้านนอก เริ่มจากการรื้อผ้าปูที่นอน และปลอกหมอนออกมาให้หมด โยนใส่ตะกร้า แล้วพ่อบ้านสมองไว ก็จะเอาไปเข้าเครื่องซัก


ส่วนผมปัด ๆ เศษฝุ่นซึ่งมันก็ไม่ค่อยมีเท่าไร เพราะห้องนอนของเรานั้นปิดตาย แถมมีเครื่องฟอกอากาศตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไว้ใจไม่ได้ จัดแจงเปิดตู้เสื้อผ้า พร้อมกับแลเล็งว่าจะใช้เครื่องนอนชุดไหนดี 


อาทิตย์ที่ผ่านมาผมใช้เครื่องนอนสีเทาเข้ม วันนี้อยากได้ธีมห้องที่ดูสะอาด ๆ หน่อย ผมก็เลยเลือกชุดเครื่องนอนสีขาวออกมา ผมซื้อเป็นชุด ๆ มีสีสะอาด ๆ หรือสีเข้มไปเลย เพราะดูแลง่ายดี ชุดเครื่องนอนทำจากผ้าซาตินอย่างดี ชนิดทอแน่นเต็มผืน เริ่มจากปูที่นอนเสียก่อน ถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องขอแรงคนที่อยู่นอกห้องมาช่วยปูผ้าปูสักหน่อย เพราะต้องขยับฟูกที่หนักอึ้ง 


"ขอบคุณนะ" ผมกล่าวขอบคุณและหอมแก้มมันหนึ่งทีเป็นรางวัล ผู้ช่วยออกไปทำความสะอาดห้องด้านนอกต่อ และผมก็จัดแจงใส่ปลอกหมอน และปลอกหมอนข้างให้ดีทีเดียว จากนั้นก็สวมปลอกผ้านวมให้เข้าชุดกัน และถึงขั้นตอนสุดท้ายก็คือ คลุมมันทั้งหมดไว้บนเตียงอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์


ผมล่ะคิดถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ว่าไอ้นิสัยของผมมันติดจะค่อนข้างมักง่าย และแม่ก็สอนมาดีแล้วแต่ผมสันดานไม่ดีเองไม่เอาคำสั่งสอนของแม่มาปฏิบัติ ตื่นมาก็ใช้ตีนถีบผ้าห่มไปขยุม ๆ ที่ปลายเตียงจากนั้นก็ตะกายตัวลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว


แต่มาดูตอนนี้สิ ผ้าปูเตียงเรียบกริบ แถมทำเองกับมือเสียด้วย เพราะซึมซับความมีระเบียบเรียบร้อยมาจากคุณศศินแท้ ๆ ทีเดียว อย่างที่เขาว่า ใกล้หมึกเป็นดำ ใกล้ชาดเป็นแดง เราอยู่ใกล้ชิดใคร เราก็ซึมซับความเป็นคนแบบนั้นของเขา ผมก็เห็นจะซึมซับความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาได้มากโขอยู่


เอาล่ะเสร็จจากที่นอน ยังไม่หมดงานแต่เพียงเท่านี้ ห้องน้ำในคอนโดของผม มีสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ด้านนอก และอีกห้องหนึ่งอยู่ในห้องนอน ผมจัดแจงทำความสะอาดห้องน้ำต่อ ขัดคราบสบู่ให้สะอาดเอี่ยม ใช้เวลาไม่นาน หลังจากนั้นจึงถูพื้นห้องนอน ไม่ลืมจะใช้น้ำยาทำความสะอาดกลิ่นหอมสดชื่น แถมยังช่วยฆ่าเชื้อโรค 


เสร็จแล้วก็ยืนเท้าเอว มองดูความเรียบร้อย เท่านี้ก็หมดเวลาไปครึ่งวัน นี่น้องรวีเป็นแม่บ้านสมองไวไปกับเขาเสียแล้วหรือนี่ผมถามตัวเองอย่างปลื้มใจ


