แฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
ตลก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,รั้วโรงเรียน,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนผมเป็นมนุษย์ต่างดาวแฟนของผมเป็นคนแปลก ๆ เหมือนมาจากดาวดวงอื่น
อ้าอุไรพธูพบูพิบูลย์ เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ เจริญภาส
ตูสวิงสวายเพราะสายสวาดิ์ ระทวยบ่ปลดระทดบ่ปราศ บ่ปลิดโศก
แสนจะเสียวจะส้านณวารวิโยค จะข้ามห้วงบ่ล่วงอโฆ ก็อกกรม
ใคร่เสน่หะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิตย์สนิทสนม จะแนบจะนิทร์จะชิดจะชม ณเชิงรัก
เชิญสมรสุมาลย์สมานสมัค ประสานประสงค์ประจง ประจวบใจ ประจักษ์
ผมค่อย ๆ พับกระดาษที่มีลายมือหวัดแกมบรรจงแล้วอมยิ้ม พลางถามมันไปเบา ๆ ว่า
"มึงจีบกูหรอ?"
"เปล่า" มันตอบอย่างว่องไว แต่หน้าแดง คนแปลกประหลาดอย่างนี้ก็มีด้วย
โดย Chavaroj
ช่วงนี้ชีวิตของผมจะวุ่นวายนิด ๆ เพราะเพื่อนเหงาเนื่องจากผัวไม่อยู่ โดยเฉพาะวันเสาร์วันอาทิตย์เนี่ย ถ้าวันไหนรวีมันกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่มันก็แล้วกันไป แต่ถ้ามันขี้เกียจกลับ มันก็มักจะมาขลุกอยู่ที่คลินิกของผม เพราะอยู่ใกล้ที่สุดห่างกันเพียงไม่กี่ซอยเท่านั้น
ซึ่งการมาของรวีก็ไม่ได้ช่วยสร้างประโยชน์อะไรเท่าไร ตรงกันข้ามรู้สึกจะเป็นภาระเสียอีก ประการแรกเลย รวีมันเป็นคนกินยาก กินยากแบบที่ผมละแอบสงสารไอ้ศศินผัวของมันเหลือเกิน และพวกเพื่อน ๆ ของผมเคยแอบนินทาที่ไอ้ศศินซึ่งเคยอ้วนมีน้ำหนักเป็นหลักร้อยกิโล พอมาคบกับอีรวีจนได้เสียเป็นเมียผัว มันก็น้ำหนักลดลง ๆ จนตอนนี้หุ่นดีมีซิกแพค เพราะมันเป็นผัวรวีคนเรื่องมากนี่แหละ
"สินมันรำคาญเพราะมึงกินยากน่ะสิ ไอ้โน่นก็กินไม่ได้ไอ้นี่ก็กินไม่ดีมันเลยหนีไปต่างประเทศซะเลย" ผมเคยบ่นกับรวีมันตรง ๆ แบบบ่างช่างยุ
"กูกินอะไรก็ได้" รวีมันเถียงคอเป็นเอ็น
"ปลาล่ะ?"
"กู...ก็เอ่อ.....กินได้เกือบหมดนะ" รวีมันพูดเสียงอ่อย ๆ
"ปลาทู!"
"กูชอบกินแต่ตรงหนัง กูเคยกินปลาทูแล้วมันไม่สดเหม็นคาวเลยเข็ดไปเลย ปลาทูแมวตัวเล็ก ๆ แม่งก็เนื้อแข็งปั๋ง แถมก้างตำเหงือก ส่วนปลาทูตัวใหญ่ ๆ นั่นก็เนื้อไม่มีรสไม่มีชาติ แดกแล้วเหมือนเคี้ยวกระดาษ คือถ้ากินปลาทูกูชอบกินตรงหนังมันอ่ะ ทอดให้กรอบ ๆ เป็นสีเหลือง ๆ นะ อย่างนี้น้องรวีกินได้ค่ะ" รวีให้เหตุผลจนผมกับเจ๊หุนแอบค้อนใส่มันหนึ่งวง
"ปลาช่อนล่ะ?"
"ปลาช่อนถ้าทอดแบบกรอบ ๆ ก็พอกินได้นะ แต่ถ้าต้ม ๆ นี่ไม่ไหว รู้สึกว่ามันคาวแน่ ๆ ถ้าแบบปลาช่อนแดดเดียว กูเคยเห็นเขาตากแดดแล้วแมลงวันมันตอม กูสาบานเลยว่าปลาช่อนแดดเดียวกูไม่กินอีกเด็ดขาดตลอดชีวิต" ผมหันไปมองเจ๊หุน และเจ๊หุนถอนหายใจหนึ่งที
"ปลาดุกล่ะ?"
