แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 11 อยู่ด้วยกัน โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

11 อยู่ด้วยกัน

โดย  Chavaroj




วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งในชีวิตของผมไม่ใช่แค่เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิด แต่มันเป็นวันที่ผมกับรวีคบกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้ว่ามันจะผ่านมาสิบปีแล้วก็ตาม แต่พอนึก ๆ แล้วเหตุการณ์มันก็เหมือนผ่านมาแค่ลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้นเอง


เมื่อเรียนจบ รวีนั้นถูกทาบทามให้ทำงานที่บริษัทโฆษณา ที่ตัวเขาเคยฝึกงานเมื่อตอนยังเรียน ซึ่งแน่ละ ขนาดสมัยเรียน เรายังแทบไม่ได้เจอกัน พอรวีทำงานจริงจัง บางครั้งเป็นอาทิตย์ ๆ ผมไม่ได้เจอไม่ได้คุยกับรวีเลยก็มี


ส่วนตัวของผมเอง เมื่อเรียนจบ ก็เรียนต่อปริญญาโทต่อในทันที โดยรับหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษต่อที่มหาวิทยาลัยเดิม คณะเดิม ซึ่งมันก็วุ่น ๆ เพราะไหนจะเริ่มทำงาน ไหนจะต้องเรียนซึ่งค่อนข้างหนัก ไหนจะงานวิจัยอีกมากมาย


จนในวันหนึ่งขณะที่ผมเลิกงาน กลับมาถึงคอนโด ผมเลือกที่จะยังไม่กลับขึ้นห้องพักส่วนตัว แต่ความรู้สึกคือมันอยากจะทำอะไรนิ่ง ๆ เพื่อที่จะขอคิดทบทวนอะไรสักอย่าง เพราะผมรู้สึกว่าตัวของผมนั้นมันกำลังทำอะไรอยู่ ทำไปเพื่ออะไร ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีเป้าหมายเลย มันโหวง เหมือนเรือที่ขาดสมอ ลอยคว้างออกไปในมหาสมุทร และยิ่งทีก็ยิ่งจะไกลจากฟากฝั่ง


ผมนั่งคิดว่าผมอาจจะเหนื่อยจะเครียดกับงานและการเรียนต่อหรือเปล่า เพราะตอนนี้ผมเหมือนถูกโดนสูบพลังชีวิต มันคล้ายกับเราเป็นคนที่กำลังจะไร้วิญญาณ ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ ไม่ได้มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน 


ผมนั่งมองไปยังแผ่นน้ำของสระว่ายน้ำที่เคยมาแหวกว่ายเป็นประจำ ไม่ได้สนเวลาว่ามันผ่านไปเนิ่นนานเพียงไหน จนได้เห็นเงาของแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ซึ่งมันกระจ่างและสะท้อนระลอกริ้วแห่งผืนน้ำเมื่อโดนลมพัดคลี่มาเบา ๆ เป็นระยะ ๆ  เมื่อเย็นมีฝนตก ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ริมสระว่ายน้ำยังมีพราวน้ำเกาะอยู่บ้างประปรายและอากาศก็เย็นชื้นจนน่าสบาย


ชื่อของผมนั้นแปลว่าพระจันทร์ และพระจันทร์คืนนี้มันเหงาชะมัด โดนเมฆมาบังและไม่มีดวงดาวสักดวงอยู่เคียงข้างเลย พระจันทร์มันจะเหงาเหมือนผมหรือเปล่านะ หรือมันอาจจะรู้สึกขำกับชะตาชีวิตของคนที่มองลงมายังผืนโลกว่า เจ้าสัตว์โลกตัวกระจ้อยร่อยช่างไร้ความสลักสำคัญ ผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป ผมในวันนี้กับผมในวันก่อน แล้วตัวของผมในอนาคตล่ะ? 


