แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว - 13 หมอดอยใจดี โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ



อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ  เจริญภาส


ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก


แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม


ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก


เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์




ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า


"มึงจีบกูหรอ?" 


"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย

สารบัญ

แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-1 ทีโมนกับพุมบ้า,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-2 เจ้าชายน้อย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-3 จุดเริ่มต้นความสนิท,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-4 ลูกไม้หล่นไกลต้น,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-5 ตัวโวยวาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-6 สิบปี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-7 เปลี่ยน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-8 ห่าง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-9 ใจเอ๋ยใจ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-10 วันธรรมดา,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-11 อยู่ด้วยกัน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-12 หมอดอย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-13 หมอดอยใจดี,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-14 พระเอก,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-15 สมิง,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-16 จอมวางแผน,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-17 Supporter,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-18 พ่อค้าออนไลน์,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-19 เกลียมัว,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-20 ป๊อปอาย,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-21 โอลีฟ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-22 Change ,แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาว-23 Twin Flame

เนื้อหา

13 หมอดอยใจดี

โดย  Chavaroj




ปกติคลินิกของผมจะปิดราว ๆ ไม่เกินสองทุ่ม อาศัยว่าเปิดสาย ๆ หน่อยคือราว ๆ สักสิบโมง คนไข้จะทยอยมาไม่มาก เรียกว่าเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ต่อเมื่อเย็น ๆ นั่นแหละ จะเฮกันมาโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งก็จะมีกฎระเบียบเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าถ้าเป็นแมวก็กรุณาใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย 


แต่ถ้าเป็นน้องหมา ก็ต้องรัดสายจูงให้รัดกุมเช่นกัน เพื่อป้องกันความโกลาหล ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ยามเมื่อสัตว์ต่างสายพันธุ์มาเจอะกัน


แต่โดยปกติ ก็จะค่อนข้างราบรื่น ด้วยว่าพี่หุน หรือที่ผมเรียกเธอว่าเจ๊หุน เจ้าหน้าที่ที่คอยต้อนรับด้านหน้า ทั้งคอยทำระเบียนผู้ป่วย และอธิบายรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งตอนนี้เธอก็สามารถจัดแจงจัดคิวได้ค่อนข้างดี


ลูกค้าของผมส่วนใหญ่ไม่พ้นหมาก็แมว แต่จะมีสัตว์อื่น ๆ บ้างก็ประปราย เพราะหมากับแมวเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมสำหรับคนทั่วไป ยิ่งคนยุคนี้ต่างพร้อมใจกันที่จะไม่อยากมีทายาท การเลี้ยงหมาแมว เพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงา จึงค่อนข้างได้รับความนิยม 


ส่วนใหญ่ก็ฉีดวัคซีน ทำแผลหรือผ่าตัดเล็กสำหรับสัตว์ที่ได้รับอุบัติเหตุต่าง ๆ หรือไม่ก็ทำคลอด ซึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไร ผมเองโดยส่วนตัวชอบชะมัดเวลาจะได้ทำคลอดยิ่งเวลาเห็นตัวแดง ๆ ของไอ้ตัวเล็ก ที่มันออกมา ผมก็รู้สึกว่าโลกนี้มันช่างสวยงามและน่าอยู่




ตั้งแต่เด็กจำความได้ ผมก็เป็นคนรักสัตว์มาก ๆ เสียแล้ว ไม่ว่าสัตว์อะไรผมก็ไม่ได้มีความรังเกียจ หรือขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย กิ้งกือตัวสีแดงอมส้ม เวลาพวกมันเดินขาของมันจะสั่นพลิ้วอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาเล็ก ๆ ของมันเหมือนเด็กซื่อ ๆ ผมชอบเอามือไปวางขวางมันเบา ๆ เพื่อให้มันไต่ขึ้นมาบนมือ ช้า ๆ กิ้งกือเวลามันเกิดสัญญาณเตือนภัย มันจะขดตัวจนเป็นวงกลม ซึ่งปล่อยไว้ไม่นาน มันก็จะคลายตัวและเดินหน้าต่อไป แต่อย่าได้ไปจับมันเข้าเชียวไม่อย่างนั้นมันจะปล่อยสารคัดหลั่งเหม็นฉุน 


หรือหนูจี๊ด ๆ ตัวเล็ก ๆ ผมก็จับมันได้อย่างไม่รังเกียจ แต่อันนี้แม่ของผมแม้ว่าแม่จะรักสัตว์เหมือนกัน แต่แม่ก็ไม่ยอมให้เลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอันขาด เพราะรังเกียจว่ามันสกปรก


