แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
คนเราพอเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน รู้สึกตัวเองเป็นผู้ใหญ่ มีคนนอกจากจะเรียกเราว่าพี่ ก็เริ่มมีสรรพนามอื่น ๆ ให้ได้ยินเช่นคุณน้า คุณอา ยังดีไม่ถึงกับลุง แต่ในสิบปีข้างหน้าคงจะโดนเรียกแน่ ๆ และสิ่งที่ตามมาพร้อมกับวัยอันล่วงเลยก็คือความวุ่นวายเรื่องงาน
จากตอนเป็นวัยรุ่นสร้างตัว ในตอนนั้นใครต่อใครก็พากันทุ่มเทกายในให้กับหน้าที่การงานเป็นอันดับแรก เวลาในชีวิตจึงหมดไปกับการนั้น การพบปะเพื่อนฝูงก็ยิ่งวันจะยิ่งลดน้อยลงทุกที แต่เมื่อวัยเข้าสามสิบ ยิ่งถ้ามีครอบครัวด้วยล่ะก็ เวลาที่จะให้คนอื่นก็ยิ่งน้อยลงเป็นทวี
ผมสังเกตดูหลาย ๆ คนรอบ ๆ ตัว ถ้าไม่มีเวลาไปพบปะใครเพราะนอกจากงานการก็ต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงผัว...อย่างผม ก็จะจัดสรรเวลาจนสามารถทำงานอดิเรก หรือมีเวลาพอที่จะพบปะเพื่อนฝูงบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นการพบเพื่อนสมัยเรียนของผมจึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ถ้าไม่ได้มีเวลาหรือสถานที่ซึ่งใกล้กันสักหน่อย
ก็ดูแต่ไอ้หมอเบียร์กับไอ้หมอไปป์ สองหมอบ๊อง ๆ ที่นอกจากหน้าที่การงานอันดูน่าเชื่อถือ ใครจะไปเชื่อว่ามันก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ เรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องลี้ลับที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์นั่นไง ผมไม่ได้มองว่ามันไร้สาระหรอกนะ ใครจะไปรู้ว่ามีหรือไม่มี แต่ตราบใดมันไม่ได้มาทำให้เราเดือดร้อน ใครจะเชื่ออย่างไรก็เรื่องของเขา ส่วนกูไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
เพื่อนอีกสองคนซึ่งมาเจอะเจอกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็คืออีมะเดี่ยวกับนังหนูรัตน์ ซึ่งบัดนี้ก็เจริญด้วยความก้าวหน้าทางการงาน ก็นาน ๆ ที่จะได้พบเจอกัน แต่อย่างน้อยในสายงานก็พอจะได้โทรศัพท์พูดคุยกันอยู่บ้าง อาศัยคอนเน็กชั่นเพื่อนบ้าง รุ่นพี่บ้าง ก็ช่วยให้งานของผมประสบความสำเร็จมาก็เยอะ
เพื่อนอีกคนหนึ่งในแก๊งเจ็ดประหลาด ซึ่งสนิทกันมาก ๆ ตั้งแต่สมัยยังไม่แตกเนื้อสาว แน่ละไอ้สินนั้นนอกจากเป็นเพื่อนก็ยังรับบทผัวของผมด้วย อันนี้ไม่ต้องพูดถึงเยอะอีกแล้ว แต่เพื่อนที่สนิท ย่อมมีสนิทมากสนิทน้อย อันนี้อยู่ที่พรหมลิขิตล้วน ๆ สำหรับผม เพื่อนที่สนิทกว่าคนอื่นในห้าตัวนั้นก็คือ ไอ้หมอดอย ที่ผมชอบแกล้งเรียกมันว่า ไอ้หมอดอยหมึง