ผมคิดเพ้อเจ้อ สลับเรื่องราวจนขาดสติ จำไม่ได้ว่าคิดเพ้อเจ้อไปเรื่องอะไรบ้าง และคงจะคิดเพ้อต่อไปอย่างไร้จุดหมายถ้าไม่บังเอิญมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเสียก่อน


"ศศินหรอ เรามะเดี่ยวนะ อีรวีเมาแอ๋เป็นหมาเลย มารับมันหน่อยสิ ที่ร้านเดิมนะ" เสียงเพื่อนของรวีดังและผมซึ่งปกติจะรำคาญนักหนา แต่แปลกแฮะ คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่าใบหน้าของผมมันมีรอยยิ้มแต้มขึ้นมาโดยผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ผมรับคำ และรีบไปยังร้านประจำที่รวีชอบไปทิ้งตัว ผมไม่เจอรวีนานนักหนา แต่รวีมันก็ยังเป็นรวีคนเดิม ตัวเล็ก กวนประสาท แต่งตัวมอมแมม แต่คราวนี้มันดูดีขึ้นกว่าเดิมหน่อย แต่ไม่สิ ดูทรงเหมือนรวีน่าจะไม่ได้อาบน้ำสักสองวันเป็นอย่างน้อย 


"รวี ไป ๆ ลุกได้แล้วไม่กินแล้ว" ผมบ่นและรวมแขนของรวีที่ยื่นดุกดิกพยายามจะคว้าแก้วเหล้ามาดื่มอีกให้ได้


"ไม่เม๊า น้องวีไม่เมาเพคะ ตอนนี้ยังเพิ่งหัวค่ำเอง จะรีบกลับบ้านทำไม อ๊ะ คราย...เนี่ย อ๋อ อ้วนหรอ อ้วนมารับน้องวีทำไม น้องวีคิดเถิงงงงงเพื่อน นิเทศจงจาเริ๊นนนน" รวีโวยวาย ตาปรือ ตีนแป และผมก็กำลังลากมันโดยมะเดี่ยวกับหนูรัตน์ เดินตามมาด้วย มะเดี่ยวถือกระเป๋าสะพายของรวี ส่วนหนูรัตน์เดินตามมาคงเพื่อเป็นกำลังใจ เพราะรวีมันกำลังจะสวมวิญญาณเชียร์ลีดเดอร์


"ศศินเราฝากอีวีด้วยนะ ไม่รู้มันเป็นอะไร ออนเดอะร๊อก จนเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ" หนูรัตน์บอก และเมื่อผมเรียกลุงแท็กซี่ได้ ก่อนปิดประตูมะเดี่ยวก็โยนกระเป๋าสะพายของรวีขึ้นมาบนรถ


"ไอ้หนุ่มนี่เมาเก่งจริงนะ ถ้าไม่มีเรามารับเห็นทีจะนอนกับหมาที่ริมถนนนะ" ลุงคนขับแท็กซี่บ่น ผมชักสีหน้า เขาจะยุ่งอะไร แต่พอลุงเขาเปิดไฟ และส่งยิ้มที่ฟันหลอนิด ๆ ผมก็รู้สึกคุ้น ๆ ว่าลุงคนนี้มาส่งผมกับรวีไม่ต่ำกว่าห้ารอบแล้วแน่ ๆ 


"ไปที่เดิมครับลุง ที่คอนโดXXX" ผมบอกและดึงรวีมาพิงที่ไหล่


"ทำไมกินเหล้าเก่งตัวแค่เนี้ยะ เอ่อ...แฟนเหรอดูแลกันดีจัง?" ตาลุงถามและผมก็เม้มริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ


"เพื่อนน่ะครับ" ผมตอบแต่ในใจของผมมันรู้สึกเสียวแปลบอย่างไรก็ไม่รู้


ผมรู้สึกได้ว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อรวีมันพิเศษ ยิ่งวันผมก็ยิ่งชัดเจน แต่บางครั้งมันก็มีความสับสนนิด ๆ ว่าเพราะความเป็นเพื่อนสนิทที่เรามีให้กันมานานเป็นสิบปี กับความรู้สึกว่าผมรักรวี รักแบบเกินกว่าเพื่อน ไอ้ความรู้สึกไหนที่มันจริงกว่ากัน แต่ผมแน่ใจว่าผมอยากอยู่ใกล้ ๆ อยากคอยปกป้อง อยากคอยพูดคุย อยากหัวเราะ และอยากแม้แต่จะร้องไห้ในวันที่ผมเศร้าใจ ผมแน่ใจว่ารวีก็น่าจะคิดแบบเดียวกับผม 


แต่อะไรกันนะที่มันทำให้ความสัมพันธ์ของเราไม่คืบหน้าไปกว่านี้ เพราะผมไม่กล้าเอง หรือเพราะรวีพยายามสร้างกำแพง หรือเพราะทั้งสองอย่าง