"แอร๊ย ไม่กิ๊นไม่กิน โบราณเขาว่าปลาไม่มีเกล็ดกินแล้วไม่ดี แต่เอ่อ......ถ้าเอามาทำยำปลาดุกฟูนี่กูกินได้นะ คือกูกินเนื้อปลานิดเดียวไงกูชอบกินน้ำยำกับมะม่วงดิบซอย ๆ ลาบปลาดุกกูก็กินได้ค่ะ เพราะเขาใส่เครื่องเทศเยอะ ๆ ถ้าหอมกลิ่นข่านี่ก็อร่อย แต่ถ้าย่าง ๆ หรือเอามาผัดพริกอะไรอย่างนี้รวีก็ไม่กินค่ะ กลัวคาว" คราวนี้ผมถอนหายใจบ้าง
"ปลาทะเลอย่างพวกปลาจะละเม็ด ปลากะพงอะไรอย่างนี้ล่ะ?"
"กินได้สิ แต่เขาว่ากันว่าปลาทะเลน่ะชาวประมงออกทะเลไปเป็นเดือน ๆ นะมึง กว่าจะเข้าฝั่งน่ะปลามันถูกดองด้วยน้ำยาแช่ศพ กินฟอร์มาลีนเยอะ ๆ มะเร็งแดกนะคะ สรุปถ้ามันสดก็กิน...แต่มันไม่สดไง" คำตอบนี้ของอีรวีทำเอาผมกับเจ๊หุนถอนหายใจพร้อมกัน
ถ้าจะพูดอย่างไม่ใส่ความรวีมันก็กินได้บ้างไม่ได้บ้างอย่างที่ว่า แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนเพื่อน ๆ นักหรอก สมมุติว่าไปกินอะไรด้วยกันหลาย ๆ คน สั่งกันคนละอย่างสองอย่าง รวีมันก็สั่งไอ้ที่มันกินได้ โดยไม่บ่นเพื่อน ๆ ถึงอาหารที่มันกินไม่ได้
แต่รวีมันคนแปลก ๆ ไอ้อาหารง่าย ๆ พื้น ๆ ชั่วแต่ปลาทูมันก็ยังกินยากกินเย็น แต่อาหารแปลก ๆ อย่างปลากระเบน กบ ปลาไหล หมูป่า อะไรเทือก ๆ นี้ รวีมันกลับชอบเสียอีก เคยถามไอ้ศศินมันก็อธิบายว่า เพราะว่าพ่อของรวีนั้นทำอาหารจำพวกกับแกล้มเก่ง และเป็นนักดื่มเสียด้วย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นฉันใด รวีก็ชอบกินเหล้าและกับแกล้มเหมือนพ่อฉันนั้น ทั้ง ๆ ที่กลุ่มพวกเราไม่มีใครกินเหล้าเป็นสักคน มีรวีเป็นแกะดำอยู่คนเดียว
และอันที่จริง คนกินยากมักจะต้องทำอาหารกินเอง แต่ไอ้สินก็เล่าว่ารวีนั้นออกจะอาภัพเรื่องเสน่ห์ปลายจวัก ไม่มีพรสวรรค์หรือทักษะพื้นฐานเรื่องการทำอาหารใด ๆ เลย
"ไข่เจียวมันยังทำไหม้ ไข่ต้มพอได้แต่อย่าหวังพวกไข่ต้มยางมะตูมนะ ไข่ต้มแบบแข็งปั๋งน่ะทำได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง" นี่คือคำให้การของผัวสุดที่รัก
รวีที่มาแกร่วที่คลินิก ก็ไม่ได้ทำตัวให้กินยากกินเย็นอะไรให้ผมกับเจ๊หุนต้องลำบากใจ เพราะถ้าเรื่องมากจะโดนกูนี่แหละไล่ออกไปแทบไม่ทัน ตรงกันข้ามมันสั่งโน่นสั่งนี่มาให้พวกเรากินแก้เบื่อ ไม่ใช่แก้เบื่อของผมกับเจ๊หุนนะ แก้เบื่อของมันน่ะ เพราะปกติวันเสาร์กับวันอาทิตย์ จะค่อนข้างมีคนไข้เยอะกว่าปกติ
แต่วันนี้ลูกค้าช่วงเย็นกลับมีไม่มากนัก อาจเป็นเพราะช่วงหยุดยาวด้วยกระมัง ผมไม่ได้กล่าวหาว่าเพื่อนว่าเป็นตัวซวยหรอกนะ ไม่ค่อยมีคนก็ดีเหมือนกัน และตอนนี้เราสามคนก็นั่งกินพิซซ่าที่รวีสั่งมา ซึ่งรวีมันกินแต่หน้า ส่วนตัวแป้งมันก็กินแค่นิด ๆ หน่อย ๆ เหลือทิ้งเป็นก่ายเป็นกอง ก็ไม่มีผัวมันอยู่ ปกติมันกินอะไรเหลือก็โยนให้ผัวกินต่อ