ชื่อจริง ๆ ของไอ้หมอดอยนั้นแสนเท่ มีชื่อว่า ทิเบต ฟังดูลึกลับน่าค้นหา แต่สำหรับพวกเราเพื่อน ๆ กลับมองว่ามันทั้งเท่และตลก ก็ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาของมันดูเด๋อด๋า คล้าย ๆ เด็กดอยจริง ๆ น่ะสิ ผมเคยล้อมันว่า จะไม่แปลกใจเลยถ้าไปบ้านของมัน แล้วเจอคนที่บ้านของมันใส่ห่วงคอยาว ๆ แบบชนเผ่า อันนี้เราไม่ได้บูลลี่คนชาวเผ่ากะเหรี่ยงคอยาวแต่อย่างใด แต่กูบูลลี่มึงค่ะอีดอย
อีดอยนั้นมันตาตี่เล็กน้อย กรามของมันทำให้มันดูหน้าแป้น ๆ คอของมันค่อนข้างยาวถ้าเทียบกับความสมส่วน มันก็สมกับความเป็นไอ้ดอยหมึง อย่างที่พวกเราตั้งฉายาให้ แต่นั่นมันเป็นเพราะตอนนั้นพวกเรายังเด็กร่างกายยังเติบโตไม่ได้เต็มที่ แถมตอนเรียนรด. ยังต้องไถหัวขาวสามด้าน ก็เลยมีรูปทรงกะโหลกอย่างที่ว่า แต่มันเถียงขาดใจว่าถ้ามันอยู่ปารีส มันต้องได้เป็นนางแบบของดิออร์ เพราะแต่ละคนตัวผอม ๆ คอยาว ๆ เหมือนกันทุกคน
ครั้นตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายเติบโตได้อย่างเต็มที่ ไว้ผมยาวช่วยอำพรางกะโหลกโต ๆ ได้ ไอ้ดอยก็เลยกลายเป็นคนหน้าตาพอใช้จนถึงขั้นหน้าตาดีจนถึงปัจจุบัน แต่ที่จะทำให้มันดูดีไม่ใช่แค่หน้าตา แต่เป็นนิสัยอย่างที่เรานินทาว่ามันเหมือนเจ้าหญิงดิสนีย์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ๆ นังเจ้าหญิงดิสนีย์ก็ต้องมีสัตว์รายล้อม อย่างสโนวไวท์ที่พอพลัดหลงเข้าป่า ก็ได้พวกสัตว์ต่าง ๆ มาพาให้ออกจากป่าจนเจอคนแคระ แถมพอตอนทำงานบ้านก็ได้สัตว์ป่าพวกนั้นมาช่วยงานเสียอีก หรือเรื่องเจ้าหญิงนิทรา ตอนแม่ออโรร่าใส่กระโปรงสุ่มเดินเล่นในป่าเพื่อเก็บเบอรี่ ก็ร้องเพลงโดยมีพวกสัตว์ป่าต่าง ๆ มารายล้อม
"อันนี้กูไม่ปฏิเสธเลย ก็กูมีเพื่อนเหมือนสัตว์อย่างพวกมึงไงที่อยู่ล้อมกูน่ะ" อีดอยพูดขณะที่พวกเรารายล้อมติวหนังสือกัน แล้วผมเกิดหมั่นไส้ตั้งข้อสงสัยกับมัน พอมันพูดอย่างนี้ก็วงแทบแตก
ดอยมันเป็นคนรักสัตว์ เรียกว่าสวมวิญญาณเจ้าหญิงดิสนีย์อย่างที่ว่า และสัตว์ทั้งหลายก็ดูจะรักมันด้วย อย่างเช่นถ้าเราเดินไปกับไอ้ดอยที่ไหนสักที่ เป็นได้มีหมาจร หรือแมวจร เดินมาคลอเคลียร้องหงิง ๆ อยู่กับตีนของมัน
"หิวหรอ แหมน่ารักจริง อ้อนซะด้วย มึงดูสิ มันนอนหงายกระดิกหาง น่าร๊าก" ไอ้ดอยมันพูดอย่างเอ็นดู ในขณะที่ไอ้หมากะทิ ที่ขี้เรื้อนแดกจนหนังกลับ นอนหงายกระดิกหางร้องครางหงิง ๆ มองยังไงก็ไม่ได้น่าเอ็นดูเลยสำหรับผม
"รอแป๊บนึงนะลูก" ไอ้ดอยพูดกับหมาหนังกลับอย่างใจดี แล้วบอกให้กูอยู่เป็นเพื่อนไอ้หมาตัวนั้น ส่วนตัวของมันวิ่งไปซื้อลูกชิ้น แล้วเอามาเลี้ยงหมา นั่งมองหมาแดกลูกชิ้นไปสี่ไม้ ไม้ละสิบบาท ส่วนผมมองมันอย่างปลง ๆ ไม่บ่นไม่คอมเมนต์อะไรทั้งสิ้น เพราะตั้งแต่รู้จักมันที่โรงเรียนกวดวิชามันก็เป็นอย่างนี้ให้เห็นมาแล้ว