"นอนเฉย ๆ อย่าดิ้น" ผมบ่นไปเช็ดตัวให้เขาไป ตัวก็เท่านี้ทำไมมันแรงเยอะนักนะ กว่าผมจะปล้ำถอดเสื้อถอดกางเกงของไอ้คนน่ารำคาญนี่ก็แทบจะทะเลาะกัน และเอ่อ....คราวนี้รวีมันไม่ได้สวมกางเกงบ๊อกเซอร์เก่า ๆ เหมือนเมื่อก่อนเสียแล้วสิ มันสวมแค่กางเกงในตัวจิ๋วสีอ่อน ๆ ตัวเดียวเท่านั้น แล้วทำไมผมต้องรู้สึกร้อนจนหน้าแดง มือของผมทำไมต้องสั่น และไอ้หนูของผมทำไมมันต้องพองจนผมรู้สึกปวดแปลบกันด้วยเนี่ย


เนื่องจากรวีไม่ได้มาค้างที่ห้องของผมเนิ่นนานมากแล้ว เสื้อผ้าที่รวีเคยวางซุก ๆ ไว้ผมก็ดันเอาไปซักเสียด้วย แถมเมื่อเย็นฝนก็ตก ทั้งเสื้อของผมและเสื้อของรวีที่ระเบียงยังเปียกโชก ผมนึกขึ้นมาได้ว่าผมมีเสื้อคลุมอยู่ก็เลยเอามาห่อที่ตัวของรวีอย่างลวก ๆ ส่วนตัวของผมตอนนี้ขออาบน้ำก่อนสักหน่อยเพราะเหนื่อยกับการแบกรวีและสู้กับมันอยู่พักใหญ่ ผมปล่อยรวีให้มันนอนเพ้อ และอยากจะอาบน้ำเต็มที


อากาศข้างนอกคงเย็นเยียบ แต่น้ำอุ่น ๆ เมื่อสัมผัสผิวกายกลับทำให้ผมรู้สึกสบาย ภาพร่างกายของรวีที่เหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวน้อย มันเหมือนคอยมาหลอกหลอน อาวุธของผมแข็งชูชัน และผมทำสิ่งที่ไม่ควร ผมกำลังจินตนาการว่ารวีกอดรัดอยู่กับผม เราจูบกันอย่างเร่าร้อน และผมก็กำลังคิดว่า อาวุธของผมกำลังชำแรกเข้าไปในเนื้อตัวของรวีอย่างช้า ๆ ดวงตาของผมหลับพริ้ม ลิ้นของผมแลบเลียที่ริมฝีปากเบา ๆ แทนจินตนาการว่าได้รับการจูบจากริมฝีปากของอีกคนที่กำลังหลับใหลอยู่ด้านนอก 


ผมจินตนาการไปถึงเสียงแผ่วเบาของรวีที่เรียกชื่อผมซ้ำ ๆ มันช่างแสนหวานและเย้ายวนจนคันไปทั้งหัวใจ 


"สิน...สินคร้าบบบบบบบ......สะสินนนนนนน" เสียงเบาแหบและแปร่งนิด ๆ ผมเคลื่อนมือของตนเองช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วคลึงเคล้นที่ส่วนปลายเบา ๆ จนรู้สึกได้ว่าเมือกใสซึมไหลออกมาจนสัมผัสได้ ส่วนมืออีกข้างผมใช้มันลูบไล้ที่กล้ามหน้าอก จนเมื่อปลายนิ้วหนาบีบคลึงที่หัวนมสีเข้มเบา ๆ ผมก็ครางออกมาอย่างลืมตัว นึกจินตนาการว่าไม่ใช่ปลายนิ้วแต่เป็นริมฝีปากของรวีที่ครอบครองมัน


"สินนนนนนนนนน" เสียงของรวีดังในจินตนาการชัดเจนเหมือนปรากฏที่ด้านข้าง แต่เอ๊ะ......มันชัดไป....มันใกล้ไป ........เชี่ย........รวีแม่งเดินโซเซเปิดประตูห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไรกันเนี่ยแล้วมันคงเห็นผมที่ทำอะไรมาทั้งหมดแล้วล่ะมั้ง เพราะมันยืนอึ้งและมองผมด้วยตาเหลือกค้าง


"รวี......." ผมเรียกชื่อมัน ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รวีมันก็ทำหน้าตื่น แต่มันกลับไม่ถอยหนี ตรงกันข้ามมันกลับขยับเสื้อคลุมออก และใช้นิ้วมือรั้งกางเกงชั้นในตัวจิ๋วลงอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่เบิ่งตามอง และรวีกลับก้าวเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนในที่สุด ร่างของเราสัมผัสน้ำอุ่น ๆ ด้วยกัน