แต่ชีวิตเด็กเมืองกรุง การจะได้เจอสัตว์น่ารัก ๆ มันไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่าย อย่างดีก็แมวหรือหมาจรจัด ซึ่งค่อนข้างอันตราย เพราะเสี่ยงต่อพิษสุนัขบ้า นอกนั้นก็ไม่ค่อยจะมีสัตว์อะไรแปลก ๆ ถ้าจะมองเพลิน ๆ ก็มักจะเป็นพวกนกพิราบ ซึ่งก็อันตรายอีกนั่นแหละ เพราะมูลของนกพิราบอุดมไปด้วยเชื้อโรค และเชื้อรา 


ได้ยินข่าวมาว่า ที่เชียงใหม่ตรงประตูท่าแพ คนที่ขายอาหารให้คนเขาเอาไปเลี้ยงนกพิราบ ทำอย่างนี้มาหลายปีดีดัก ผลสุดท้าย ได้รับของแถมเป็นมะเร็งปอด เนื่องจากสูดเชื้อโรคและเชื้อราจากขี้นกพิราบที่ตัวเองเลี้ยงนั่นเอง




ด้วยความเป็นเด็กเมืองอย่างที่ว่า แต่ช่วงชีวิตแสนสนุกของผมก็ได้มีโอกาสไปสัมผัสผืนดินนุ่ม ๆ ผืนน้ำเย็นฉ่ำกับเขาอยู่เหมือนกัน เพราะยายของผมนั้นอยู่ต่างจังหวัด ไม่ใกล้ไม่ไกล แค่ฉะเชิงเทรา และในช่วงปิดเทอม ผมก็จะได้ไปอยู่กับยายให้สบายใจตั้งสามเดือน 


บ้านของยายทำสวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมได้เดินเท้าเปล่า กระโดดแผล็วไปตามท้องร่อง ได้เห็นกระรอก กระถิก ได้เห็นค้างคาวที่มันชอบมาขโมยกินผลไม้ที่สวน ได้เห็นงูเขียวที่เลื้อยช้า ๆ อย่างใจเย็น ส่วนหมาแมวนั้นเจอเป็นประจำเพราะบ้านของเราอยู่ไม่ไกลจากวัด 


ปกติตอนผมอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ พ่อกับแม่ก็จะอนุญาตให้ผมดูโทรทัศน์ได้ แต่รายการที่อนุญาตให้ดูก็มีแค่อย่างเดียวคือรายการสารคดีสัตว์ ไม่ว่าจะสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ปีก ซึ่งผมก็ดูได้อย่างไม่รู้เบื่อ 


บางครั้งผมก็จินตนาการว่าตัวเองเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ดูก็เห็นจะน่าสนุกไม่ใช่น้อย อย่างตอนที่ผมจะนอน ผมก็จะคิดภาพตัวเองเป็นหมีขาว ซึ่งเตรียมตัวสะสมพลังงานเต็มที่ ต่อเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว มันก็จะขุดโพรงนอนจำศีล ผมก็จะเอาผ้านวมผ้าห่มและหมอน มาทำเป็นถ้ำโพรงและนอนอยู่ในนั้น อย่างสบายอารมณ์


แต่พอได้ไปเที่ยวบ้านยาย ต้นฝรั่งขี้นกต้นโต ก็คือฐานที่มั่นที่ผมชอบขึ้นไปปีนเล่นมันอยู่บ่อย ๆ เกิดเคราะห์ดี เจอฝรั่งขี้นกสุกจนผลของมันมีสีเหลืองอมเขียวหน่อย ๆ กลิ่นหอมลอยฟุ้ง และเมื่อปลิดมาก็เอามาถูกกับเสื้อเพื่อขจัดฝุ่น แล้วทีนี้ละ ผมก็จะสวมวิญญาณลิงมาโมเสต ค่อย ๆ และเล็มชิมมันทีละน้อย ๆ ถามว่าทำไมน่ะหรือ ก็เพราะฝรั่งต้นนี้ถูกปลูกให้เทวดาเลี้ยง ยายบอกว่า มันขึ้นเองด้วยซ้ำ ก็เลยไม่มีการพ่นยาพ่นปุ๋ยใด ๆ และอาจจะมีหนอนมาอาศัยอยู่ในลูกของมันก็เป็นได้ ดังนั้นเวลากินก็ต้องค่อย ๆ ตะล่อมกิน ไม่อย่างนั้นกัดไปเจอหนอนเข้าเต็ม ๆ 