"เจ๊หุนขา อีหมอดอยมันเล่าให้ฟังหรือเปล่าว่ามันฝันว่า ฉันโดนงูรัด" อีรวีพูดล้อเลียนตอนท้ายด้วยสำเนียงแม่สิตางค์ บัวทอง
"ว้ายตายจริง โบราณเขาว่า ฝันว่างูรัดจะเจอเนื้อคู่นะคะน้องรวี" เจ๊หุนก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย หัวเราะกิ๊กกั๊กเพื่อล้อเลียนผม
แต่จะพูดอะไรกันต่อ ก็ให้บังเอิญมีคนไข้มาพอดี เป็นคุณป้าท่าทางใจดี มาพร้อมน้องหมาชิวาวาพันธุ์ขนสั้นสีขาวในตะกร้า
"สวัสดีครับ น้องเป็นอะไรเอ่ย?" ผมถามและสอดสายตาลงไปในตะกร้าจนเห็นตาแป๋ว ๆ ของน้อง
"น้องตั้งท้องน่ะค่ะ คือน้องก็อายุเยอะแล้ว ไม่คิดว่าจะมีลูกได้อีก เห้อ..." คุณป้าบอกและเมื่อทำเรื่องเวชระเบียนเสร็จ ผมก็พาน้องเข้าไปในห้องตรวจ ปรากฏว่าน้องข้าวหอมหมาน้อยที่กำลังอุ้มท้องนั้น ใกล้คลอดเต็มที แถมอายุอานามของมันก็ปาเข้าไปตั้งสิบขวบ ถ้าเป็นคนก็ต้องคูณแปด เท่ากับเป็นคุณยายข้าวหอมแล้ว แต่ยังซ่าได้อยู่
"จากอายุครรภ์ และที่เอกซเรย์ โชคดีที่น้องมีลูกแค่ตัวเดียว เคยคลอดน้องแล้ว คิดว่าไม่น่ามีปัญหา ถ้าจะให้ดี ถ้าน้องมีอาการเหมือนจะคลอดคือจะตะกุยพื้น หรือคาบพวกเศษผ้าเพื่อเอามาทำรัง ก็เอามาที่คลินิกได้เลยนะครับ เดี๋ยวมาทำคลอดกับหมอดีกว่า" ผมให้คำแนะนำ และให้วิตามินเสริมแก่คุณยายข้าวหอมนิดหน่อย อดจะขำความซ่าของมันไม่ได้ และที่เริดไปกว่านั้น คู่ตุนาหงันของสาวเจ้าท่าจะเป็นเด็กรุ่นหลานรุ่นเหลน ดูจากเต้านมที่เต่งมาก ๆ คิดว่าไม่น่าจะเกินเจ็ดวันนี้แน่ ๆ
จนคุณป้าและน้องข้าวหอมจากไป รวีผู้แสนดีก็ยังจะอุตส่าห์นินทาน้องหมาอีกพอหอมปากหอมคอ เรียกว่าหมาก็ไม่เว้น
"คนไข้เริ่มเยอะแล้วว่ะ กูกลับก่อนนะ เจ๊หุนรวีกลับแล้วนะ เดี๋ยวมาเยี่ยมใหม่" รวีเอ่ยคำลาพร้อมรอยยิ้มส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักให้มันไป เพราะตอนนี้คนไข้เรียงแถวเต็มไปหมดแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะพากันมาฉีดวัคซีน และรักษาโรคผิวหนัง และโรคต่าง ๆ ตามอาการ
ผ่านไปสามวันจนผมเกือบจะลืมคุณยายข้าวหอมเสียแล้ว แต่ช่วงเย็น ๆ วันนั้นผมกำลังนั่งดูสารคดีอยู่เพลิน ๆ ในห้องตรวจ เจ๊หุนก็กระหืดกระหอบเข้ามาบอกว่าคุณยายข้าวหอมได้ถึงกำหนดคลอดแล้ว
แต่คนพาน้องมาไม่ใช่คุณป้าคนเดิมแต่เป็นผู้ชายตัวสูงผิวเข้ม ๆ และผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้าอย่างไรชอบกล
"คุณพี่ที่พาน้องมาวันก่อนไม่ว่างหรอครับ?" ผมถามเขาหลังจากซักและดูอาการคุณยายที่ดูกระสับกระส่าย
"ไม่ว่างน่ะครับ จริง ๆ ข้าวหอมมันเป็นหมาของผมเองแหละ วันนี้หยุดพอดี เลยเห็นอาการไม่ค่อยดี พี่ผมเลยให้ผมพามาคลินิกดีกว่า" เขาว่าและเราก็พากันเดินมาด้านในคลินิก