ไม่ใช่แค่หมา แต่สัตว์อื่น ๆ ก็ได้รับความรักจากมันไม่ต่างกัน ที่โรงเรียนกวดวิชานั้นไม่รู้มีใครเอาแมวมาปล่อย แถมมันก็ออกลูกออกหลานเสียยุบยับ แล้วแมวจรที่ไม่ได้มีคนเลี้ยง อยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ตัวก็ผอมผ่าย ขนก็มอ ๆ กระดำกระด่าง มีขี้ตาเกรอะกรัง ดูแล้วเหมือนแมวผีมากกว่า
แต่ไอ้แมวพวกนั้น ก็จะมารายล้อม ใช้ตัวไถตีนของอีดอยอย่างรักเอ็นดู ร้องเหมียว ๆ หง่าว ๆ อ้อนขอของกินจากอีดอยเช่นกัน แน่นอนว่าอีนางเอกของเรา ก็ต้องไปหาซื้ออะไรมาเลี้ยงแมวผีอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้แต่คนก็ไม่ได้ละเว้นเหมือนกัน ไม่ใช่ใครที่ไหน รวีสัตว์โลกแสนสวยคนนี้ก็เคยได้รับอานิสงส์จากอีดอยเหมือนกัน วิชาอะไรสักวิชาที่อาจารย์บ่นจนเกือบจะหลับไปครึ่งห้อง ตามประสาคนรักการนอน วันนั้นผมตื่นสายจนไม่ได้กินมื้อเช้า พอเข้าเรียนและเรียนไปได้สักคาบที่สอง ความหิวก็เข้าเล่นงาน ให้บังเอิญว่าวันนั้นผมนั่งติดกับมัน และเสียงท้องร้องของผม ก็เสือกดังจนอีดอยมันหันมาสองสามรอบ อีท้องไม่รักดีทำน้องรวีเสียหน้า
"หิวเรอะ?" อีดอยถาม
"เออสิ มะเช้ากูตื่นสาย ไม่ได้กินข้าวเช้าเลย" ผมกระซิบกระซาบบอกมัน
"อ่ะ" อีดอยพูดขยับตัวเล็กน้อย พร้อมกับส่งกล้วยน้ำว้าสุก ๆ จนเริ่มเหี่ยวนิด ๆ เปลือกดำหน่อย ๆ ไอ้ชีวิตของน้องรวีคนสวยกินยาก ผลไม้ที่กินก็แดกได้ไม่กี่ชนิด กล้วยหอมนั้นเป็นงดไป เพราะกลิ่นมันแรง กล้วยไข่พอได้ แถมเหมาะกับลูกชาติลูกตระกูลอย่างผมเพราะลูกมันเล็ก ๆ น่ารัก ส่วนกล้วยน้ำว้า ปกติผมไม่กินเลย ถ้านำไปเชื่อม หรือเอาไปทำกล้วยตากนั่นล่ะคุณหนูรวีพอจะเหลือบแล
อาศัยความหิวเป็นเจ้าเรือน ตอนนี้อะไรมีก็แดกหมด ผมกล่าวของคุณมันเบา ๆ อาศัยจังหวะอาจารย์หันหน้าไปเขียนไวท์บอร์ด อีรวีก็กะซวกกล้วยทีละครึ่งลูก กล้วยน้ำว้าผลไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ แต่ด้วยความหิวที่ครอบงำตอนนี้มีเหี้ยอะไรรวีก็แดกได้ทั้งนั้น
"ขอบใจนะมึง ไม่ได้มึงกูแย่แน่ ๆ" ผมบอกกับมันตอนจบวิชา
"ไม่เป็นไรหรอก กูพกมาทีแรกว่าจะเอาไปเลี้ยงกระรอกน่ะ ให้มึงแดกเดี๋ยวน้องกระรอกหิวแย่ แต่ไม่เป็นไรตอนพักเที่ยงเดี๋ยวค่อยซื้ออย่างอื่นให้มัน" อีหมอดอยพูดยิ้ม ๆ ส่วนกูตกยากถึงขั้นแย่งกล้วยกระรอกแดกเสียแล้ว
"กูจะเรียนสัตวแพทย์" อีดอยเคยพูดกับผองเพื่อนในวันที่พวกเราปรึกษาว่าจะลงเรียนคณะไหนกันดี
"เหมาะ" ไอ้สินพูดสั้น ๆ และทุกคนก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย สมไม่เป็นสัตวแพทย์ ก็ควรจะทำมูลนิธิพิทักษ์สัตว์อะไรสักอย่าง และในที่สุดมันก็ได้เป็นหมอหมาสมใจ