"สิน" รวีเรียกชื่อผม พริ้มตาลง ยื่นสองมือมาประคองใบหน้าของผมให้ก้มลง จนริมฝีปากของเราประสานกัน ผมยังตกใจจนเหลือกตาโพลง แต่รสหวานประหลาด และสัมผัสกอดร้อน ๆ จากร่างกายเล็ก ๆ มันทำให้ผมจิตใจเตลิด เรื่องมันเลยเถิดจนรวีมีอะไรกับผม .......สามรอบ


ผมหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้แต่รู้สึกเหมือนว่าวันนี้เหมือนผมถูกพี่เปาเทรนเนอร์ส่วนตัว บังคับให้เทรนชุดใหญ่ที่สุดในชีวิต ตัวของผมหนักและหมดเรี่ยวแรง  แต่มันโคตรมีความสุข เหมือนฝันเป็นจริง รวีถูกผมรวบร่างผอมบางอยู่แนบในอ้อมอก ถึงหัวโต ๆ ของมันจะทับแขนของผมจะตะคริวกิน แต่ผมก็ยอม และเมื่อรู้สึกตัวในตอนเช้าวันนี้ผมคงต้องขอเป็นคนเกเรสักวัน


เสียงปลุกเพลงฮาคูน่ามาทาท่าดังขึ้นจากโทรศัพท์สองเครื่องดังพร้อมกัน จนเราต้องแยกตัวไปตามหาโทรศัพท์และปิดมันอย่างรวดเร็ว


"สินกูปวดหัว ไม่น่าแดกเหล้าเยอะเลย กูว่ากูเป็นไข้ด้วยแหละ" รวีอ้อน


"กูก็เหมือนกัน ผ้ากูเปียกหมด ไม่มีเสื้อผ้าใส่ไปทำงาน วันนี้กูโดดงานได้ไหม เรามาโดดงานกัน" ผมบอกและยิ้มกว้าง ส่วนรวีก็ทำท่าดีใจ กระโดดขึ้นมานอนกอดผม เราไม่ได้จูบกันเพราะเช้ามายังไม่ได้แปรงฟัน แต่รวีก็เอาแต่หอมแก้มผมซ้ำ ๆ ส่วนผมก็หอมมันกลับ หอมกันไปหอมกันมา แต่นอนได้แค่ครึ่งชั่วโมง ก็ชักจะเห็นว่ายังนอนแช่อยู่บนที่นอนท่าจะไม่ดี ที่สำคัญ เสียงท้องของรวีมันร้องดังมาก ๆ ด้วย


"ไปอาบน้ำกัน แต่เอ่อ หิวไหมกินนมรองท้องก่อนไหม?" ผมถามและเดินไปรินนมใส่แก้วให้รวีกินรองท้องจากนั้นในฐานะที่ผมใช้ร่างกายของรวีมันอย่างหนัก เมื่อคืน ผมก็จัดการอาบน้ำให้รวีจนสะอาดสะอ้าน แต่มันอดใจไม่ไหว เราเลยเสร็จกันไปอีกรอบ


"รวีมึงเจ็บไหม?" ผมถามมันเบา ๆ และมองรวีที่ทำท่าเหมือนกำลังจะตาย ยืนหลับตากอดตัวผมจนแนบแน่นขณะที่ผมกำลังใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเนื้อตัวของมัน


"เจ็บสิไอ้เหี้ย กูบอกให้มึงเบา ๆ แต่กูชอบนะมันฟินดี" รวีมันเป็นเสียอย่างนี้ ทั้งน่ารักแล้วก็น่าเตะ 


ผมหยิบเสื้อยืดสมัยตัวผมอ้วน ๆ ให้รวีมันใส่ ไม่ต้องใส่กันละกางเกงนงกางเกงใน เพราะชายเสื้อก็ยาวจนเกือบถึงเข่าของมัน ส่วนผมใส่เพียงกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว เราสองคนโทรศัพท์ไปลางาน และผมก็จัดการลวกไข่ เอาผักสลัดที่ซื้อตุนไว้ออกมาให้รวีมันกิน รวีมันเป็นคนบ้า ถ้าโมโหหิวจะบ้าขึ้นเป็นสองเท่า 


"ไม่กินด้วยกันหรอ มึงกินแค่ไข่ลวกสองฟองเดี๋ยวหิวหรอก" รวีมันพูด หลังกินไข่ลวกจนหมดแล้ว เหลือแค่หัวหอมซอยกับผักสลัดนิดหน่อย อีหรอบนี้ก็คือมันไม่กินนั่นแหละจะให้ผมกินต่อ ซึ่งแน่ละผมก็กินจนหมด ก็กินของเหลือให้มันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วนี่