หรือถ้าเกิดเบื่อฝรั่ง ยายอนุญาตให้ผมตักข้าวใส่ชามเล็ก ๆ ผมก็จะปีนเอาข้าวขึ้นไปนั่งกินบนกิ่งฝรั่ง สมมุติตัวเองว่าเป็นเสือดาว ที่ล่าเหยื่อแล้วก็เอาไปและเล็มกินบนยอดไม้ ซึ่งด้านล่าง จะมีพวกหมาไฮยีน่า คอยจะแย่งเหยื่อของผม 


แต่ชีวิตจริงมันมีหมาไทยตัวมอม ๆ นั่งมองน้ำลายไหลไม่ต่างกันเท่าไร หมาตัวนี้มันชื่อไอ้เบี้ยว เพราะตาของมันเบี้ยวนิด ๆ ไอ้เบี้ยวเป็นหมาไทยตัวอ้วนปี๋ ขนสั้นเกรียนสีมอ ๆ มันตะกละที่สุด เห็นทำอยู่สองอย่างคือกินกับนอน แต่ยายก็รักไอ้เบี้ยวนักหนา และไอ้เบี้ยวก็ดูจะรักยายที่สุดในโลกเหมือนกัน รองมาก็น่าจะเป็นผม เพราะผมมักจะโดนยายใช้ให้เอาข้าวที่คลุกให้ไอ้เบี้ยวเอาไปเทใส่กะละมังให้มันกิน ครั้นไอ้เบี้ยวกินหมดแล้ว ผมก็ต้องล้างกะละมังให้มันด้วยนะ ไม่อย่างนั้นยายจะบ่น กลัวไอ้เบี้ยวกินอาหารด้วยกะละมังที่ไม่สะอาดแล้วมันจะปวดท้อง


อาหารประจำของไอ้เบี้ยวก็มักจะเป็นเครื่องในไก่ต้มกับข้าวที่เหลือ อาจจะมีพวกเศษอาหารจากที่เรากินบ้างพอเป็นลาภปาก แต่ไอ้เบี้ยวก็ไม่ได้อินังขังขอบ ขอให้มีเถอะ เบี้ยวกินได้ทั้งนั้น


บางครั้งผมไปเดินเล่นซนตามท้องร่องสวน ไอ้เบี้ยวก็จะเดินตามไปด้วย เสมือนว่าจะคอยเป็นผู้พิทักษ์ แต่ครั้นผมเดินไกลสักหน่อย มันก็จะขี้เกียจแล้วก็ทิ้งตัวลงนอน หรือร้ายหน่อย ก็เดินกลับบ้านเสียดื้อ ๆ ส่วนผมจะไปเล่นหัวหกก้นขวิดที่ไหน ไอ้เบี้ยวมันก็ไม่สนใจแล้ว


นอกจากหมาคือไอ้เบี้ยว ยายก็มีสัตว์ที่รักอีกหนึ่งตัวคือ อีหงิม อีหงิมนี่ยายดูจะรักสุดดวงใจจนผมว่า ยายน่าจะรักอีหงิมมากกว่าไอ้เบี้ยวซะอีก ด้วยว่าอีหงิมนั้นเป็นแมววิเชียรมาศสีสวย ตัวของมันอ้วนใหญ่อย่างลักษณะดี อีหงิมนี่มันขี้อ้อน ลองได้เห็นผมหรือยายเดินเข้าไปในเรือนก็จะเดินมาคลอเคล้าที่ขา หรือถ้าได้นั่งแปะลงกับพื้น อีหงิมก็จะอ้อนด้วยการมานอนหนุนตัก ครางแง๊ว ๆ อย่างน่าเอ็นดูกระดิกหางไปมา ใครไม่รักก็เห็นจะใจหินเต็มที


ยายรักอีหงิมถึงขนาดอนุญาตให้มันเข้าไปนอนกับยายได้ในห้องนอนเลยทีเดียว ส่วนไอ้เบี้ยวนั้นอนุญาตให้อยู่ได้แค่ในบ้าน เรียกว่าสองมาตรฐาน


แต่อย่าได้คิดว่าไอ้หงิมกับอีเบี้ยวนั้นจะโกรธเคืองตามประสาหมาแมวทั่วไป อีหงิมนั้นเห็นมันตัวเล็ก ๆ แต่มันเกิดก่อนไอ้เบี้ยว และไอ้เบี้ยวก็ดูจะเกรงใจอีหงิมที่สุด ไม่มีหือไม่มีหาใด ๆ ทั้งสิ้น จนถึงขนาดถ้าอากาศหนาว ๆ อีหงิมไปนอนเบียดกับไอ้เบี้ยวได้ทีเดียวละ