ครั้นออกมาจากห้องนอน ซึ่งได้จัดแจงจนเรียบร้อยดีแล้ว ด้านนอกห้องซึ่งเป็นโซนของห้องรับแขกและโซนกินข้าว ศศินก็กำลังอุ่นอาหารซึ่งเราซื้อตุนมาตั้งแต่ตอนเช้า


"ผ้าปั่นแล้วเอาตากหน่อย" คุณชายสั่งทันทีเมื่อเห็นหน้าผม ผมรับคำโดยดี ก็เราแบ่งหน้าที่กันแล้ว ผมมีหน้าที่เป็นคนตากผ้า ส่วนคนซักและคนรีดคือหน้าที่ของคุณชาย 


อันที่จริงผมชอบตากผ้านะ นึกถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ แม่ก็ชอบใช้ให้ผมตากผ้าเหมือนกัน ตอนเด็กมาก ๆ แม่ต้องซักผ้าด้วยมือ กะละมังใบโต ๆ สามใบและสายยางซึ่งเปิดน้ำประปาใส ๆ แม่จะทำหน้าที่ซักเพราะผมซักไม่สะอาด ส่วนพ่อมีหน้าที่ล้างผ้าให้หมดจากฟองของผงซักฟอก ซึ่งแม่บอกว่าต้องล้างสามน้ำ ไม่อย่างนั้นมีผงซักฟอกตกค้าง ใส่เสื้อผ้าแล้วจะคัน 


ส่วนน้องรวีคนเก่ง มีหน้าที่เอาผ้าซึ่งพ่อบิดจนเกือบแห้งม้วนเป็นเกลียวมาสะบัด ๆ เพื่อให้ผ้าคลายตัว และเมื่อแห้งจะได้ไม่ยับ จัดการสวมไม้แขวนผ้าให้ดี แล้วแขวนเรียงกันให้เป็นระเบียบ ส่วนพวกเสื้อในของแม่ กางเกงใน กับถุงเท้า ก็จะใช้ไม้หนีบผ้า หนีบให้เรียบร้อยอีกเช่นกัน 


ผมชอบความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนเราพ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาด้วยกัน พ่อจะพูดแซวคุยเล่นหัวกับแม่ หรือพูดคุยอะไรกันตามประสาผัวเมีย ส่วนผมในตอนนี้ตากผ้าไปก็มองศศินที่เก็บกวาดครัวไป เพราะเขาสวมหูฟัง ไม่ได้ยินเสียงของผมแม้แต่น้อย แต่ผมก็อมยิ้มและเมื่อเขามองมาผมก็ยิ้มกว้างให้ มันรู้สึกดีไม่ต่างกัน นี่แหละนะ ชีวิตของผัวเมีย และเป็นผัวเมียที่มีความเป็นเพื่อนกันมาก ๆ เสียด้วย เหมือนพ่อกับแม่ที่อยู่กันมาจนครึ่งชีวิต 


ตากผ้าเสร็จผมก็เดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ ยังมีผ้าที่ถูกปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้าอีก ก็คิดดูว่าเสื้อผ้าของเราที่กลับมาจากต่างประเทศ มันจะมากมายขนาดไหน แถมยังมีชุดเครื่องนอนอีก แต่ถึงจะเป็นวันธรรมดาอื่น ๆ เสื้อผ้าของเราก็เยอะอยู่ดี เพราะผมสองคนจะซักผ้ากันอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น 


"มาพักกินข้าวเที่ยงก่อนมา" สินบอกผม และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาบ่ายโมงแล้วก็เถอะ นี่เราทำงานบ้านกันเพลินขนาดนี้เชียวหรือ อาหารมื้อเที่ยงง่าย ๆ ผมกินเยอะหน่อย แต่สินกินแต่พวกผัก กับข้าว โดยเขาไม่กินข้าวเลย เรานั่งกินข้าวกันไปเงียบ ๆ หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมก็ตากผ้าชุดสุดท้ายเสร็จพอดี และคุณชายก็อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย วันนี้เรามีนัดกัน


"ขออาบน้ำแป๊บนึงนะ" 