กับผมแล้ว ไอ้ดอยก็บอกว่ามันสนิทกับผมมากกว่าคนอื่น ๆ สักหน่อย เพราะเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่มันว่าที่มันสนิทกับผมก็เพราะมันรักหมา ...เชี่ยหลอกด่ากูป่ะเนี่ย
ไม่ใช่แค่หมาแมวแค่นั้น นกชนิดต่าง ๆ หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เช่นผึ้งหรือผีเสื้อ ก็ชอบบินตอมมัน ขอให้นึกภาพพวกเจ้าหญิงดิสนีย์เวลาเดินหลงป่าแล้วมีพวกสัตว์ต่าง ๆ เข้ามารุมล้อม ก็จะเห็นภาพไอ้ดอยโดยลาง ๆ ทีเดียว ภาวนาว่าอย่าเป็นต่อแตน หรือแมลงวันก็แล้วกัน เดี๋ยวจะแยกไม่ออกว่า คนหรือศพ
ไอ้ดอยนอกจากรักสัตว์ มันก็ดูเหมือนจะเกลียดสิ่งมีชีวิตสองขาที่เรียกว่ามนุษย์ เป็นไปได้เสียอย่างนั้น เป็นอินโทรเวิร์ดนิด ๆ คล้าย ๆ ไอ้สิน แต่มันกลับมาชอบคุยกับผม ไม่ใช่สิ มันชอบให้ผมคุยโน่นคุยนี่ให้ฟัง มากกว่า ส่วนใหญ่ก็เรื่องชาวบ้าน และคนที่เป็นแรงผลักดันให้มันไปสอบสัตวแพทย์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องรวีคนนี้อีกเหมือนกัน
"ชีวิตมึงไม่น่าจะทำอย่างอื่นได้ว่ะไอ้ดอย นอกจากเป็นหมอหมา มึงไม่ชอบคุยกับคน คุยกับหมานั่นแหละเหมาะที่สุดแล้ว" นี่คือการคอมเม้นต์จากผม และพวกเราที่เหลือก็พยักหน้าหงึก ๆ เป็นเชิงเห็นด้วย
นอกจากเรื่องเรียน เรื่องบ้า ๆ บอ ๆ แล้วอันที่จริงไอ้เรื่องอะไรที่เป็นความลับสักหน่อย ผมก็เลือกจะเชื่อใจไอ้ดอยว่าถ้าผมเล่าอะไรให้มันฟัง มันจะไม่เอาไปแฉให้คนอื่นฟัง และนั่นก็เป็นการจุดประกายให้ผมเอะใจเรื่องไอ้อ้วนศศินที่มันแอบชอบผม แต่ตอนนั้นมันอ้วนมาก ๆ ไง แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วด้วย ผมไม่ได้เคยคิดไปอื่นนอกจาก "เพื่อน" กับมันเลยจริง ๆ
เรื่องมันเกิดเพราะปกติไอ้สินมันเจอกลอน เจอบทความที่กระแทกใจ พ่อก็จะจดใส่สมุดบันทึก จดใส่เศษกระดาษอะไรของมันให้วุ่นวาย จนในวันหนึ่ง มันจดกลอนอะไรของมันด้วยลายมือหวัด ๆ ยื่นมาให้ผม ซึ่งผมก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ ครั้นจะเค้นถามมัน มันก็เสือกเดินหนี
"ไอ้ดอย มานี่ดิ๊ ดูนี่" ผมกวักมือหยอย ๆ เรียกมันพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นนี้ให้มันไปอ่าน ไอ้ดอยอ่านทำหน้าใช้ความคิด แล้วก็ส่งกระดาษแผ่นนั้นคืนให้ผม
"มันสารภาพความในใจกับมึงไงอีรวี" อีดอยพูดทำตาลอย ๆ
"บ้าบอ เพื่อนกัน" ผมปฏิเสธ แต่หัวใจสั่น ๆ
"มันก็เห็น ๆ มึงลองคิดดูว่าคนอย่างไอ้สินมันจะเขียนกลอนอย่างนี้ให้กูหรือให้ไอ้เบียร์ไหมเล่า?" ไอ้ดอยพูดอีกและผมซึ่งโตมากับมันก็ไม่เห็นภาพที่มันจะทำอย่างนี้กับใครได้เลย ผมก็เลยเดินเอากระดาษแผ่นนั้นไปถามไอ้ตัวต้นเรื่องตรง ๆ เลย
"มึงจีบกูหรอ?"