ตามวิถีชีวิตอย่างชาวบ้านของยาย ถ้าวันหยุด ยายก็จะชวนกันกับผมสองคน ออกจากบ้านแต่เช้าในวันพระ ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ช่วยงานการต่าง ๆ ในวัด และตามประสาวัดบ้านนอก ก็ต้องมีหมาจรแมวจรเยอะแยะเป็นธรรมดา นอกจากนี้ยังมีสัตว์ที่ชาวบ้านเขาเอามาปล่อย ไม่ว่าจะเป็นเป็ด ไก่ ห่าน หรือสัตว์อื่น ๆ ที่ไม่คิดว่าเขาจะเอามาปล่อยกัน เกิดเบื่อขึ้นมา ก็เอามาปล่อยที่วัดเสียนี่ แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผมก็คือที่นี่มีนกยูงอยู่หนึ่งตัว 


"ของหลวงพ่อท่าน มีคนเขาเอามาขายแล้วไม่มีใครซื้อเพราะมันขาแป ท่านสงสารเลยเลี้ยงมันไว้" ยายเล่าให้ผมฟัง และผมก็ออกจะตื่นเต้นเวลาที่มันคึกคักและรำแพนหางของมันเป็นแผงอย่างสวยงาม


"อย่าไปเล่นใกล้ ๆ มัน ถ้ามันอารมณ์ไม่ดี มันไล่จิกเอาได้เน้อ" หลวงพ่อท่านเตือนเมื่อเห็นว่าผมสนอกสนใจไอ้นกยูงตัวนั้นเหลือเกิน


แต่มีรึที่น้องดอยนักสำรวจจะยอมแพ้ บางครั้งขี้เกียจเดินเล่นในสวนผมก็เดินไปจนถึงวัดเพื่อจะได้ไปมองไอ้ยูงใกล้ ๆ หรือบางทีโชคดี ผมก็เก็บขนสวย ๆ ของมันติดมือมาได้สักเส้นหนึ่ง


"หลวงพ่อท่านให้ไอ้ยูงมันกินอะไรหรือยาย?" ผมถามเพราะคิดว่าถ้ารู้ว่ามันชอบกินอะไร ผมก็อาจจะผูกมิตรกับมันได้


"ก็ให้ข้าวคลุกไข่ต้มน่ะสิ แต่พวกแมลงอย่างตั๊กแตนมันก็ชอบกินนะ" ยายเล่าไปขูดมะพร้าวไป เอาล่ะ ผมพอจะเห็นแนวทางที่จะผูกมิตรกับไอ้นกยูงตัวนั้นแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ออกเดินเล่นไปตามทางเดิน หญ้าขึ้นไม่รกนักและเราต้องค่อย ๆ จับตั๊กแตนตัวสีเขียว ๆ อย่างใจเย็น ๆ ผมค่อย ๆ จับใส่ถุงได้ห้าหกตัว เท่านี้ก็น่าจะพอสำหรับการผูกสัมพันธ์ 


"ไอ้ยูงกินมั๊ย อร่อยนะ ข้าจับมาให้เลยนะ" ผมพูดพร้อมกับชูตั๊กแตนตัวอ้วนพีที่บีบมันแรงไปหน่อยจนเลือดของมันไหลออกมาเป็นสีเขียว ๆ ไอ้ยูงเห็นก็กระดกหัวทำท่าสนใจ และค่อย ๆ เดินเข้ามาหาผมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ตั๊กแตนตัวแรกผมเอามันวางไว้กับพื้น ไอ้ยูงเห็นปุ๊บก็จิกกินปั๊บ จนตั๊กแตนตัวที่สองผมวางที่พื้นแต่ใกล้ตัวผมเข้ามาอีกมันก็เดินเข้ามากินอีกท่าทางจะกลัวน้อยลงนิดหน่อย


คราวนี้ผมลองทำใจกล้าเอาวางไว้บนมือมันก็จิกกินอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เจ็บนิด ๆ หมดตั๊กแตนไปอีกสามตัวในฝ่ามือ คราวนี้ผมก็รู้สึกได้ว่าไอ้ยูงกับผมก็จะจะเป็นเพื่อนกันได้แล้วจริง ๆ มันยอมให้ผมกอดมันเบา ๆ และลูบหัวมันโดยโยกหนีนิด ๆ 