"ไม่ต้องรีบ อาบน้ำให้สะอาด" ศศินบอกเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ แถมมีการอาบน้ำเสร็จก็ต้องมาให้เฮียเช็คความเรียบร้อยเสียด้วยนะ เริ่มจากดมผมว่ามีกลิ่นแชมพู แก้ม ซอกคอ หลัง แขนสองข้าง ต้องมีกลิ่นสบู่ แต่เราคงไม่ประสาทเช็คไปถึงจุดซ่อนเร้นหรือตีนหรอกนะ


ผมเลือกกางเกงขาก๊วยเอวยางยืดสีเขียวกับเสื้อยืดเก่าย้วยสีครีม สินเองก็ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาก๊วยเหมือนกันแต่ของเขาเป็นเอวผูก เพราะภารกิจหลังจากนี้ของเราคือการไปผ่อนคลายให้สบายตัว


ร้านนวดเจ้าประจำ ซึ่งได้รับการแนะนำมาจากแม่ของเฮียตี๋ อยู่ไม่ไกล แต่เราก็เลือกจะขี่มอเตอร์ไซค์กันไป ไม่สวมหมวกกันน็อกกันล่ะ ซึ่งอย่าทำตามเป็นเด็ดขาด แต่นี่เราขี่อยู่ในซอย หมาต๋าไม่น่าจะพบเห็น จริง ๆ ถ้าเดินจากคอนโดของเราก็ใช้เวลาสิบกว่านาที แต่จะไปนอนนวดให้สบาย ๆ ถ้ามีเหงื่อ หมอนวดเขาคงรังเกียจ 


พี่เขียวหมอนวดคนเก่งนั้นผมยกให้จัดการไอ้สินไปเพราะมันตัวโต ต้องใช้หมอนวดระดับอาจารย์ ส่วนผมไม่ได้เน้นนวดหนัก แต่ออฟฟิศซินโดรมก็เริ่มจู่โจม จึงให้เน้นบริเวณบ่าไหล่หลัง และแขน เพราะต้องใช้เมาส์ตลอดทั้งวัน นวดกันคนละสองชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน ป๋าศศินก็จ่ายทั้งค่านวดและทิปให้หมอไปเป็นที่เรียบร้อย 


หลังจากนั้นเราก็ไปเดินห้างสักหน่อย ว่ากันตรง ๆ ไม่ได้จะซื้อหาอะไร เดินเล่นฆ่าเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ของใช้ในบ้านติดมือมาด้วย ส่วนผมเน้นเดินดูพวกผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เพราะเราจะได้รู้ว่าในตลาดมันมีสินค้าใหม่ ๆ อะไรออกมาบ้าง 


ขับรถเอาของไปเก็บที่คอนโด จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำกิจกรรมของตัวเองตามถนัด ผมเลือกจะนอนเขลงดูยูทูป เพราะอยากจะรู้ว่า อินฟลูคนดัง ๆ ตอนนี้เขาทำคอนเท้นต์อะไรบ้าง ส่วนคุณชายรวีนอนอ่านหนังสืออะไรของเขาไปตามเรื่อง กลับกันคือตอนที่ผมนั่งดูยูทูป ผมใส่หูฟังเพื่อจะได้ไม่ส่งเสียงรบกวนเขา ศศินนอนอ่านหนังสือกระดิกตีนไปมาอย่างสบายใจ ผมนั่งที่มุมหนึ่งของเตียงโดยมีตีนของเขาพาดอยู่บนหน้าตัก บางทีมันกวนตีนก็เอานิ้วตีนมาแหย่หัวนมของผม แน่ะ...กูสู้คน ผมหยิกคืนจนมันร้องโอ๊ย สมน้ำหน้าแกล้งเก่ง ถ้ามึงแกล้งกูอีก คราวนี้กูไม่หยิกต้นขามึงแล้วกูจะหยิกไข่มึงซะเลย