"ไม่ต้องห่วงนะครับ ปากมดลูกยังเปิดไม่มาก ผมว่าน่าจะอีกสามหรือสี่ชั่วโมงโน่นแหละ ฝากน้องไว้ที่นี่ก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวตอนน้องคลอดผมจะโทรไปแจ้งก็ได้ มันเหมือนในหนังแหละครับ นางเอกปวดท้องคลอดตั้งแต่เช้า แต่โน่นแน่ะกว่าจะคลอดก็ไปคลอดเอาตอนดึก ๆ" ผมพูดติดตลกให้เขาคลายใจแต่เขาก็คงขำกับผมล่ะมั้งเพราะเผยยิ้มออกมา สาบานว่าเขาน่าจะเป็นพรีเซนเตอร์ยาสีฟันได้สักยี่ห้อหนึ่ง เพราะฟันสีขาวจ๋องของเขามันตัดกับสีผิวเข้ม ๆ ชะมัด
"ถ้าอย่างนั้นอีกสักพักผมมาอีกทีได้ไหมครับ ผมเป็นห่วงน้อง" เขาพูดและทำหน้าเวทนาน้องหมาเต็มที่
"ได้ครับ ปกติคลินิกหมอปิดสองทุ่ม แต่ถ้าคุณมาแล้วก็เข้ามาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ เพราะหมอยังไม่ได้ไปไหน พอดีหมอพักที่คอนโดนี้ด้วยน่ะ" ผมอธิบายและเขาก็จากไป ผมปล่อยให้คุณยายข้าวหอม เดินหงุดหงิดงุ่นงาน เดี๋ยวเดิน เดี๋ยวนั่ง โดยชะโงกดูอาการเป็นระยะ ๆ ระหว่างนั้นก็ตรวจอาการคนไข้คนอื่น ๆ ไปด้วย จนช่วงเข้าสองทุ่มและคนไข้ก็หมดตั้งแต่ตอนทุ่มครึ่งไปแล้ว
"เจ๊หุนกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวลูกผัวรอร้องไห้กระจองอแง" ผมพูดแซว เพราะผัวเจ๊หุนชอบหาเรื่องทะเลาะเป็นประจำ
"หมออยู่คนเดียวได้แน่นะคะ เออนี่ รู้หรือเปล่า เจ้าของน้องข้าวหอมน่ะ เขาเป็นดาราด้วยนา" เจ๊หุนเริ่มนินทา
"ดอยไม่รู้จักหรอกพี่หุน วัน ๆ ได้ดูละเม็งละครกับเขาที่ไหนกันเล่า" ผมตอบและเดินไปส่งเจ๊หุนที่หน้าร้าน
"จ้างให้ก็เดาไม่ถูกหรอกค่ะว่าเขาเป็นดาราอะไร" แน่ะมีการท้าทายเสียด้วย
"ดาราซีรีส์วายหรอ เห็นเขาฮิตกัน"
"ไม่ใช่ค่ะ ให้โอกาสทายอีกที" เจ๊หุนท่าทางสนุกกับความไม่รู้ของผม
"หุ่นแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น ละครแบบระเบิดภูเขาเผากระท่อม แนวบู๊แอ๊คชั่นใช่หรือเปล่า แต่อาหลองก็ซี้ม่องเท่งไปแล้วหนิ" ผมเดาอีก และนึกถึงหนังและละครสมัยที่ดูตอนเด็ก ๆ
"เกือบถูกค่ะ แต่หมอดอยไม่ต้องเดาแล้วล่ะ พี่เฉลยเลยก็ได้ เขาเป็นพระเอกละครแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่ฉายตอนเช้า ๆ น่ะค่ะ เล่นเป็นเสด็จพี่ไง" เจ๊หุนเล่าแล้วก็หัวเราะกิ๊ก ผมพยายามนึก แล้วก็ต้องตบเข่าฉาด เช้าวันเสาร์บางทีผมก็เปิดทีวีแก้เหงา ไม่ได้สนใจอะไรเลย ส่วนเจ๊หุนก็ชอบเปิดไอ้ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ นี่แหละ เพื่อเอาใจเด็ก ๆ