"เจ้าดอยเอ๊ย ซนจริง ๆ เดี๋ยวหลวงพ่อจะไปบอกยายเอ็ง ไอ้ยุงมันดุ เดี๋ยวมันก็จิกเอาร๊อก" หลวงพ่อเกิดเห็นเข้าพอดี ผมก็เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไอ้ยูงได้ยินหลวงพ่อบ่น มันก็ร้องแว๊กเสียงดังแสบแก้วหู แล้วมันก็สะบัดตัวแล้วก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีไปทันที


จนวันถัดมา พอเห็นหน้าผมเท่านั้นแหละ ไอ้ยูงมันก็เดินปรี่มาขอตั๊กแตนจากผมเลยทีเดียว นั่นมันเรื่องตอนผมเด็ก ๆ ประมาณประถมหนึ่ง หกเจ็ดขวบเห็นจะได้ จนตอนนี้ผมอายุสามสิบเข้าไปแล้ว แต่ภาพความทรงจำของผมกับสารพัดสัตว์ก็ยังทำให้ผมยิ้มได้ทุกทีสิน่า


"หมอดอยคะ มีน้องแมวตกลงมาจากที่สูงค่ะ" เจ๊หุนเปิดประตูเข้ามาทำลายความเงียบ และเรื่องสนุก ๆ ในวัยเด็กของผมก็ต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ก่อน 


อันดับแรกก็ต้องเอกซเรย์ดูกระดูก น้องแมวมีบาดแผลเล็กน้อยที่เท้า นอนร้องหง่าว ๆ ด้วยความเจ็บปวด ฟังจากการซักอาการ ตกลงมาจากคอนโดชั้นห้าทีเดียว ไม่ตายก็บุญแล้วลูกเอ๊ย ผมไม่อยากจะตำหนิเจ้าของแมวเลยที่เผลอเปิดประตูระเบียงจนเจ้าแมวแสนซนตกลงมาจนได้ เรียกว่าทั้งคนทั้งแมวผิดกันคนละครึ่ง 


จนถึงช่วงเย็นคราวนี้ล่ะนรกของจริง ไม่ว่าจะคนป่วยหรือสัตว์ป่วย ลองถ้าได้มีคลินิกที่ไหนที่รักษาดี ๆ ค่ารักษาพยาบาลไม่แพงมากล่ะก็ เป็นได้มีคนไข้เป็นแถวเป็นทิว และคลินิกของผมก็เช่นกัน นี่เปิดมาได้ครึ่งปี สามเดือนแรกก็จะเงียบ ๆ หน่อย จนเมื่อมีคนเอาไปพูดปากต่อปาก และมีอีรวีเพื่อนรักที่ทำพีอาร์ให้ คลินิกของผมก็ไม่เคยว่างเว้นเลย ต้องชอบใจเพื่อนรักที่เรียนทางสายนี้มาโดยตรง 


วันนี้คนไข้เยอะจนผมได้เลิกงานเอาตอนสองทุ่มจริง ๆ ก็หมดคนไข้ตั้งแต่ทุ่มครึ่งแล้ว ให้เจ๊หุนกลับไปก่อนได้เลยแต่ผมก็นั่งเล่น ๆ ในคลินิกอีกแป๊บนึง จนสองทุ่มตรงผมก็ขึ้นไปบนคอนโดเพราะนอกจากจะเช่าเพื่อเปิดคลินิกที่ด้านล่าง ด้านบนผมก็เช่าเป็นที่พักไปด้วยเลย เพื่อความสะดวก 


จากที่ต้องขับรถไปทำงาน ซึ่งรถติดแสนติด แถมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่สุด ตอนนี้ที่พักกับที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันผมมีชีวิตไปทำอะไรได้ตั้งเยอะเลยทีเดียว


งานอดิเรกใหม่ของผมก็คือการปั่นจักรยาน ผมเลือกซื้อจักรยานคันสวย ๆ ราคาไม่แพงมาคันหนึ่ง ถนนเส้นอ่อนนุช ยามราตรีก็ไม่พลุกพล่านมากนัก แถมยังมีซอกมีซอยให้ได้ทดลองขับเล่นด้วย บางครั้งขับเพลินไปหน่อย หลงทางก็มี ต้องอาศัยเปิดกูเกิ้ลแมพเพื่อพากลับบ้าน แต่ผมกลับเห็นว่าสนุกดี