"รองท้องก่อนเดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินกัน มึงง่วงไหมตอนนี้ยังเช้าร้านข้าวยังไม่เปิด นอนอีกตื่นดีไหม?" ผมถามและรวีก็ทำท่าเห็นด้วย แน่ล่ะของตาของมันยังดำปี๋


"มึงอดนอนมากี่คืนแล้ว?" ผมถามอีกและดึงตัวของมันมานั่งที่ตัก


"สองวัน" รวีตอบเสียงอ่อย ๆ ผมนึกหมั่นไส้เลยยื่นมือไปตีตูดมันแรง ๆ 


"รวีกูว่ามึงเปลี่ยนงานเถอะ ขืนมึงทำงานที่นี่มึงคงตายเร็วกว่าเดิมเจ็ดเท่า" ผมบอกมันซุกหน้าเข้าไปที่อกของมัน ไม่รู้สิผมทั้งห่วงและอยากอ้อน


"อืมกูก็คิดเหมือนกัน แต่เฮียเขาคงด่าว่ะ กูทำงานจนผ่านประเมินได้ไม่กี่วันแม่งคิดจะลาออกซะแล้ว อีกอย่างกูไม่อยากให้ใครมาว่ากูเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ กับถ้าอยากจะหางานใหม่ กูก็อยากจะหาด้วยตัวของกูเอง กูไม่ชอบเส้นสาย" 


"รวีฟังกูนะ มึงทำงานนี้ ถ้ามึงตายหรือลาออก กูมั่นใจว่าเขาจะหาคนมาทำงานแทนมึงใหม่ได้ในไม่กี่วัน แต่ถ้าไม่มีมึง ครอบครัวมึงทั้งพ่อแม่ ทั้งเพื่อน ๆ มึง และที่สำคัญคือกู จะหาใครมาแทนมึงไม่ได้อีกแล้วนะ ถ้างานมันไม่เป็นระบบอย่างนี้ กูว่ามึงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน" ผมพูดจนรวีมันหลับตาและพยักหน้าน้อย ๆ แต่ไอ้หน้าแบบนี้มันดื้อมันไม่ฟังผมหรอก ผมรู้สันดานมัน


ผมเก็บเรื่องของมันมาคิด และเอาแต่ครุ่นคิดจนแทบเป็นบ้า จะทำยังไงให้คนที่ผมรักได้อยู่ในที่ที่ผมวางใจ และไม่เหนื่อยเป็นคนบ้าอย่างนี้กันหนอ  ถึงแม้เราจะตกลงว่าเราจะคบกันแล้วแม้ว่าจะยังไม่ได้มีสถานะชัดเจน ผมยังไม่ได้บอกใครในเรื่องนี้และรวีเองก็ไม่ได้บอกใครปรึกษาใครเหมือนกัน อาจจะมีอาทิตย์ละหนที่รวีจะมานอนค้างที่ห้องของผม และส่วนใหญ่เราก็จะใช้เวลาขลุกกันอยู่แต่ในห้อง


เหนื่อยกับการทำงาน เหนื่อยกับการเดินทาง เหนื่อยกับการพูดจาและตีสีหน้า ผมอยากอยู่แค่กับเขา อยู่ในห้องเล็ก ๆ อยู่ด้วยกันแค่สองเรา


จนวันหนึ่งที่คุณย่าเรียกให้ผมไปหาเพราะบ่นว่าคิดถึง โชคดีที่มันเป็นวันธรรมดา และผมก็คิดถึงคุณย่าอยู่เหมือนกัน คุณย่าของผมนั้นเที่ยวเก่ง ทั้งเที่ยวแบบเที่ยวจริง ๆ หรือบางครั้ง ท่านก็ไปปฏิบัติธรรม เรียกว่าสมดุลทั้งทางโลกทางธรรม 


"ย่าไม่มีอะไรให้ห่วงแล้ว ศศินก็โตจนทำงานได้แล้ว ย่าก็จะได้ไปเที่ยวบ้าง ไปปฏิบัติธรรมบ้าง" คุณย่าพูดยิ้ม ๆ และเมื่อเจอหน้าผมก็กอดผมแล้วก็ลูบหลังลูบหัวเสียเป็นนานสองนาน