เอาเป็นว่าผมออกจะทึ่งกับเขาคนนั้น ก็เหมาะดีอยู่หรอก หุ่นล่ำบึ๊ก แต่ล่ำแบบเข้ม ๆ ไทย ๆ ต่างจากไอ้ศศินที่ล่ำ ๆ ขาว ๆ โอโม่แบบนายแบบเกาหลี จู่ ๆ ก็ทำให้ผมนึกถึงพี่เมฆ วินัย ไกรบุตร ที่เพิ่งเสียชีวิตไป ถ้าเขาใส่โจงกระเบนโชว์ซิกแพค ก็คงเหมาะ แต่เอ เขาเล่นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ คงไม่ได้ถอดเสื้อถอดแสงกระมัง
คิดอะไรเพ้อเจ้อ และเมื่อเดินกลับเข้าไปในคลินิก ชะโงกดูคนไข้ที่ยังติดค้างอยู่ในห้องตรวจ
"เอ๊า เริ่มคลอดแล้วรึ?" ผมพูดเปรยกับตัวเองอย่างดีใจ และเห็นหัวดำ ๆ ของหมาน้อยที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาอย่างยากเย็น ไอ้อย่างนี้ก็ต้องช่วยกันหน่อย ผมค่อย ๆ พูดปลอบและค่อย ๆ ดึงสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ ที่กำลังออกมาจากท้องแม่ให้ออกมาอย่างเบามือ จัดแจงใช้ผ้าเช็ดตัวมันให้สะอาดและจัดการตัดสายสะดือของมัน
จนเมื่อร่างของมันเริ่มแห้งก็เอาไปวางไว้ตรงหัวนมของแม่มันอย่างเหมาะเหม็ง ยายข้าวหอม เลียไปตามตัวของเจ้าตัวเล็ก ซึ่งท้องป่องและดูดนมอย่างเอาเป็นเอาตาย ดีในที่น้องคลอดอย่างปลอดภัย ผมก็รีบโทรศัพท์ไปแจ้งเจ้าของน้องในทันที ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็บอกว่าน่าจะมาถึงคลินิก
จนได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาเพราะที่ประตูผมจะติดกระดิ่งเล็ก ๆ เอาไว้ คุณพระเอกคนนั้นเดินเข้ามาช้า ๆ จนผมพูดเสียงดัง ๆ ให้เขาเข้ามาในห้องตรวจได้เลย
"คลอดแล้วครับน้องเป็นผู้ชาย แข็งแรงดีมาก ๆ ดีเกินไปด้วยเลยคลอดยากหน่อย ยังดีนะครับที่ไม่ต้องผ่าคลอด ไม่อย่างนั้นตัวแม่ต้องพักฟื้นยาวเลย" ผมอธิบายและเฝ้ามองผู้ชายตัวใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นที่นั่งคุกเข่า ใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ ลูบไปที่เจ้าลูกหมาตัวน้อย กับลูบหัวนางแม่หมาอย่างเมตตา
"ขอบคุณหมอมากนะครับ ผมดีใจจัง" เขาพูดแล้วก็ยิ้มกว้าง ยิ้มอย่างที่คนโฆษณายาสีฟันควรจะมี
"ว่าแต่ดึกแล้วหมอกินอะไรหรือยังล่ะครับ ผมเอาของกินมาฝาก" เขาพูดพร้อมกับชี้กล่องใส่อาหารที่เขาวางไว้บนโต๊ะตอนเขาเดินเข้ามาให้ผมดู
"อะไรหรือครับอย่าบอกว่าคุณทำเองนะ" ผมพูดล้อ
"เอ่อ ก็ทำเองแหละครับ พอดีงานอดิเรกของผมตอนนี้ คือผมชอบลองทำโน่นทำนี่กิน" เขาพูดแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับสองแม่ลูกนั่นอีก
"คุณจะพาเขากลับเลยก็ได้นะ"
"เอ่อหมอครับ ถ้าผมจะฝากน้องไว้สักวัน พอดีพรุ่งนี้ผมติดไปธุระต่างจังหวัด ผมฝากคุณหมอดูแลก่อนได้ไหมครับ คิดค่าใช้จ่ายมาได้เลย" เขาพูดทำหน้าอ้อน
"ได้ครับ เราก็มีบริการฝากเลี้ยงอยู่แล้ว จริง ๆ ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวหมอจะได้อัดอาหารสำหรับแม่ลูกอ่อนด้วย ดูเขาซูบ ๆ นะครับ ปกติหมาท้องควรอ้วนกว่านี้" ผมพูดและเราสองคนก็เดินออกมาที่ด้านหน้า