แต่ไอ้สินก็ทำขมวดคิ้ว แล้วเดินสะบัดตูดใหญ่ ๆ ของมันหนีหายไป ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ จนวันนั้นคุยกับไอ้ดอยอยู่เนิ่นนาน ผลสรุปว่า ถ้าจะไม่ให้เสียเพื่อน ก็จงทำราวกับจดหมายน้อยแผ่นนั้น ไม่เคยส่งมาถึงมือผม
และในวันที่ผมรู้ตัวว่าผมกับไอ้สิน เราคิดถึงความสัมพันธ์อันเกินเลยคำว่าเพื่อน ก็ได้ไอ้ดอยนี่แหละให้คำปรึกษา จนในที่สุดก็ตัดสินใจคบกันจริงจังสักที ถ้าจะนับว่าใครเป็นคนผลักดันก็บอกได้เลยว่าไอ้ดอยผู้นี้คือผู้อยู่เบื้องหลัง
"มึงกูว่ากูรู้ใจตัวเองแล้วว่ากูชอบมันแน่ ๆ" ผมพูดกรอกใส่โทรศัพท์ ในคืนวันหนึ่ง
"ก็ควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันก็ชอบมึง มึงก็ชอบมันเก๊าะไม่น่ายากแล้วสิ ถ้ามึงรักมันข้างเดียวอันนี้สิยาก" ไอ้ดอยให้ความเห็นจนผมเผลอยิ้ม
"แต่ตอนนี้มันก็เหมือนห่าง ๆ กันนิดหน่อยแล้วอ่ะ มันก็ทำงานกูก็ทำงาน" ผมบ่นต่อเพราะตอนนั้นเริ่มงานอันหนักหน่วง ผมแทบไม่ได้คุยกับไอ้สินเลยเป็นเดือน
"ก็ใช้มารยาหน่อยสิวะ มึงไม่เคยได้ยินหรือไง มารยาร้อยเล่มเกวียนน่ะ เอามาใช้สักเกวียนสองเกวียนไม่เป็นไรหรอก ยังไงซะก็อนาคตผัวเรา" อีดอยยุ
และแผนอันแยบคายก็เกิดขึ้น ผมนัดกับอีมะเดี่ยวและนังหนูรัตน์ที่ร้านเดิม ต้องใช้ร้านนี้เพราะมันใกล้ห้องพักไอ้สินที่สุด แผนเมาดิบเพื่อยั่วยวนผู้ชายเริ่มขึ้น แต่ไป ๆ มา ๆ กูเมาจริงเสียนี่ แต่สุดท้ายผลก็ได้ตามหวัง ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ผมกับไอ้สินเราได้กันในคืนนั้นสมตามแผนที่อีดอยช่วยคิดให้
"มึง ๆ กูกับไอ้สินได้กันแล้วแหละ" ผมโทรศัพท์ไปรายงาน หัวเราะคิกคัก
"ก็มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว สล็อตน่ะมึง ขนาดมันช้าขนาดนั้น มันก็ยังค่อย ๆ คลานจนไปเอากันจนได้ แล้วนี่มึงแรดอย่างนี้ มึงก็ต้องทำได้แหละ คนเรามันถึงช่วงฮีท มันทำได้หมด" อีดอยหลอกด่ากูอีกแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมกับอีดอยค่อนข้างจะเป็นเพื่อนรักกันเพราะชอบอะไรเหมือนกันนั่นก็คือ "เนื้อ" ถึงอีดอยจะรักสัตว์ แต่มันก็ชอบแดกเนื้อมาก ๆ และในเย็นนี้ผมกับไอ้สิน และไอ้หมอเบียร์ เรามีนัดกันที่ร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างเนื้อแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล งานนี้พิเศษคือไอ้ดอยมันเป็นตัวตั้งตัวตีซะด้วย