ผมปล่อยให้ศศินนอนอ่านหลับไป เพราะหมอนั่นเผลอหลับ ส่วนผม เดินออกไปที่ระเบียงเก็บผ้าที่แห้งกริบใส่ตะกร้านำเข้ามาในห้อง เริ่มเข้าหน้าหนาวที่ไม่หนาว แดดดี๊ดี ผ้าแห้งกริบแถมหอมแดด เอ...ที่เขาว่าสัญญาณเตือนว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะ "แก่" อันมีสัญญาณหลายอย่าง เช่นไม่ชอบออกไปเที่ยวไหน เช่นเดินห้างหรือที่ซึ่งมีคนเยอะ ๆ และข้อที่ร้ายที่สุดคือ เสียดายแดด เห็นแดดแรง ๆ แล้วอยากตากผ้า ผมก็ชักจะเข้าเค้าเสียแล้ว


ผ้าที่แขวนไม้แขวนเสื้อ ผมก็นำมันไปเก็บใส่ตู้ แต่พวกเสื้อเชิ้ตซึ่งคุณชายใส่ทำงาน ผมก็วางมันบนพนักของโซฟา เพราะเดี๋ยวคุณชายจะรีดเอง แต่ถ้ามีเยอะ คุณชายก็ส่งไปให้ร้านรีดให้ ส่วนผมใส่เสื้อผ้าอะไรไปทำงานก็ได้ เพราะงานของผมมันเป็นงานหลังบ้านไม่ต้องเจอะต้องเจอใคร ใส่เสื้อยืดสบาย ๆ ก็ยังได้ แต่ผมก็ต้องให้เกียรติที่ทำงานหน่อย เวลาผมไปทำงานถ้าไม่ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ก็ใส่เสื้อโปโลไปเลย


"ผ้าแห้งแล้วเหรอ?" ศศินที่ตื่นขึ้นมาและเห็นผมกำลังจัดการพับผ้าถามขึ้น


"อืม แต่ยังไม่ต้องรีดมั้ง เสื้อหลายตัวเดี๋ยวเราออกไปข้างนอกส่งร้านให้เขารีดให้เถอะ ไปล้างหน้าแต่งตัวเดี๋ยวจะได้ออกไปด้วยกัน" ผมบอกมันส่วนตัวผมก็พร้อมแล้ว


ปกติตอนเย็น ๆ ผมก็มักจะหาอะไรเบา ๆ กินง่าย ๆ ส่วนคุณชายศศิน ปกติก็กินมั่งไม่กินมั่ง สถานเบาก็โยเกิร์ตหนึ่งถ้วย หรือตามใจกินข้าวเป็นเพื่อนผมนิด ๆ หน่อย ๆ 


แต่วันนี้เรามีนัดค่อนข้างสำคัญ เพราะเพื่อนหมอของเราถึงสองท่าน เกิดดวงดาวโคจรให้บังเอิญว่าง จึงได้นัดกินข้าวเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันหน่อย เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นได้ยากเหมือนมีดาวหางเฉียดผ่านโลก


เนื่องจากต้องไปร้านที่ไกลออกไปหน่อย แถมต้องเอาเสื้อผ้าไปให้ร้านเขารีด ก็เลยเลือกจะขับรถไป คราวนี้คนขับคือคุณชาย ผมเป็นผู้โดยสาร จุดหมายของเราคือร้านข้าวต้มเจ้าเก่าแก่แถวคลองตัน ซึ่งก็เป็นญาติ ๆ กับพี่ตี๋อีกเหมือนกัน 


โชคดีที่มีที่จอดรถพอดี ส่วนไอ้หมอสองตัว มันก็เป็นเพื่อนซี้กัน แต่ไม่มีทางเป็นผัวเมียกันได้เหมือนคู่ของผมกับไอ้สิน แต่ชื่อของสองหมอ ช่างเป็นอัปมงคลต่อหน้าที่การงาน ไอ้หมอไปป์ กับไอ้หมอเบียร์ ดูมันเป็นพวกสิ่งเสพติด และทำลายสุขภาพชะมัด 


ร้านข้าวต้มโต้รุ่งร้านนี้ให้บังเอิญอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลของไอ้สองตัวนั่นด้วย เรียกว่าเป็นจุดนัดพบที่ดีที่สุด อยู่กลางทางระหว่างผมกับไอ้หมอสองตัวพอดี ผมกับสินนั้นถึงก่อน และแน่ละ เราก็มีสิทธิจะเลือกสั่งอาหารก่อน 