"ข้าวหอมมันกินอาหารยากน่ะครับ อาหารเม็ดก็ไม่ค่อยจะยอมกิน บางทีกินอยู่ดี ๆ อีกวันไม่กินแล้ว มันชอบกินข้าวคลุกน้ำพริกกับปลาทู ข้าวกับปลาทูเฉย ๆ ก็ไม่กินนะครับต้องมีน้ำพริกกะปินิด ๆ ด้วย" เอาสิ เจ้าของเริ่มนินทาหมาแล้ว
"ตายจริง ได้ยินแล้วก็คิดถึงเพื่อนหมอคนนึง นั่นก็เรื่องมาก กินยากที่สุดในโลก ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ไอ้นั่นก็เหม็นคาว ไอ้นี่ก็ต้องกินตอนหน้าของมัน" ผมพูดออกไปและดวงหน้าของอีรวีก็ลอยขึ้นมาในจินตนาการ
"อะไรกัน มีคนแบบนี้ด้วยหรือครับ ตอนผมไปทำงานนะ ถ้าไปต่างจังหวัด บางทีเข้าป่าลึก ๆ แค่มีเนื้อแดดเดียวกับข้าวเหนียวก็บุญแล้ว" เขาเล่าจนผมชักจะสงสาร
"แต่พอดีตอนนี้ผมมีจ๊อบพิเศษเอ่อคือคุณหมอทราบใช่ไหมว่าผมทำงานในวงการบันเทิง" เขาพูดแบบเก้อเขินเล็กน้อย
"อ่อก็เคยเห็นมาครับ ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ใช่ไหมครับ" ผมพูดตรงไปหรือเปล่าเนี่ย เขาจะหาว่าเขาดูถูกดูแคลนเขาไหมนะ
"เอ๊าคุณหมอดูด้วยหรอ?" เขาไม่ยักโกรธแฮะ แถมหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ
"สารภาพตรง ๆ ว่าไม่เคยตั้งใจดูครับเห็นผ่าน ๆ" ผมพูดแล้วก็ยิ้มแหย
"มันเป็นความบังเอิญแบบตกกระไดพลอยโจนน่ะครับ ตอนนั้นมันต้องทำ แล้วบังเอิญจังหวะมันดี อ้อ แต่ว่าช่วงก่อนหน้านี้ ผมก็ไปทำรายการทำอาหารนะ เป็นพวกอาหารไทย ๆ ขนมไทย ๆ รายการXXXX ไง ไม่รู้คุณหมอเคยดูหรือเปล่า สนุกดี ผมเลยเพิ่งรู้ว่าผมชอบทำอาหาร" เขาเล่าไปยิ้มไป แล้วก็ถือวิสาสะ เปิดกล่องอาหารที่เขาอุตส่าห์ทำมาฝากผม พร้อมกับยื่นให้ผม
"โอ้โห หน้าตาดีใช้ได้เลยนะ" ผมเอ่ยปากชม ก็ข้าวสวยที่มีหมูย่างหั่นสไลด์มากำลังดี หมูย่างดูย่างกำลังดี สีสวยและหอมกรุ่น มีแตงกวาหั่นยาวกับถั่วฝักยาวแก้เลี่ยน อ้อมีไข่ต้มเป็นยางมะตูมฝานครึ่งมาด้วย เห็นแล้วน้ำลายสอ
"กินกับน้ำจิ้มแจ่วนี่สิครับถึงอร่อย ข้าวนี่เป็นข้าวจากที่บ้านผมเองเลยนะ ปลูกเองสีเอง ข้าวหอมมะลิอย่างดีเลย" เขาคุยอวดอย่างภูมิอกภูมิใจ
"ข้าวที่ไหนหรือครับ?" ผมอดจะถามไม่ได้ และตักข้าวกับหมูย่างโดยไม่ลืมเหยาะน้ำจิ้มแจ่วก่อนเอาเข้าปาก เพราะตอนนี้ผมทิ้งตัวลงนั่งหลังเคาน์เตอร์เรียบร้อยแล้ว
"ผมเป็นคนลพบุรีครับ คนท่าวุ้ง หมอเคยได้ยินไหม เขาว่ากันว่านะ คนท่าวุ้งน่ะปากจัดที่สุด เวลาด่าน่ะด่าไฟแลบเลย" คุณพระเอกพูดอย่างเป็นกันเองแล้วก็หัวเราะจนเห็นฟันขาวจั๊วะไอ้มุกตลกอย่างนี้สงสัยคงเอาไว้ตกแม่ยกสินะ เขาถึงดูเป็นกันเองจัง คล้ายอะไรหนอ คล้ายพระเอกลิเกไงล่ะ ยิ่งพระเอกลิเกดัง ๆ แม่ยกให้พวงมาลัยแต่ละทีให้เป็นแสน ๆ บางคนซื้อบ้านซื้อรถให้เลยก็เคยได้ยิน