"กูมาธุระพอดีน่ะ คิดถึงพวกมึง เสียดายไอ้ไปป์ไม่มา" อีดอยบ่นนิด ๆ แต่ไม่จริงจัง ส่วนกูนั่งเคี้ยวเนื้อหินอ่อนที่ย่างพอสะดุ้งไฟโดยทูนหัวที่ตั้งหน้าตั้งตาย่างให้อย่างรู้ใจ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วแซ่บ ๆ รวีขอแดกก่อนค่ะ
จนกินไปได้ครึ่งกระเพาะ อีดอยจึงแจ้งจุดประสงค์ถึงการมาที่แท้จริงของมัน
"กูมาดูที่น่ะ เห็นว่าอยู่ใกล้ ๆ พวกมึงด้วยกูเลยสนใจ"
"ดูที่ทำอะไร ทำฮวยซุ้ยหรอ?" ผมถามเพราะตอนนี้อิ่มจนต่อปากต่อคำได้แล้ว
"ทำฮวยซุ้ยให้แม่มึงไงสัส ไม่ใช่สิ ดูที่จะย้ายมาอยู่ กูอยากเปิดคลินิกรักษาสัตว์ พอดีเจอโพสต์ที่ใต้คอนโดที่นึงเขาปล่อยเช่า ไปดูมาแล้วก็เห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน แพงหน่อย แต่พอจะต่อรองราคาได้" ไอ้ดอยเล่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ เพื่อเปิดรูปให้พวกเราดู
"ก็ดีเหมือนกันนะ ใกล้พวกกูด้วย มีอะไรจะได้ช่วยกัน" ไอ้สินพูดอย่างคนใจดี
"เหมาะเลย เวลาหมาในปากเมียมึงป่วยจะได้ให้ดอยมันรักษาให้ เออ ครบกำหนดฉีดวัคซีนให้น้องหมาในปากมึงแล้วหนิ รวี" ไอ้เบียร์ซึ่งท่าทางชะตาใกล้จะขาดพูดเสริม
ผมล่ะคนหนึ่งที่ค่อนข้างดีใจ มีเพื่อนมาอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ แถมช่วงนี้ไอ้สินก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ เสียด้วย ผมเลยคิดว่าถ้าเหงา ๆ จะได้ชวนมันมากินข้าว หรือชวนมานอนค้างที่ห้องจะได้เม้ากันให้สะใจ
"ที่ทำงานเก่าเก่ามึงไม่ดีหรือไง ถึงอยากย้ายมาแถวนี้?" ไอ้เบียร์ที่ไม่ค่อยจะได้คุยกับดอยถาม
"ที่โรงพยาบาลสัตว์ที่กูทำงานมันอยู่เส้นถนนพระรามสองน่ะมึง รถแม่งโคตรติด ถนนแม่งก็ไม่มีวี่แววว่าชาตินี้จะทำเสร็จ แต่ไอ้ที่กูอยากย้ายจริง ๆ ก็เพราะวันนั้นกูขับรถอยู่ดี ๆ เครนแม่งหล่นตรงหน้ากูเลย เฉียดรถคันหน้ากูนิสเดียว กูเลยรู้สึกว่าชีวิตกูมันเสี่ยงตายไปแล้ว"
ไอ้ดอยระบาย แต่จริง ๆ เบื้องหลัง ดอยมันเบื่อระบบงานมากกว่า เพราะอยู่ที่นั่นมันก็เป็นแค่พนักงาน กินเงินเดือน และมีข้อปฏิบัติบางอย่างที่มันขัดอกขัดใจ
"เป็นร้านของกูเอง กูจะได้รักษาอย่างสบายใจ อันไหนป่วยแบบไม่ต้องรักษาแพง ๆ กูจะได้พูดอย่างคล่องปาก" อีดอยมันเคยปรึกษากับผมมาหลายรอบแล้ว