"ย่าครับ สินมีเรื่องปรึกษา" ผมไม่เห็นว่าใครจะมีประสบการณ์ไปมากกว่าผู้หญิงเก่งที่ตรงหน้า ถึงคุณย่าจะอายุมาก แต่ก็ไม่ใช่คนหัวโบราณเลย ตรงข้ามกับพ่อและแม่ของผมเสียอีกที่ดูจะไม่ทันโลกกว่าคุณย่าของผมเสียอีก เพราะท่านอยู่แต่ในโลกแคบ ๆ ที่มีชื่อว่า "งาน" ส่วนคุณย่านั้นเป็นคนสังคม และชอบรู้ชอบฟังเรื่องที่เกิดขึ้นทุก ๆ วันโดยไม่ได้เอาใจไปทุกข์หรือสุขกับมันเกินไป


"ว่ายังไงลูก ย่าเดานะ เรื่องความรักใช่ไหม?" คุณย่าพูดพร้อมกับอมยิ้ม ทำหน้าเหมือนรู้ทัน


"ทำไมคุณย่ารู้ล่ะครับ?" ผมถามกึ่งทึ่ง ๆ


"ย่าเลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิดเรื่องแค่นี้ทำไมย่าจะเดาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราอยากทำตัวให้ดี อยากเรียนให้เก่ง อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจนหล่อเหลาหรอกรึ เพื่อจะได้รักใครสักคนน่ะ" คุณย่าพูดเหมือนมาเหยียบที่หัวใจของผมเลยเชียว


"ก็น่าจะประมาณนั้นครับ ว่าแต่คุณย่าทราบหรือครับว่าผมชอบใคร?" 


"โธ่เอ๊ยจะมีใครอีกเล่า ก็พูดถึงอยู่คนเดียว รวีอย่างนั้น รวีอย่างนี้ รวีชอบกินไอ้นั่น รวีชอบทำไอ้นี่ เราคงไม่รู้ตัวหรอกมั้งพ่อศศินว่า ในหัวเราน่ะมีแต่เรื่องของยัยรวีโรจน์" คุณย่าพูดแล้วก็ค้อน


"เอ่อ สินไม่ยักรู้ตัวเลยแฮะ" ผมพูดแล้วก็หัวเราะแห้ง ๆ ทำหน้าเก้อ ๆ


"แล้วยังไงล่ะ จะคบกันในสถานะไหน ย่าเดาว่าน่าจะเกินเลยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่ได้นา เราต้องรับผิดชอบนะ ไอ้ความสัมพันธ์แบบเปิดนี่ย่าไม่โอเค ไม่โอเคมาก ๆ จะรักกันก็คบกันให้มันจริงจัง ห้ามไปยุ่งกับใคร รักแล้วก็ต้องซื่อสัตย์อยู่กับคนรักของเราแค่คนเดียว" คุณย่าเริ่มเทศน์ซะแล้ว


"โธ่ย่าครับ สินก็ไม่เคยคิดชอบใครเลย ตอนสินดูดี คนมาจีบมาให้ท่าสินตั้งเยอะ สินก็ไม่เคยชอบใครเลยสักที ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเรื่องรวี คิดว่าเราแค่เป็นเพื่อนสนิทกันมาก ๆ แต่ตอนนี้สินรู้แล้วว่า สินน่าจะรักรวีมาก ๆ แล้วรวีก็รักสินมาก ๆ เหมือนกันครับ" ผมพูดตามประสาซื่อคุณย่าฟังแล้วก็ยิ้มจนตาปิด ทำท่าฟินเหมือนสาววาย ผมรู้สิพักหลัง ๆ คุณย่าติดซีรีส์วายเข้าขึ้นอาการหนัก แล้วก็หนังสือบอยเลิฟด้วยเข้าขั้นหนักเลยทีเดียวล่ะ


"ก็ดีแล้วนี่" 


"ไม่ค่อยดีหรอกครับ เวลาที่เราอยู่ด้วยกันน้อยเกินไปหน่อย สินอยากให้เราใช้ชีวิตกันมากกว่านี้อีกหน่อย ไม่ใช่แค่อาทิตย์ละหนหรือสองอาทิตย์ละหน มัน......คิดถึงน่ะครับ"


"เอ๊าก็มาอยู่ด้วยกันสิ มันติดปัญหาตรงไหนล่ะ?" คุณย่าถามเหมือนเรื่องมันแก้ได้ง่าย ๆ