"คนกรุงเทพฯ ก็ปากจัดได้ครับ ก็เพื่อนคนกินยากของหมอไง นั่นก็ปากจัด แต่ผัวมันปากจัดกว่าเพราะเป็นอาจารย์สอนคณะอักษร" ผมอดจะนินทาถึงสองผัวเมียนั่นไม่ได้ ก็มันปากจัดทั้งคู่จริง ๆ เพียงแต่รวีมันปากจัดแบบโต้ง ๆ ส่วนศศินมันปากจัดแบบผู้ดี ด่าเหมือนไม่ด่า แต่เจ็บถึงกระดูกดำ
กินไปคุยกันไป จนผมกินข้าวแสนอร่อยของเขาจนหมดกล่อง
"หมอครับมีขนมด้วยนะ ขนมกล้วย" เขาแกะกล่องอาหารกล่องเล็กรองลงมา
"อย่าบอกนะว่าขนมกล้วยนี่คุณก็ทำเอง" ผมถามเขาอย่างทึ่ง ๆ
"ทำเองสิครับ ไม่ได้ยากอะไร ผมทำเป็นตั้งแต่เด็ก สมัยเด็ก ๆ ผมอยู่กับยายน่ะ เรามีกันแค่สองคน ก็เลยต้องทำโน่นทำนี่ช่วยแก ยายผมทำขนมขาย ให้ผมนี่แหละเอาไปขาย แต่เสียดายนะ ไม่ได้กะทิสด ๆ ไม่อย่างนั้นจะหอมอร่อยกว่านี้"
"โอ้โห อร่อยสุด ๆ แล้วครับ บอกตรง ๆ ว่าเกิดมาไม่เคยกินขนมกล้วยที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย" ผมเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ ไม่รู้ว่าเพราะเขาทำอร่อยจริง ๆ หรือเพราะรู้ว่าเป็นฝีมือของเขาเลยรู้สึกอร่อยกว่าปกติกันนะ
เราคุยกันอีกราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง ผ่านไปไวโดยไม่รู้ตัว จนผมเหลือบไปมองนาฬิกาพอดี เขาก็เลยต้องเอ่ยปากขอตัวกลับ คงเพราะเห็นท่าทางของผม เขาเลยเกรงใจ
"หมอครับผมรบกวนหน่อย คืออาหารกล่องที่เหลือนี่เป็นของข้าวหอมมัน ถ้ามันกินอาหารของหมอไม่ได้ก็ให้มันกินนี่ด้วยนะครับ"
เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ถ้าตอนเขาจากไปแล้วผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบดูอาหารหมาที่เขาเตรียมมาฝากลูกสาว อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ข้าวหมาที่เขาเตรียมให้ลูกสาวมันเป็นเมนูเดียวกันกับที่ทำให้ผมเลยนี่หว่า นี่ตกลง ทำให้ผมแล้วเผื่อหมา หรือทำให้หมาแล้วเผื่อผมกันนะนี่
จนผมปิดคลินิกเรียบร้อย คืนนี้ดึกเกินกว่าจะไปปั่นจักรยานข้างนอกเสียแล้วและผมก็อิ่มตื้อแล้วด้วย ผมยกกรงที่มีหมาแม่ลูกอ่อนให้ขึ้นไปที่ห้องพักของผม คอนโดนี้ดีตรงที่อนุญาตให้ลูกบ้านเลี้ยงสัตว์ได้ แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบไม่ทำความเดือดร้อนให้ผู้พักรายอื่นมากจนเกินไป
ด้านนอกของห้องนอน ผมกั้นคอกเล็ก ๆ มีผ้าขนหนูปูเผื่อคุณแม่จะขับถ่าย มีไฟส่องให้กกเพื่อมอบความอบอุ่นให้ทั้งคุณแม่คุณลูก และเมื่ออาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ผมก็อดจะเปิดดูสารคดีชีวิตสัตว์โลกอย่างที่เคย
แต่จู่ ๆ เหตุการณ์ตอนเขาจะจากไปก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