จริง ๆ กว่าจะมาถึงวันนี้มันก็ทนทำงานที่นั่นเพื่อเก็บเงินอยู่หลายปีดีดัก อาศัยทำงานที่รักมันก็เลยทนอยู่ได้เรื่อยมา
"เดี๋ยวกูช่วยทำเพจทำโปรโมทให้" ผมรับอาสา ไหน ๆ เพื่อนรักจะมาเปิดคลินิกรักษาสัตว์ใกล้ ๆ บ้านทั้งที แล้วช่วงนั้นสินมันก็ไปทำงานต่างประเทศบ่อย ๆ ผมก็เลยลากอีดอยมาที่ห้อง ถามโน่นถามนี่จนในที่สุดก็ได้เพจ "คลินิกหมอดอยรักษาสัตว์" สักที
เดือนแรกดอยมันก็เหนื่อยหน่อย เพราะมันทำงานคนเดียว มีลูกจ้างพาร์ทไทม์คนเดียว คอยดูเรื่องอื่น ๆ ให้ จนผ่านไปเดือนที่สามนั่นแหละ อะไร ๆ ก็เริ่มจะลงตัว
"เป็นยังไงมึงอยู่แถวนี้คุ้นหรือยัง?" ผมถามในวันหนึ่งที่ไอ้สินไม่อยู่ผมเลิกงานก็เลยแว๊นไปหามันที่คลินิก
"คุ้นแล้ว แถวนี้ก็ดีนะ ไม่อึกทึก แต่ก็ไม่เงียบเหงา รถติดนิดหน่อยพอให้รู้ว่าอยู่ในเมือง ที่สำคัญใกล้พวกมึง เมื่อวานไอ้ไปป์ก็ให้กูไปหามันกับไอ้เบียร์ ไปแดกข้าวกับพวกมัน" อีดอยรายงาน ซึ่งจริง ๆ มันก็ชวนผมแหละแต่ผมขี้เกียจไป
คอนโดที่อีหมอดอยมาเปิดเป็นคอนโดกลางเก่ากลางใหม่ อายุย่างเข้ายี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังสะอาดสะอ้าน แม้ว่ารูปทรงจะไม่สวยทันสมัยเหมือนคอนโดที่อยู่ริมถนนสุขุมวิทที่ใกล้รถไฟฟ้า
แต่ดอยมันก็ไม่ได้จะไปไหน วัน ๆ ก็อยู่แต่กับที่คลินิก ทำคลอดหมา ทำหมันแมวอะไรของมันไปตามเรื่อง ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันฝีมือดีก็คือมีวันหนึ่งที่ผมกับสินไปหาอะไรกินแถว ๆ ห้างพาราไดซ์ถนนศรีนครินทร์ ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์ มีตลาดนัดซึ่งมีของกินของขายแปลก ๆ ผมกับสินซื้อมาเสียเยอะแยะ เห็นเนื้อย่างบาบีคิว ไม้โต ๆ ก็เกิดให้คิดถึงเพื่อนเป็นกำลังผมก็เลยซื้อมาเยอะหน่อย
ทั้งเพื่อกินเองแล้วก็ตั้งใจเอาไปฝากเพื่อนด้วย แต่เมื่อถึงคลินิกชะโงกเข้าไปด้านในก็เห็นคนนั่งเต็มไปหมด
"เอ๊ะกิจการมันดีแฮะ" ผมบ่นกับไอ้สิน และเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ เอาเนื้อย่างไปฝากไว้กับพนักงานที่ด้านหน้า
"รวีมึงไม่รู้อะไร รักษาสัตว์น่ะแพงกว่ารักษาคนอีกนะ" ไอ้สินมันหันมาบอกผม
ไหน ๆ เราก็มาเยือนถิ่นมันแล้ว ก็ขอเดินเล่นรอบ ๆ คอนโดสักหน่อยเพราะด้วยความเป็นคอนโดเก่า ต้นไม้ที่ปลูกรอบ ๆ ก็เลยใหญ่โตร่มรื่น ตัวตึกไม่สูงปรี๊ด ดูขลังนิด ๆ