"มันติดตรงงานของรวีสิครับ งานของรวียุ่งมาก บริษัทที่รวีทำเป็นบริษัทเล็ก ๆ ยังไม่เป็นระบบเท่าไร ถ้าได้งานใหม่ที่ดี ๆ มีเวลามากกว่านี้ก็น่าจะดีนะครับ" ผมพูดแล้วก็ทำหน้าเก้อ สายงานของผมกับรวีมันต่างกันเกินไป แต่คุณย่าที่ฟังแล้วก็ทำท่าตริตรองอยู่พักใหญ่ ๆ ในฐานะที่เป็นเด็กนิเทศด้วยกันคุณย่าว่าท่านเข้าใจรวีมากทีเดียว


เขาว่ากันว่าช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ความสัมพันธ์ของผมกับรวีก็ยังราบรื่นเรื่อยมา เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ชีวิตของผมมันมีสีสันขึ้น ยามเมื่อทำการสอนผมก็สนุกและเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสนุกสนาน แวบหนึ่งในห้องทำการสอน ผมจะมองเห็นใครสักคนที่หน้าคุ้น ๆ เหมือนรวีมานั่งอยู่ด้วย ทำให้ผมพูดคุยอย่างเป็นตัวเอง ยกตัวอย่างสนุก ๆ เหมือนที่รวีชอบให้ผมเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง 


หรือยามเรียนและทำงานวิจัย ยามเมื่อเหนื่อยและอยากพัก ผมก็จะโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลหารวี คุยกันพอชื่นใจ รู้ว่าเขาก็คิดถึงผมพอ ๆ กับที่ผมคิดถึงเขา แค่นี้มันก็มีแรงใจให้ท่องตำรา


ความปรารถนาที่เหมาะเจาะจะมาเมื่อเราร้องหา วันหนึ่งคุณย่าโทรศัพท์นัดให้ผมไปหา และออกจะแปลกใจที่เมื่อถึงบ้านของคุณย่า ผมก็เจอกับพี่ชายต่างมารดาที่แม้ว่าเราจะรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก ก็ขนาดกับพ่อแม่ของผม ผมก็ยังไม่ค่อยสนิทด้วยเลย 


"พอดีโจเขามาปรึกษากับพ่อเรื่องงาน ย่าก็เลยชวนโจเขามากินข้าวด้วย คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้โจก็บ่นว่างานเยอะ เพราะทำงานกับแฟนเขาแค่สองคน อยากได้คนมาช่วย ย่าก็เลยนึกถึงคนของเรา บริษัทของโจน่ะ ขาดคนทำด้านการตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์แล้วก็กลยุทธ์ไม่ใช่เหรอ ที่ย่าเคยคุยกับรวี ย่าก็รู้สึกว่า รวีเก่งจนโจน่าจะเอาไปช่วยงาน ย่าก็เลยอยากลองให้มาคุยกัน แล้วย่าก็อยากจะลองให้สินคุยกับโจดูอีกหน่อย แล้วไปจูงใจรวีอีกที เห็นว่าดื้อไม่ใช่รึ" คุณย่าอธิบายเหตุผล และผมกับพี่ชายก็คุยกันอยู่พักใหญ่ 


เรานั่งกินอาหารเย็นด้วยกัน ถามกันไปเล่ากันมา โดยมีคุณย่าช่วยพูดและถามเสริม จนผมคิดว่างานนี้รวีน่าจะทำได้ดี และบริษัทของพี่โจคงจะเติบโตได้มากกว่านี้ถ้าได้คนเก่ง ๆ อย่างรวีมาช่วย พี่ชายของผมเป็นท๊อปเซลล์เก่า แต่ในด้านการตลาดเห็นจะต้องการคนเสริม 


และกว่าจะนัดแนะให้รวีได้เจอกับพี่โจ ก็ต้องอาศัยแผนการเพราะรวีมันหยิ่ง ไม่ชอบรับความช่วยเหลือจากผมหรือใคร ๆ แน่ ๆ ผมก็เลยอาศัยวันเกิดของผม อ้อนให้รวีมาด้วย ถึงจะจัดงานก่อนวันเกิดจริงของผมเพื่อให้ตรงกับวันหยุดของรวี และผมก็ต้องนัดแนะกับพี่โจให้ทำเหมือนบังเอิญมาเจอกัน


ผมไม่พูดเกริ่นเรื่องงานอะไรให้รวีรู้เลย แต่เลือกที่จะให้รวีได้คุยกับพี่ตี๋แฟนพี่โจ  ตอนแรกก็คุยกันสองคน จนพี่ตี๋กวักมือเรียกพี่โจไปคุยด้วยกันสามคน ผมแอบมองอยู่ห่าง ๆ กับคุณย่า จนตอนกลับบ้านด้วยกัน รวีก็ทำท่าตื่นเต้น และยิ้มมากจนผมสังเกตได้