"ผมชื่อสมิงนะครับ ชื่อจริงชื่อพยัคฆ์ คุณหมอชื่อหมอดอยหรอครับ ชื่อน่ารักดีนะ" เขาพูดแล้วก็ยิ้มจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่
และผมก็ชักอยากจะรู้ประวัติของนายสมิง อะไรนั่นเสียแล้วสิ ก็เลยเสิร์ชอากู๋ ดูคลิปสัมภาษณ์ ต่าง ๆ ของเขาดูอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียวล่ะ
เขาคนนี้ไม่ได้เป็นดาราแบบดารายุคใหม่ที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ได้ยินมาว่าดาราบางคนเริ่มจากเป็นอินฟลูเลนเซอร์ มีคนติดตามเยอะเป็นแสน ๆ ค่ายละครก็เลยดึงเข้าสังกัดเพราะเป็นทางลัดเนื่องจากมีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว
แต่นายสมิงคนนี้ จับพลัดจับผลู ไปเข้าตาแมวมอง เพราะบังเอิญไปเจอช้างเผือกในป่า จะว่าช้างเผือกก็ไม่ได้นะ เขาก็ผิวคล้ำจนเกือบเป็นผิวทองแดงเลยทีเดียวแหละ
จากละครเรื่องแรกเล่นบทเป็นพระรอง ไม่ต้องแสดงอะไรมาก แต่ให้โชว์ใบหน้าหล่อ ๆ และหุ่นแน่น ๆ จนแฟนละครกรี๊ดกร๊าด เผลอแป๊บเดียวก็ได้เป็นพระเอก แล้วก็ทำท่าจะรุ่งดีเสียด้วย เพราะตั้งแต่เข้าวงการมาก็ไม่เคยมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เลย อาจจะมีข่าวลือว่าเป็นเด็กเลี้ยงของสาวแก่แม่ม่ายบ้าง แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ว่าไม่จริง แถมเจ้าตัวยังมีแต่ข่าวว่าเป็นคนมะ ๆ โม ๆ ชอบทำบุญ ชอบเข้าวัดเสียอีก
ก็ไม่แปลกที่ดาราจะมีแฟนคลับ หรือถ้าอย่างสมัยก่อนจะเรียกว่าแม่ยก นายสมิงคนนี้เป็นคนซื่อ ๆ ตั้งใจทำงาน ตรงต่อเวลา ไม่เรื่องมาก และมีฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยม แต่ที่ผมประทับใจที่สุด คือเสียงทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ ที่ออกมาจากปากและฟันขาวจั๊วะนั่นต่างหาก
แต่นักข่าวบันเทิง และนักวิเคราะห์ ก็แสดงความเสียดายที่นายสมิงคนนี้เกิดมาผิดยุค เพราะบุคลิกหน้าตาอย่างเขา ควรจะเป็นพระเอกหนังสมัยสรพงศ์ หรือมิตร ชัยบัญชา ไชยยา สุริยันต์มากกว่า เพราะเป็นยุคที่พระเอกต้องหล่อแบบไทย ๆ
แต่ยุคนี้พระเอกที่นิยมคือ สายอปป้า สายเกาหลี หรือสายอาตี๋ตาตี่ นายสมิงก็เลยได้แต่เล่นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ไม่ได้เล่นละครสมัยใหม่กับเขาเลยสักที
ตายละผมเสือกเรื่องของเขาจนห้าทุ่มกว่าแล้วหรือนี่ เห็นทีจะไม่ได้การ นี่แค่รวีมันมาวุ่นวายกับผมบ่อยขึ้นผมก็ซึมซับความเป็นคนสอดรู้สอดเห็นแบบมันไปได้ขนาดนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ
แต่แหม นายสมิงอะไรนั่นเขาก็หล่อสมกับเป็นพระเอกจริง ๆ ถึงจะเป็นพระเอกละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ก็เถอะ