จุดหมายปลายทางของผม ก็จะเสิร์ชร้านอาหารแปลก ๆ เพื่อไปลองชิม อย่างคืนนี้ ผมเสียเวลาเสิร์ชหาอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง จนได้เห็นว่าที่ตลาดแถว ๆ ซอยพัฒนาการยี่สิบ มีตลาดสดซึ่งเป็นแหล่งรวมของคนอิสลาม มีร้านคุณลุงขายมะตะบะท่าทางน่ากิน จนเมื่อถึงจุดหมาย ผมก็เลือกดูจากเมนูด้านหน้าซึ่งอ่านแล้วก็ชวนน้ำลายสอ


"เอามะตะบะเนื้อชิ้นนึงครับ แล้วก็มะตะบะหวานอีกชิ้นหนึ่ง" ผมสั่งแล้วก็มองแกทอดมะตะบะอย่างขมีขมัน จากนั้นก็ดูอะไรที่มันน่ากิน ๆ อีกสักสองสามอย่าง ไม่ลืมที่จะซื้อลูกชิ้นเปล่า ๆ สักสี่ห้าไม้ เผื่อเจอเพื่อน ๆ ข้างทางผมก็จะได้แบ่งพวกมันกินเพื่อผูกสัมพันธ์


แต่ผมไม่เห็นด้วยกับคนที่เอาหมาเอาแมวไปปล่อย แล้วก็เอาพวกอาหารไปเลี้ยงพวกมันหรอกนะ มันคนละประเภทกัน เพราะมีคนร้องเรียนบ่อย ๆ ว่ามีคนเอาอาหารหมาไปเลี้ยงหมาจรจนพวกมันรวมตัวอยู่เป็นแก๊ง คราวนี้คนจะเข้าจะออก ก็ต้องกลัวหมาเพราะมันไล่กวดไล่เห่า ความใจดีมันมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่จริง ๆ


อาศัยว่าแถว ๆ นี้มันมีสะพานและคลองเยอะ ก็เป็นคลองย่อยที่ทอดไปยังคลองพระโขนง ถิ่นของคุณย่านากนั่นไง ผมเลือกที่จะจอดตรงสะพานเงียบ ๆ และแกะห่อมะตะบะเอาออกมากินเพื่อให้ได้บรรยากาศ แต่จะให้ดี ก็ขอถ่ายรูปไว้สักนิดสักหน่อย และโพสต์ลงโซเชียล คนแรกที่คอมเม้นต์มาก็คืออีรวี และไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรมันก็โทรศัพท์มาหาผมเสียก่อน


"กินอะไรน่ะมึง?" 


"มะตะบะ ไส้เนื้อ" ผมตอบและไหน ๆ มันโทรมาแล้วผมก็เปิดกล้องให้มันดูเสียเลย


"เห้ยมีด้วยหรอ เคยเห็นแต่มะตะบะไก่ เป็นยังไงอร่อยหรือเปล่า?" อีรวีถาม อีนี่กับผมมีความชอบอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือเป็นคนชอบกินเนื้อ


"ขอลองชิมตรงไส้ก่อนนะ อื้ม.......เห้ยมึงอร่อย" ผมทำท่าเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับฟังอีรวีบ่นพล่ามนินทาผัวไปด้วย สอบถามเส้นทางของร้านมะตะบะคุณลุงไปด้วย มะตะบะชิ้นไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ ใช้เวลาไม่นานก็หมดเรียบร้อย


"ต่อไปเป็นไส้หวาน ดูแล้วคล้าย ๆ โรตีแหละมึง" ผมพยายามอธิบายหน้าตาของมันเมื่อเปิดกล่องโฟมออกดู กินไปก็อร่อยดีแต่มันหวานแสบไส้ กินได้แค่ครึ่งกล่องเท่านั้น ก็ให้พอดี มีน้องหมาเดินผ่านมาพอดี มันมองผมอย่างอยากรู้อยากเห็น จนผมเรียกให้มันมาใกล้ ๆ มันก็กระดิกหางอย่างดีใจครางหงิง ๆ 


"รวีแค่นี้ก่อนนะ ไว้คุยกัน" ผมขอตัดบทก่อนละ เพราะตอนนี้ เจ้าหมาหางปุย ยื่นหน้ามาดมและครางหงิง ๆ เพื่อขอกินมะตะบะที่เหลือซะแล้ว


"มีมะตะบะไส้หวานกินเป็นหรือเปล่า หรืออยากจะกินลูกชิ้นก่อนก็ได้นา" ผมคุยกับมันเหมือนรู้จักกันมานาน ดึงลูกชิ้นออกมาทีละลูก วางเบา ๆ บนอีกด้านของกล่องโฟม มันก็รีบกินอย่างรวดเร็ว 