เนื่องจากยังไม่ค่ำมืดนัก แต่ร้านก็เริ่มเปิดแล้ว ดีเหมือนกันคนจะได้ไม่เยอะ เฮียปาล์มเจ้าของร้าน ผู้อยู่หน้าเตาผัดไฟลุกซู่ซ่า ยิ้มรับและไล่ให้ผมกับไอ้สินไปหาที่นั่งที่ชอบ


"เอาตรงนี้แล้วกันเนอะ มีพัดลมจะได้ไม่โดนยุงกัด" ผมออกความเห็นทิ้งตัวนั่ง และเด็กเสิร์ฟชาวพม่าที่พูดไทยชัดเจนหน้าตายิ้มแย้ม และเสียงแปร่งนิด ๆ เดินเข้ามารับออเดอร์


ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในคณะภาคีความไม่มั่นคนของคนแดกยาก แห่งภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นผมจึงต้องเลือกสั่งอาหารที่ตัวเองกินได้เสียก่อน ซึ่งก็มักจะเป็นเมนูประจำ ๆ ที่เคยมากิน สั่งมาสามอย่าง ส่วนป๋าศศินสั่งเมนูปลา ๆ สองอย่างหนึ่งในนั้นคือต้มโคล้งปลาช่อน กับปลาอินทรีแดดเดียวทอด 


สังเกตเห็นรถแท็กซี่มาจอดถึงหน้าร้าน มนุษย์ร่างบางใส่แว่นหนาเตอะ กับผมทรงหน้าม้าเด๋อ ๆ สองคนก็ลงมาโดยพร้อมเพรียงกัน จริง ๆ ไอ้ไปป์กับไอ้เบียร์นี่ ใครไม่รู้ก็คงคิดว่ามันเป็นฝาแฝดเพราะหน้ามันคล้ายกันมาก ๆ ทั้งทรงผม หน้าตา และกรอบแว่นที่ใช้ เพียงแต่ไอ้หมอเบียร์มันตัวสูงกว่าสักหน่อย 


"รอนานยัง ไอ้เปรตนี่มันมัวแต่ลีลา เสือกเดินลงมาจากคอนโดแล้วจ๊ะเอ๋ใส่เสื้อลายเหมือนกัน ทะเลาะกันอยู่นานว่าใครต้องเป็นคนไปเปลี่ยน" ไอ้เบียร์ให้เหตุผล


"เปลี่ยนทำไม แค่มากินข้าวเองไอ้หมอบ้า" ผมด่ามันและขมวดคิ้ว ส่วนไอ้สินอมยิ้มกลั้นขำ


"ไม่ได้ แค่ทุกวันนี้คนในโรงพยาบาลก็กล่าวหาว่ากูกับมันเป็นแฝดนรกอยู่แล้ว ถึงไม่ได้เจอกันตั้งแต่อนุบาลเหมือนมึงสองคน มาเจอกันตอนมัธยมปลาย แต่แม่งชอบเลียนแบบกูเพราะเห็นว่ากูหล่อกว่า" ไอ้หมอตัวสูงบ่น


"มึงนั่นแหละเลียนแบบกู กางเกงตัวนั้นมึงเห็นกูใส่แล้วสวยมึงก็ซื้อตามกูไอ้เปรต" ไอ้หมอไปป์เถียงฉอด ๆ 


"เดี๋ยว ๆ แล้วสรุป มึงทำยังไงถึงไล่อีกคนไปเปลี่ยนเสื้อได้ล่ะ?" ไอ้ศศินถามพร้อมกับมองเสื้อโปโลตราสัตว์เลื้อยคลาน ที่คนหนึ่งใส่สีพื้น อีกคนใส่เป็นลายขวาง


"กูเป่ายิงฉุบกัน กูชนะ มันก็เลยต้องไปเปลี่ยน" ไอ้หมอไปป์พูดอย่างผู้ชนะ 


"แต่มึงลืมไปหรือเปล่าว่าไอ้ที่มึงใส่มาสุดท้ายมึงก็ใส่เสื้อโปโลเหมือนกันอยู่ดี" ผมแทรก