"ตึกเก่าแบบนี้ดี ไม่ได้ใช้อิฐมวลเบาแบบคอนโดสมัยใหม่ เก็บเสียง และแข็งแรงด้วย" ไอ้สินมันพูดไปพินิจไป
"ไม่เหมือนตึกเราเนอะ" ผมกันไปยิ้มหน้าเมื่อย ๆ กับไอ้สิน เพราะให้บังเอิญ มีฝรั่งมาเช่าอยู่ห้องข้าง ๆ กลางคืนทำสงครามรักกันเสียงดังมาถึงห้องของผมเลยทีเดียว
จนตกเย็นไอ้ดอยถึงโทรศัพท์มาพูดขอบอกขอบใจ และพูดชมไม่หยุดปากว่าเนื้อย่างเอร็ดอร่อย
"แดกเองจนหมดใช่ป่าว?" ผมดักคอ
"ก็เอ่อ เกือบหมดน่ะ พอดีคนไข้เยอะ กูแดกไปสามไม้ อีกหนึ่งเลยให้น้องหมาไปรีบน่ะมึง" ไอ้ดอยสารภาพ กึ่ง ๆ แก้ตัว
"เอออีดอยหมึง" ผมพูดกับมันจนมันส่งเสียงแจ๊ะ
"เรียกดอยเฉย ๆ ก็ได้มะ" อีดอยเสียงแข็ง
"เออแหมมันติดปากหนิ ก็เรียกมาตั้งแต่เด็ก เออกูถามมึงหน่อยสิ คอนโดมึงมันเก่า ๆ มีผีไหมวะ?" ผมถามไปอย่างใคร่รู้ ก็กูคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินเรื่องมีคนกระโดดตึกตาย
"มี" อีดอยพูดเสียงเรียบ ๆ
"เชี่ย" ผมอุทาน และทำตาเหลือก
"งุ๊ย แล้วมึงอยู่ได้ไง น่ากลั๊วะ" อีรวีตาขาวอีกแล้วเจ้าค่ะ พูดถึงผี ๆ สาง ๆ นี่ไม่ถูกเส้นกับน้องรวีเลย ต่อไปคราวหน้า กูไปหามึงเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้นเด้อ
"ผีกะหลั่วน่ะมึง มีหลายคู่เลย เดินเกี่ยวแขนกันคุยหยอกกันกะหนุงกะหนิง มีทั้งหนุ่มทั้งแก่ ทั้งผิวดำ ผิวขาว ตาตี่ ตาโต" อีดอยอธิบาย คอนโดแห่งนี้มันราคาไม่แพงมาก แถมคนก็ชอบซื้อมาปล่อยให้คนต่างชาติเช่า ตามประสาคนเหงา เพื่อมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็เลยต้องหาสาวมั่งแก่มั่ง แล้วแต่รสนิยม ให้มาอยู่เป็นเพื่อน อยู่ค้างคืนบ้าง ชั่วคราวบ้าง หรือบางคนก็อยู่กันเป็นช็อตเทอม จนเมื่อบินกลับบ้านกลับเมืองตัวเองก็แยกย้ายกัน
"ไม่อยากมีผัวฝรั่งบ้างเรอะ ปรึกษาพวกเจ๊ ๆ เขาสิ เผื่อจะได้ผัวฝอสักคนสองคน" ผมแซวมัน
"ไม่เอา มีลูกกวนตัวมีผัวกวนใจ อยู่เป็นสาวหน้าขาวยองใย" อีดอยพูดอย่างน่าหมั่นไส้
"มึงสามสิบแล้วเนอะ ถึงจะสามสิบยังแจ๋วก็เถอะ มีผัวซะ แล้วจะรู้ว่ามันดี" รวีคนมีผัวอวด
"ไม่เอา ยังไม่เจอคนที่ใช่ว่ะ" คนสวยตอบ
"เลือกนักมักได้แร่ เกลียดอย่างไหนได้อย่างนั้นเน้อ"
"ไม่รู้สิ กูก็ไม่เหงาอะไรอ่ะ เจอน้องหมาน้องแมวทุกวัน" อีหมอดอยพูดแล้วก็ถอนหายใจ ผมก็ถอนหายใจด้วย คนอื่นเขามีแฟน มีลูกมีผัวกันไปเท่าไรแล้ว อีดอยยังถือพรหมจรรย์อยู่เลย เห้อ เพื่อนกู