"พี่ชายกูกับพี่สะใภ้กูตลกป่ะ ?" ผมถามเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน พี่โจกับพี่ตี๋นั้นดูปลื้มรวี และแน่นอนรวีก็ดูจะถูกคอกับพี่ตี๋เป็นอันมากเห็นเม้ากันไม่หยุด


"มึง ๆ พี่ชายมึงเขาจีบกูไปทำงานกับบริษัทเขาล่ะ กูแกล้งเรียกค่าตัวกูไปเจ็ดหมื่น พี่ตี๋เขาบอกว่า ถ้ากูมาเขาก็ให้ซะด้วยอ่ะ" รวีมันพูดไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี


"ก็แล้วแต่มึงสิ แต่กูว่ามึงไปช่วยพี่ตี๋ก็ดีนะ ของเขาขายดีนะ ก็ไอ้สินค้ายี่ห้อ ดร. โจ นั่นน่ะ ที่ดัง ๆ ในต๊อกต๊อกไง ของพี่ชายกูทั้งนั้น ตอนนี้ท่าทางจะรวยกว่าพ่อกูแล้วมั้ง" ผมคุยอวดและรวีก็ถึงกับตาโต 


จนในที่สุดหลังจากวันเกิดของผมหนึ่งเดือน รวีก็ย้ายไปทำงานกับบริษัทของพี่โจและพี่ตี๋อย่างเต็มตัว แน่นอนว่างานนั้นสนุก เงินดี ทำงานได้สามเดือนพี่โจก็เพิ่มเงินเดือนให้รวีไปมากกว่าที่รวีเล่าว่าดีใจจนตาเหลือก เหลือปัญหาเดียวคือเรื่องการเดินทาง เพราะจากเจริญกรุงไปอ่อนนุช แม้ว่ามันจะไม่ไกลมาก แต่รถมันติด


"รวีไปอยู่ด้วยกันไหม ซื้อคอนโดเดียวกับพี่โจแหละ เวลาไปทำงานง่ายดี ใกล้ตลาดด้วย เวลากูไปทำงานกูก็นั่งรถไฟฟ้าได้ด้วย ไม่ต้องเหนื่อยหาที่จอดรถด้วย" ผมยื่นข้อเสนอ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการที่เรามาอยู่ด้วยกัน




จนเช้าวันนี้ แน่ล่ะมันเป็นวันเกิดของผม และผมก็อยากจะขี้เกียจ เรานอนกอดกันจนถึงแปดโมงกว่าจะลุกจากที่นอน ผมกับรวีลางานกันล่วงหน้าไว้แล้ว แต่เรายังไม่มีแผนว่าวันนี้เราจะทำอะไรบ้าง เราอาจจะนอนโง่ ๆ อยู่กับห้อง สั่งอะไรมากิน และมีเซ็กโหด ๆ กันยกสองยก หรือนัดเพื่อนก๊วนหมอมากินข้าวด้วยกันสักมื้อ แต่ไอ้อย่างหลังนี่ต้องตามบุญตามกรรมเพราะแต่ละคนงานยุ่งเหลือเกิน


"สุขสันต์วันเกิดนะมึง กูมีของขวัญวันเกิดให้มึงด้วยนะ" รวีพูดและเดินออกไปนอนห้อง กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษขนาดกลาง 


"อะไรเนี่ย ตื่นเต้นจัง ขอบคุณนะครับ" ผมดึงตัวของรวีมานั่งตักและกอดเบา ๆ แหวกถุงเจอหนังสือปกแข็งหลายเล่ม เป็นหนังสือที่ผมเห็นแล้วต้องคลี่ยิ้มทั้งนั้น


"ขอบคุณนะครับ จริง ๆ การมีมึงอยู่ด้วยแค่นี้ก็พิเศษมากแล้ว" ผมตอบและหอมแก้มของมันสามทีติด ๆ กันเพื่อขอบคุณ


"ไม่ได้ ๆ วันนี้วันพิเศษ มันก็ต้องมีอะไรที่พิเศษกว่าทุกวันหน่อยสิใช่ไหม" รวีพูดอมยิ้มเจ้าเล่ห์ และยื่นหน้ามาหอมแก้มผมกลับสามทีเหมือนกัน