"เออจริงว่ะ นี่ไอ้ประสาทมึงไม่มีเสื้อตัวอื่นหรือไงวะไอ้ควาย ฯลฯ" ไอ้หมอบ้าสองคนยังเถียงกันเรื่องเสื้อเรื่องกางเกงอยู่อีกพักใหญ่ ๆ จนปลาอินทรีแดดเดียวมาถึงนั่นล่ะ ถึงได้สงบ เห็นทีชิ้นเดียวไม่น่าพอ จึงสั่งเพิ่มอีกหนึ่งชิ้นเพราะอร่อยเหลือเกินเหลือการ ผมยังกินได้คำโต ๆ แสดงว่าอร่อยมาก ๆ เพราะทอดมากำลังดี ปลาชิ้นก็หนา มีกลิ่นน้ำปลานิด ๆ หวานเนื้อปลา กินกับข้าว เหยาะน้ำปลามะนาวนิดหน่อย อร่อยเหมือนขึ้นสวรรค์


ไอ้สองหมอสั่งกับข้าวเพิ่มซึ่งเป็นพวกผัก ๆ พวกมันก็กินง่ายอยู่ง่าย เหมือนคุณชายศศิน แต่มีข้อแม้เดียวคือ พวกมันไม่กินเครื่องใน


"มึงนึกถึงตอนกูเรียนผ่าอาจารย์ใหญ่ เจอกระเพาะ เจอไส้ เจอม้าม คราวนี้จากที่เคยชอบแดก ไม่กล้าอีกเลย" คุณหมอโอดครวญ


แน่นอนว่าเราต้องถ่ายรูปอาหาร และรูปการพบปะกันเฉพาะกิจ เพื่ออวดเพื่อน ๆ ที่เหลือ ซึ่งบางคนก็บ่น บางคนก็ด่า บางคนก็แสดงความเสียดายที่ไม่ได้เจอกัน


ก็นับจากวันเกิดของไอ้สินที่เรานัดไปกินข้าวกันถึงนครชัยศรี นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วถึงได้เจอเพื่อนอีกสองคน คนเราพอเข้าสู่วัยทำงานมันก็ยากที่จะหาเวลามาเจอะเจอเพื่อนฝูง ยิ่งผมกับไอ้สิน ถือว่าเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ถึงจะไม่มีลูกแต่ก็ค่อนข้างยุ่ง ไหนจะต้องไปนอนค้างบ้านพ่อกับแม่ ไหนจะต้องไปเยี่ยมคุณย่า กับที่บ้านของไอ้สิน อยากจะแบ่งภาคตัวเองเป็นสามสี่คน กูจะนอนให้สบายแล้วปล่อยให้ร่างอวตารไปทำงานแทนกู


ฟังเรื่องไอ้หมอบ้าสองคนฝอย ก็ชักจะเอะใจว่ามองสองตัวเป็นหมอจริง ๆ หรือหมอผีกันแน่นะ เพราะเรื่องที่พวกมันชอบและให้ความสนใจ กลับออกทะเลไปไกล และหัวข้อการสนทนาของเราตอนนี้ก็คือ หัวข้อการไปดูยูเอฟโอที่เขากะลาของพวกมัน


"แหมมีเวลาไปเนอะ ไม่ใช่ไปลำสาลีนะ ตั้งเขากะลาโน่นไม่ใช่ใกล้ ๆ" ผมออกความเห็น


"แหมมึง เดี๋ยวนี้แก่แล้ว จบเฉพาะทางแล้ว มันไม่วุ่นเหมือนสมัยเรียน กูก็คงไม่เรียนต่ออะไรแล้วล่ะ ทำงานแม่งไปวัน ๆ ละ" ไอ้หมอไปป์พูดพร้อมกับซดต้มยำน้ำข้นขึ้นมาซด


"พวกมึงเชื่อจริง ๆ หรอว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ๆ ?" ศศินถามเพื่อนแล้วก็มองล้อ ๆ 