"เบา ๆ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบหรอกน่ามีอีกเยอะแยะ" ผมบอกมันและหัวเราะกับท่าทางตะกละของมันจนในที่สุด ลูกชิ้นสี่ไม้และมะตะบะอีกครึ่งชิ้นก็ราบเป็นหน้ากลอง


"อิ่มแล้วล่ะสิ หิวน้ำไหมล่ะ?" ผมพูดพร้อมกับรินน้ำจากกระติกน้ำ ให้มันค่อย ๆ กิน แล้วก็ดื่มน้ำเองอีกหนึ่งอีก จากนั้นก็รินน้ำที่เหลือทั้งหมดเพื่อล้างมือ 


จากนั้นเราก็ต้องเอ่ยคำอำลา ผมขี่จักรยานกลับ พร้อมกับคอยสอดส่ายสายตาหาถังขยะ เจอที่เหมาะ ๆ ก็หย่อนขยะลงถัง และขี่จักรยานจนกลับถึงคอนโดเอาตอนเกือบสี่ทุ่ม


ชีวิตวันนี้ถือว่าสงบเงียบ มีความสุข และน่าตื่นเต้นเล็กน้อย อีกกิจวัตรของผมตอนก่อนนอนก็คือ การเขียนไดอารี่ ผมดีใจที่วันนี้ผมได้ร้านอร่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งร้านแล้ว 


อาบน้ำจนสะอาดดี ชุดนอนลายน้องหมาหน้าโง่ตัวโคล่งอันเป็นชุดโปรดของผม จัดแจงเตรียมตัวก่อนจะเข้านอน แต่วันนี้สงสัยมะตะบะเนื้อจะออกฤทธิ์เลยยังไม่ค่อยง่วงมากเท่าไรเพราะท้องแน่น ผมก็เลยนั่งไถโทรศัพท์ดูคลิปสัตว์ต่าง ๆ อย่างแสนเพลิดเพลิน จนเกือบ ๆ เที่ยงคืน คราวนี้ก็ต้องนอนกันจริง ๆ จัง ๆ สักที


ผมทิ้งตัวลงนอน เอาหมอนสี่ใบล้อมไว้รอบ ๆ ตัว คิดภาพตัวเองเป็นหมีขาวตัวใหญ่ที่กินอิ่มและพร้อมจะนอนเต็มที่ เปิดแอร์จนเย็นสบายไม่ต้องหนาวจัดเหมือนขั้วโลก ฟังเสียงแอร์ร้องหึ่ง ๆ ไม่นานผมก็หลับไป


จนเช้าขึ้นมาผมก็สะดุ้งตัวตื่นขึ้นเพราะความฝัน ผมฝันว่าผมวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งหญ้าที่ไหนสักแห่ง มีแมลงปอบินเต็มว่อนไปหมด หญ้าสีเขียวสดสูงแค่ครึ่งหน้าแข้ง ผมรู้สึกได้ถึงความนุ่มของมันทีเดียว ในทุ่งหญ้ามีดอกหญ้าสีขาว ๆ ขึ้นแซมสลับกันไป ผมนึกอยากวิ่งให้ไว ๆ และรู้สึกเหนื่อยเหมือนวิ่งจนสุดแรง หญ้ามันนุ่มชะมัดผมคิดอย่างนั้นและนอนกลิ้งตัวไปมา จนรู้สึกแปลก ๆ เพราะจากผืนหญ้านุ่ม ๆ ผมรู้สึกได้ถึงความหยุ่นลื่น จนเมื่อเอามือไปแตะสัมผัสกับมัน 


ผิวสากเป็นเกล็ด สะท้อนแสงแวววาว รู้สึกตกใจเป็นกำลังถึงผมจะเป็นคนรักสัตว์แต่ถ้าเจองูตัวโต ๆ แบบนี้ใครก็ตกใจ มันรัดผมเสียแน่นจนผมแทบหายใจไม่ออก ยังดีที่ไม่เห็นมันยื่นหน้ามาฉก แต่ผมก็พยายามดิ้นรนและพยายามที่จะไม่กรีดร้องเพราะจะทำให้งูตกใจ


จนเมื่อสะดุ้งตัวตื่น ผมลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือมาแตะที่หน้าอกซึ่งหัวใจมันยังเต้นแรงด้วยความตื่นกลัวอยู่เลย ฝันบ้าอะไรน่ากลัวชะมัด สงสัยต้องเป็นเพราะเมื่อคืนดูสารคดีงูบนเกาะทะเลใต้แน่ ๆ เลย ถึงเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ


ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลยแต่พอมองนาฬิกาอีกไม่กี่นาทีมันก็จะหกโมงเช้าแล้วหรือนี่ เข้าหน้าหนาวแล้วสินะ ผมไม่อยากนอนต่อแล้ว จึงตัดสินใจ ลุกจากที่นอน สะบัดผ้าคลุมเตียงคลุมให้มันเรียบร้อย ไม่อาบน้ำละ แต่เลือกจะเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงกีฬา และวิ่งรอบ ๆ คอนโดสักสี่ห้ารอบ 


จริง ๆ ถ้าเป็นเมื่อสักสองเดือนก่อน ถ้าผมตื่นในตอนเช้าผมก็เลือกจะไปว่ายน้ำเพราะที่คอนโดนี้มีสระว่ายน้ำตื้น ๆ ให้ได้ว่ายน้ำเล่น แต่ตอนนี้ถ้าลงไปว่ายน้ำมีหวังเป็นตะคริวแย่ทีเดียวเพราะตอนเช้า ๆ อากาศเย็นเจี๊ยบอย่างกับน้ำแข็ง


วิ่งจนเหงื่อออก ผมก็หยิบโทรศัพท์ เพื่อเปิดดูเลือกร้านอาหารอร่อย ๆ สักร้านและสั่งให้เขามาส่งที่คอนโด ไม่เสียเวลาออกไปตามหากันละ


ทำอะไรโต๋เต๋อยู่ข้างล่างต่อจน เขานำอาหารมาส่ง ผมก็เอาขึ้นไปกินที่ห้อง เผลอแป๊บเดียวก็จะได้เวลาเปิดคลินิก และหมอดอยใจดีก็สแตนด์บายที่คลินิกเป็นที่เรียบร้อย


เจ๊หุนยิ้มทักทาย และทำอะไรไปตามเรื่องของแกส่วนผมหลบเข้าไปในห้องตรวจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูสารคดีสัตว์โลก แต่จู่ ๆ เกิดนึกขึ้นมาได้ถึงฝันแปลก ๆ เมื่อคืนก็เลยขอเปิดทำนายฝันสักหน่อย ไอ้ผลคำทำนายก็ทำเอาผมขมวดคิ้วนิ่วหน้า และคนแรกที่ผมอยากจะโทรไปปรึกษามันก็คืออีรวีเพื่อนรัก


"ว่าไง อีหอย" อีรวีรับสายปุ๊บก็บ่นปั๊บ


"งานยุ่งป่ะ ขอเม้าสักห้านาที" ผมพูดอย่างเกรงใจเพราะตื่นเต้นกับคำทำนายฝัน


"คุยได้ เหลามาค่ะ" รวีตอบน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น


"มะเช้ามืดกูฝันว่ะ" ผมเริ่มและเล่าเรื่องราวทั้งหมด


"เขาว่าฝันว่างูรัดมันหมายถึงคนจะมีเนื้อคู่ แล้วเขาว่าถ้าฝันตอนเช้ามืดนี่จะแม่นมาก ๆ เลยมึง" อีรวีพูดแล้วก็หัวเราะกิ๊ก


"แน่นา ไม่ใช่ว่าฝันว่าเจองูเขาว่าจะเจอศัตรูไม่ใช่เหรอ" ผมค้านเพราะคำทำนายมันมีสองอย่าง และผมเลือกจะเชื่ออย่างหลังมากกว่า


"กูว่ามึงจะเจอเนื้อคู่แหละ ลองดูเถอะไม่เกินเจ็ดวัน กูว่าต้องมีพระเอกมาเจอนางเอกอย่างมึงแน่อีดอยหมึง" 


"เรียกดอยเฉย ๆ ก็ได้โว้ย อีเปรตแค่นี้แหละ อารมณ์เสีย" ผมพูดเสียงแข็ง ๆ และรีบกดวางสายอีเพื่อนเลว


"เจ็ดวันอย่างนั้นหรือ จะมีเรอะพระอ่งพระเอก ไม่มีร๊อก" ผมพูดพร้อมกับยักไหล่ ก็พอดีได้ยินเสียงพี่หุนคุยกับลูกค้าที่พาน้องมารักษา เอาล่ะขอหมอดอยใจดีทำหน้าที่ก่อนก็แล้วกันเรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยคิด ถ้ามันมีพระเอกอย่างที่ว่าจริง ๆ ผมก็อยากจะถามเหมือนกันว่ามึงหายไปไหนให้กูรอตั้งสามสิบปี...สามสิบยังแจ๋วซะด้วยนา