"มันก็มีโอกาสนะ หรือถึงไปแล้วไม่เจอ อย่างน้อย ก็ได้ไปนอนดูดาวโว้ย" ไอ้หมอเบียร์พูดขึ้นบ้าง 


จากนั้นเราก็ฟังทฤษฏีสมคบคิด เรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องสายพันธ์ุเรปทีเรียน เรื่องอานูนาคีที่เป็นผู้ผสมพันธุ์มนุษย์จากดีเอ็นเอ มนุษย์ต่างดาวสายพันธ์ุต่าง ๆ ฟังดูก็เพลิน ๆ เหมือนฟังไอ้สินเล่านิทาน ผมก็เลยไม่ขัด พอเห็นกูทำท่าสนใจ พวกมึงสองคนก็เล่ากันใหญ่เลยน๊า


มื้ออาหารจบลงที่สี่ทุ่มนิด ๆ ผมว่าเสียอิ่มแปล้ นึกสงสารไอ้สินเหมือนกันที่กินอย่างละนิดอย่างละหน่อยเรียกว่ากินพอรู้รส เพราะพ่อกลัวจะกลับไปอ้วนเหมือนก่อน ไอ้สองหมอ โหวกเหวกโวยวายและยืนยันให้พวกผมขับรถไปส่งพวกมันที่คอนโด 


"ไม่นอนในโรงพยาบาลไปเลยวะ นอนห้องดับจิตก็ได้" ผมพูดอย่างพื้นเสีย เพราะต้องฟังมันพล่ามเรื่องมนุษย์ต่างดาวในรถต่อ 


คอนโดของพวกมันสองตัวอยู่แทบจะตรงข้ามกับโรงพยาบาลที่มันอยู่ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเราพักอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงาน เราก็ประหยัดเวลาในการเดินทางไปได้เยอะ พวกมึงทำถูกแล้ว 


"เออมึงอีรวี กูว่ามึงน่ะก็น่าจะมีดีเอ็นเอของพวกเกรย์อยู่นะ ดูตัวมึงสิ ผอม ๆ หัวโต ๆ ตาโต ๆ จมูกกับปากเล็ก ๆ หัวแม่งเริ่มเถิกแล้วด้วย เหมือนมนุษย์ต่างดาวเผ่าเกรย์ที่สุด" ไอ้หมอไปป์ออกความเห็น


"ไปไป๊ ไร้สาระไสหัวไปเลย" ผมด่า และไล่พวกมันลงจากรถ แม้ว่าจะเปิดกระจกด่าพวกมันอีกนิดหน่อย 


"กูว่าพวกมันพูดก็มีส่วนจริงอยู่นะ มึงเหมือนมนุษย์ต่างดาวว่ะ รวี แต่ไม่ใช่ดาวนาเม็กแน่ ๆ น่าจะเป็นดาวดวงเดียวกับพิโกโล่" เอาอีก ไอ้เปรตนี่แหย่กูอีก


"มึงก็เหมือนมนุษย์ต่างดาวในสตาร์วอร์ส ไอ้ตัวที่มีขน ๆ ชื่ออะไรนะ กูนึกแปป อ้อชื่อไอ้ชิวเบก้าไง" ผมเถียงมันไปแล้วก็หัวเราะเสียงดัง เพราะไอ้สินทำหน้างอ ช่วยไม่ได้ก็มึงเสือกขนดกทำไม 


"ปากดีคืนนี้กูจะจัดให้มึงร้องขอชีวิตเลย ไอ้พวกเกรย์" 


"มาสิ กูกลัวที่ไหน ไอ้ชิวเบก้า" เถียงมาเถียงกลับไม่โกง นี่ล่ะหนึ่งวันธรรมดา หนึ่งวันหยุดที่กึ่งสงบ กึ่งวุ่นวาย แต่มันโคตรดีทุกวันที่มีมึงอยู่ด้วย ผมยื่นหน้าไปหอมแก้มมันเบา ๆ แล้วก็ทิ้งตัวลงเอนเบาะนอนให้สบาย ๆ เพราะจุกท้อง เดี๋ยวต้องซัดยาธาตุน้ำแดงสักหน่อย